- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวอินณุมาศเจ้าเมืองโกญจาได้โอรสบุญธรรม
- ตอนที่ ๒ คงคาประลัยขบถ
- ตอนที่ ๓ พราหมณ์จินดาลักพระกุมารไป ท้าวพินทุมารจับสองกุมารแล้วพาไปเลี้ยงไว้ในถ้ำ
- ตอนที่ ๔ เสนาท้าวอินณุมาศกู้เมืองได้ จึงเชิญเสด็จกลับไปครองแผ่นดิน
- ตอนที่ ๕ สิงหไกรภพลองยา แล้วหนีท้าวพินทุมารกลับบ้านเมือง
- ตอนที่ ๖ สิงหไกรภพเข้าเมืองมารัน แล้วได้พระธิดาสร้อยสุดาเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๗ พราหมณ์จินดาตามหาสิงหไกรภพ
- ตอนที่ ๘ สิงหไกรภพหนีออกจากเมืองมารัน
- ตอนที่ ๙ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๐ ท้าวจัตุพักตร์ตีเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๑ รามวงศ์หลงเชื่อวิรุณพัฒพี่เลี้ยง หลอกให้เดินทางไปถึงเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๒ รามวงศ์พานางแก้วกินรีหนีออกจากเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๓ ท้าวเทพาสูรตีเมืองมารันคืน
- ตอนที่ ๑๔ สิงหไกรภพ ตามหารามวงศ์
- ตอนที่ ๑๕ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๖ สิงหไกรภพให้จัดงานถวายพระเพลิงพระศพท้าวอินทณุมาศและนางจันทร
- ตอนที่ ๑๗ สิงหไกรภพต้องเสน่ห์นางเทพกินรา
- ตอนที่ ๑๘ รามวงศ์พบเจ็ดนาง พระเทวราชโอรสเจ้าเมืองวิเรน และพระอนุชา
- ตอนที่ ๑๙ รามวงศ์เข้าเมืองกาลเนตร
ตอนที่ ๑๙ รามวงศ์เข้าเมืองกาลเนตร
๏ จะกล่าวเรื่องเมืองยักษ์นคเรศ | ท้าวกาลเนตรหน่อไทครรไลหงส์ |
เป็นเมืองใหญ่ไพร่พลรณรงค์ | ล้วนทนงสงครามไม่ขามใคร |
อันองค์ท้าวเจ้าพารากาลเนตร | ศักดาเดชดังพระเจ้าเขาไศล |
ลืมจักษุดุดูเห็นผู้ใด | เป็นเพลิงไหม้หมดกายวอดวายปราณ |
มีลูกสาวราวกับหุ่นละมุนละม่อม | เลี้ยงถนอมในปราสาทราชฐาน |
เจริญรื่นชื่นโฉมประโลมลาญ | ลางดลดาลดินไหวดังไกวเปล |
ทุกถิ่นฐานบ้านช่องเสียงซ้องแซ่ | ทั้งหนุ่มแก่แลดูกันวิ่งหันเห |
ถึงสามวันปั่นป่วนต้องรวนเร | เดินซวนเซซานซมล้มระเนน |
ไมเห็นพระอาทิตย์คิดประหลาด | นภากาศกํ่าแดงดังแสงเสน |
ศิลาปักหลักนครก็อ่อนเอน | อำมาตย์เกณฑ์กันขุดบ้างฉุดชัก |
ยกไม่ไหวไพร่พลเกลื่อนกล่นกลุ้ม | ฉุดประชุมเชือกขาดประหลาดหนัก |
จะยกหินสิ้นปัญญาบรรดายักษ์ | ศิลาหลักมิได้ตรงคิดสงกา |
ใหัตีฆ้องร้องป่าวบอกราวเรื่อง | เจ้าบ้านเมืองมีฤทธิ์ทุกทิศา |
ใครยกหลักปักตรงองค์ธิดา | จะวิวาห์ให้เป็นคู่กับผู้นั้น |
ต่างลือเลื่องเมืองอื่นนับหมื่นแสน | มาเนืองแน่นในประเทศทุกเขตขัณฑ์ |
อยากจะใคร่ได้ผู้หญิงต่างชิงกัน | ยกทุกวันก็ไม่ไหวบ้างไปมา ฯ |
๏ จะกล่าวความรามวงศ์หมายตรงทิศ | นำพวกศิษย์สาวน้อยน้อยลอยเวหา |
เห็นเมืองใหญ่ไพร่พลคณนา | ตามมรคาคึกคักล้วนยักษ์มาร |
แม้นหยาบหยามข้ามเมืองจะเคืองแค้น | ขึ้นทดแทนทำศึกด้วยฮึกหาญ |
ต้องรบพุ่งรุ่งคํ่าจะรำคาญ | พ้นเมืองมารจึงค่อยเหาะเถิดหนอน้อง |
แล้วลงเดินเนินทางให้นางยักษ์ | นำทรงศักดิ์ส่งภาษาสนอง |
เขาเล่าลืออื้อฉาวตามป่าวร้อง | เสียงแซ่ซ้องสืบถามฟังความมา |
ตลาดแลแต่ล้วนคึกคักคั่ง | แม่ค้านั่งเรียงรายทั้งซ้ายขวา |
ขายเนื้อเบื้อเสือกวางเชือดช้างม้า | เต่าจระเข้เหราทั้งปลาวาฬ |
พวกหญิงชายขายซื้อบ้างถือกัด | กินเนื้อสัตว์สดสดว่ารสหวาน |
ดูเวียงไชยใหญ่โตมโหฬาร | ตั้งตึกกว้านบ้านถิ่นล้วนศิลา |
บรรดาเหล่าชาวเมืองเดินเนืองแน่น | นับหมื่นแสนสาวแก่แซ่ซ้ายขวา |
เห็นนักสิทธ์พิศวาสเพียงบาดตา | น้อยน้อยน่ารักเรียงเดินเคียงกัน |
บ้างเรียกรักทักเธอไม่เก้อเขิน | บ้างหยอกเอินเอาลูกไม้ไปให้ฉัน |
บ้างแลเห็นเป็นผู้หญิงวิ่งชิงกัน | ดูรูปโฉมโนมพรรณเพียงขวัญตา |
ทั้งสาวแกแม่หม้ายไม่อายเหนียม | ตามและเลียมเลียบชายแซงซ้ายขวา |
พระแกล้งเมินเดินเฉยหลีกเลยมา | เห็นศิลาล้มอยู่กลางบูรี |
พระรามวงศ์ตรงเข้ายกเสาหิน | ขึ้นจากดินได้ด้วยมือพระฤๅษี |
แล้วกลับปักหลักคงตั้งตรงดี | ชาวบูรีร้องบอกกันออกอึง |
บรรดาเหล่าท้าวพระยาที่มาเก้อ | อายกับเธอทั้งปวงคิดหวงหึง |
จะชิงนางต่างตรึกไว้ลึกซึ้ง | จนทราบถึงองค์ท้าวเจ้าบูรี |
ให้อำมาตย์ราธนาพวกดาบส | มาพร้อมหมดแต่ว่าไม่ไหว้ฤๅษี |
ด้วยถือไสยไหว้แต่พระศุลี | จึงพาทีถามนามพระรามวงศ์ |
เราว่าไว้ใครมาอาสาปัก | ศิลาหลักได้สมอารมณ์ประสงค์ |
กับลูกสาวเราจะเษก[๑]เป็นเอกองค์ | ให้สืบทรงเศวตฉัตรสวัสดี |
เดี๋ยวนี้เล่าเจ้าปักหลักขึ้นได้ | เราจะให้ธิดามารศรี |
อย่าเที่ยวเร่เฉโกเป็นโยคี | สึกมาอยู่บูรีแต่งวิวาห์ ฯ |
๏ พระฟังยักษ์ทักถามทีหยามหยาบ | ไม่ไหว้กราบตรัสฮึกให้สึกหา |
จึงว่าเราเข้ามาปักหลักศิลา | ให้เป็นค่าของทางเดินกลางเมือง |
จะมีเมียเสียพรตทิ้งยศศักดิ์ | เราไม่รักเหมือนดังหนังเสือเหลือง |
จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์อย่าขัดเคือง | ขอคืนเมืองมอบลูกสาวให้ท้าวไท |
จะสู้ถือฤๅษีหนีสงสาร | หวังนิพพานพ้นพิภพสบสมัย |
พอขาดคำอำลาจะคลาไคล | เจ้ากรุงไกรกริ้วโกรธคาดโทษทัณฑ์ |
ให้หยุดยั้งนั่งอยู่กระทู้ถาม | จะหยิบความข้อผิดพูดบิดผัน |
มายกเสาขึ้นได้ให้รางวัล | ไม่รับนั้นขัดเราเป็นเจ้านาย |
แต่หนุ่มเยาว์เฉาโฉดยกโทษไว้ | จะทำให้สมรับสั่งสิ้นทั้งหลาย |
แม้นขัดอีกฉีกปากให้ครากตาย | ตามกฎหมายข้อขัดกระษัตรา ฯ |
๏ พระดาบสอดโกรธโปรดประภาษ | เราถือสัตย์ตัดขาดทรงศาสนา |
ถึงแก้วแหวนแผ่นดินไม่จินตนา | แล้วชวนพระอนุชาลุกคลาไคล |
เจ้ากรุงยักษ์พักตร์นิ่วโกรธกริ้วกราด | กระทืบบาทบนบัลลังก์เวียงวังไหว |
เหวยเสนาอย่าให้หนีพวกชีไพร | จับเป็นไปใส่คุกให้ทุกคน |
ขุนหมื่นยักษ์คักคึกสะอึกไล่ | เรียกบ่าวไพร่พรูตามหลามถนน |
พวกม้าช้างต่างไล่ต้อนไพร่พล | มาเกลื่อนกล่นกลุ้มจับพระรับรบ |
นางอสุรีพี่น้องทั้งสองยักษ์ | ถือพัดจักรกรดสับซ้อนซับศพ |
หน่อกระษัตริย์ตัดศีรษะถีบกระทบ | เลี้ยวตลบไล่ฆ่าโยธามาร |
ที่ม้วยมอดวอดวายตัวนายต้อน | เข้าราญรอนรำหอกแกว่งกลอกขวาน |
บ้างฉวยคว้าพร้าโต้โย้ทะยาน | ถอนต้นตาลตีรุมตะลุมบอน |
พระรามวงศ์ทรงจักรขว้างยักษ์ร้าย | แตกกระจายตายกลิ้งดังสิงขร |
ฝ่ายทัพท้าวเจ้าประเทศเขตนคร | รุมราญรอนรบประดังเข้าคั่งคับ |
หมายจะชิงหญิงสาวพวกดาวบส | ต่างเลี้ยวลดไล่ลัดสกัดจับ |
พระเทวราชฟาดฟันรอนรันรับ | ผลาญยักษ์ยับย่นแยกตื่นแตกแตน |
แต่ยักษีพี่น้องสองกระษัตริย์ | ไล่ฟาดฟัดฟันตายลงหลายแสน |
ฆ่าเท่าไรไม่หมดมาทดแทน | อเนกแน่นหน้าหลังประดังกัน |
เจ็ดธิดาหน้าซีดร้องกรีดกราด | สะดุ้งหวาดวิ่งหนีไม่มีขวัญ |
พระรามวงศ์ทรงศรไล่รอนรัน | ยักษ์ขยั้นหยุดยั้งคับคั่งคอย |
พระหยุดยืนมึนเมื่อยนึกเหนื่อยเหน็ด | สงสารเจ็ดพระธิดาดูหน้าจ๋อย |
ด้วยรุ่นสาวชาววังกำลังน้อย | นางจะพลอยพลัดพรายวอดวายวาง |
ปรึกษาน้องสองยักษ์จำจักหนี | รบที่นี่ไม่ถนัดจะขัดขวาง |
เจ้ารั้งหลังทั้งสองกับน้องนาง | ไปเขาสูงทุ่งกว้างหนทางมา |
ให้พระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ | นางกระษัตริย์ซ่อนอยู่ในคูหา |
แต่น้องรักยักษีกับพี่ยา | คิดเข่นฆ่าโคตรมันให้บรรลัย |
แล้วแต่งองค์ทรงกระบองนำน้องรัก | เหาะตามยักษ์ไล่สกัดตีตัดษัย |
จนจวนพลบรบพุ่งพ้นกรุงไกร | ถึงเขาใหญ่ได้ที่สีหนาม |
ลงหยุดนั่งพรั่งพร้อมบนจอมเขา | ค่อยบรรเทาทั้งสิบเอ็ดไม่เข็ดขาม |
คอยดูยักษ์จักขับกองทัพตาม | จะปราบปรามปรึกษาพูดจากัน ฯ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้าพารากาลเนตร | คิดสมเพชพวกโยธาที่อาสัญ |
จึงสั่งท้าวเจ้าประเทศทุกเขตคัน | ใครแข็งขันติดตามจับรามวงศ์ |
มาเชือดชิ้นกินดิบทั้งสิบเอ็ด | ให้สิ้นเสร็จสงครามตามประสงค์ |
กับลูกรักจักภิเษกเป็นเอกองค์ | ให้ดำรงราไชยเพิ่มไพบูลย์ ฯ |
๏ ฝ่ายพวกยักษ์นคเรศประเทศราช | ล้วนหยาบคายร้ายกาจชาติอสูร |
ต่างอยากได้ผู้หญิงชิงกันทูล | จะขอพูนเพิ่มพระยศให้งดงาม |
ไปมัดมือฤๅษีสตรีสาว | มาเฝ้าท้าวทั้งสิบเอ็ดไม่เข็ดขาม |
แล้วทูลลาพาทหารชาญสงคราม | รีบเหาะตามรามวงศ์เหมือนจงใจ |
จนเย็นยํ่าคํ่าพลบจุดคบส่อง | ต่างโห่ร้องรับกันเสียงหวั่นไหว |
ล้วนทัพท้าวเจ้าเมืองหนุนเนื่องไป | จุดคบไต้ไฟสว่างดังกลางวัน |
พระรามวงศ์ลงเอกเขนกเหนื่อย | ลมเรื่อยเรื่อยรื่นแรงค่อยแข็งขัน |
กับหน่อนาถราชธิดาพร้อมหน้ากัน | ดูกุมภัณฑ์พวกยักษ์คึกคักตาม |
จุดไต้คบครบมือเที่ยวถือส่อง | ดูเนืองนองนับแสนแน่นสนาม |
นั่งสำรวลสรวลสันต์ไม่ครั่นคร้าม | จะสงครามรบพุ่งต่อรุ่งราง |
พระนึกรักปักษีชะนีน้อย | เรียกใช้สอยปรนนิบัติไม่ขัดขวาง |
ให้นวดฟั้นบัญชาพูดจาพลาง | ทั้งสองนางนั่งยิ้มอิ่มอารมณ์ |
เจ็ดบุตรีมีศึกให้นึกรัก | กับนางยักษ์ชักชิดสนิทสนม |
ฝ่ายพี่น้องตรองตรึกนึกนิยม | อยากใคร่สมปรารถนาอาสารบ |
ข้าขอรับจับท้าวเจ้าประเทศ | ร่ายพระเวทให้ระงับหลับสลบ |
ตัดเกศมาให้องค์พระทรงภพ | อย่าปรารภรับปราบให้ราบไป |
พระลูบหลังทั้งสองว่าน้องรัก | สามิภักดิ์รักพี่จะมีไหน |
ช่วยรบสู้คู่ชีวิตร่วมจิตใจ | จะรักใครให้เหมือนน้องทั้งสองรา |
เราร้องขับรับพิณให้ยินเสียง | ว่าพร้อมเพรียงกันอยู่ยอดภูผา |
พวกกุมภัณฑ์มันขับกองทัพมา | จึงแก้วตาตัดหัวพวกตัวนาย |
นางปักษีดีใจดังได้แก้ว | หัวเราะแล้วน้อมคำนับขับถวาย |
ขอบังคมสมเด็จนเรศนรายณ์[๒] | เสด็จวายยุกูลปราบราพณ์อาธรรม์ |
ถึงปางเคราะห์เหมือนอย่างปางราเมศร์ | เที่ยวทุเรศแรมป่าพนาสัณฑ์ |
เครื่องพระแสงแบ่งภาคจากเทวัญ | พิณพระขรรค์นั้นเป็นพระอนุชา |
เทพรำกำลังศิลป์สังข์จักร | เป็นหญิงยักษ์อยู่สำหรับรับอาสา |
สาวสุรางค์ข้างที่ศรีไสยา | แบ่งภาคมาตามเสด็จทั้งเจ็ดองค์ |
ด้วยเดชะพระมหาเทพาวุธ | จะสิ้นสุดเสี้ยนหนามตามประสงค์ |
สงสารพระหริรักษ์ศักดิ์สุริย์วงศ์ | เคยณรงค์ยงยุทธ์ทรงครุฑบิน |
นาคราชอาสน์ทิพย์สามสิบเศียร | ประหวั่นเวียนวงกลมประทมสินธุ์ |
เสียงรื่นเรื่อยเฉื่อยฉํ่าด้วยอำรินทร์ | คอยดีดพิณเพลงสวรรค์กล่อมบรรทม |
โอ้ถึงปางร้างรักปราบยักษ์ร้าย | พระนารายณ์ไร้สุรางค์นางสนม |
รักษาพรตอตส่าห์ทรงศีลจงกรม | แรมประทมร่มรังไร้วังเวียง |
แล้วหวนลงส่งลำบทคำหวาน | พิณประสานสายเอกวิเวกเสียง |
ดังดนตรีปี่แก้วแจ้วจำเรียง | ซ้อนสำเนียงนิ้วกรีดเดาะดีดดัง |
อสุรินทร์ยินขับกลับทหาร | อลหม่านมืดมากลุ้มหน้าหลัง |
จะเข้าจับกลับพรั่นขยั้นยั้ง | ต่างเพลินฟังดังจะหลับเจื้อยจับใจ |
พระดีดดังวังเวงเป็นเพลงกล่อม | พวกยักษ์ล้อมหลายทัพเลยหลับใหล |
นางพี่น้องสองอสุรีก็ดีใจ | ทูลลาไปทัพท้าวเจ้านคร |
เห็นนั่งหลับจับศีรษะฉะด้วยพัด | ขาดเหมือนตัดหยวกทิ้งรอบสิงขร |
ทิ้งไพร่นายตายยับซบซับซ้อน | ทั้งเศียรกรกายขาดดื่นดาษดิน |
ครั้นรุ่งแลแต่ล้วนศพตายทบทับ | ดูซ้อนซับนับโกฏิดังโขดหิน |
โลหิตนองท้องสุธาดังวาริน | แลไม่สิ้นศพตายสุดสายตา |
เหลือจะดอดลอดเล็ดระเห็จเหิน | แตกตะเพิ่นโผนร่อนว่อนเวหา |
แล้วยักษีพี่น้องทั้งสองมา | กราบบาทาทูลความพระรามวงศ์ ฯ |
๏ ฝ่ายพระนุชบุตรีเห็นผียักษ์ | อนาถนักพินิจพิศวง |
ให้หวิวไหวใจป่วนเซซวนทรง | ต่างซบลงลมจับนั่งหลับตา |
นางพี่น้องสองยักษ์หักดอกไม้ | มารอให้หอมรื่นชื่นนาสา |
ต่างรู้สึกนึกกลืนฝืนวิญญาณ์ | อาเจียนลมก้มหน้าไม่พาที |
พระรามวงศ์ลงเอกเขนกนึก | แล้วตรัสปรึกษาน้องนางสองศรี |
พวกรากโษสโกฏิแสนทบแทนทวี | เรารบสี่คนน้อยคอยระวัง |
ด้วยองค์ท้าวเจ้าประเทศเนตรเป็นกรด | หัวเมืองหมดจะโมโหด้วยโอหัง |
คงยกมาอย่าประมาทจะพลาดพลั้ง | สงครามครั้งนี้รบหลีกหลบกาย |
นางปักษีดีใจกราบไหว้ว่า | ขออาสาตัดศีรษะมาถวาย |
ถึงเสียเชิงเพลิงกรดไหม้หมดกาย | รูปทรงหายสูญแล้วเขี้ยวแก้วยัง |
ได้พรมพรำนํ้าอบตรลบกลิ่น | กลับเป็นอินทรีย์สมอารมณ์หวัง |
ด้วยข้าบาทธาตุลมสมกำลัง | ระคนทั้งกลิ่นอายเป็นกายมา |
จะขอรับจับท้าวเจ้าประเทศ | ควักดวงเนตรมาถวายทั้งซ้ายขวา |
พระทรงฟังนั่งนึกนิ่งตรึกตรา | จึงตรัสว่าอย่าประมาทองอาจใจ |
ถึงมิตายกายสูญจะพูนเกิด | ประดักประเดิดด้วยไม่เห็นเป็นไฉน |
ต้องผ่อนปรนกลศึกตรองตรึกไตร | ให้ได้ชัยชนะจึงจะดี |
พระเทวราชอาจหาญในการศึก | นึกตรองตรึกกราบประณตบทศรี |
ให้พี่น้องสองสุดาออกราวี | ทั้งข้านี้จะไปด้วยได้ช่วยกัน |
ถึงพี่น้องต้องกรดม้วยหมดสิ้น | จะดีดพิณผลาญชีวาให้อาสัญ |
เหมือนสายฟ้าผ่าต้องทั้งสองกรรณ | ทำลายลั่นบรรลัยดังใจจง |
พระชื่นชอบตอบว่าปัญญาน้อง | ช่างตรึกตรองต้องจิตคิดประสงค์ |
เห็นจะได้ชัยชนะในณรงค์ | มันก็คงยกมาคอยราวี |
แล้วหยุดหย่อนผ่อนพักสำนักนั่ง | ใต้ร่มรังตั้งพักตร์ดูยักษี |
ฝ่ายเจ็ดองค์นงนุชพระบุตรี | ปรนนิบัติพัดวีให้ปรีดา ฯ |
๏ ฝ่ายพวกยักษ์นคเรศสืบเหตุทัพ | เห็นยักษ์ยับแยกย้ายตายหนักหนา |
ต่างตกใจไปเฝ้าเจ้าพารา | ทูลกิจจาข้าศึกเห็นฮึกครัน |
เจ้ากรุงยักษ์พักตร์ตึงทะลึ่งลุก | เล่นสนุกสักหน่อยวะเหะหะหัน |
โมโหมาหาอะไรก็ไม่ทัน | ฉวยฉุดคันกล้องแกว่งแผลงศักดา |
พอดังเปรี้ยงเสียงตรงที่มงกุฎ | กระเด็นหลุดจากศีรษะเซถลา |
หกล้มผลุงฝูงสุรางค์นางพญา | พยุงมาแท่นรัตน์นวดพัดวี |
นางนงลักษณ์อัคเรศก้มเกศกราบ | พระเคยปราบดิบฟ้าทุกราศี |
ไม่เคยเห็นเป็นลางถึงอย่างนี้ | ฤกษ์ไม่ดีเดินทัพจะอับปาง |
พระเคืองขัดตรัสกระโชกอย่าโหยกเหยก | ชะโหรเอกออกมาทัดพูดขัดขวาง |
เหวยเสนาข้าเฝ้าเหล่าขุนนาง | เร่งผูกช้างชัยณรงค์เคยสงคราม |
กับโล่เขนเกณฑ์แห่แต่เท่านั้น | ไปมากมันมาสิบเอ็ดเหมือนเข็ดขาม |
เสนาน้อมพร้อมพรั่งรับสั่งความ | มาแต่งตามบัญชาพญามาร ฯ |
๏ พระแต่งองค์ทรงขอขึ้นคอช้าง | ทหารข้างพระคชาล้วนกล้าหาญ |
เป่าแตรสังข์หลังหน้าคชาชาญ | จากพระลานลอยฟ้าเคลื่อนคลาไคล |
แต่พอออกนอกกำแพงสิ้นแรงเรี่ยว | เห็นกาเหยี่ยวแร้งร่อนว่อนไสว |
เสียงโห่ทั้งสังข์แตรปรวนแปรไป | เหมือนร้องไห้แซ่ซ้องสยองเย็น |
เป็นสายรุ้งพุ่งลงที่ตรงพักตร์ | เสื้อเมืองยักษ์หญิงแก่ให้แลเห็น |
ร้องห้ามว่าอย่าไปนะศีรษะกระเด็น | แล้วกลับเป็นลมลับวับวิญญาณ์ |
เจ้ากรุงยักษ์หนักใจเห็นไม่รอด | หยุดช้างกอดกรสยองพองเกศา |
เสียดายวงศ์พงศ์พันธุ์สวรรยา | กลับเหลียวหลังตั้งตาดูธานี |
นิจจาเอ๋ยเคยอยู่แม้นกูม้วย | ใครจะช่วยสร้างเสริมเฉลิมศรี |
จะเยือกเย็นเป็นป่าพนาลี | เขตบูรีรั้ววังเป็นรังกา |
โอ้เวรกรรมทำไว้ไฉนหนอ | นํ้าเนตรคลอคล้ำพักตร์ท้าวยักษา |
สงสารสุดบุตรีจะวิวาห์ | กลับเป็นข้าศึกแสนที่แค้นเคือง |
คิดถึงพระมเหสียิ่งวิโยค | จะซํ้าโศกทรวงตรอมซูบผอมเหลือง |
อสุรศักดิ์ยักษ์มารทั้งบ้านเมือง | จะแค้นเคืองคิดสลดระทดใจ |
ถอนสะอื้นกลืนกลั้นอั้นอัดอก | นํ้าตาตกซกโทรมชโลมไหล |
จะกลับทัพอัปยศเสียยศไกร | ถึงบรรลัยไว้ชื่อให้ลือชา |
คิดเฉียวฉุนหุนหันทั้งพันพักตร์ | สองพันกรศรีจักรถือหนักหนา |
สูงใหญ่เยี่ยมเทียมเมฆมหึมา | ขับคชาชาญกระเทื้อมชะเงื้อมเงา ฯ |
๏ จะกล่าวความรามวงศ์คอยยงยุทธ์ | พร้อมกันหยุดยั้งอยู่ยอดภูเขา |
แซ่สำเนียงเสียงโห่เรื่อยโร่เร้า | ดูดังเงาเมฆมืดเป็นพืดมา |
พระสอนน้องสอนยักษ์แม้นจักรบ | คอยเลี่ยงหลบหลีกพักตร์ท้าวยักษา |
แล้วอวยชัยให้พระน้องทั้งสองรา | ต่างกราบลาเหาะลอยไปคอยรับ |
พระเทวราชผาดผยองลอยล่องรีบ | เข้าแฝงกลีบเมฆชม้อยคอยขยับ |
ฝ่ายสองนางขวางหน้าโยธาทัพ | ห้ามให้ยับยั้งฟังรับสั่งความ |
แล้วร้องเย้ยเหวยพญากาลเนตร | ทำเหมือนเปรตโย่งเย่งน่าเกรงขาม |
พระเป็นเจ้าอวตารชาญสงคราม | ให้มาห้ามหัสเนตร[๓]ด้วยเมตตา |
แต่แรกเริ่มเดิมทีมีมิตรจิต | มิควรคิดหาญหักเลยยักษา |
ให้เมืองน้อยพลอยตายวายชีวา | ตัวยังมาสงครามจะตามตาย |
อย่าเพ่อนึกฮึกฮักเชื่อจักษุ | จะโปร่งปรุแตกกระเด็นไม่เห็นหาย |
พระหน่อนามรามวงศ์องค์นารายณ์ | เสด็จวายยุกูลมาปราบธานี |
อย่าหยามหยาบกราบไหว้จะได้รอด | กลับไปกอดกันกับพระมเหสี |
แม้นดึงดื้อถือว่าลูกตาดี | ลืมดูนี่แน่ะให้ไฟมาไหม้ลอง |
เจ้ากรุงมารดาลเดือดกระเดาะปาก | เสียงสำรากร้องว่าพูดจาจองหอง |
มึงนับถือฤๅษีจะมีท้อง | หมายยกย่องถือว่าเป็นนารายณ์ |
กูก็รู้อยู่ดอกอีขี้ปะติว | ตัวจิ๋วจิ๋วจ้านจ้าประดาหาย |
เหมือนแมงหวี่บี้แบนกูแสนอาย | บอกนารายณ์นายมึงมาจึงจะดี ฯ |
๏ ฝ่ายสองนางต่างล่อหัวร่อเล่น | ตัวเหมือนเช่นช้างใหญ่เขาไม่หนี |
เราเป็นเด็กกระจ้อยร่อยน้อยเท่านี้ | เหมือนแมงหวี่หวังจะฆ่าตอมตาช้าง |
มิเชื่อสู้ดูลองสักสองยก | เศียรไม่ตกตามปากจึงถากถาง |
แล้วถาโถมโจมรบในนภางค์ | ตัดคอช้างตกพลัดกับปัถพี |
พญามารราญรอนฟันฟอนฟาด | ก็แคล้วคลาดมิได้ต้องนางสองศรี |
ฝ่ายสองนางต่างล่อให้ต่อตี | ได้ท่วงทีโถมชิดไล่ติดพัน |
นางพี่สาวน้าวยุดมงกุฎยักษ์ | น้องสาวควักดวงเนตรเจ้าเขตขัณฑ์ |
ลืมตากว้างอย่างไฟประลัยกัลป์ | สองนางนั้นหายวับไปลับตา ฯ |
๏ ฝ่ายองค์เทวราชเห็นพลาดเพลี่ยง | ดีดพิณเสียงสุนีฟาดหวาดผวา |
กระเดื่องดังกังสดาลสะท้านสุธา | ดังฟ้าผ่าพญามารไม่ทานทน |
ทอดพระองค์ลงที่ทุ่งผลุงสนั่น | แก้วพระกรรณแตกเกลือกกลิ้งเสือกสน |
ฟังเสียงพิณสิ้นใจทั้งไพร่พล | ตกเกลื่อนกล่นกลิ้งกลาดดาษดา |
เห็นยักษ์ล้มสมคะเนพระเทวราช | ไปเฝ้าบาทบทเรศพระเชษฐา |
ทูลถึงที่พี่น้องนางสองรา | จะต้องตากรดตายด้วยหายไป |
พระรามวงศ์นงนุชสุดสงสาร | ด้วยนางมารมีจิตพิสมัย |
ทั้งเก้าองค์ทรงกันแสงสุดแข็งใจ | ชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย |
พระว่านางต่างสั่งไว้ทั้งสอง | ถึงตัวต้องตาไฟประลัยหาย |
เหลือเขี้ยวแก้วแล้วก็รอดไม่วอดวาย | ที่นางตายที่ตรงไหนนำไปลอง |
ช่วยกันหาถ้าแม้นได้แล้วไม่ม้วย | ได้ชุบช่วยชีวังนางทั้งสอง |
ปรึกษาพลางทางชวนนวลละออง | ให้พระน้องนำเสด็จระเห็จทะยาน |
ถึงยักษ์ตายก่ายกองลงท้องทุ่ง | เที่ยวเดินมุ่งหามาน่าสงสาร |
ได้เขี้ยวแก้วแววไวถูกไฟกาล | ดูดำด้านมัวหมองทั้งสองเม็ด |
เหมือนคำสั่งทั้งสองพี่น้องแล้ว | วางเขี้ยวแก้วไว้บนหัตถ์ดูตรัสเตร็จ |
เป็นเหลี่ยมแหลมแวมวับเหมือนกับเพชร | ช่วยชุบเช็ดผุดผ่องไม่หมองมอม |
แล้วกลับมาอาศัยเขาใหญ่อยู่ | ผ้าทองปูเที่ยวหาบุปผาหอม |
รองเขี้ยวแก้วแล้วก็นั่งอยู่พรั่งพร้อม | ดอกไม้รอมรวมกลบกลิ่นอบอาย |
ทั้งเก้าองค์จงจิตพิศเพ่ง | ค่อยเปลื้องเปล่งปลั่งดวงโชติช่วงฉาย |
ทั้งเจ็ดองค์นงนุชสุดเสียดาย | ต่างฟูมฟายชลนาด้วยอาลัย |
รำลึกเห็นเช่นเคยมาเลยลับ | จะรอดกลับเป็นหรือจะสูญไฉน |
นิจจาเอ๋ยเคยสนิทร่วมจิตใจ | เมื่อชิงชัยช่วยระวังเป็นกังวล |
เคยแอบอ้อนวอนให้ถอนไรจุก | ได้ผาสุกสารพัดไม่ขัดสน |
โอ้สองนางร่างกายมาวายชนม์ | เมื่ออับจนจะได้ใครแก้ไขกัน |
แม้นกลับเป็นเช่นสั่งจะยังชั่ว | น้องนี่กลัวจะไม่เป็นเบญจขันธ์ |
นางครวญครํ่ารํ่าว่าแล้วจาบัลย์ | ต่างรำพันถึงพี่น้องทั้งสองรา |
พระรามวงศ์องค์เทวราชน้อง | สงสารสองนางยักษ์นั้นหนักหนา |
ฟังเจ็ดนางช่างรำพันจำนรรจา | พลอยน้ำตาไหลหลั่งลงพร่างพราย ฯ |
สิงหไกรภพหมดฉบับเพียงเท่านี้