- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวอินณุมาศเจ้าเมืองโกญจาได้โอรสบุญธรรม
- ตอนที่ ๒ คงคาประลัยขบถ
- ตอนที่ ๓ พราหมณ์จินดาลักพระกุมารไป ท้าวพินทุมารจับสองกุมารแล้วพาไปเลี้ยงไว้ในถ้ำ
- ตอนที่ ๔ เสนาท้าวอินณุมาศกู้เมืองได้ จึงเชิญเสด็จกลับไปครองแผ่นดิน
- ตอนที่ ๕ สิงหไกรภพลองยา แล้วหนีท้าวพินทุมารกลับบ้านเมือง
- ตอนที่ ๖ สิงหไกรภพเข้าเมืองมารัน แล้วได้พระธิดาสร้อยสุดาเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๗ พราหมณ์จินดาตามหาสิงหไกรภพ
- ตอนที่ ๘ สิงหไกรภพหนีออกจากเมืองมารัน
- ตอนที่ ๙ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๐ ท้าวจัตุพักตร์ตีเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๑ รามวงศ์หลงเชื่อวิรุณพัฒพี่เลี้ยง หลอกให้เดินทางไปถึงเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๒ รามวงศ์พานางแก้วกินรีหนีออกจากเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๓ ท้าวเทพาสูรตีเมืองมารันคืน
- ตอนที่ ๑๔ สิงหไกรภพ ตามหารามวงศ์
- ตอนที่ ๑๕ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๖ สิงหไกรภพให้จัดงานถวายพระเพลิงพระศพท้าวอินทณุมาศและนางจันทร
- ตอนที่ ๑๗ สิงหไกรภพต้องเสน่ห์นางเทพกินรา
- ตอนที่ ๑๘ รามวงศ์พบเจ็ดนาง พระเทวราชโอรสเจ้าเมืองวิเรน และพระอนุชา
- ตอนที่ ๑๙ รามวงศ์เข้าเมืองกาลเนตร
ตอนที่ ๘ สิงหไกรภพหนีออกจากเมืองมารัน
๏ จะกล่าวความพราหมณ์สิงหไกรภพ | ได้คู่สบสมประสงค์จำนงหมาย |
เฝ้าเชยซิดพิสวาสไม่คลาดคลาย | กลางวันกลายเป็นนกแก้วแจ้วเจรจา |
ครั้นกลางคืนชื่นชมภิรมย์รัก | อยู่เมืองยักษ์จะประมาณนานนักหนา |
ไม่เริดร้างห่างเหทุกเวลา | สร้อยสุดาโฉมยงเจ้าทรงครรภ์ |
ถึงคราวเคราะห์เพราะจะพรากจากปราสาท | นุชนาฏหลับสนิทนิมิตฝัน |
ว่าเผยแกลแลดูพระสุริยัน | อยู่บนบัญชรชื่นนางกลืนไว้ |
พอรู้สึกดึกสามยามสงัด | ศรีสวัสดิ์นึกพรั่นประหวั่นไหว |
ปลุกพราหมณ์น้อยค่อยเล่าให้เข้าใจ | เหมือนที่ในความฝันบรรยาย |
พระสวมสอดกอดประทับแล้วรับขวัญ | แม่โฉมยงทรงครรภ์เหมือนมั่นหมาย |
พระตรัสหยอกดอกฟ้าน่าเสียดาย | จะเคลื่อนคลายเสียแล้วนะแก้วตา |
นางผลักพลิกหยิกพระหัตถ์น่าบัดสี | ฉันไม่มีท้องมาทายน่าขายหน้า |
แม้นเหมือนคำรำพันจำนรรจา | จะเอาหน้าไปแฝงไว้แห่งใด |
พระบิตุรงค์คงสังหารผลาญชีวิต | โอ้พลั้งผิดคิดขึ้นมาเลือดตาไหล |
สะอื้นอ้อนซ่อนหน้าโศกาลัย | พระชลนัยน์ซึมซาบอาบพักตรา |
พระปลอบพลางทางเช็ดชลเนตร | อย่าเทวษหวาดจิตขนิษฐา |
แม้นตัวพี่มิตายวายชีวา | ไม่ทิ้งแก้วแววตาให้อาวรณ์ |
แม้นม้วยมอดวอดวายจะตายด้วย | เป็นเพื่อนม้วยโฉมฉายสายสมร |
แม้นจะอยู่สู้ฤทธิ์พระบิดร | ชาวนครทั้งสิ้นจะนินทา |
ถ้าหาไม่ใจพี่ไม่หนีหลบ | จะรุกรบรอนราญผลาญยักษา |
นี่ขัดสนจนจิตด้วยบิดา | คิดจะพาเทวีลอบหนีไป |
เป็นนกแก้วแล้วถึงจะพบพักตร์ | ไม่รู้จักนวลหงอย่าสงสัย |
หรือณรงค์สงครามก็ตามใจ | จะลุยไล่หักดิบเสียพริบตา |
นางฟังคำจำพรากจากนิเวศน์ | พระชลเนตรพร่างพรายทั้งซ้ายขวา |
โอ้สงสารมารดรกับบิดา | กรุณาลูกรักนี้หนักครัน |
ถึงผิดพลั้งอย่างไรไม่ถือโทษ | มีแต่โปรดชุบย้อมถนอมขวัญ |
ได้เป็นสุขทุกเวลาทิวาวัน | ยังมิทันแทนพระคุณมาวุ่นวาย |
แม้นสงครามพราหมณ์ฆ่าบิดาม้วย | จะตายด้วยภูวนาถเหมือนมาดหมาย |
แม้นบิดาฆ่าพราหมณ์ถึงความตาย | จะวอดวายชนมาด้วยสามี |
โอ้พระคุณทูลกระหม่อมของลูกเอ๋ย | ลูกไม่เคยจากบาทบทศรี |
สุดจะละพระชนกชนนี | นางโศกีกำสรดสลดใจ |
พระโอบอุ้มจุมพิตสนิทสนอม | งามละม่อมมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว |
จะขืนอยู่บูรีแม้นมิไป | ก็เห็นไม่พ้นพระราชอาชญา |
อย่าหนักหน่วงดวงใจไปกับพี่ | อยู่บูรีนคเรศของเชษฐา |
ทำกระท่อมล้อมรั้วปลูกถั่วงา | ตามประสายากไร้ไม่ไกลกัน |
จึงจัดแจงแต่งกายสายสมร | จะรีบจรจวนแจ้งพระสุริย์ฉัน |
แล้วอุ้มองค์ลงจากแท่นสุวรรณ | นางทรงกันแสงสะอื้นกลืนนํ้าตา |
จะจากวังดังในใจจะขาด | จำไกลบาทบิตุรงค์เผ่าพงศา |
เพราะทำชั่วกลัวพระราชอาชญา | นางโศกากราบก้มบังคมคัล |
ทูลกระหม่อมจอมโลกของลูกแก้ว | จำคลาดแคล้วมูลิกาเหมือนอาสัญ |
เคยขึ้นเฝ้าเช้าเย็นไม่เว้นวัน | พลางทรงกันแสงไห้อาลัยลาญ |
โอ้ชาตินี้มีกรรมจะจำจาก | ต้องพลัดพรากจากนิเวศน์ประเทศสถาน |
จะวายวุ่นขุ่นเคืองทั้งเมืองมาร | แสนสงสารสาวสนมกรมใน |
จะง่วงเหงาเศร้าสร้อยพลอยสลด | โศกกำสรดเศร้าหมองไม่ผ่องใส |
จะแลลับนับปีแต่นี้ไป | จะมิได้เห็นสุรางค์นางทั้งปวง |
เคยเกล้าจุกตุ๊กตาพูดจาเล่น | จะวายเว้นเห็นนางห่างวังหลวง |
ถอนฤทัยให้สลดกำสรดทรวง | ยิ่งหนักหน่วงห่วงใยอาลัยวอน |
พระอุ้มองค์นงลักษณ์สะพักกอด | ประสานสอดสายทรวงดวงสมร |
กลัวคนตื่นกลืนยาเป็นวานร | อุ้มบังอรเดินเลยมาเกยลา |
เหาะทะยานผ่านทวีปเข้ากลีบเมฆ | ลอยวิเวกหวาดจิตขนิษฐา |
นํ้าค้างพรมลมเชยรำเพยพา | ค่อยเคลื่อนคลาคลาดคลายสบายองค์ |
พระโอบอุ้มจุมพิตสนิทแนบ | นางเอียงแอบอายจิตพิศวง |
ลับนิเวศน์เขตแคว้นถึงแดนดง | ยิ่งแสนสงสารสะอื้นกลืนนํ้าตา |
จะแลซ้ายสายเมฆวิเวกจิต | ให้หวาดหวิดว้าเหว่ในเวหา |
จะเหลียวกลับลับปราสาทหวาดวิญญาณ์ | จะแลขวาขวัญหายไม่วายครวญ |
พระปลอบนางพลางพลอดกอดประทับ | ภิรมย์รับขวัญน้องประคองสงวน |
นางพรายพริ้มยิ้มเยื้อนเบือนกระบวน | พระชี้ชวนชมฟ้าดาราราย |
วงพระจันทร์นั้นข้างแรมไม่แจ่มส่อง | แต่พักตร์น้องส่องเหมือนดังเดือนหงาย |
นางพลิ้วพลิกหลีกเลี่ยงอ่อนเอียงอาย | ค่อยสบายมาในเมฆวิเวกใจ |
จนรุ่งแจ้งแสงสว่างกระจ่างพักตร์ | กลัวพวกยักษ์จะมาพบหลบไม่ไหว |
ค่อยเคลื่อนคลาพานางมากลางไพร | ริมเขาใหญ่หยุดหย่อนผ่อนสำราญ |
กลับเป็นพราหมณ์ตามเคยเชยชมชื่น | ประพาสพื้นภูมิจังหวัดพนัสสถาน |
ระรื่นร่มลมเชยรำเพยพาน | ดอกไม้บานเบิกกลิ่นรวยรินโรย |
หอมระรื่นชื่นชายแต่สายหยุด | สงสารนุชนึกถึงสวนให้หวนโหย |
หอมจันทน์อินกลิ่นโศกลมโบกโบย | ทั้งยมโดยดอกดวงเป็นพวงงาม |
รสสุคนธ์มณฑาจำปาเทศ | การะเกดกางกลีบเป็นครีบหนาม |
เลียบพนมชมเพลินนางเดินตาม | มะไฟเฟืองเหลืองอร่ามสุกงามงอม |
ทั้งเงาะงับพลับพลวงเป็นพวงห้อย | นี่แน่น้อยหน่าขนุนกลิ่นกรุ่นหอม |
ละมุดม่วงพวงมะปริงดูกิ่งค้อม | พระโน้มน้อมนางปลิดที่ติดพวง |
แล้วหยุดยั้งนั่งชะง่อนสิงขรเขา | ใต้ร่มรังบังเงาภูเขาหลวง |
เสวยผลไม้เล่นพอเย็นทรวง | เที่ยวชมห้วงหุบเขาลำเนาธาร |
เป็นห้องถํ้านํ้าพุทะลุลั่น | ไหลกระชั้นกระโชกฟาดฉะฉาดฉาน |
ทั้งสององค์สรงนํ้าเล่นสำราญ | ลงท่องธารธาราเก็บมาลี |
ดูลอยเลื่อนเกลื่อนกลาดประหลาดอย่าง | มีต่างต่างเหลืองแดงสดแสงศรี |
กระจับจอกดอกอุบลจงกลนี | บัวหลวงมีโกมุทบุษบัน |
บ้างบานตูมชุ่มชื่นพระยื่นหยิบ | แกล้งกระซิบสูบกลิ่นนางผินผัน |
ชมปลาว่ายรายเรียงมาเคียงกัน | นางนวลจันทร์แจ่มงามสมนามนวล |
ปลาเนื้ออ่อนอ่อนกายขึ้นว่ายเกลื่อน | ไม่อ่อนเหมือนเนื้อน้องประคองสงวน |
นางคมค้อนงอนงามตามกระบวน | ต่างยั่วยวนหยอกหยิกกันซิกซี้ |
นางอาบองค์สรงสนานสำราญรื่น | พระชวนชื่นฉุดหัตถ์ขึ้นขัดสี |
นางหลีกเลี่ยงเมียงชะม้ายว่ายวารี | กระทุ่มหนีหน่อไทเธอไล่ทัน |
นางลัดแลงแฝงบัวบังตัวลับ | พระโจมจับเลี้ยวลัดสะบัดผัน |
แล้วว่ายเรียงเคียงรอเคล้าคลอกัน | เกษมสันต์สรงนํ้าในลำธาร |
ต่างแช่มชื่นขึ้นนั่งร่มรังสูง | ฝูงนกยูงเบญจวรรณร้องขันขาน |
อดบรรทมลมเชยรำเพยพาน | ผ่อนสำราญเรียงบรรทมในร่มรัง |
จิ้งหรีดหริ่งกิ่งไม้เรไรร้อง | ประสานซ้องเซ็งแซ่ดังแตรสังข์ |
ระรื่นเรื่อยเฉื่อยลมบรรทมฟัง | วิเวกวังเวงวับเลยหลับไป ฯ |
๏ จะกล่าวเรื่องเมืองมารทหารพร้อม | พวกนั่งป้อมล้อมวงไม่สงสัย |
ทั้งแสนสาวท้าวนางพวกข้างใน | ครั้นอุทัยไขสว่างกระจ่างตา |
ไม่เห็นนุชบุตรีที่บรรจถรณ์ | นกที่คอนนั้นก็หายต่างย้ายหา |
บ้างไปดูลมูลกิจพระบิดา | อสุราร้อนพระทัยดังไฟกาล |
รีบมาห้องทองที่บุตรีอยู่ | เที่ยวค้นดูทั่วปราสาทราชฐาน |
ไม่พบปะพระธิดายุพาพาล | เจ้ากรุงมารดังจะดิ้นสิ้นชีวี |
ระทวยองค์ลงบนแท่นแสนสลด | โศกกำสรดทั้งพระมเหสี |
เสียพระทัยในอารมณ์ไม่สมประดี | ซบสัญญีกายนิ่งไม่ติงองค์ |
พวกท้าวนางต่างประคองสองกระษัตริย์ | บ้างนวดพัดเอาสุคนธ์มาโสรจสรง |
ค่อยพลิกฟื้นฝืนพระทัยมิได้ตรง | กันแสงทรงเศร้าจิตถึงธิดา |
ไม่มีใครอ้ายแก้วแล้วก่อเหตุ | มาแปลงเพศปลอมรักเป็นปักษา |
กูแปลกหูอยู่แต่วันได้มันมา | เห็นพูดจาลาดเลาจะเจ้าชู้ |
หลงเชื่อฤทธิ์คิดเห็นว่าเป็นนก | จึงเจ็บอกอัปยศต้องอดสู |
ถึงดำดินบินบนไม่พ้นกู | อ้ายเจ้าชู้กูจะทำให้หนำใจ |
แล้วเดินด่าข้าเฝ้าพวกเถ้าแก่ | ไม่ดูแลละนางไปข้างไหน |
ให้เที่ยวถามความดูว่าผู้ใด | จะรู้เห็นเป็นใจไม่ได้ความ |
ยิ่งคั่งแค้นแน่นอกให้หมกมุ่น | ร้องเรียกขุนโหรยักษ์มาซักถาม |
จงเร่งดูผู้ร้ายหมายจะตาม | ในเลขยามยังจะทันหรือฉันใด |
หนึ่งผู้ร้ายชายชู้ลูกกูนั้น | เป็นเผ่าพันธุ์พงศ์เพศประเทศไหน |
หนึ่งลูกน้อยสร้อยสุดาที่คลาไคล | จะคืนได้หรือจะสูญคิดคูณดู |
โหรรับสั่งตั้งมหาชะตานับ | อาทิตย์ทับภุมมาถึงราหู |
จึงทูลความตามตำราของตาครู | อันชายชู้เชื้อกระษัตริย์สวัสดี |
เป็นมนุษย์ยุทธนาอานุภาพ | อรินทร์ราบร้ายกาจดังราชสีห์ |
ไปทางทิศทักษิณถิ่นหรดี | แต่ยามนี้มิให้ตามยามพระกาฬ |
แม้นตามไปได้พบจะรบสู้ | จะเสียหมู่มาตยาโยธาหาญ |
อันโฉมยงองค์ธิดายุพาพาล | ต่อเนิ่นนานนางจะมายังธานี ฯ |
๏ พนาสูรฟังทูลกระทืบแท่น | กูแสนแค้นมันพาธิดาหนี |
ตามไปจับสับฟันเสียวันนี้ | แล้วท้าวตีกลองศึกเสียงครึกครื้น |
พวกรากโษส[๑]โกฏิแสนถือแหลนหลาว | แกว่งทวนง้าวอ้วนลํ่าดำทะมื่น |
ต่างแบกขอนค้อนกำซาบหอกดาบปืน | มาเพียบพื้นพาราหน้าพระลาน |
เจ้ากรุงยักษ์ศักดาบัญชาสั่ง | ให้ตามทั้งทั่วไปในไพรสาณฑ์ |
แม้นประสบพบมันประจัญบาน | พวกยักษ์มารมึงล้อมให้พร้อมกัน |
กูไปถึงจึงจับสัประยุทธ์ | อ้ายมนุษย์กูจะฆ่าให้อาสัญ |
แต่ลูกน้อยสร้อยสุดาวิลาวัณย์ | จะรับขวัญนัยนามาธานี |
เสนารับขับพลมากล่นเกลื่อน | เที่ยวลอยเลื่อนแลหาทุกราศี |
เที่ยวค้นคว้าป่าดงในพงพี | จับหมูหมีช้างเสือฉีกเนื้อกิน |
บ้างขึ้นค้นบนเขาเหล่าละเมาะ | ทุกแก่งเกาะยมนาชลาสินธุ์ |
บ้างค้นไปในนํ้าบ้างดำดิน | อสุรินทร์แยกย้ายไปหลายทาง |
แต่พวกหนึ่งถึงลำเนาภูเขาหลวง | ลงในห้วงหุบชะง่อนสิงขรขวาง |
เห็นพราหมณ์นอนกรตระกองประคองนาง | ขามระคางคิดว่าตื่นหยุดยืนมอง |
เขม้นดูรู้ว่าธิดาท้าว | เห็นจะหนาวเหนื่อยกำลังลงทั้งสอง |
จะจับตัวกลัวผิดคิดตรึกตรอง | เรียกพวกพ้องไพร่พลล้อมต้นรัง ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์ตื่นฟื้นองค์คว้านงลักษณ์ | เห็นพวกยักษ์โยธาพร้อมหน้าหลัง |
จะผลาญทัพรับรองลองกำลัง | จึงตรัสสั่งสร้อยสุดาวิลาวัณย์ |
เวลานี้รี้พลมาล้นหลาม | จะสงครามเข่นฆ่าให้อาสัญ |
แม่ยืนอยู่ดูผัวอย่ากลัวมัน | จะป้องกันมิให้เข้าใกล้กาย |
แล้วแผลงทำอำนาจประกาศก้อง | เหวยพวกพ้องอสุรินสิ้นทั้งหลาย |
ขืนล้อมอยู่กูจะล้างให้วางวาย | อย่าใกล้กรายกลับไปเสียให้พ้น |
พวกนายกองร้องว่าเหวยมนุษย์ | ลักพระบุตรีไว้ในไพรสณฑ์ |
ไม่เกรงศักดิ์ยักษ์ร้ายจะวายชนม์ | พลางขับพลแทรกซ้อนเข้ารอนราญ |
พระรบรับจับยักษ์หักแขนขา | ชิงสาตราเร็วรวดหวดประหาร |
เที่ยวลุยไล่ไพร่พลไม่ทนทาน | ถอนต้นตาลตีตายลงก่ายกัน |
ที่เหลือตายพรายพรัดกระจัดหนี | พระตามตีแตกไปในไพรสัณฑ์ |
จนโพล้เพล้เวลาจวนสายัณห์ | เห็นกุมภัณฑ์กลับหลังประดังมา |
เสียงครึกครื้นหมื่นแสนแน่นอากาศ | ดูเกลื่อนกลาดตามติดทุกทิศา |
ชวนโฉมงามทรามเชยเสวยยา | เป็นนกแก้วแล้วก็พากันบินไป |
ถึงพบปะอสุรีฝูงวิหค | คิดว่านกแดนดงไม่สงสัย |
พอมืดคํ่าคลํ้าฟ้านภาลัย | เห็นยักษ์ไล่ติดพันกระชั้นมา |
กลัวจะหนีไม่พ้นบนอากาศ | ดูเกลื่อนกลาดคึกคักมานักหนา |
ค่อยรอเรียงเคียงสมรรีบร่อนมา | ลงจับค่าคบไม้พระไทรทอง |
พวกโยธามาตามอร่ามคบ | นกแก้วซบแฝงฟังอยู่ทั้งสอง |
ต่างเดินไปไพร่นายเป็นก่ายกอง | พระแนบน้องมองดูอสุรา |
จนเงียบเสียงเที่ยงคืนชื่นนํ้าค้าง | ปักษากางปีกปิดขนิษฐา |
ครั้งรุ่งแจ้งแสงสว่างกระจ่างตา | หมายทิศาทักษิณรีบบินไป |
ได้เจ็ดวันบรรลุถึงเขาเขียว | สินแรงเรี่ยวร่อนมาลงอาศัย |
กินมวกผาทากายสบายใจ | เป็นคนได้ดังประสงค์ชวนนงคราญ |
เราหยุดหย่อนผ่อนพักเสียสักครู่ | เห็นสิ้นหมู่อสุราโยธาหาญ |
เข้าใต้ต้นมณฑาศิลาลาน | แสนสำราญร่มรื่นชื่นอารมณ์ |
สไบทองรองนอนขอนเขนย | ถนอมเชยชื่นชิดสนิทสนม |
นางนบนอบหมอบเมียงเคียงบรรทม | ระรื่นร่มเรื่อยหลับระงับไป ฯ |
๏ สร้อยสุดานารีศรีสวัสดิ์ | นางกระษัตริย์ขัตติยาอัชฌาสัย |
ค่อยเลื่อนองค์นงลักษณ์หักกิ่งไม้ | มาโบกให้ภัสดาประสาจน |
หวนระลึกนึกคนึงถึงนิเวศน์ | พระชลเนตรหยดย้อยดังฝอยฝน |
โอ้อกเอ๋ยเคยอยู่ในไพชยนต์ | มาต้องทนแดดลมระทมทวี |
โอ้เสียดายไร้ศักดิ์ด้วยรักผัว | เพราะเสียตัวมัวหมองจนต้องหนี |
เห็นไม่พ้นพลสกัดทั้งปัถพี | แม้นสามีม้วยหมายจะวายปราณ |
โอ้เจ้าพราหมณ์ความรักน้องหนักยิ่ง | ไม่ทอดทิ้งห่างองค์น่าสงสาร |
สะอื้นพลางนางประณตบทมาลย์ | ทั้งอยู่งานโบกปัดคอยพัดวี ฯ |
๏ จะกล่าวเพชพระยาธร[๒]สัญจรป่า | ผูกชฎาธารถือเหมือนฤๅษี |
กุมพระขรรค์อันเป็นเพชรเหน็บเตร็จตรี | ใครฆ่าตีชีวันไม่บรรลัย |
กระษัตริย์มีสี่ตาจึงฆ่าม้วย | ไม่อยู่ด้วยผู้หญิงสิ่งสงสัย |
เที่ยวค้นหานารีผลเดินด้นไป | เสียงคนไอแอบอ้อมเดินด้อมมอง |
เห็นผู้หญิงพิงผู้ชายดีร้ายผัว | งามยังชั่วโฉมฉวีไม่มีหมอง |
เป็นสาวแส้แลล้วนนวลละออง | แก้มก็ผ่องผิวพรรณดังจันทรา |
ละเลิงเล็งเพ่งพิศให้คิดรัก | งามกว่ามัคลีผลต้นพฤกษา |
คิดเชื่ออิทธิฤทธิ์พระขรรค์กันกายา | หมายจะฆ่าผัวเสียเอาเมียไป |
จึงเป่ายาอาคมสะกดผัว | ให้เมามัวไสยาสน์ไม่หวาดไหว |
แต่นางฟื้นชื่นโฉมประโลมใจ | ตรงเข้าใกล้แกล้งถามตามสงกา |
ดูก่อนเจ้าเยาวลักษณ์พักตร์แฉล้ม | ไยมาแรมนอนอยู่ในภูผา |
นั่นผัวหรือชื่อไรไปไหนมา | อย่าทำหน้าเง้างอดนั่งกอดมือ |
นางตกใจไหวหวาดประหลาดจิต | นี่นักสิทธ์หรือคนธรรพ์พระขรรค์ถือ |
พลางปลุกผัวมัวละเมอเสียงเอออือ | ฉุดข้อมือก็ไม่ฟื้นตื่นพระกาย |
รู้ว่าถูกหยูกยานํ้าตาตก | สะอื้นอกองค์สั่นมิ่งขวัญหาย |
บอกว่าผัวกลัวจะล้างให้วางวาย | คิดอุบายบอกความตามปัญญา |
เจ้าพราหมณ์นี้พี่ชายมิใช่ผัว | เสียเมืองตัวมาในไพรพฤกษา |
ลุกไม่ขึ้นมึนเมื่อยเหน็ดเหนื่อยมา | จึงอุตส่าห์ปรนนิบัตินั่งพัดวี |
ท่านผู้เดียวเที่ยวมามีอาวุธ | ยักษ์มนุษย์นาคหรือเป็นฤๅษี |
แม้นทรงศีลจินดาจงปรานี | ช่วยให้พี่พราหมณ์ฟื้นจะชื่นชม |
พระยาธรห่อนรู้เท่าผู้หญิง | หมายว่าจริงจะคิดสนิทสนม |
เสน่หาอาลัยใจนิยม | จะใคร่ชมเชยชิมให้อิ่มใจ |
จึงว่าเจ้าเล่ายังกำลังสาว | พึ่งรุ่นราวไร้มิตรพิสมัย |
พี่นี้อยู่ผู้เดียวเปลี่ยวฤทัย | ไม่มีใครคู่ครองต้องวิญญาณ์ |
มาเห็นเจ้าเข้านี่ฟ้าผี่[๓]เถิด | วิไลเลิศเหลือรักน้องนักหนา |
จะพาไปไว้คีรีของพี่ยา | อยู่ห้องใหม่คูหาสถาวร |
จะกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเป็นคู่ชื่น | สำราญรื่นร่วมสุวรรณบรรจถรณ์ |
เสวยทิพย์ดิบสุกไม่ทุกข์ร้อน | ฤทธิรอนรบสู้ไม่รู้ตาย |
อันคนธรรพ์คันธรรพเทพบุตร | เกรงอาวุธของพี่ต้องหนีหาย |
อันแก้วเตร็จเพชรพระขรรค์ถือกันกาย | แต่พี่ชายเจ้าจะฟาดคงขาดรอน |
ไปด้วยพี่ที่อยู่ยอดภูผา | ล้วนศิลาเนาวรัตน์ประภัสสร |
ต้นไม้ดอกออกช่ออรชร | หอมขจรจอมผาทั้งตาปี |
พี่ชายเจ้าเราสะกดสลดหลับ | ก็เปรียบกับกเฬวรากซากศพผี |
อย่าเป็นห่วงบ่วงใยไปดีดี | พอราตรีพี่ชายจะคลายมนตร์ ฯ |
๏ นางฟังคำสำคัญให้ตันจิต | เป็นสุดคิดสารพัดจะขัดสน |
จึงกล่าวแกล้งแสร้งเสด้วยเล่ห์กล | ฉันสองคนพี่น้องร่วมท้องกัน |
จะทิ้งพี่มีผัวเหมือนชั่วช้า | ถึงชีวาวอดวายไม่ผายผัน |
แม้นเมตตาพาพี่เพื่อนชีวัน | ไปด้วยกันก็ไม่ขัดหัทยา |
พระยาธรอ่อนจิตพิศวาส | จึงว่ามาตรแม้นจะใคร่ได้เชษฐา |
เป็นใจด้วยก็จะช่วยแก้มนตรา | พาไปอยู่คูหาใกล้นารี |
แต่รักนุชสุดที่รักเหลือหนักหน่วง | อย่าห้ามหวงเสน่หามารศรี |
ให้เห็นจริงสิ่งสัตย์สวัสดี | จะปลุกพี่พาไปเหมือนใจปอง |
พลางเข้าใกล้ไล่คว้าชายผ้าห่ม | ขอเชยชมโฉมเฉลาอย่าเศร้าหมอง |
นางหวีดวิ่งทิ้งผ้าสไบทอง | กรประคองกอดองค์พะวงพะเวียน |
พระยาธรวอนว่านิจจาเอ๋ย | กระไรเลยลอดลัดฉวัดเฉวียน |
เชิญหยุดยั้งนั่งใต้ต้นไทรเตียน | ศิลาเลี่ยนลดหลั่นเหมือนบัลลังก์ |
นางเสแสร้งแกล้งว่ามีอาวุธ | ฉันกลัวสุดที่จะเถือเอาเนื้อหนัง |
ถือศัสตราหาผู้หญิงขันจริงจัง | จะให้นั่งใกล้ตัวฉันกลัวตาย |
แม้นรักจริงทิ้งขว้างวางอาวุธ | จึงจะหยุดอย่างประสงค์จำนงหมาย |
พระยาธรร้อนจิตทั้งคิดอาย | จึงว่าสายสุดชีวาอย่าปรารมภ์ |
ความรักนางวางมหาเทพาวุธ | ให้นางหยุดจะได้ชิดสนิทสนม |
นางแกล้งล่อพอให้ได้นิยม | ไปถึงร่มไม้ชัฏเลี้ยวลัดมา |
หยิบพระขรรค์กัลเม็ดตรีเพชรได้ | ค่อยดีใจโฉมฉายถือซ้ายขวา |
แล้วแอบองค์นงลักษณ์ซบพักตรา | พอพระยาธรเดินเมินมาเคียง |
ค่อยแอบองค์ทรงฟันด้วยพระขรรค์เพชร | ถูกคอเด็ดกระเด็นดิ้นสุดสิ้นเสียง |
เข้าสับทอนกรกายขาดรายเรียง | ก็สุดเสียงลงดิ้นสิ้นชีวัน |
ด้วยเทวีสี่ตาเทวาสาป | จึงได้ปราบเพชพระยาธรอาสัญ |
มนตร์สะกดปลดปลิดไม่ติดพัน | พราหมณ์น้อยนั้นพลิกฟื้นตื่นตกใจ |
เห็นโฉมยงทรงพระขรรค์ฟาดฟันสับ | วิ่งมาจับหัตถ์ห้ามตามสงสัย |
นางทูลความตามจริงทุกสิ่งไป | เมียแก้ไขคิดล้างให้วางวาย |
แล้ววันทาฝ่าธุลีหยิบตรีเตร็จ | พระขรรค์เพชรเจ็ดคมประนมถวาย |
พระรับดูรู้ว่าดียื่นตรีกราย | ให้โฉมฉายถือสำหรับอยู่กับองค์ |
พระขรรค์นี้พี่จะถือให้ลือฤทธิ์ | กายสิทธิ์สุดคมสมประสงค์ |
พาเหาะได้ไม่แปลงจำแลงองค์ | ชวนอนงค์นุชน้องลองสาตรา |
พอนึกเหาะก็ละลิ่วปลิวอากาศ | ด้วยอำนาจฤทธิ์พระขรรค์นั้นนักหนา |
ประคองนางพลางเหินเดินเมฆา | ไม่เคลื่อนคลาคลาดคลายตามสายชล |
พอยามเย็นเห็นทหารยักษ์มารกลุ้ม | เหาะเป็นกลุ่มกลาดกลางที่กลางหน |
จะหลบลี้หนีไปเห็นไม่พ้น | เป็นจวนจนจับพระขรรค์ประจัญบาน |
เข้าบุกบั่นฟันฟาดเสียงฉาดฉับ | พวกยักษ์ยับย่นแยกตื่นแตกฉาน |
แต่กวัดแกว่งแสงฉายถูกวายปราณ | พลมารมากมายตายระเนน |
พลัดลงบกตกนํ้าแสนลำบาก | กเฬวรากเลือดสาดดังชาดเสน |
ที่เหลือตายนายหมวดตรวจตระเวน | รีบกะเกณฑ์ออกสกัดกระษัตรา |
พระนำนางพลางแกว่งพระแสงขรรค์ | ไล่ฟาดฟันพลนิกายทั้งซ้ายขวา |
ถูกตีนตัวหัวขาดลงดาษดา | รีบหนีมาพานางไปกลางโพยม |
พวกยักษ์อื่นหมื่นแสนแน่นอากาศ | เข้าเกลื่อนกลาดกลุ้มองค์พระทรงโฉม |
แล้วหํ้าหั่นฟันฟาดเลือดสาดโทรม | ลอยโพยมยักษ์ตามแลหลามมา ฯ |
๏ จะกลับกล่าวองค์ท้าวจัตุพักตร์ | พญายักษ์ยกพลเที่ยวค้นหา |
เห็นมารตายก่ายกองท้องสุธา | ได้ข่าวว่าพานางล่องทางไป |
ยิ่งเคืองขัดตรัสขับทัพทหาร | โห่สะท้านสะเทือนลั่นเสียงหวั่นไหว |
ให้เหาะตามสามวันทันหน่อไท | เห็นไรไรเร่งทัพจับมนุษย์ ฯ |
๏ พระโฉมยงองค์สิงหไกรภพ | ตั้งแต่รบร่ำไปมิได้หยุด |
ถึงเจ็ดวันฟันทหารมารม้วยมุด | แทบจะสุดสิ้นชีวังถึงฝั่งชล |
เห็นยักษ์ตามหลามมาบนอากาศ | ดูเกลื่อนกลาดกลางทะเลพระเวหน |
ทหารอ้อมล้อมจับแทบอับจน | อุตส่าห์ทนแทงฟันป้องกันนาง |
ด้วยเดชะพระขรรค์นั้นเป็นเพชร | ถูกขาดเด็ดดับจิตไม่กีดขวาง |
ค่อยรั้งรอต่อตีแล้วหนีพลาง | ถึงสุดทางสายสมุทรพอสุดแรง |
พาโฉมยงลงยืนพื้นบรรพต | นางรันทดระทวยองค์ทรงกันแสง |
พอทัพถึงอึงอัดสะกัดสะแกง | แล้วกวัดแกว่งพระแสงขรรค์คอยฟันฟอน |
ใครใกล้กรายตายกลาดไม่อาจจับ | ล้อมหน้าหลังคั่งคับสลับสลอน |
เห็นบิตุรงค์ทรงช้างกลางอัมพร | นางยอกรกราบก้มบังคมคัล ฯ |
๏ พญายักษ์รักบุตรหยุดยืนช้าง | ร้องบอกนางพ่อไม่ฆ่าให้อาสัญ |
ขู่ลูกเขยเหวยอ้ายใจฉกรรจ์ | อย่าหมายมั่นว่าจะรอดตลอดไป |
กำเริบฤทธิ์คิดอ่านการโกหก | แปลงเป็นนกให้อนงค์รักหลงใหล |
ทำเสน่ห์เล่ห์กลให้ดลใจ | นางจึงได้ตามมาจากธานี |
ทำดูถูกลูกกูไม่สู่ขอ | คิดลวงล่อลอบรักแล้วลักหนี |
เป็นเผ่าพงศ์วงศ์ไหนไพร่ผู้ดี | ทำท่วงทีถือตัวไม่กลัวใคร |
ยังยืนขึงมึงจะสู้กับกูหรือ | หรือดึงดื้อว่าไม่ผิดคิดไฉน |
มิอ่อนน้อมยอมยิงจะชิงชัย | หรือกระไรเร่งว่าอย่าช้าการ |
พระสิงหไกรภพทำนบนอบ | แล้วตรัสตอบตามสุนทรด้วยอ่อนหวาน |
ข้าเที่ยวเล่นตามประสาพญามาร | จับประทานให้เป็นสิทธิ์พระธิดา |
จึงได้อยู่สู่สมภิรมย์รัก | มิใช่จักจู่ลู่มาสู่หา |
จนโฉมยงทรงครรภ์พรั่นวิญญาณ์ | จึงจะพาไปอยู่พระบูรี |
อันตัวเราเหล่ากอหน่อกระษัตริย์ | ผ่านสมบัติบำรุงซึ่งกรุงศรี |
มิให้อายหมายว่าถึงธานี | จึงจะมีสารตราบรรณาการ |
มาสู่ขอต่อองค์พระทรงยศ | ให้ปรากฏตราบกาลปาวสาน |
อย่าเคืองขัดตัดประโยชน์จงโปรดปราน | เห็นกับหลานท้าวไทที่ในครรภ์ |
ทั้งข้าน้อยพลอยได้ไปเป็นเขย | ไม่ละเลยลืมพระคุณอย่าหุนหัน |
พระบิตุรงค์จงโปรดซึ่งโทษทัณฑ์ | ให้พาขวัญนัยนาไปธานี |
จะแต่งงานการวิวาห์มาถวาย | มิให้อายหวังประณตบทศรี |
ได้สืบวงศ์พงศ์กระษัตริย์สวัสดี | เหมือนปรานีศรีสวัสดิ์กับนัดดา |
อสุรินทร์ยินคำว่ากรรมเอ๋ย | เจ้าลูกเขยฆ่ายักษ์เสียนักหนา |
มึงรบสู้กูไม่ขอเป็นพ่อตา | ถึงธิดาจะเป็นหม้ายไม่อายคน |
ใครสู่ขอพ่อจะแต่งไม่แกล้งว่า | เห็นแก่หน้าลูกรักเป็นภักษ์ผล |
อ้ายมนุษย์สุดแค้นด้วยแสนกล | อย่าแปดปนเป็นมิตรฟังบิดา ฯ |
๏ ปางพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ | ชุลีหัตถ์บังคมก้มเกศา |
แต่เพียงลูกมีผัวได้ชั่วช้า | ให้ขายฝ่าบาทบงสุ์พระทรงยศ[๔] |
ลูกทำให้ได้เคืองใต้เบื้องบาท | ประชาราษฎร์ลือชาให้ปรากฏ |
เจ้าพราหมณ์เล่าเขาก็ยอมน้อมประณต | พระทรงยศยกโทษได้โปรดปราน |
คนเขาเห็นเป็นผัวถึงชั่วช้า | จะจัดแจงแต่งวิวาห์เหมือนว่าขาน |
มิเหมือนคำทำให้เคืองเบื้องบทมาลย์ | จงล้างผลาญชีวันให้บรรลัย |
แม้นครั้งนี้มิโปรดทำโทษผัว | เหมือนฆ่าตัวลูกรักให้ตักษัย |
จะวอดวายตายตามเจ้าพราหมณ์ไป | จงโปรดไว้ชีวาอย่าฆ่าตี |
เจ้ากรุงมารดาลเดือดไม่เงือดงด | อีหน้าสดแสนชั่วตามผัวหนี |
ยังด้านหน้ามาห้ามเจ้าพราหมณ์ดี | จะใคร่ตีหยิกขาให้สาใจ |
ช่างโง่เหลือเชื่อผัวไม่กลัวพ่อ | มันลวงล่อลุ่มหลงไม่สงสัย |
ไม่รักศักดิ์จักตามอ้ายพราหมณ์ไป | ให้มีใหม่ก็ไม่มีอีขี้ริ้ว |
เสียแรงกูสู้ถนอมช่วยกล่อมเกลี้ยง | บำรุงเลี้ยงมาแต่นิดยังจิดจิ๋ว |
ไม่ฟังคำทำผิดแล้วบิดพลิ้ว | พระโกรธกริ้วตรัสด่าสารพัน |
ให้เร่งทัพขับทหารชาญสนาม | จับอ้ายพราหมณ์เข่นฆ่าให้อาสัญ |
พากไพร่พร้อมล้อมโถมเข้าโรมรัน | เจ้าพราหมณ์ฟันฟาดตายลงก่ายกอง |
ที่เหลืออยู่พรูพรั่งเข้าคั่งคับ | พระรบรับรอนรันผันผยอง |
ยิงฆ่าตายนายไพร่เลือดไหลนอง | ยิ่งแซ่ซ้องแทรกซ้อนเข้ารอนราญ |
พระรบราฆ่าฟันมันไม่หยุด | จนสิ้นสุดแรงลงน่าสงสาร |
เหลือจะสู้อยู่ที่เกาะเหาะทะยาน | พลมารตามจับรบรับไป |
แต่นงนุชสุดแรงกันแสงซบ | เหลือจะรบอยู่ที่เกาะเหาะไม่ไหว |
พญายักษ์รักบุตรสุดอาลัย | โจนลงไปอุ้มนางขึ้นช้างทรง |
เห็นนิ่งแน่แก้ไขก็ไม่ฟื้น | สะอึกสะอื้นอ่อนจิตพิศวง |
ระทวยทอดกอดแอบไว้แนบองค์ | กันแสงทรงโศกาด้วยอาลัย |
โอ้ลูกน้อยสร้อยสุดานิจจาเอ๋ย | ไม่พ้นเลยเล่ากรรมทำไฉน |
พ่อรักเจ้าเท่าชีวิตดวงจิตใจ | หวังจะได้ฝากผีเพื่อนชีวา |
ถึงครั้งนี้มีโทษพ่อโกรธผัว | ที่จริงตัวเจ้ายังรักอยู่นักหนา |
ได้กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้จนใหญ่มา | โอ้แก้วตาตามชายมาวายชนม์ |
กอดบุตรีสี่พระโอษฐ์สะอื้นรํ่า | แปดเนตรนํ้าหยดย้อยเป็นฝอยฝน |
ทั้งแปดหัตถ์พัดวีนีฤมล | ให้อั้นอ้นจนใจอาลัยลาญ |
โอ้ลูกเอ๋ยเคยเห็นอยู่เย็นเช้า | มาเปลี่ยวเปล่าปลดปลงน่าสงสาร |
สะอื้นอ้อนร้อนฤทัยดังไฟกาล | พระยามารหมอบซบสลบลง |
พวกข้าเฝ้าเข้าพยุงกรุงกระษัตริย์ | เป่ายานัตถุ์นวดให้น้ำใส่สรง |
ค่อยพลิกฟื้นขึ้นทั้งนางบนช้างทรง | นางเห็นองค์อสุราประหม่าใจ |
เข้าสวมสอดกอดบาทบิตุเรศ | ชลเนตรนางตกซกซกไหล |
ลูกชั่วช้าฆ่าฟันให้บรรลัย | ถึงอยู่ไปเป็นคนไม่พ้นอาย |
พระตรัสว่าอย่ากลัวเลยตัวเจ้า | เป็นลูกเต้าพ่อเอ็นดูไม่รู้หาย |
อย่าหลงตามพราหมณ์ชู้ชาติผู้ร้าย | มันจะขายกินเล่นไม่เป็นการ |
จะตามจับสับเสี่ยงไม่เลี้ยงไว้ | มันฆ่าไพร่พลยักษ์ทำหักหาญ |
พระบุตรีพิลาปก้มกราบกราน | ขอประทานโทษาฝ่าธุลี |
แม้นผัวตายวายวอดชีวิตแล้ว | จะคลาดแคล้วบงกชบทศรี |
จงโปรดเกล้าเอาไว้ใต้ธุลี | อย่าฆ่าตีชีวันให้บรรลัย |
อสุราว่าน้อยช่างอ้อยอิ่ง | หลงจริงจริงเจียวกรรมทำไฉน |
ขืนรักพราหมณ์ความแค้นกูแน่นใจ | จะหยิกให้ขาเขียวประเดี๋ยวนี้ |
ทำฮึดฮัดโกรธาตั้งท่าหยิก | นางกระซิกกำสรดกราบบทศรี |
ท้าวรับขวัญกัลยาด้วยปรานี | พ่อไม่ตีดอกจงไปอยู่ในวัง |
ลูกกระษัตริย์ขัตติยาจะหาให้ | มีผัวใหม่เถิดลูกจะปลูกฝัง |
อ้ายพราหมณ์น้อยถ่อยเหลืออย่าเชื่อฟัง | ได้ผิดครั้งหนึ่งก็แล้วเถิดแก้วตา |
นางฟังปลอบนอบนบซบสะอื้น | ชาติชายอื่นเป็นอันขาดไม่ปรารถนา |
จะสู้ม้วยด้วยพระราชอาชญา | พลางโศกากอดบาทไม่คลาดคลาย |
พนาสูรฉุนเฉียวเข่นเขี้ยวขู่ | ช่างสู่รู้รักใคร่มันไม่หาย |
น่าหยิกปากลากลิ้นอีสิ้นอาย | ขืนรักชายชั่วช้าว่าไม่ฟัง |
ดีร้ายถูกหยูกยามหาเสน่ห์ | จึงโว้เว้พูดจาเหมือนบ้าหลัง |
พลางยุดพระหัตถ์มัดมั่นกับบัลลังก์ | หน่อยจะคลั่งตามพราหมณ์ด้วยความร้าย |
กูแค้นใจอ้ายพราหมณ์จะตามจับ | เอาตัวสับเสียให้ป่นให้มนตร์หาย |
แล้วเร่งทัพขับพหลพลนิกาย | นางนั่งท้ายพระที่นั่งหลั่งนํ้าตา |
พญายักษ์ชักพระแสงกวัดแกว่งไล่ | เร่งต้อนไพร่พลนิกายทั้งซ้ายขวา |
เร่งรีบตามข้ามทะเลลอยเมฆา | อสุราไสช้างมากลางพล |
คเชนทร์ทรงองอาจผาดผยอง | คำรณร้องก้องฟ้าเวหาหน |
ฮูมแปร๋แปร้นแหงนเงยเสยสุริยน | กุมภัณฑ์พลขานโห่ก้องโกลา |
พระสิงหไกรภพเหาะรบสู้ | สังหารหมู่มารร้ายตายนักหนา |
จนสิ้นพลบนอากาศเคลื่อนคลาดคลา | ไม่เห็นหน้านุชนาฏเพียงขาดใจ |
พอถึงฝั่งวังวนอยู่บนเขา | กำสรดเศร้าเสือกซบสลบไสล |
ไม่ไหวติงนิ่งนอนถอนฤทัย | จวนจะใกล้สุริยาลงสายัณห์ ฯ |
๏ จะกล่าวความพราหมณ์จินดาเที่ยวหาน้อง | เป็นนกล่องลมสบายเที่ยวผายผัน |
ครั้นคํ่าค้างกลางป่าพนาวัน | พอสุริยันเยี่ยมทวีปบินรีบไป |
ปะถิ่นฐานบ้านตำบลชนบท | แวะถามหมดมิได้แจ้งแถลงไข |
ถึงสามเดือนเคลื่อนคลาดประหลาดใจ | บินรีบไปบูรพาถึงสาคร |
คิดจะตามยามเย็นไม่เห็นฝั่ง | จึงรอรั้งริมตลิ่งลงสิงขร |
เห็นสิงหไกรภพเสือกซบซอน | เอะน้องนอนหรือสวรรคครรไล |
จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์ด้วยความรัก | เข้าพลิกผลักปลุกสั่นไม่หวั่นไหว |
รอนาสิกริกระบายลมหายใจ | รู้ว่าไม่ปลดปลงคงจะคืน |
จึงเลือกหามาลีที่มีกลิ่น | ชุบวารินพรมให้พอใจชื่น |
ค่อยหายหิวริวริกพระพลิกฟื้น | หอมระรื่นชื่นใจลืมนัยนา |
เห็นพราหมณ์พี่ดีใจปราศรัยถาม | พี่เที่ยวตามหรือไฉนไกลนักหนา |
พราหมณ์คำนับอัพภิวันท์จำนรรจา | กรรมของข้ากับเจ้าจะเล่าความ |
ตั้งแต่ต้นจนจบมาพบปะ | อุตสาหะตามเสด็จไม่เข็ดขาม |
หน่อกระษัตริย์ตรัสเล่าว่าเจ้าพราหมณ์ | แต่จากคามประเทศถึงเขตมาร |
ได้ธิดาพาหนีมันกรีทัพ | มาตามจับชิงนางเหลือล้างผลาญ |
มันกลุ้มกลัดพลัดองค์นางนงคราญ | แสนสงสารสุดสวาทที่คลาดคลา |
พญายักษ์จักโกรธทำโทษแล้ว | เหมือนเสียแก้วนัยเนตรของเชษฐา |
จะรบชิงมิ่งมิตรวนิดา | แม้นแก้วตาวอดวายจะตายตาม |
นิจจาเอ๋ยเคยเหมือนเพื่อนชีวิต | เคยตามติดเคียงข้างกลางสนาม |
จะกลับไปให้เห็นหน้าพงางาม | เจ้าพราหมณ์ห้ามปรามน้องประคององค์ |
พ่อหิวโหยโรยกำลังจะพลั้งพลาด | ไม่แคล้วคลาดทรามสงวนนวลหง |
พี่หมายมาดคาดจิตบิตุรงค์ | เคยรักองค์พระธิดาไม่ฆ่าฟัน |
คงตามติดคิดผลาญสังหารยักษ์ | พ่อผ่อนพักเรี่ยวแรงให้แข็งขัน |
ปลอบให้นั่งรั้งรอแล้วจรจรัล | เที่ยวเก็บพรรณผลไม้มาให้น้อง |
เสวยอิ่มยิ้มแย้มค่อยแช่มชื่น | สำราญรื่นร่วมจิตสนิทสนอง |
พระคิดอ่านการศึกนั่งตรึกตรอง | พอเห็นกองทัพตามยกหลามมา |
รีบจัดแจงแต่งองค์จะยงยุทธ์ | แล้วยืนหยุดยั้งอยู่ริมภูผา |
เห็นช้างทรงองค์ท้าวเจ้าพารา | กับธิดาโฉมฉายอยู่ท้ายช้าง |
เห็นนางต้องผูกมือรื้อพิโรธ | กำลังโกรธเหาะทะยานขึ้นผ่านขวาง |
แกว่งพระขรรค์ฟันรบบนนพภางค์[๕] | เข้าชิงนางกลางทัพรบรับรอง |
เจ้ากรุงยักษ์หักโหมเข้าโจมจับ | ดูกลอกกลับบนอากาศผาดผยอง |
พระต่อแย้งแทงฟันกันกระบอง | นางหวีดร้องกรีดกราดเพียงขาดใจ |
ห้ามไม่หยุดสุดเสียงเอนเอียงซบ | ซวนสลบนิ่งอนาถไม่หวาดไหว |
เจ้ากรุงมารต้านต่อหน่อพระไท | เผอิญให้หิวโหยโรยกำลัง |
ด้วยตั้งสายกายสิทธิ์ฤทธิ์พระขรรค์ | แต่กุมภัณฑ์ภาวนาคาถาขลัง |
เข้ารบรับกับมนุษย์ไม่หยุดยั้ง | มาถึงฝั่งสมุทรไทใกล้คีรี |
พราหมณ์พี่เลี้ยงเมียงมองเห็นน้องรัก | รบกับยักษ์แรงน้อยต้องถอยหนี |
แล้วกินใบไม้ยาเป็นพาลี | ได้ท่วงทีโถมจับกับกุมภัณฑ์ |
ทั้งตีนมือยื้อยุดอาวุธยักษ์ | เข้าขบกัดจัตุพักตร์ผลักผินผัน |
พลัดตกนํ้าคํ่าพลบต่างรบกัน | ตีกุมภัณฑ์จมลงในคงคา ฯ |
๏ แล้วลิงแปลงแกล้งสละมาปะน้อง | ดูพวกพ้องพลยักษ์ยังหนักหนา |
จะหํ้าหั่นบั่นรอนอ่อนระอา | เจ้าพราหมณ์พาหน่อกระษัตริย์หลีกลัดไป |
ด้วยมืดคํ่าสำคัญตะวันตก | เที่ยวเวียนวกหวังจะหาที่อาศัย |
ถึงเขาเขียวเลี้ยวลับกองทัพชัย | ชวนหน่อไทลงธารชานคีรี |
เห็นต้นรังบังลมร่มระรื่น | จนดึกดื่นดาวจรัสรัศมี |
หน่อกระษัตริย์ขัดแค้นแสนทวี | ปรึกษาพี่เลี้ยงพราหมณ์จะตามนาง |
พราหมณ์จินดาว่ายักษ์อักนิษฐ์ | จะชิงฤทธิ์ไม่ถนัดเห็นขัดขวาง |
พระตรัสว่าช้านักจักวายวาง | สงสารนางต้องถูกผูกข้อมือ |
พี่เลี้ยงว่าถ้าไม่อาลัยบุตร | มิฆ่านุชน้องแก้วเสียแล้วหรือ |
พระว่าน้องหมองใจดังไฟฮือ | จะไว้ชื่อชิงนางจนวางวาย |
เจ้าพราหมณ์ห้ามตามทำเนียบให้เรียบร้อย | อันนํ้าน้อยแพ้ไฟดับไม่หาย |
เราสองคนพลไกรทั้งไพร่นาย[๖] | ยิ่งฆ่าตายก็ยิ่งเพิ่มยิ่งเติมมา |
อันองค์ท้าวเจ้าบูรีมีสี่พักตร์ | สิทธิศักดิ์ทรงมนตร์ดลคาถา |
เมื่อรบกันฟันฟาดด้วยสาตรา | ถูกกายาย่อยยับแล้วกลับดี |
อันแสงสายกายสิทธิ์ฤทธิ์พระขรรค์ | เห็นจะกันแก้ได้จึงไม่หนี |
อันการศึกตรึกตราเห็นช้าที | พ่อฟังพี่อย่าเพิ่งรบหลีกหลบองค์ |
ไปถิ่นฐานมารดรบิตุเรศ | ให้ทรงเดชชื่นชมสมประสงค์ |
จึงคิดอ่านการประจญรณรงค์ | ซึ่งโฉมยงเห็นจะได้ด้วยง่ายดาย |
พระฟังความพราหมณ์ตอบค่อยชอบชื่น | ถอนสะอื้นอาลัยพระทัยหาย |
จึงตอบว่าช้าไม่รอดคงวอดวาย | แสนเสียดายพระธิดายุพาพาล |
จะหาไหนได้เหมือนองค์นางนงลักษณ์ | สู้ติดตามความรักสมัครสมาน |
จะทิ้งไว้ในพาราเห็นช้านาน | นึกสงสารศรีสวัสดิ์จะขัดเคือง |
ด้วยทรงครรภ์มันจะแค้นแสนพิโรธ | จะทำโทษทุกข์ตรอมจนผอมเหลือง |
คิดจะตามทรามวัยไปในเมือง | ให้รู้เรื่องร้ายดีหนอพี่พราหมณ์ |
แล้วพาองค์นงลักษณ์ไปนัคเรศ | ทุกขอบเขตข้าศึกจะนึกขาม |
ทั้งจะได้ไว้ยศให้งดงาม | หรือพี่พราหมณ์จะเห็นเป็นกระไร ฯ |
๏ เจ้าจินดาสามิภักดิ์รักกระษัตริย์ | นั่งนวดพัดพูดจาอัชฌาสัย |
แม้นหน่วงหนักรักหญิงจะชิงชัย | ฉวยขัดขวางอย่างไรจะได้อาย |
พระชนกชนนีเป็นที่ยิ่ง | ไม่ควรทิ้งทอดพระคุณให้สูญหาย |
ถึงลูกเมียเสียไปแม้นไม่ตาย | ก็หาง่ายดอกพี่เห็นไม่เป็นไร |
พระบิดรมารดานั้นหายาก | กำจัดจากแล้วไม่มีที่อาศัย |
นางไปอยู่บูรีไม่มีภัย | มาเมื่อไรคงพบประสบกัน |
ขอเชิญพ่อหน่อเนื้อในเชื้อแถว | ไปกรุงแก้วโกญจามหาศวรรย์ |
พระบิตุราชมาตุรงค์เผ่าพงศ์พันธุ์ | จะนับวันคอยหาด้วยอาวรณ์ |
พระฟังคำทำเนียบเรียบถวาย | ค่อยเหือดหายหนักหน่วงดวงสมร |
คิดถึงวงศ์พงศาประชากร | พระบิดรมารดาจะอาดูร |
จึงว่าพี่มีคุณการุญรัก | มิเสื่อมศักดิ์สืบสายไม่หายสูญ |
จะรับไปให้ถึงวงศ์พงศ์ประยูร[๗] | แล้วจึงทูลลามารบราวี |
วันนี้เราเข้าพักเสียสักตื่น | รุ่งเช้าขึ้นจะได้มุ่งไปกรุงศรี |
พลางชวนชิดนิทราในราตรี | จนรวีวรรณสว่างกระจ่างตา |
ต่างจัดแจงแปลงกายกลายเป็นนก | สองวิหคเหินเร่บนเวหา |
หมายประจิมอิ่มใจรีบไคลคลา | เจ้าจินดาดูทางไปกลางไพร ฯ |
๏ จะกล่าวกลับทัพยักษ์อักนิษฐ์ | เมื่อมืดมิดมิได้เห็นว่าเป็นไฉน |
หยุดสำนักพักพลสกลไกร | ทั้งนายไพร่พร้อมพรั่งริมฝั่งชล |
ครั้นรุ่งเช้าฝ่ายท้าวจัตุพักตร์ | พาลูกรักทรงช้างมากลางหน |
ให้แยกย้ายรายหมู่อสุรพล | เที่ยวไล่ค้นหาพราหมณ์ถึงสามวัน |
จนสิ้นแคว้นแผ่นดินสุดสิ้นเขต | ถิ่นประเทศทุกท่าพนาสัณฑ์ |
จึงเลิกทัพกลับพาราเมืองมารัน | สั่งกุมภัณฑ์ไพร่ฟ้าทั้งธานี |
พบนกแก้วแล้วให้ฆ่าเสียอย่าละ | กลัวพราหมณ์จะลักพาธิดาหนี |
เกณฑ์ไพร่พร้อมล้อมปราสาทราชบุตรี | มิให้มีสิ่งไรมาใกล้กราย ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์สร้อยสุดาสมร | อุ้มอุทรทุกข์ใจมิใคร่หาย |
ทุกทิวาราตรีไม่มีสบาย | ด้วยเป็นหม้ายหมองช้ำระกำตรอม |
คิดคะนึงถึงพราหมณ์ยามวิโยค | เป็นสุดโศกเสียรูปจนซูบผอม |
ทุกคํ่าคืนกำสรดสู้อดออม | จนมัวมอมหมองช้ำด้วยรำคาญ |
ไม่แต่งองค์ทรงสำอางสางพระสก | จนประปกอังสาน่าสงสาร |
ไม่ทรงเครื่องเรืองจรัสชัชวาล | อยู่ในม่านมิใคร่ออกนอกปรางค์ทอง |
คิดถึงพราหมณ์ยามอยู่เป็นคู่ชื่น | ทุกวันคืนคํ่าเช้าให้เศร้าหมอง |
แนบเขนยเคยเรียงเคียงประคอง | ถนอมน้องนิทราทุกราตรี |
พระพลัดพรากจากไปมิได้กลับ | ดั่งเดือนลับท้องฟ้าในราศี |
จะนับเดือนเลื่อนลับไปนับปี | มิรู้ที่น้องจะคิดไปติดตาม |
แม้นทราบข่าวราวเรื่องอยู่เมืองไหน | จะรีบไปตามเสด็จไม่เข็ดขาม |
หรือทรงยศปลดปลงในสงคราม | จะตายตามเสียให้ลับที่อับอาย |
หรือองค์เดียวเปลี่ยวจิตไม่คิดรบ | จึงหลีกหลบเลยไปน่าใจหาย |
ไม่กลับมาหาเมียไม่เสียดาย | หรือเคลื่อนคลายอาลัยที่ในน้อง |
โอ้คราวนี้มิชั่วก็เหมือนชั่ว | เพราะมีผัวมิได้อยู่เป็นคู่สอง |
สะอื้นรํ่ารำลึกเหลือตรึกตรอง | พระเนตรนองชลนาทุกราตรี |
นางยอกรวอนไหว้ไทเทเวศ | อมรเมศเมืองฟ้าทุกราศี |
ถ้าแม้นสิ้นบุญญาพระสามี | ให้น้องนี้มอดม้วยไปด้วยกัน |
จะเกิดไหนให้รองละอองบาท | อย่าแคล้วคลาดเคลื่อนคลาจนอาสัญ |
แสนวิโยคโศกสะอื้นทุกคืนวัน | อุตส่าห์กลั้นกลืนกลํ้าระกำทรวง |
ทั้งทรงครรภ์พรั่นจิตคิดวิตก | เหมือนอย่างยกเมรุไกรไศลหลวง |
สู้ซ่อนกายอายสุรางค์นางทั้งปวง | ให้หงิมง่วงเงียบเหงาเศร้าโศกา ฯ |
[๑] รากโษส = รากษส
[๒] เพชพระยาธร = เพทยาธร เดิมใช้ว่า “วิทยาธร”
[๓] ฟ้าผี่ เป็นคำอุทานอย่างหนึ่งในสมัยก่อน
[๔] สมุดไทยเลขที่ ๔๕ ว่า “ให้ขายหน้าบาทบงสุ์พระทรงยศ”
[๕] นพภางค์ = นภางค์ แปลว่า ท้องฟ้า
[๖] สมุดไทยเลขที่ ๔๕ ว่า “เราสองคนฆ่าพลทั้งไพร่นาย”
[๗] สมุดไทยเลขที่ ๘๕ ว่า “รีบไปให้ถึงวงศ์พงศ์ประยูร”