- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวอินณุมาศเจ้าเมืองโกญจาได้โอรสบุญธรรม
- ตอนที่ ๒ คงคาประลัยขบถ
- ตอนที่ ๓ พราหมณ์จินดาลักพระกุมารไป ท้าวพินทุมารจับสองกุมารแล้วพาไปเลี้ยงไว้ในถ้ำ
- ตอนที่ ๔ เสนาท้าวอินณุมาศกู้เมืองได้ จึงเชิญเสด็จกลับไปครองแผ่นดิน
- ตอนที่ ๕ สิงหไกรภพลองยา แล้วหนีท้าวพินทุมารกลับบ้านเมือง
- ตอนที่ ๖ สิงหไกรภพเข้าเมืองมารัน แล้วได้พระธิดาสร้อยสุดาเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๗ พราหมณ์จินดาตามหาสิงหไกรภพ
- ตอนที่ ๘ สิงหไกรภพหนีออกจากเมืองมารัน
- ตอนที่ ๙ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๐ ท้าวจัตุพักตร์ตีเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๑ รามวงศ์หลงเชื่อวิรุณพัฒพี่เลี้ยง หลอกให้เดินทางไปถึงเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๒ รามวงศ์พานางแก้วกินรีหนีออกจากเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๓ ท้าวเทพาสูรตีเมืองมารันคืน
- ตอนที่ ๑๔ สิงหไกรภพ ตามหารามวงศ์
- ตอนที่ ๑๕ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๖ สิงหไกรภพให้จัดงานถวายพระเพลิงพระศพท้าวอินทณุมาศและนางจันทร
- ตอนที่ ๑๗ สิงหไกรภพต้องเสน่ห์นางเทพกินรา
- ตอนที่ ๑๘ รามวงศ์พบเจ็ดนาง พระเทวราชโอรสเจ้าเมืองวิเรน และพระอนุชา
- ตอนที่ ๑๙ รามวงศ์เข้าเมืองกาลเนตร
ตอนที่ ๑๖ สิงหไกรภพให้จัดงานถวายพระเพลิงพระศพท้าวอินทณุมาศและนางจันทร
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงมหาศักดาเดช | เห็นอัคเรศรักกันก็หรรษา |
ครั้นสุริย์ฉายบ่ายคะเนได้เวลา | ออกนั่งหน้าพระโรงรัตน์ชัชวาล |
พร้อมพระวงศ์พงศาพฤฒามาตย์ | อภิวาทดาษดาแน่นหน้าฉาน |
พระตรัสถามความเมรุที่เกณฑ์การ | ต้องงดงานการค้างเป็นอย่างไร ฯ |
๏ ฝ่ายขุนนางช่างทำทุกตำแหน่ง | เอาแผนที่ชี้แจงแถลงไข |
ได้ปรุงปรับสรรพเสร็จสำเร็จไว้ | ตัดหัวไม้เกลากล่อมมีพร้อมกัน |
ทั้งเมรุซิกเมรุแซ๊กแผนกนอก | ระทาดอกไม้ฉัตรได้จัดสรร |
แม้นจะตั้งนั่งร้านทำการนั้น | สักสิบวันก็จะเสร็จสำเร็จการ ฯ |
๏ พระทรงฟังสั่งให้ทำทุกตำแหน่ง | แล้วให้แต่งคำประกาศราชสาร |
ไปแจ้งทั่วหัวเมืองตามเรื่องงาน | ให้พวกมารม้าใช้ถือไคลคลา |
พระสั่งเสร็จแล้วเสด็จขึ้นปราสาท | พวกอำมาตย์บาดหมายตามซ้ายขวา |
บ้างเขียนบอกลอกฉบับประทับตรา | สั่งให้ม้าใช้ถือหนังสือไป |
พวกทำเมรุเกณฑ์พลอลหม่าน | ถือพร้าขวานถากฟันเสียงหวั่นไหว |
ตั้งนั่งร้านกว้านรอกทั้งนอกใน | ยกเสาใหญ่ใส่ประดับปรับเครื่องบน |
พวกเมรุทิศติดยอดตลอดสล้าง | ยกสามสร้างส่งรับกันสับสน |
สี่ตำรวจตรวจไล่พวกไพร่พล | บ้างแบกขนอลหม่านทำการเมรุ |
บ้างผูกแผงแบ่งบวกฝ่ายพวกเขียน | ประจงเจียนรูปวาดแต้มชาดเสน |
ประกวดกันสันทัดล้วนจัดเจน | ทุกกองเกณฑ์จัดระดมเข้าสมทบ |
สถลมารถราชวัติยกฉัตรปัก | รูปสัตว์ชักผ้าไตรใส่มรฑป |
ทั้งโรงเล่นเต้นรำรีบทำครบ | ช่างสมทบทำเบญจาเสร็จสารพัน ฯ |
๏ ฝ่ายเสนาม้าใช้ไปทุกแห่ง | วางบอกแจ้งเจ้าประเทศทุกเขตขัณฑ์ |
กุมารชัยสุริยามามารัน | สมทบกันกับบิดารีบคลาไคล |
ถึงกรุงแก้วโกญจาพากันเข้า | ไปคอยเฝ้าริมพระโรงจรัสไข |
กับเมืองน้อยร้อยประเทศเขตกรุงไกร | ทั้งนายไพร่พร้อมหน้าแน่นธานี ฯ |
๏ จะกล่าวองค์ทรงฤทธิ์อดิศร | สถาวรภิญโญดังโกสีย์ |
สถิตแท่นแว่นฟ้าฝูงนารี | คอยพัดวีแวดล้อมอยู่พร้อมเพรียง |
สาวสุรางค์นางสำหรับร้องขับกล่อม | ประสานซ้อมซอเรื่อยฉํ่าเฉื่อยเสียง |
บ้างดีดสีปี่แก้วแจ้วจำเรียง | วิเวกเวียงวังราชไม่ขาดวัน |
ครั้นเวลานาทีสี่โมงเศษ | พระปิ่นเกศโกญจามหาสวรรย์ |
เข้าที่สรงทรงสุคนธ์ปนอำพัน | กระแจะจันทน์หอมฟุ้งจรุงใจ |
แล้วทรงเครื่องเรืองจรัสไตรตรัสเตร็จ | ล้วนพลอยเพชรแพรวพร่างสว่างไสว |
ครั้นเสร็จสรรพจับพระแสงสวมมาลัย | กำนัลในนางห้ามตามลีลา |
ออกแท่นทองห้องโถงพระโรงราช | พร้อมอำมาตย์เฝ้าฝ่ายทั้งซ้ายขวา |
พระเอื้อนอรรถตรัสเรียกพราหมณ์จินดา | กับชัยสุริยามาหน้าบัลลังก์ |
แล้วตรัสถามความเมืองขัดเคืองเข็ญ | หรือค่อยเป็นสุขสบายเมื่อภายหลัง |
ต่างทูลพระหริวงศ์ดำรงวัง | เป็นสุขทั้งสองนครไม่ร้อนรน |
ด้วยเดชะพระเดชปกเกศช่วย | อุดมด้วยไร่นาได้ฟ้าฝน |
ทั้งเหนือใต้ไพร่ฟ้าประชาชน | ทุกตำบลบันเทิงเริงสำราญ |
พระทรงฟังสรรเสริญเจริญสวัสดิ์ | โองการตรัสถามสิ้นทุกถิ่นฐาน |
พวกผู้รั้งต่างประณตบทมาลย์ | ทูลถึงบ้านเมืองเป็นสุขทุกตำบล |
พระชื่นชมโสมนัสดำรัสสั่ง | ให้โหรตั้งฤกษ์มหาสถาผล |
จะมีงานการพระศพสมทบพล | ให้ปลอดพ้นไพรีที่บีฑา |
โหรรับสั่งตั้งวิธียี่สิบเจ็ด | ได้ฤกษ์เสร็จทิพตรีดีหนักหนา |
จึงกราบทูลมูลความตามตำรา | ขึ้นสิบห้าคํ่านั้นไม่อันตราย ฯ |
๏ พระทรงฟังสั่งขุนนางต่างตำแหน่ง | ให้จัดแจงเตรียมประกาศแจกบาดหมาย |
แล้วคืนเข้ามนเทียรวิเชียรพราย | สั่งขรัวยายท้าวนางเตรียมข้างใน ฯ |
๏ ฝ่ายเวียงวังคลังนามาข้างนอก | ต่างหมายบอกตามตำแหน่งแถลงไข |
ถึงวันฤกษ์เบิกอรุณวิ่งวุ่นไป | ต่างสอดใส่เสื้อแดงตกแต่งกาย |
พวกเกณฑ์แห่แตรสังข์หน้าหลังรถ | ถือกลิ้งกลดอภิรุมกั้นชุมสาย |
ทั้งจามรชอนตะวันเป็นหลั่นราย | ข้างหน้าฝ่ายซ้ายขวาเทวาเรียง |
ทั้งรูปสัตว์จัตุบาทประหลาดหลาก | มีคนลากล้อแห่เซ็งแซ่เสียง |
กลองชนะมลายูเป็นคู่เคียง | ได้พร้อมเพรียงเชิญพระโกศขึ้นรถทอง |
สารถีตีม้าชักคลาเคลื่อน | ดูงามเหมือนเวชยันต์ผันผยอง |
ทั้งหน้าหลังสังข์แตรเสียงแซ่ซ้อง | ปี่พาทย์ฆ้องกลองประโคมครื้นโครมดัง |
พวกพระวงศ์พงศาทรงม้าเครื่อง | เสด็จเนื่องแน่นทางไปข้างหลัง |
ถึงเมรุรัตน์จัตุสดมภ์กรมวัง | เชิญพระโกศแก้วตั้งบนเบญจา ฯ |
๏ พวกโยคีชีพราหมณ์ขึ้นสามสร้าง | หนังสือกางต่างประกวดสวดคาถา |
เหล่าฤๅษีชีไพรใส่ชฎา | นิมนต์มาบังสุกุลทำบุญทาน |
ถวายร่มพรมหนังเครื่องสังเค็ด | ครั้นสรรพเสร็จสวดสิกขาฉันอาหาร |
ฝ่ายชาวคลังบังคมก้มกราบกราน | ขึ้นทิ้งทานกำมพฤกษ์[๑]เสียงคึกคัก |
พวกชายหญิงชิงมะนาวทั้งสาวหนุ่ม | เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกลัดพลิกพลัดผลัก |
บ้างแกะมือยื้อลากกระชากชัก | เสียงอึกอักอุตลุดฉวยฉุดชิง |
พวกชายเบียดเสียดสาวพลาดเท้าล้ม | แกล้งเกลียวกลมกอดปลํ้าขยำหญิง |
เสียงฮาเฮเซซวนป่วนประวิง | บ้างล้มกลิ้งวิ่งโจนลุยโคลนเลน ฯ |
๏ ฝ่ายพวกเล่นเต้นรำโรงหุ่นโขน | ตีตะโพนกลองฉาวเชิดกราวเขน |
พวกไม้สูงสันทัดล้วนจัดเจน | หกคะเมนไต่ลวดประกวดกัน |
บ้างรำแพนแอ่นอกหางนกถือ | กระหวัดมือแกว่งกวัดสะพัดผัน |
คนดูเพลินเดินดื่นนับหมื่นพัน | เที่ยวดูงานการประชันเบียดกันเอง |
พวกผู้หญิงชิงที่ดูอีเหนา[๒] | ที่เป็นเจ้าคารมรุกข่มเหง |
พวกขี้เมาเหล่าชายฝ่ายนักเลง | เที่ยวโฉงเฉงฉวยคว้าหยอกนารี ฯ |
๏ ฝ่ายสาวสาวชาวป่าชาวนาสวน | แต่ล้วนอ้วนจํ้ามํ่าดำมิดหมี |
ดัดปีกเชิดเปิดปั้นนํ้ามันตานี | ห่มสองสีซัดสอดขอดเงินเฟื้อง |
ตะวันบ่ายไขอัฐออกซื้อของ | ชวนพี่น้องนั่งเคี้ยวข้าวเหนียวเหลือง |
ส่วนชาววังนางสาวสาวนางชาวเมือง | ชำลักชำเลืองเยื้องกรายชม้ายเมียง |
เห็นหนุ่มหนุ่มกลุ้มกลัดดัดจริต | ใครเดินเชิดเฉียดนิดก็หวีดเสียง |
เที่ยวดูเล่นเต้นรำแซ่สำเนียง | มาพร้อมเพรียงไพร่ฟ้าทั้งธานี |
พอเบี่ยงบ่ายฝ่ายองค์พระทรงเดช | ออกทอดพระเนตรนั่งหน้าพลับพลาสี |
พวกข้าเฝ้าเจ้าเมืองเอกโทตรี | อัญชลีเฝ้าแหนอยู่แน่นนันต์ |
ให้เปรียบคู่ผู้หญิงชกมวยปลํ้า | ข้างหนึ่งดำข้างหนึ่งขาวสาวขยัน |
กางเกงลายสายถักเสื้อกั๊กกัน | ต่างตั้งมั่นเหม่นเหม่คนเฮฮา |
เข้าทุบทอยต่อยตะกายป่ายปุบปับ | เสียงตุบดับเตะผางถูกหว่างขา |
กางเกงแยกแตกควากเป็นปากกา | ผู้ชายฮาเฮลั่นสนั่นดัง |
ต่างเหนื่อยหอบหมอบทรุดให้หยุดอยู่ | จูงมือคู่ปลํ้าเข้ามาหน้าที่นั่ง |
ต่างประหม่าหน้าตื่นยืนเก้งกัง | เขาทุบหลังให้บังคมประพรมนํ้า |
แล้วลุกขึ้นยืนประจัญขยั้นขยับ | เข้ายุดจับขาแข้งแย่งขยำ |
ต่างกอดเกี้ยวเกลียวกลมล้มคะมำ | คนหนึ่งควํ่าคนหนึ่งหงายผู้ชายฮา |
ขึ้นอยู่บนคนควํ่าขยำขยิก | คนล่างพลิกผลักแพลงไขว้แข้งขา |
กอดประกับกลับไพล่พลิกไปมา | คนดูฮาเฮสนั่นครื้นครั่นไป |
ครั้นเย็นยํ่าคํ่าพลบจุดคบรอบ | ทังโคมขอบเมรุกระจ่างสว่างไสว |
พวกขุนหมื่นขึ้นบนหน้าระทาไฟ | จุดดอกไม้ช้างร้องก้องโกลา |
ทั้งกรวดใหญ่ไฟพราวดังดาวหาง | นกบินพร่างพรายร่อนว่อนเวหา |
เสียงพลุกึงตึงสว่างกลางเมฆา | หน้าพลับพลาไม้กระถางต่างต่างกัน |
โคมมังกรเหมือนมังกรเป็นตอนต่อ | มีแก้วล่อไล่เวียนวงเหียนหัน |
สิงโตเต้นเล่นถวายดูหลายพรรค์ | หนังประชันเรียงโรงเกราะโกร่งดัง |
พวกคนดูอยู่จนดึกเสียงครึกครื้น | บ้างนั่งยืนมุ่งเขม้นดูเล่นหนัง |
จนปิ่นปักนัคเรศเข้าเขตวัง | ชายหญิงยังนั่งแน่นแสนสำราญ |
เป็นทุกข์แท้แต่นางช่างร้องไห้ | พิรี้พิไรร่ำว่าน่าสงสาร |
เจ้าพระคุณทูลกระหม่อมจอมศฤงคาร | ร่มโพธิ์ทองของดิฉานนิพพานไป |
นํ้าตาไม่ใคร่จะมีขยี้แกล้ง | ให้ตาแดงดังหนึ่งว่านํ้าตาไหล |
สะอึกสะอื้นครื้นเครงวังเวงใจ | สนั่นในเมรุสุวรรณพรรณราย |
อันเรื่องราวกล่าวงานการพระศพ | สมโภชครบเจ็ดวันเหมือนมั่นหมาย |
พอเวลาสายันห์ตะวันชาย | จึงถวายพระเพลิงโพลงส่งสการ |
เป็นเสร็จสรรพจับเรื่องเมืองน้อยใหญ่ | ทูลลาไปนคเรศประเทศสถาน |
พราหมณ์จินดาพาพหลพลมาร | กลับไปผ่านพารากรุงมารัน |
แต่ชัยสุริยายังอยู่วังหน้า | เป็นไข้สาระบิดให้โศกศัลย์ |
แกล้งรั้งรอจะขอพระเหมวรรณ | ด้วยผูกพันพิศวาสไม่คลาดคลา |
วันถวายเพลิงพระศพได้พบพักตร์ | ชำเลืองลักเหลือบเนตรดูเชษฐา |
เห็นเหงาง่วงท่วงทีไม่ปรีดา | กิริยาเหมือนจะมิทจิตใจ |
เจ้าพี่เอ๋ยเคยมาเห็นมาเว้นว่าง | ต้องเริศร้างห่างมิตรพิสมัย |
จะทูลขอต่อพระภูวไนย | ถ้าโปรดให้จะได้น้องไปครองชม |
แม้นมิโปรดโทษพี่ถึงชีวิต | ถึงม้วยมิดไม่เสียดายเท่าปลายผม |
อยู่เป็นคนทนทุกข์ระทมตรม | จะสู้ก้มหน้าตายให้หายรัก |
แม้นชีวีมีอยู่เป็นบุรุษ | ไม่สิ้นสุดโศกทรวงสุดหน่วงหนัก |
จะน้อมโน้มโลมปลอบคิดลอบลัก | พาน้องรักไปอยู่ถํ้าด้วยจำเป็น |
จะทำไร่ไถนาปลูกงาถั่ว | พออิ่มผัวเมียมิให้ใครเขาเห็น |
ถึงทุกข์โศกโรคร้อนจะหย่อนเย็น | ไม่รักเป็นเจ้านายให้อายใจ |
แต่นิ่งนึกตรึกตราจะว่ากล่าว | ทำเรื่องราวทูลแจ้งแถลงไข |
เขียนสำเร็จเสร็จสรรพแล้วพับไว้ | พอวันได้ฤกษ์ดีก็ปรีดา |
จึงจัดแจงแต่งองค์ไปทรงเสลี่ยง | พร้อมพี่เลี้ยงไพร่นายทั้งซ้ายขวา |
เข้าในวังรั้งรอพอเวลา | พระออกว่าราชการงานบูรี |
ไม่เข้าเฝ้าเข้าไปในวังราช | ขึ้นปราสาทสร้อยสุดามารศรี |
ค่อยก้มกรานคลานเข้าเฝ้าพระเสาวนีย์ | นางเปรมปรีดิ์ปราศรัยชัยสุริยา |
แม่รำลึกนึกถึงพระลูกรัก | มานานนักแล้วเป็นไรไม่มาหา |
ดูเผือดผิวหิวโหยร่วงโรยรา | หรือโรคารำคาญประการใด |
พระชัยสุริยาก้มบังคมกราบ | แสนสุภาพพจนาอัชฌาสัย |
ด้วยเดชะพระเดชปกเกศไป | อันโรคภัยมิได้มีมาบีฑา |
ซึ่งซูบผอมตรอมจิตเพราะผิดพลั้ง | เหมือนถึงที่ชีวังจะสังขาร์ |
เหลือจะปิดผิดไว้ในอุรา | จึงต้องมาสารภาพที่หยาบคาย |
ขอบุญญาฝ่าละอองสองกระษัตริย์ | เป็นชั้นฉัตรแก้วกั้นเหมือนมั่นหมาย |
แล้วกราบกรานคลานหมอบยุบยอบกาย | ทูลถวายเรื่องสารนางอ่านพลัน |
กราบบังคมสมเด็จบดินทร์สูรย์ | วายุกูลเกิดเกศทุกเขตขัณฑ์ |
เสมอเหมือนเดือนดวงพระสุริยัน | สว่างชั้นดินฟ้าทั้งธาตรี |
เลี้ยงบิดรมารดาข้าพระบาท | ได้ผุดผาดพักตราเป็นราศี |
พระเดชพระคุณทูลกระหม่อมจอมโมลี | มิได้มีเหมือนแม้นทั้งแดนไตร |
ประทานโทษโปรดข้าฝ่าพระบาท | เหมือนกระต่ายหมายมาดดวงแขไข |
ก็ทราบสิ้นดินฟ้าสุราลัย | ย่อมเหินห่างต่างวิสัยด้วยไกลกัน |
แต่จะห้ามความรักให้หนักจิต | ก็ขืนคิดรักใคร่เฝ้าใฝ่ฝัน |
นึกจำนงองค์พระเหมวรรณ | ให้ผูกพันพิศวาสไม่คลาดคลาย |
มิกราบทูลมูลความตามวิตก | ก็ร้อนอกดังจะแยกแตกสลาย |
แม้นมิโปรดโทษทัณฑ์ถึงวันตาย | ขอถวายชีวาไม่อาลัย |
พอจบคำรํ่าว่าน่าสงสาร | ช่างอ่อนหวานวาจาอัชฌาสัย |
นางนึกยิ้มพริ้มพรายละอายใจ | จึงปลอบชัยสุริยาด้วยปรานี |
อันแม่นี้มิได้โกรธถือโทษเจ้า | ความรักเท่ากับธิดามารศรี |
แต่เกรงราชอาชญาฝ่าธุลี | มิรู้ที่ผ่อนผันทำฉันใด |
จงรั้งรอพอให้แม่ได้ช่อง | จะฉลองแล้วแต่จะโปรดไฉน |
แม้นเคยคู่กุศลดลพระทัย | ก็จะได้ปกครองกันสองรา |
พระฟังตรัสมธุรสพจนารถ | สมหมายมาดเหมือนได้ชิดขนิษฐา |
ศิโรราบกราบก้มบังคมลา | ไปอยู่ยังวังหน้านึกปรารมภ์ |
ถึงยามคํ่ารํ่าบวงสรวงพระแท่น | อมรแมนมีฤทธิ์พระอิศยม |
จะแต่งตั้งสังเวยเครื่องเนยนม | ขอได้ชมโฉมพระนุชราชบุตรี ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์อัปสรศรีสวัสดิ์ | นางกระษัตริย์สร้อยสุดามารศรี |
ครั้นปิ่นปักนัคราพระสามี | เข้าสู่ที่แท่นรัตน์ชัชวาล |
นางนบนอบหมอบเมียงอยู่เคียงใกล้ | ทูลเรื่องชัยสุริยาหล่อนว่าขาน |
ทำเรื่องราวกล่าวรสพจมาน | พระรับอ่านข้อคำที่รำพัน ฯ |
๏ กราบบังคมสมเด็จบดินทร์สูรย์ | วายุกูลเกิดเกศทุกเขตขัณฑ์ |
เสมอเหมือนเดือนดวงพระสุริยัน | สว่างชั้นดินฟ้าทั้งธาตรี |
เลี้ยงบิดรมารดาข้าพระบาท | ได้ผุดผาดพักตราเป็นราศี |
พระเดชพระคุณทูลกระหม่อมจอมโมลี | มิได้มีเหมือนแม้นทั้งแดนไตร |
ประทานโทษโปรดข้าฝ่าพระบาท | เหมือนกระต่ายหมายมาดดวงแขไข |
ก็ทราบสิ้นดินฟ้าสุราลัย | ย่อมเหินห่างต่างวิสัยแสนไกลกัน |
แต่จะห้ามความรักให้หนักจิต | ก็ขืนคิดรักใคร่เฝ้าใฝ่ฝัน |
นึกจำนงองค์พระเหมวรรณ | ให้ผูกพันพิศวาสไม่คลาดคลาย |
มิกราบทูลมูลความตามวิตก | ก็ร้อนอกเหมือนจะแยกแตกสลาย |
แม้นมิโปรดโทษทัณฑ์ถึงวันตาย | ขอถวายชีวาฝ่าธุลี ฯ |
๏ พอจบลงทรงพระสรวลเสียงคักคัก | ตรัสถามอัครชายามารศรี |
เขาวิงวอนงอนง้อขอบุตรี | เจ้าเห็นดีหรือจะเห็นเป็นอย่างไร ฯ |
๏ นางนบนอบตอบรสพจนารถ | ตามแต่ราชปัญญาอัชฌาสัย |
แม้นออกโอษฐ์โปรดปรานประการใด | น้องมิได้ข้องขัดพระอัชฌา ฯ |
๏ พระว่าพี่นี้ก็จะอนุญาต | เสียดายฉลาดแหลมหลักนั้นหนักหนา |
ช่วยเลี้ยงไว้ใช้สอยค่อยอัชฌา | ตามประสาซื่อตรงเป็นวงศ์วาน |
แต่รั้งรอพอได้รามวงศ์พี่ | มาเษกสองครองบุรีราชฐาน |
จึงเษกน้องต้องตามความโบราณ | เยาวมาลย์เจ้าจะเห็นเป็นอย่างไร ฯ |
๏ นางนบนอบตอบรสพจนารถ | โปรดประภาษควรความตามวิสัย |
พระแย้มสรวลชวนชิดสนิทใน | จนระงับหลับไปในไสยา |
ครั้นสว่างต่างองค์สรงเสวย | เหมือนอย่างเคยสรวลสันต์ด้วยหรรษา |
ครั้นสายแสงแต่งองค์ทรงสาตรา | ออกนั่งหน้าพระโรงรัตน์ชัชวาล ฯ |
๏ กุมารชัยสุริยาออกมาเฝ้า | พร้อมด้วยเหล่าเสนาแน่นหน้าฉาน |
พระเอื้อนอรรถตรัสประภาษราชการ | ด้วยทหารพลเรือนเหมือนทุกที |
แล้วเรียกชัยสุริยาเข้ามาใกล้ | ตรัสถามไถ่ถึงบำรุงชาวกรุงศรี |
แล้วปรึกษาข้าเฝ้าเหล่าเสนี | ทุกวันนี้เราได้ใช้ชัยสุริยา |
อยู่ต่างใจนัยเนตรครองเขตขอบ | มีความชอบสามิภักดิ์นั้นหนักหนา |
ยังไร้คู่สู่สมภิรมยา | กับธิดารุ่นราวคราวคราวกัน |
จะเษกสองครองพารากาลวาศ | บำรุงราษฎร์ราไชยมไหศวรรย์ |
ตามกระษัตริย์ขัตติยวงศ์สืบพงศ์พันธุ์ | เห็นด้วยกันหรือใครเห็นเป็นอย่างไร ฯ |
๏ ฝ่ายขุนนางต่างเห็นเหมือนเช่นตรัส | ไม่ข้องขัดควรความตามวิสัย |
พระชื่นชมโสมนัสในหทัย | จึงสั่งชัยสุริยาปรีชาชาญ |
จงกลับไปพารากาลวาศ | บำรุงราชนิเวศน์ประเทศสถาน |
ให้สืบตามรามวงศ์ในดงดาน | แม้นพบพานพามาอย่าช้าที |
จะจัดแจงแต่งวิวาห์เชษฐาก่อน | ให้ถาวรพูนเพิ่มเฉลิมศรี |
จึงแต่งน้องต้องตามประเพณี | จะเห็นดีด้วยกันหรือฉันใด |
กุมารหมอบนอบนบอภิวาท | ขอรองบาทบริรักษ์จนตักษัย |
ซึ่งโปรดเลี้ยงเพียงโอรสยศไกร | พระคุณใหญ่เหลือล้นพ้นประมาณ |
จะไพบูลย์พูนเพิ่มเฉลิมยศ | ได้ปรากฏตราบกัลปาวสาน |
บิตุราชมาตุรงค์ทั้งวงศ์วาน | จะสำราญเริงรื่นทุกคืนวัน |
พระชื่นชมโสมนัสดำรัสสั่ง | ให้กรมวังคลังสมบัติเลือกจัดสรร |
พระกลดทองรองเรืองเครื่องกกุธภัณฑ์ | มงกุฎกรรเจียกแก้วพลอยแพรวพราย |
ทั้งเครื่องอานพานพระศรีที่ลูกหลวง | ตามกระทรวงโอรสแจกกฎหมาย |
แล้วสั่งให้ไปบูรีตามพี่ชาย | พระผันผายจากบัลลังก์เข้าวังใน ฯ |
๏ ฝ่ายองค์ชัยสุริยาได้ปรากฏ | ทรงเครื่องยศยินดีจะมีไหน |
กลับมาวังสั่งบรรดาเสนาใน | ให้เตรียมไพร่พร้อมพหลพลกุมภัณฑ์ |
พอจวนแจ้งแสงทองขึ้นผ่องแผ้ว | จากกรุงแก้วโกญจามหาสวรรย์ |
ไปเดือนครึ่งถึงพารากรุงมารัน | ไปอภิวันท์บิตุราชมาตุรงค์ |
แล้วทูลความตามองค์พระทรงฤทธิ์ | ประทานองค์ธิดาตามความประสงค์ |
จะไปคิดติดตามพระรามวงศ์ | ได้เชิญองค์กลับมาวิวาห์การ ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์พึงสรรเสริญเจริญสวัสดิ์ | จงไพบูลย์พูนสมบัติพัสถาน |
โอรสลาพาพหลพลมาร | เหาะทะยานรีบร้อนไม่นอนใจ |
ถึงพารากาลวาศเข้าวังหลวง | พร้อมกระทรวงเสนาอัชฌาสัย |
ตรัสประภาษราชการผ่านกรุงไกร | ไม่มีภัยผาสุกทุกเวลา |
จึงจัดแจงแต่งอสูรไปสิบหมู่ | แต่ล้วนรู้เหาะเหินเดินเวหา |
ไปติดตามรามวงศ์ทรงศักดา | ทุกเขตแคว้นแดนป่าพนาลี ฯ |