- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวอินณุมาศเจ้าเมืองโกญจาได้โอรสบุญธรรม
- ตอนที่ ๒ คงคาประลัยขบถ
- ตอนที่ ๓ พราหมณ์จินดาลักพระกุมารไป ท้าวพินทุมารจับสองกุมารแล้วพาไปเลี้ยงไว้ในถ้ำ
- ตอนที่ ๔ เสนาท้าวอินณุมาศกู้เมืองได้ จึงเชิญเสด็จกลับไปครองแผ่นดิน
- ตอนที่ ๕ สิงหไกรภพลองยา แล้วหนีท้าวพินทุมารกลับบ้านเมือง
- ตอนที่ ๖ สิงหไกรภพเข้าเมืองมารัน แล้วได้พระธิดาสร้อยสุดาเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๗ พราหมณ์จินดาตามหาสิงหไกรภพ
- ตอนที่ ๘ สิงหไกรภพหนีออกจากเมืองมารัน
- ตอนที่ ๙ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๐ ท้าวจัตุพักตร์ตีเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๑ รามวงศ์หลงเชื่อวิรุณพัฒพี่เลี้ยง หลอกให้เดินทางไปถึงเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๒ รามวงศ์พานางแก้วกินรีหนีออกจากเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๓ ท้าวเทพาสูรตีเมืองมารันคืน
- ตอนที่ ๑๔ สิงหไกรภพ ตามหารามวงศ์
- ตอนที่ ๑๕ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๖ สิงหไกรภพให้จัดงานถวายพระเพลิงพระศพท้าวอินทณุมาศและนางจันทร
- ตอนที่ ๑๗ สิงหไกรภพต้องเสน่ห์นางเทพกินรา
- ตอนที่ ๑๘ รามวงศ์พบเจ็ดนาง พระเทวราชโอรสเจ้าเมืองวิเรน และพระอนุชา
- ตอนที่ ๑๙ รามวงศ์เข้าเมืองกาลเนตร
ตอนที่ ๑๔ สิงหไกรภพ ตามหารามวงศ์
๏ จะกล่าวถึงสิงหไกรภพราช | คอยหน่อนาถงดงานนานหนักหนา |
ถึงเดือนเศษเหตุไฉนจึงไม่มา | คิดสงสัยให้โหราพยากรณ์ |
โหรรับสั่งตั้งทวาทศราศี | ไล่เดือนปีคิดดูตามครูสอน |
ลัคนาพระที่นั่งอยู่มังกร | อังคารจรถึงกันกับจันทรา |
แต่พระเสาร์เข้าแทรกถึงเรือนโทษ | ศัตรูโจทก์จับผิดริษยา |
พระพฤหัสให้คุณหนุนชะตา | ปลายมือมามีลาภจึงกราบทูล |
พระเคราะห์องค์ทรงยศโอรสร้าย | จะพลัดพรายโภไคยทั้งไอศูรย์ |
ต้องโทษทัณฑ์พันธนาให้อาดูร | เพราะประยูรญาติข้างพระชนนี |
แต่มีผู้อยู่บนฟ้าจะมาช่วย | ไม่มอดม้วยจะได้พระมเหสี |
จะร่อนเร่เตร่เตร็ดไปเจ็ดปี | จะกลับมาธานีด้วยปรีดา |
พระฟังคำทำนายเห็นร้ายนัก | หรือพวกยักษ์จะคิดริษยา |
แกล้งลวงล่อพ่อไปมิให้มา | ยิ่งตรึกตราเห็นจริงกริ่งพระทัย |
จำจะคิดติดตามเที่ยวถามข่าว | ไปอยู่ด้าวแดนตำบลแห่งหนไหน |
รู้กระแสแน่ความจะตามไป | จะให้ชัยสุริยาอยู่ธานี |
ดำริพลางทางสั่งเสนายักษ์ | เคยรู้จักท่าทางกลางวิถี |
ทั้งนายไพรไปกับเราเช้าพรุ่งนี้ | เที่ยวค้นที่กลางป่าพนาลัย |
แม้นรามวงศ์หลงอยู่จะรู้เรื่อง | หรือขัดเคืองเกิดเข็ญเป็นไฉน |
ครั้นสั่งเสร็จเสด็จขึ้นปราสาทไชย | เข้านั่งในแท่นที่ศรีไสยา |
จึงบอกองค์นงลักษณ์อัคเรศ | เหมือนอย่างเหตุโหรทายร้ายหนักหนา |
พี่จะตามรามวงศ์ด้วยสงกา | จะให้ชัยสุริยาอยู่ธานี |
เจ้าจะได้ใช้สอยคอยสนิท | บังคับกิจการบำรุงชาวกรุงศรี |
นางรับรสพจนาพระสามี | พอราตรีทรงสนิทก็นิทรา ฯ |
๏ ฝ่ายอสูรขุนนางพวกช่างไม้ | ต่างจัดไพร่พลนิกายทั้งซ้ายขวา |
ทั้งหมื่นถ้วนล้วนแต่ยักษ์มีศักดา | เป็นกองหน้านำเสด็จเตรียมเสร็จการ ฯ |
๏ พอเช้าสายฝ่ายพระองค์ดำรงราช | จรจากอาสน์อ่าองค์สรงสนาน |
ประดับเครื่องเรืองรัตน์ชัชวาล | แก้วประพาฬแวววามอร่ามองค์ |
ครั้นเสร็จสรรพจับพระขรรค์กัลเม็ด | แล้วเสด็จยุรยาตรดังราชหงส์ |
พร้อมพหลพลมารชาญณรงค์ | พระขึ้นทรงอินทรีมีศักดา |
ประโคมฆ้องกลองแตรแห่เสด็จ | เหาะระเห็จลอยสล้างกลางเวหา |
ตลอดหลามข้ามทุ่งกรุงโกญจา | กองทัพหน้านำพลเกลื่อนกล่นไป |
นกอินทรีที่นั่งกำลังเวท | สำแดงเดชโบกบินแผ่นดินไหว |
พ้นประเทศเขตแคว้นแดนพระไพร | ให้แยกไพร่พลนิกายเหาะรายทาง |
เที่ยวค้นรอบขอบเขตประเทศถิ่น | พื้นแผ่นดินดงดอนสิงขรขวาง |
ต่างโห่ร้องก้องกู่ตะโกนพลาง | สนั่นกลางกลีบเมฆวิเวกใจ |
ถึงทะเลแลเสาะทุกเกาะแก่ง | ตามเขตแขวงเขื่อนมหาชลาไหล |
ไม่ได้ความตามตรงขึ้นพงไพร | พบม้าใช้พวกที่ถือหนังสือมา |
ได้ทราบความรามวงศ์ต้องลงโทษ | ยิ่งกริ้วโกรธราวกับไฟไหม้เวหา |
ให้เร่งทัพขับพหลพลโยธา | สองวันครึ่งถึงพาราเมืองมารัน |
ลงหยุดทัพยับยั้งในวังราช | ยุรยาตรเข้าพระโรงนรังสรรค์ |
เจ้าพราหมณ์พาข้าเฝ้าเหล่ากุมภัณฑ์ | มาพร้อมกันอภิวาทบาทบงสุ์ |
แล้วทูลความตามวิรุณพัฒยักษ์ | มันชวนชักหน่อไทให้ใหลหลง |
ไปหาท้าวเทพาสูรทูลยุยง | ให้จับองค์โอรสลงโทษทัณฑ์ |
แล้วยกทัพนับแสนมาแน่นทุ่ง | ออกรบพุ่งพาพหลพลขันธ์ |
แต่ตายกลาดดาษดื่นนับหมื่นพัน | แต่ตัวมันหนีรอดไม่วอดวาย |
จึงเร่งรัดจัดพหลพลยุทธ์ | จะรีบรุดตามไปเหมือนใจหมาย |
รบกำจัดสัตว์บาปที่หยาบคาย | ให้วอดวายเสร็จสรรพจึงกลับมา ฯ |
๏ พระตรัสตอบขอบจิตที่คิดอ่าน | แต่พวกท่านล้าเลื่อยเหนื่อยหนักหนา |
กับพวกช้างทั้งหมื่นที่คืนมา | ให้ผ่อนพักรักษาอยู่ธานี |
แต่เกณฑ์ไพรให้สักพันที่ขันแข็ง | พอรู้แห่งหนทางกลางวิถี |
เราจะยกโยธาไปราวี | สังหารชีวีมันให้บรรลัย |
เจ้าพราหมณ์ฟังบังคมบรมนาถ | สั่งอำมาตย์จิตราอัชฌาสัย |
จงรีบรัดจัดพหลสกลไกร | ท่านคุมไปนำทางกลางอรัญ |
อำมาตย์รับอภิวาทสองกระษัตริย์ | มาเร่งรัดจัดพหลพลขันธ์ |
ล้วนเข้มแข็งแรงกำลังสิ้นทั้งนั้น | สมทบกันกับพหลสกลไกร ฯ |
๏ ฝ่ายองค์พระชนนีนารีราช | อยู่ปราสาทเศร้าหมองไม่ผ่องใส |
รู้ว่าเขยมาธานีก็ดีใจ | ร้องเรียกเหล่าสาวใช้รีบไคลคลา |
มาถึงห้องท้องพระโรงเห็นทรงยศ | พระเลื่อนลดลงบังคมก้มเกศา |
เชิญขึ้นนั่งบนบัลลังก์อลังการ์ | นางพญาโศกเศร้าแล้วเล่าความ |
เทพาสูรขุนมารจับหลานแก้ว | จำเสียแล้วยกพลมาล้นหลาม |
ชนนีจึงออกไปบอกความ | มันกลับหยามหยาบท้าจะฆ่าตี |
ครั้นพวกเราเข้าไปไล่สังหาร | ไม่ต่อต้านแตกตายกระจายหนี |
แสนสงสารหลานขวัญทุกวันนี้ | จะร้ายดีมิได้รู้ด้วยอยู่ไกล |
พลางโศกาอาดูรพูนเทวษ | ชลเนตรซึมโซมชโลมไหล |
พระกลืนกลั้นกันแสงแข็งพระทัย | ด้วยอาลัยลูกยาวันทาทูล |
ลูกจะลาฝ่าละอองยกกองทัพ | ไปตามจับอสุราเทพาสูร |
มิให้เหลือเชื้อวงศ์พงศ์ประยูร | อย่าอาดูรจงระงับดับพระทัย |
นางฟังคำอำนวยอวยสวัสดิ์ | อย่าเคืองขัดขุ่นข้องให้ผ่องใส |
จงเรืองฤทธิ์อิศโรเดโชชัย | อรินภัยพ่ายแพ้แก่พระองค์ |
พระสิงหไกรภพเคารพรับ | จะยกทัพรีบตามความประสงค์ |
ชุลีลาฝ่าพระบาทมาตุรงค์ | มาขึ้นทรงอินทรีมีกำลัง |
ให้เลิกทัพขับพหลพลทหาร | เหาะทะยานเวหาทั้งหน้าหลัง |
โห่สะเทื้อนเลื่อนลั่นสนั่นดัง | ทั้งเสียงสังข์แตรกลองก้องโกลา |
พวกกองนำลํ่าสันครบพันล้วน | ถือธงทวนแห่สล้างกลางเวหา |
พวกพยนต์พลนิมิตวิทยา | อยู่ซ้ายขวาถาโถมโพยมมาน |
พระทรงนั่งหลังอินทรีมีมณฑป | เครื่องสูงครบจามรชอนสุริย์ฉาน |
มยุรฉัตรพัดโบกล้วนใบตาล | โบกอยู่งานไปพลางกลางอัมพร |
พ้นแว่นแคว้นแดนยักษ์นคเรศ | ล้วนขอบเขตเขาเขินเนินสิงขร |
พระเร่งทัพขับพหลพลนิกร | ด้วยอาวรณ์ลูกยารีบคลาไคล ฯ |
๏ จะกลับกล่าวท้าวเทพาสุรารักษ์ | เสียยศศักดิ์เศร้าหมองไม่ผ่องใส |
สู้ทรงกายหมายมุ่งไปกรุงไกร | พบม้าใช้คลี่สารออกอ่านดู |
ได้ทราบความรามวงศ์ทำองอาจ | ฆ่าอำมาตย์ตายหมดซํ้าอดสู |
เสียบุตรีศรีสวัสดิ์กับศัตรู | เป็นสุดรู้สุดฤทธิ์จนจิตใจ |
จนลมจับพับผ็อยตกลอยคว้าง | ลงกลิ้งกลางดินซบสลบไสล |
พวกยักษ์ถือหนังสือซองประคองไว้ | ช่วยแก้ไขค่อยฟื้นฝืนพระองค์ |
อุตส่าห์ยืนฝืนประทังกำลังน้อย | สติลอยลืมเฟือนเลอะเลือนหลง |
เหล่าอสูรทูลให้แข็งแรงดำรง | พยุงองค์เหาะมาถึงธานี ฯ |
๏ ลงพระลานชานชลาหน้าปราสาท | พร้อมสุรางค์นางนาฏมเหสี |
เคียงประคองจ้องประจงจรลี | เข้าสู่ที่ปรางค์รัตน์ชัชวาล |
ค่อยวางองค์ลงบนแท่นแสนสลด | ท้าวระทดระทวยองค์น่าสงสาร |
ต่างฟูมฟักรักษาพยาบาล | ช่วยอยู่งานนวดฟั้นให้บรรทม |
หมอโอสถบดยาห่อผ้าขาว | ให้สาวสาวนวดประคบผงบผงม |
พญามารราญรอนอ่อนอารมณ์ | เคลิ้มบรรทมหลับไปในไสยา |
ครั้นรุ่งเช้าท้าวตื่นค่อยฝืนเนตร | เห็นอัคเรศที่รักของยักษา |
จึงเล่าความตามทัพอัปรา | จะกลับมาเกณฑ์ทหารไปราญรอน |
อ้ายรามวงศ์ลงเหล็กล่ามโซ่ไว้ | ยังมาได้ถึงสุวรรณบรรจถรณ์ |
จะมีใครไปแก้เป็นแน่นอน | ให้ศิลป์ศรสาตราออกราวี |
จึงสามารถอาจองทะนงศักดิ์ | ซํ้าลอบลักลูกแก้วแล้วพาหนี |
ที่นับถือสื่อชักมันจักมี | หรือเทวีเจ้าจะเห็นเป็นอย่างไร ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมเทพกินราวันทาแถลง | มิได้แจ้งเหตุผลแยบยลไฉน |
เอาพะทำมะรงกงกำมาจำไว้ | ให้ซักไซ้ก็ไม่แจ้งแห่งกิจจา |
ครั้นถามแก้วกินรีบุตรีท้าว | มันว่ากล่าวปิดบังให้กังขา |
ว่าหลับใหลไม่รู้มันจู่มา | ฟังพูดจาไม่เห็นจริงสักสิ่งอัน |
จึงแค้นใจให้สี่เสนีจับ | มันก็กลับเข่นฆ่าให้อาสัญ |
เห็นอาเพศเหตุเพราะพระเคราะห์ครัน | ขอทรงธรรม์จงระงับดับพระทัย ฯ |
๏ เทพาสูรขุ่นข้องให้หมองจิต | ไม่เห็นฤทธิ์รามวงศ์ยิ่งสงสัย |
แต่ศึกเสือเหลือกำลังหยุดยั้งใจ | คิดถึงไพร่พลนิกายวายชีวา |
จึงแต่งองค์สรงเสวยแล้วเลยออก | ที่นั่งนอกเนตรชายดูซ้ายขวา |
เห็นข้าเฝ้าเหล่าอำมาตย์มาตยา | ล้วนหน้าตาโศกเศร้าบางเบานัก |
จึงตรัสสั่งตั้งแต่งตำแหน่งที่ | หมู่มนตรีพร้อมหมดมียศศักดิ์ |
ให้สั่งเวรเกณฑ์ระดมเลกสมยักษ์ | ให้พร้อมพรักไพร่นายฝ่ายกุมภัณฑ์ |
อำมาตย์รับอภิวาทมาบาดหมาย | หัวเมืองรายร้อยเอ็ดทุกเขตขัณฑ์ |
มาพร้อมพรั่งคั่งคับกำชับกัน | เรียกเมื่อไรให้ทันพระบัญชา ฯ |
๏ จะกล่าวกลับทัพพระสิงหไกรภพ | พลรบนับแสนแน่นเวหา |
ใกล้ประเทศเขตยักษ์นครา | หยุดโยธาอยู่ที่ในพงไพรวัน |
จึงตรัสสั่งจิตราสูรขุนทหาร | เราเห็นการเดือดร้อนจำผ่อนผัน |
แม้นหักโหมโรมรุกเข้าบุกบัน | จะฆ่าฟันโอรสให้ปลดปลง |
ท่านปลอมไปในบูรีดูดีร้าย | ฟังระคายข่าวความตามประสงค์ |
แม้นแก้ไขให้โอรสยศยง | ได้รอดคงคืนมาเหมือนอาลัย |
จะให้ท่านผ่านพารากาลวาศ | จงสามารถผันแปรช่วยแก้ไข |
พลทั้งพันนั้นให้รายตามนายไป | พอพบปะจะได้แก้ไขกัน ฯ |
๏ อำมาตย์ฟังบังคมชมดำริ | พระสติปัญญายิ่งทุกสิ่งสรรพ์ |
แม้นโอรสยศยงคงชีวัน | จะผ่อนผันพามาไม่ช้าที |
แล้วทูลลามาสั่งไพร่ทั้งหลาย | ให้แปลงกายเหมือนเหล่าชาวกรุงศรี |
ใครถามไถ่ให้ว่าชาวธานี | พวกโยธีไปทัพแตกกลับมา |
แล้วจัดแจงแปลงกายทั้งนายไพร่ | รายกันไปห่างห่างกลางเวหา |
พบด่านทางต่างแถลงแจ้งกิจจา | แล้วเลยมากรุงไกรทั้งไพร่นาย |
เที่ยวสืบความรามวงศ์ว่าองอาจ | พาพระราชบุตรีลอบหนีหาย |
ขุนเสนีดีใจเห็นไม่ตาย | แกล้งเรียงรายปลอมอยู่ในบูรี |
สั่งขุนหมื่นคืนกลับไปอภิวาท | ทูลพระบาทบงกชบทศรี |
ให้ทัพหลวงล่วงมายังธานี | จะปลอมตีราษฎร์พลสกลไกร |
ขุนหมื่นฟังสั่งเสร็จระเห็จกลับ | ไปกองทัพทูลแจ้งแถลงไข |
เหมือนเรื่องความรามวงศ์เข้าวังใน | ลักบุตรีหนีไปจากพารา ฯ |
๏ พระสิงหไกรภพฟังจบแจ้ง | ไม่เสียแรงลูกรักดีหนักหนา |
ได้แก้แค้นแทนที่มันพันธนา | ด้วยปรีชาสามารถเป็นชาติชาย |
จะไปจับสับซํ้าให้หนำจิต | ที่มันคิดองอาจประมาทหมาย |
แล้วยกทัพขับพหลพลนิกาย | ตีด่านรายรุกมาถึงธานี |
ให้หยุดทัพยับยั้งตั้งทหาร | ที่เชิงชานนอกประตูบูรีศรี |
โห่สนั่นลั่นจังหวัดปัถพี | ชาวบูรีต่างตื่นเสียงครื้นเครง |
บ้างขึ้นป้อมล้อมวังตั้งปืนใหญ่ | ถือชุดไฟเทดินสิ้นเขนง |
บ้างเห็นเพื่อนเหมือนคนอื่นตื่นกันเอง | ด้วยกลัวเกรงฤทธิไกรพวกไพรี ฯ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้าพาราเทพาสูร | ให้อาดูรขุ่นข้องหม่นหมองศรี |
ได้ยินเสียงโกลาทั้งธานี | ออกมาที่พระโรงรัตน์ชัชวาล |
พวกอสูรทูลว่าปัจจามิตร | ล้วนนักสิทธ์วิทยาโยธาหาญ |
มานับแสนแน่นหนานอกปราการ | จะรุกราญรบพุ่งเอากรุงไกร |
พญายักษ์หนักจิตให้คิดพรั่น | ด้วยไม่ทันคิดอ่านการไฉน |
แล้วหวนฮึกนึกมานะในพระทัย | ถึงบรรลัยไว้ชื่อให้ลือชา |
จึงตรัสสั่งทั้งสี่เสนีนาถ | พวกอำมาตย์มุลนายทั้งซ้ายขวา |
จงรีบรัดจัดพหลพลโยธา | ผูกม้ารถคชชาบรรดามี |
ออกรบหักพักเดียวถึงเคี่ยวขับ | ให้ย่อยยับย่นแยกตื่นแตกหนี |
ทำแสร้งชื่นฝืนดำรงทรงอินทรีย์ | ขึ้นสู่ที่ปรางค์มาศปราสาทไชย ฯ |
๏ ฝ่ายเสนาข้าเฝ้าเหล่าทหาร | มาเตรียมการเกณฑ์กันเสียงหวั่นไหว |
พวกขุนช้างผูกช้างระวางใน | ล้วนสูงใหญ่ยืนสล้างอยู่กลางแปลง |
พวกขุนม้าผูกม้าล้วนกล้ารบ | เบาะอานครบโกลนบังพนังแผง |
ขุนรถเตรียมเทียมเสือลายแรดร้ายแรง | ปักธงเทียวเขียวแดงแทรกแซงกัน |
พวกพหลพลเท้าถือหลาวแหลน | ทั้งโล่แพนพวกยักษ์มักกะสัน |
ถือโตมรศรเสน่ากับเกาทัณฑ์ | พลกุมภัณฑ์นับแสนแน่นนคร |
แล้วเตรียมรถพระที่นั่งบัลลังก์รัตน์ | เทียมด้วยสัตว์สิงหราชชาติไกรสร |
สารถีถือขวานเคยราญรอน | คอยท่าท้าวเจ้านครข้างเกยชลา ฯ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเทพาสูรประยูรยักษ์ | ครั้นพร้อมพรักไพร่นายทั้งซ้ายขวา |
จึงอ่าองค์สรงชลสุคนธา | ทรงภูษาค่าเมืองเรืองระยับ |
ที่ห้อยหน้าผ้าทิพย์ทองอร่าม | ปั้นเหน่งวามแววเม็ดเพชรประดับ |
ทรงเกราะนวมสวมสังวาลมีบานพับ | กรองศอขับทับทรวงดวงจินดา |
ทองพระกรธำมรงค์ทรงพระหัตถ์ | นพรัตน์พร่างพรายทั้งซ้ายขวา |
พระเศียรทรงมงกุฎบุษรา | แล้วลีลามานั่งบัลลังก์ทอง |
เห็นที่รักอัคเรศเคยร่วมจิต | สนมสนิทน้อมเฝ้าล้วนเศร้าหมอง |
ยิ่งร้อนอกหมกมุ่นดังกูณฑ์กอง | พระเนตรนองคลอล้นชลนัยน์ |
อุตส่าห์ฝืนกลืนกลํ้าที่กำสรด | ระทวยระทดแทบทรงองค์ไม่ไหว |
จึงสั่งเทพกินราด้วยอาลัย | สายสุดใจอย่าหวั่นพรั่นวิญญาณ์ |
ศึกเพียงนี้พี่ยังพอจะต่อต้าน | พลมารมากมายทั้งซ้ายขวา |
ขาดแต่เทพอาวุธยุทธนา | ทั้งโรยราแรงน้อยถอยกำลัง |
ถึงชีวันบรรลัยคงไว้ยศ | ให้ปรากฏชื่อชายเมื่อภายหลัง |
พระนุชน้องครองเขตนิเวศน์วัง | ขอฝากฝังสาวสนมกรมใน |
จงกรุณาปรานีเหมือนพี่อยู่ | ช่วยเลี้ยงดูปกครองให้ผ่องใส |
ตรัสสั่งนางพลางสะท้อนถอนฤทัย | พระชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย |
นางฟังสั่งดังหนึ่งในใจจะขาด | เข้ากอดบาทภัสดาเกศาสยาย |
สะอื้นพลางนางระทดระทวยกาย | พระหัตถ์ฟายชลนาโศกาลัย |
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณเคยอุ่นเกศ | พึ่งพระเดชดับเข็ญให้เย็นใส |
แม้นสิ้นบุญทูลกระหม่อมจะตรอมใจ | เมียก็ไม่ขออยู่ในบูรี |
พระม้วยมอดวอดวายจะตายด้วย | เป็นเพื่อนม้วยมิให้อางขนางหนี |
จงหยุดยั้งรั้งรออย่าต่อตี | ให้รักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ |
ไปหาท้าวเจ้าเมืองที่เรืองฤทธิ์ | มาช่วยคิดผันแปรช่วยแก้ไข |
นางครวญคร่ำร่ำว่าด้วยอาลัย | พระชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย |
พญายักษ์พักตร์สลดกำสรดสะอื้น | อุตส่าห์ขืนฝืนฤทัยมิใคร่หาย |
จึงว่าพี่มิรบจะหลบกาย | ก็อับอายอสุราทั้งธานี |
แพ้ชนะจะคงออกยงยุทธ์ | เจ้าสายสุดสวาทน้องอย่าหมองศรี |
เมื่อถึงกรรมจำตายวายชีวี | ถึงอยู่ที่ไหนไหนก็ไม่พ้น |
แม้บุญหลังยังช่วยไม่ม้วยมุด | ถึงอาวุธศัสตราเหมือนห่าฝน |
ก็มิได้ใกล้กรายกายสกนธ์ | นิรมลอย่าได้แหนงแคลงวิญญาณ์ |
จงอยู่วังทั้งสุรางค์นางสนม | อย่าปรารมภ์ร้อนจิตขนิษฐา |
จับพระแสงแข็งใจจะไคลคลา | นางโศกากอดบาทไม่คลาดคลาย |
พระเมตตาพาเมียไปเสียด้วย | เมียจะช่วยชิงชัยเหมือนใจหมาย |
แม้นจอมจักรนคราชีวาวาย | จะสู้ตายตามองค์พระทรงธรรม์ |
พระมิให้ไปตามสงครามด้วย | จงโปรดช่วยเข่นฆ่าให้อาสัญ |
สะอื้นอ้อนวอนว่าด้วยจาบัลย์ | ทั้งกำนัลใหญ่น้อยพลอยรํ่าไร |
เทพาสูรขุนมารสงสารสุด | ขยั้นหยุดยืนสะท้อนถอนใจใหญ่ |
ยิ่งพิศพักตร์ลักขณายิ่งอาลัย | สะอึกสะอื้นฝืนฤทัยไมไคลคลา |
ลูบประโลมโฉมเฉลาว่าเจ้าพี่ | มีเสียทีพี่รักเจ้าหนักหนา |
จะสู้ม้วยด้วยพี่เพื่อนชีวา | ขอบใจแล้วแก้วตาของสามี |
แม้นพาไปไพรินจะยินร้าย | เหมือนสิ้นชายรบพุ่งทั้งกรุงศรี |
ด้วยชิงชัยใช่งานการสตรี | ศึกเพียงนี้ก็ยังไม่เป็นไรนัก |
จะต่อสู้ดูศักดาปัจจามิตร | แม้นสุดฤทธิ์ก็จะโจมเข้าโหมหัก |
ด้วยนักสิทธ์วิทยาสุรารักษ์ | เคยแพ้ยักษ์อยู่ดอกเห็นไม่เป็นไร |
จงนิ่งดูอยู่ในวังฟังพี่ว่า | อย่าโศกาตรอมจิตคิดไฉน |
ปลอบประโลมโฉมฉายสายสุดใจ | ให้กลับไปปรางค์รัตน์ชัชวาล |
แล้วจับหอกออกมาตรวจตราทัพ | ดูคั่งคับนับแสนแน่นหน้าฉาน |
ขึ้นทรงรถพระที่นั่งสั่งขุนมาร | ให้ทหารโห่ออกนอกพารา |
เดินกระบวนรวนเรโซเซล้ม | อ่อนอารมณ์ไพร่นายทั้งซ้ายขวา |
ถึงกองทัพยับยั้งตั้งโยธา | ให้เคลื่อนราชรัถาออกหน้าพล |
กระทืบทำสิงหนาทตวาดก้อง | เหวยพวกพ้องวิทยาพนาสณฑ์ |
เหตุไฉนไยจึงมาจุลาจล | จะปลอมปล้นพารากูว่าไร |
พระสิงหไกรภพใคร่รบยักษ์ | ออกรับพักตร์พจนาตรัสปราศรัย |
ไม่รู้หรือคือพระกาฬอันชาญชัย | ชื่อสิงหไกรภพบำรุงกรุงโกญจา |
ด้วยลูกเราเจ้ารามวงศ์นั้น | ท่านผูกพันพาลผิดริษยา |
จับจองจำลำพังอหังการ์ | จึงยกมาปรามปราบพวกหยาบคาย |
ท่านนี้หรือชื่อว่าเทพาสูร | จะพาวงศ์พงศ์ประยูรให้สูญหาย |
เพราะเป็นชายหมายมาดประมาทชาย | จะต้องตายตามนิสัยน้ำใจพาล |
เทพาสูรฉุนฉิวโกรธกริ้วกราด | น้อยหรืออาจอวดศักดาว่ากล้าหาญ |
เหตุเพราะตัวชั่วช้าแสนสามานย์ | คิดทำการกลอกกลับไม่อับอาย |
ลักธิดามารันพากันหนี | ทำยายีหยาบช้าวงศาสหาย |
แล้วมิหนำซํ้าฆ่าพ่อตาตาย | เกี้ยวแม่ยายยอมจิตสนิทใน |
จึงจองจำทำโทษเพราะโกรธขึ้ง | ด้วยคิดถึงจัตุพักตร์ที่ตักษัย |
จะแล่เนื้อเอาเกลือทาให้สาใจ | หมายมิให้โลหิตติดสุธา |
ถ้ารู้ตัวกลัวตายอย่าหมายรบ | จงนอบนบบังคมก้มเกศา |
จะยกโทษโปรดให้ไว้ชีวา | แล้วเร่งล่าเลิกทัพถอยกลับไป ฯ |
๏ พระยิ้มเย้ยเหวยเทพาสุรารักษ์ | ไม่รู้จักฝีมือหรือไฉน |
แต่จัตุพักตร์ศักดิ์สิทธิ์ฤทธิไกร | ยังบรรลัยแหลกลงเป็นผงคลี |
เหมือนพวกพ้องของท่านที่หาญฮึก | ไปทำศึกรบพุ่งถึงกรุงศรี |
ชาวมารันฟันเล่นเป็นธุลี | ต้องหลบหนีเขามาหน้าไม่อาย |
ยังอวดตัวกลัวจะวิ่งจริงจริงนะ | ตัดศีรษะไม่ทันเหมือนมั่นหมาย |
มายกข้อตอแหลถึงแม่ยาย | เพราะหยาบคายเคยชั่วด้วยตัวเป็น |
อันชาติเราเหล่ามนุษย์สุจริต | ไม่เคยคิดเคยคบไม่พบเห็น |
พูดอัปรีย์ศีรษะจะกระเด็น | เนื้อจะเป็นเหยื่อสัตว์ในปัถพี |
พลางตรัสกับทัพพหลไพร่พลพร้อม | ให้ยกล้อมยักษ์ไว้มิให้หนี |
โยธาทัพรับสั่งประดังตี | แกว่งกริชตรีกรายกรเข้ารอนราญ |
พวกกุมภัณฑ์ฟันแทงต่อแย่งยุทธ์ | พุ่งอาวุธแหลนหลาวฟาดง้าวขวาน |
ถูกพยนต์พลโถมโจมทะยาน | พิฆาตมารล้มตายลงก่ายกอง |
พวกนายทัพขับพหลพลรบ | รุมสมทบแทงฟันผันผยอง |
พยนต์ยุดฉุดฉวยชิงกระบอง | กลับตีต้องไพร่นายวายชีวี |
แล้วบุกบั่นฟันฟาดเสียงฉาดฉับ | พวกยักษ์ยับย่นแยกแตกตื่นหนี |
พยนต์กลุ้มรุมรุกไล่คลุกคลี | สกัดตีตัดศีรษะอสุรา |
เทพาสูรหนุนทัพขับพหล | แทงพยนต์พลนิกายทั้งซ้ายขวา |
ถูกหอกคมล้มกลาดดาษดา | กลับถลาโลดลุกไล่คลุกคลี |
๏ พระสิงหไกรภพขับนกโถม | เข้ารุกโรมรบพุ่งชาวกรุงศรี |
ต่างรับรองป้องกันประจัญตี | อสุรีแทงพลาดพระฟาดฟัน |
ถูกหอกหัตถ์ตัดขาดตกราชรถ | ระทวยระทดแทบชีวาจะอาสัญ |
พวกเกียกกายนายกองเข้าป้องกัน | พระซํ้าฟันถูกสี่เสนีตาย |
พระยามารอ่านเวทวิเศษประสิทธิ์ | ต่อไม่ติดตกพระทัยจิตใจหาย |
ยังหัตถ์ขวาคว้าพระหัตถ์ที่พลัดพราย | ขึ้นทรงกายเหาะหนีจากที่รบ |
พวกนักสิทธ์วิทยาไล่ฆ่ายักษ์ | เสียงคึกคักตื่นแยกแตกตลบ |
ที่ไล่ทันฟันยับลงทับทบ | จนซากศพซับซ้อนดังฟ่อนฟาง |
พวกโยธามารันทั้งพันถ้วน | เห็นเรรวนรบสกัดคอยขัดขวาง |
ไล่ฆ่าฟันกันพลอยู่ต้นทาง | บ้างตายบ้างหนีกระจายวิ่งพรายพลัด |
เห็นองค์ท้าวเจ้าพารากาลวาศ | ถือแขนขาดจะเข้าวังตั้งสกัด |
เธอหนีปนพลรบหลีกหลบลัด | ไล่ตะพัดตะเพิ่นไปเข้าไพรวัน |
พระสิงหไกรภพรบไล่ขับไพร่พร้อม | เข้าห้อมล้อมรอบกำแพงล้วนแข็งขัน |
พวกขึ้นป้อมล้อมวังสิ้นทั้งนั้น | ต่างพากันหนีตัวด้วยกลัวตาย |
ฝ่ายสนมกรมในตกใจนัก | เสียงคึกคักตัวสั่นมิ่งขวัญหาย |
ทั้งเจ้าจอมหม่อมคุณวิ่งวุ่นวาย | บ้างเหลียวซ้ายแลขวาละล้าละลัง |
ที่รูปงามทรามสาวถึงคราววุ่น | เอาทรายฝุ่นโคลนทาเหมือนบ้าหลัง |
บ้างนุ่งห่มพรมมุ้งพะรุงพะรัง | พะว้าพะวังวิ่งร้องซ้องสำเนียง ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมเทพกินราเห็นข้าศึก | กระหึมฮึกโห่ลั่นสนั่นเสียง |
เข้าล้อมรอบขอบเขตนิเวศน์เวียง | พระทรวงเพียงพิษไฟประลัยลาม |
คอยแลดูภูวไนยก็ไม่กลับ | หรือเสียทัพอับปางกลางสนาม |
ยิ่งใจหายกายสั่นให้ครั่นคร้าม | เป็นสุดความคิดนางเพียงวางวาย |
ปิดทวารบานบังนั่งสะอื้น | เสียงครึกครื้นมาใกล้จิตใจหาย |
พระชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย | ระทวยกายกัมปนาทหวาดวิญญาณ์ ฯ |
๏ พระโฉมยงองค์สิงหไกรภพ | ให้สงบพลนิกายทั้งซ้ายขวา |
ขับนกทรงลงยืนกับเกยลา | แล้วตรัสว่าเหวยอสูรหมู่ขุนมาร |
ใครไม่สู้กูไม่หมายทำลายล้าง | ทั้งขุนนางเสนาโยธาหาญ |
จงพร้อมใจให้สัตย์ปฏิญาณ | จะโปรดปรานปรานีไว้ชีวา ฯ |
๏ ฝ่ายพวกยักษ์พรักพร้อมน้อมประณต | ต่างสบถสาบานตัวกลัวหนักหนา |
จะสัตย์ซื่อถือมั่นเหมือนสัญญา | ขอเป็นข้ากว่ากายจะวายปราณ |
แล้วเชิญองค์ทรงเดชเกศกระษัตริย์ | ขึ้นปรางค์รัตน์รจนามุกดาหาร |
ทัพพยนต์พลฤทธิ์พิสดาร | อยู่แวดล้อมป้อมปราการทวารวัง |
พวกพารามารันนั้นสำหรับ | กำกับทัพโยธาทั้งหน้าหลัง |
พอราตรีตีฆ้องกลองประดัง | รายระวังพรั่งพร้อมล้อมพารา ฯ |
๏ จะกลับกล่าวท้าวเทพาสุราราช | พระกรขาดขุนมารอ่านคาถา |
ต่อไม่ติดคิดอดสูหมู่โยธา | แกล้งหลบหน้าหนีพลสกลไกร |
พอมืดคํ่าคลํ้าคลุ้มชอุ่มอับ | เห็นที่ลับเหลี่ยมผาเข้าอาศัย |
สิ้นกำลังดังชีวันจะบรรลัย | เสียพระกรร้อนฤทัยดังไฟกาล |
แค้นมนุษย์สุดคิดสุดฤทธิ์เดช | เสียนิเวศน์วงศ์ญาติราชฐาน |
ทั้งเสียยศอดสูกับหมู่มาร | จะคิดอ่านแก้ไขฉันใดดี |
พลางคิดได้ถึงประลัยกัลป์ยักษ์ | สหายรักร้ายกาจดังราชสีห์ |
อยู่สำนักจักรวาลชานคีรี | กระบองมีฤทธิไกรดังไฟกัลป์ |
จะไปวานผลาญมนุษย์ทุจริต | ทั้งนักสิทธ์วิทยาให้อาสัญ |
ดำริพลางดำรงองค์กุมภัณฑ์ | พระกรนั้นหนีบไปไม่ไกลกาย |
แล้วจับหอกออกมาหน้าทหาร | เหาะทยานลอยเลื่อนด้วยเดือนหงาย |
ขึ้นสูงลิ่วปลิวฟ้าเอกากาย | เขม้นหมายมุ่งพักตร์ไปจักรวาล ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงโฉมประโลมลวาท | ได้พารากาลวาศราชฐาน |
ครั้นรุ่งเช้าเหล่ายักษ์พนักงาน | เชิญเครื่องอานอภิวาทดาษดา |
พระออกนั่งยังหน้ามหาปราสาท | พวกอำมาตย์เฝ้าฝ่ายทั้งซ้ายขวา |
จึงตรัสสั่งทั้งสี่ขุนเสนา | จงร้องป่าวเหล่าประชาทั้งธานี |
ว่าตัวเรากับเจ้าเมืองกาลวาศ | พยาบาทขัดข้องกันสองศรี |
อันคนอื่นหมื่นแสนแดนบูรี | มิได้มีขัดเคืองด้วยเรื่องไร |
จงอยู่ตามความสบายทั้งชายหญิง | อย่าเกรงกริ่งว่าเราจะทำไฉน |
แล้วบอกกล่าวสาวสนมกรมใน | เราจะให้กับธิดาพญามาร |
ใครสมัครภักดีอย่าหนีหลบ | มานอบนบในปราสาทราชฐาน |
ทั้งห้ามแหนแม้นใครขาดราชการ | จะประทานโยธาเมืองมารัน |
อำมาตย์รับอภิวาทมาบาดหมาย | เจ้าขรัวนายนับตรวจคนกวดขับ |
ทั้งอยู่งานบาญชีหมื่นสี่พัน | จัดแบ่งปืนโมงยามตามธรรมเนียม ฯ |
๏ ฝ่ายนารีที่เป็นเวรพวกเกณฑ์ห้าม | บ้างคิดความขวัญหายให้อายเหนียม |
จะเฝ้าแหนแสนบัดสีกระดี้กระเดียม | เคยรู้เหลี่ยมเล่ห์บ้างแต่อย่างยักษ์ |
จะต้องเฝ้าเจ้านายฝ่ายมนุษย์ | เห็นยากสุดแสนยากลำบากหนัก |
ฉวยผิดพลั้งหลังลายละอายนัก | ไม่รู้จักตื้นลึกนึกรำคาญ |
ต่างจำใจไปเฝ้าให้เศร้าสร้อย | ทั้งใหญ่น้อยแน่นปราสาทราชฐาน |
พวกท้าวนางต่างประณตบทมาลย์ | ถวายบาญชีสนมกรมใน |
สาวสุรางค์ต่างชม้อยคอยชม้าย | เห็นเจ้านายนวลละอองผุดผ่องใส |
สำอางองค์ทรงโฉมประโลมใจ | ตะลึงตะไลหลงยิ้มอยู่พริ้มพราย |
ต่างลืมยักษ์รักองค์พระทรงยศ | น้อมประณตรับพักตร์สมัครหมาย |
พอเนตรสบหลบเลี่ยงทำเอียงอาย | ชม้อยชม้ายเหมือนจะชวนให้ยวนยี ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงมหาศักดาเดช | ทอดพระเนตรนักสนมนารีศรี |
แต่ละนางร่างกายคล้ายกินรี | ทำท่วงทีท่าทางต่างต่างกัน |
ขนาดใหญ่ไก่แก่แม่ปลาช่อน | รู้จักซ่อนเงื่อนสายแยบคายขยัน |
ที่อย่างกลางอย่างเขาว่าชิ้นปลามัน | ดูเชิงชั้นปั้นปึงทำขึงคม |
ที่รุ่นราวสาวสะอาดขนาดน้อย | กระชดกระช้อยชวนชิดสนิทสนม |
พระนึกยิ้มพริ้มพักตร์หักอารมณ์ | ไม่นิยมสมบัติอสุรา |
จึงถามเหล่าท้าวนางแต่ปางหลัง | เมื่อคุมขังรามวงศ์ลงโทษา |
เหตุไฉนได้สนิทกับธิดา | เดี๋ยวนี้พากันไปหนตำบลใด ฯ |
๏ ฝ่ายท้าวนางต่างฟังรับสั่งถาม | จึงทูลความจริงแจ้งแถลงไข |
เมื่อขณะพระโอรสยศไกร | มาอยู่ในปรางค์ทองห้องธิดา |
ไม่มีผู้รู้เรื่องทั้งเมืองยักษ์ | วิ่งคึกคักตามถนนเที่ยวค้นหา |
ไม่พบเห็นเว้นหายหลายเวลา | ต่างหมายว่าหนีออกนอกบูรี |
ต่อมาตุรงค์ลงไปพบเธอรบสู้ | จึงได้รู้เฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี |
แล้วพาองค์นงนุชพระบุตรี | จากบูรีไปเมื่อไรไม่ได้ความ |
เหตุด้วยองค์ทรงยศโอรสราช | แสนฉลาดอาจหาญชาญสนาม |
พวกยักษ์ย่อท้อฤทธิ์ไม่ติดตาม | ไม่ทราบความว่าไปหนตำบลใด |
พระฟังคำซํ้าถามตามประสงค์ | เดี๋ยวนี้องค์มเหสีอยู่ที่ไหน |
พวกเถ้าแก่แน่ใครเล่าให้เข้าใจ | เรามิได้ถือโกรธทำโทษทัณฑ์ |
ด้วยโอรสธิดาสามิภักดิ์ | ดำรงรักไม่รังเกียจคิดเดียดฉันท์ |
อย่าขามเขินเชิญมาพูดจากัน | ตามพงศ์พันธุ์ผู้ใหญ่เป็นไมตรี |
เถ้าแก่พร้อมน้อมคำนับอภิวาท | รีบคลาไคลไปปราสาทมเหสี |
ผลักทวารบานปิดเห็นผิดที | แกล้งเคาะที่ชานเฉลียงค่อยเมียงมอง ฯ |
๏ ฝ่ายนางเทพกินราโศการํ่า | แต่พลบคํ่าคอยผัวให้มัวหมอง |
จนรุ่งกลับหับสิงหาสน์ปราสาททอง | อยู่ในห้องให้สาวใช้ไปลอบฟัง |
ทราบว่าพระภัสดาต้องอาวุธ | พระกรหลุดล่าทัพไม่กลับหลัง |
พวกข้าเฝ้าสาวสนมกรมวัง | ไปพร้อมพรั่งสามิภักดิ์รักมนุษย์ |
นางนึกแค้นแม้นว่าสุธาแยก | จะซอกแทรกปัถพินให้สิ้นสุด |
โอ้ท้าวไทใครจะช่วยปิ้มม้วยมุด | แพ้มนุษย์ครั้งนี้ถึงชีวา |
แต่ก่อนไรไปรบจบจังหวัด | แสนกระษัตริย์เกรงฤทธิ์ทุกทิศา |
มาสิ้นสูญบุญกระษัตริย์ภัสดา | จะเป็นข้ามนุษย์ก็สุดอาย |
โอ้อกเอ๋ยเคยทำเวรกรรมไว้ | จึงเจ็บช้ำนํ้าใจมิใคร่หาย |
จะสู้ม้วยด้วยผัวฆ่าตัวตาย | ก็ห่วงสายสุดสวาทราชบุตรี |
คิดจะใคร่ใส่ปีกบินหลีกหลบ | ฉวยเขาพบผูกมัดก็บัดสี |
ยิ่งตรึกตราอารมณ์ไม่สมประดี | ทรงโศกีกัมปนาทหวาดวิญญาณ์ |
พอเถ้าแก่แซ่ซ้องมาร้องเรียก | นิ่งสำเหนียกในใจออกไปหา |
ค่อยแย้มแต่แกลสุวรรณจำนรรจา | มาพร้อมเพรียกเรียกข้าจะว่าไร ฯ |
๏ ฝ่ายเถ้าแก่แลพบนั่งนบนอบ | ต่างทูลตอบตามปัญญาอัชฌาสัย |
พระจอมทัพยับยั้งอยู่วังใน | บัญชาให้มาเฝ้าเยาวมาลย์ |
ว่าโอรสยศยงของทรงฤทธิ์ | กับพระธิดารักสมัครสมาน |
จะจัดแจงแต่งวิวาห์ปรึกษาการ | ให้สำราญร่วมจังหวัดปัถพี |
จึงให้ข้ามาเชิญโฉมเฉลา | เหมือนพงศ์เผ่าจะปรึกษามารศรี |
ด้วยความข้อหน่อนาถราชบุตรี | อย่าราคีข้องขัดพระอัชฌา |
นางฟังคำรำพึงคะนึงคิด | จะเป็นมิตรกับศัตรูไปสู่หา |
เหมือนไม่ถือซื่อสัตย์ต่อภัสดา | จะนินทาเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงไกร |
มิตามติดบิดพลิ้วจะกริ้วโกรธ | ให้ทำโทษโทษาไม่ปราศรัย |
จะเจ็บอกฟกชํ้าระกำใจ | จึงเกลี่ยไกล่กล่าวรสพจมาน |
ซึ่งเมตตาว่าจะให้ขึ้นไปเฝ้า | พระคุณเท่าเทียมฟ้าสุธาสถาน |
แต่ยังป่วยด้วยเป็นลมมานมนาน | ขอประทานโทษาฝ่าละออง |
พอประทังนั่งได้จะไปเฝ้า | จริงนะเจ้าอนุกูลทูลฉลอง |
แล้วเข้าไปไสยาสน์ปราสาททอง | พระเนตรนองชลนาถึงสามี |
เถ้าแก่รับกลับมายังปราสาท | กราบทูลบาทบงกชบทศรี |
นางนงลักษณ์จักเข้าเฝ้าภูมี | แต่เดี๋ยวนี้ยังประชวรรัญจวนใจ |
พระฟังคำทำเป็นว่าน่าสงสาร | ดูอาการเหมือนจะหมองไม่ผ่องใส |
สาระบิดติดจะขัดในหทัย | มักเข้าห้องร้องไห้มิใคร่คลาย |
แม้นนานไปไม่ฟื้นยังขืนป่วย | จะไปช่วยแก้ไขเสียให้หาย |
พลางสรวลสันต์บัญชาประสาสบาย | ด้วยขรัวนายนักสนมกรมใน |
ครั้นพลบค่ำย่ำฆ้องก้องกระหึ่ม | ประโคมครึมครื้นครั่นเสียงหวั่นไหว |
ฆ้องระนาดพาทย์เพลงวังเวงใจ | วิเวกในไสยาสน์ปราสาททอง |
สาวสุรางค์ข้างที่พัดวีถวาย | เมียงชม้ายชม้อยฟังรับสั่งสนอง |
นางอยู่งานคลานคำนับประคับประคอง | ประจงจ้องนวดฟั้นให้บรรทม |
พระเริงรื่นชื่นแช่มแย้มพระโอษฐ์ | ภิปรายโปรดทุกสุรางค์นางสนม |
ทั้งใหญ่น้อยค่อยสนิทด้วยชิดชม | เพลินอารมณ์โสมนัสกำหนัดใน ฯ |
๏ จะกลับกล่าวท้าวเทพาสุรารีบ | ข้ามทวีปหว่างมหาชลาไหล |
สิบห้าวันนั้นจึงสุดสมุทรไท | ถึงเขาใหญ่จักรวาลตระหง่านงาม |
เป็นสีรุ้งรุ่งกว่าพระอาทิตย์ | ประไพพิศพื้นมณีสีสยาม |
ลงหยุดหย่อนผ่อนแรงไม่แจ้งความ | เที่ยวไถ่ถามยักษ์มารชานคีรี ฯ |
๏ จะกลับกล่าวท้าวประลัยกัลป์นั้น | อยู่ห้องเหมหิรัญคีรีศรี |
กับนางมารเมียรักยักขินี | แต่ไม่มีลูกเต้าสืบเผ่าพันธุ์ |
ให้บ่าวไพร่ไปหาบรรดาสัตว์ | สารพัดช้างเสือเนื้อสมัน |
มาส่งส่วยรวยรื่นทุกคืนวัน | เวลานั้นนั่งแท่นแผ่นศิลา |
แลเขม้นเห็นเทพาสุรายักษ์ | เป็นเพื่อนรักร่วมใจออกไปหา |
เชิญให้นั่งเหนือบัลลังก์อลงการ์ | เห็นพาหาหายขาดประหลาดใจ |
จึงซักถามตามแคลงใคร่แจ้งเรื่อง | หรือบ้านเมืองเคืองเข็ญเป็นไฉน |
มีธุระพะพานประการใด | จงเล่าให้แจ้งจิตในกิจจา ฯ |
๏ ฝ่ายท้าวเทพาสูรพูนเทวษ | พระชลเนตรพร่างพรายทั้งซ้ายขวา |
จึงเล่าความตามทัพอัปรา | ต้องสาตรามนุษย์เป็นสุดคิด |
ที่แขนขาดบาดแผลเคยแก้หาย | ที่นี้ร่ายมนตร์เท่าไรก็ไม่ติด |
มาหาเกลอเธอเหมือนเพื่อนชีวิต | จงช่วยคิดฆ่ามันให้บรรลัย |
ประลัยกัลป์หันหุนให้ฉุนแค้น | กระทืบแท่นแผ่นผาสุธาไหว |
น้อยหรือชะมนุษย์มันสุดใจ | มาทำให้พระสหายกูขายพักตร์ |
จะไปจับสับเสี่ยงทำเมี่ยงเคี้ยว | กระดูกกระเดี้ยวมันจะมันขยันหนัก |
แต่เกลอมาล้าเลื่อยเหน็ดเหนื่อยนัก | จงหยุดหย่อนผ่อนพักเสียสักวัน |
แล้วสั่งเหล่าชาวครัวให้คั่วช้าง | แรดกับกวางควายผัดมัสมั่น |
ทั้งหมูหมีม้าลาพล่าด้วยกัน | เสือทอดมันหลายตัววัวต้มยำ |
ทั้งเหล้าเข้มเต็มตุ่มตั้งถวาย | ชวนสหายกินพลางต่างพูดพรํ่า |
หยิบแรดทรายควายวัวตัวละคำ | เคี้ยวผยํ่าเผยอกลืนด้วยชื่นบาน |
ครั้นเมาหนักตักเหล้าแจกบ่าวบ้าง | ร้องเพลงพลางพูดจาอวดกล้าหาญ |
บ้างรำเต้นเล่นตามความสำราญ | ที่เมาซานคลานเซเสียงเฮฮา |
บ้างเรียกนายอ้ายพ่อขออีกถ้วย | เข้ากินด้วยฉวยละมั่งเคี้ยวทั้งขา |
บ้างตักเหล้าเฝ้าดื่มไม่ลืมตา | ส่วนนายด่าเดือดเตะเอะอะกัน |
ทั้งองค์ท้าวเจ้าพารากาลวาศ | ลืมแขนขาดพลอยสำราญทรงสรวลสันต์ |
ครั้นรู้สึกปรึกษาประลัยกัลป์ | ยาสำคัญมีบ้างหรืออย่างไร |
จะต่อแขนแม้นว่าติดสนิทเนื้อ | พระคุณเหลือหนักแท้ช่วยแก้ไข |
ประลัยกัลป์นั้นว่ายาสุราลัย | เราได้ไว้แก้หายมาหลายครั้ง |
แล้วยกหยิบทิพยามาทาแก้ | พอหายแผลแต่ไม่ติดเหมือนคิดหวัง |
จะเสกเป่าเท่าไรก็ไม่ฟัง | เหลือกำลังนั่งบ่นว่าจนใจ |
แม้นจับได้อ้ายเจ้าของอาวุธนั้น | เอาตัวมันมัดถามตามสงสัย |
ให้ต่อแขนแม้นว่าติดเหมือนคิดไว้ | จึงฆ่าให้สิ้นโคตรตามโทษกรณ์ |
แล้วเสกยาทาแขนที่ขาดนั้น | ให้ชุ่มมันเหมือนเก่าไม่เน่าหนอน |
แล้วว่าทางต่างทวีปจะรีบจร | ไปราญรอนรบพุ่งชาวกรุงไกร |
พลางขึ้นทรงมณฑปที่ยอดเขา | ถือหลอดเป่าเป็นสำคัญเสียงหวั่นไหว |
ฝ่ายพวกบ่าวชาวป่าพนาลัย | ต่างคนได้ยินเสียงสำเนียงดัง |
รู้ว่านายให้หาฉวยอาวุธ | อุตลุดแล่นมาทั้งหน้าหลัง |
นับหมื่นแสนแน่นหนาดาประดัง | มาพร้อมพรั่งพวกยักษ์จักรวาล |
ล้วนน่ากลัวตัวกลายเป็นหลายอย่าง | เป็นลิงค่างจระเข้เดรัจฉาน |
เป็นเนื้อเบื้อเสือลายแรดควายฟาน | หน้าเป็นมารมีเขี้ยวล้วนเรี่ยวแรง |
บ้างถือศรค้อนคทาทั้งพร้าโต้ | หลาวแหลนโล่เขนขวานชาญกำแหง |
มาเซ็งแซ่แออัดจึงจัดแจง | เป็นกองแซงหน้าหลังพร้อมพรั่งพล |
ประลัยกัลป์นั้นชวนพระสหาย | สรงนํ้าพุปรุปรายดังสายฝน |
ทาจันทน์แดงแต่งสำอางต่างสุคนธ์ | ทรงเครื่องต้นแต่งองค์อลงการ |
ประลัยกัลป์นั้นนุ่งหนังสิงหราช | งูเหลือมคาดต่างเข็มขัดรัดประสาน |
งูเห่าดงจงอางต่างสังวาล | พระเศียรมารมงกุฎพันภุชงค์ |
ครั้นเสร็จสรรพจับกระบองยืนป้องหน้า | ดูโยธาพร้อมตามความประสงค์ |
โห่สนั่นลั่นโลกแล้วโบกธง | ทั้งสององค์ทรงนั่งหลังมังกร |
ให้เคลื่อนทัพขับพหลพลเหาะเหิน | ออกจากเนินจักรวาลชานสิงขร |
ต่างลอยเลื่อนเกลื่อนฟ้าข้ามสาคร | ไม่หยุดหย่อนโยธารีบคลาไคล ฯ |
๏ จะกล่าวพระสิงหไกรภพบ้าง | อยู่ห้องปรางค์นพรัตน์จรัสไข |
พวกข้าเฝ้าสาวสนมกรมใน | ต่างรักใคร่พร้อมเพรียงทั้งเวียงวัง |
แต่องค์พระมเหสีมิให้พบ | คิดปรารภมิได้สิ้นถวิลหวัง |
ให้เชิญมาปราศรัยก็หลายครั้ง | ดูเหมือนดังสาวแส้เชือนแชไป |
จะต้องเกี้ยวเกี่ยวดองลองดูหน่อย | นึกว่ากลอยกินเล่นเป็นไฉน |
แต่นิ่งนึกตรึกตรองทำนองใน | เห็นจะได้สมคะเนด้วยเล่ห์กล |
พอมืดคํ่ายํ่าฆ้องได้สองทุ่ม | ฟ้าชอุ่มกลุ้มกลับพยับฝน |
จึงอ่าองค์สรงประพระสุคนธ์ | อันปรุงปนกฤษณาสุมาลี |
ลอบชวนนางข้างแท่นที่แสนฉลาด | ให้นำทางปรางค์มาศมเหสี |
ออกจากห้องย่องแฝงแสงอัคคี | สองนารีชี้ทางไปกลางวัง |
ครั้นถึงปรางค์นางกระษัตริย์สงัดเงียบ | พระเดินเลียบรอบชลาทั้งหน้าหลัง |
ขึ้นชานพักผลักบานทวารบัง | ค่อยแอบฟังแฝงฝาดูนารี |
แกล้งทำเสียงเพียงเทพาสุรารักษ์ | เรียกองค์อัครชายามารศรี |
เร็วเร็วเถิดเปิดบานทวารที | ทำอู้อี้อ้าวเสียงค่อยเมียงมอง ฯ |
๏ฝ่ายโฉมเทพเทวีศรีสวัสดิ์ | เงียบสงัดง่วงเหงาให้เศร้าหมอง |
เคลิ้มหลับใหลไสยาสน์บนอาสน์ทอง | ฝืนว่าต้องฟ้าฟาดองค์ขาดไป |
พอเหลียวหลังมังกรร่อนมากัด | หางกระหวัดรัดสิ้นดิ้นไม่ไหว |
ครั้นรู้สึกนึกพรั่นประหวั่นใจ | พอนางได้ยินเสียงสำเนียงดัง |
สำคัญว่าสามีเสียทีทัพ | เธอลอบกลับมาได้ดังใจหวัง |
ลงจากแท่นแว่นฟ้าละล้าละลัง | มาแฝงฟังเท็จจริงยังกริ่งใจ |
เสียงออกชื่อถือว่าพญายักษ์ | คนอื่นจักแกล้วกล้ามาที่ไหน |
จึงชักดาลบานสุวรรณออกทันใด | พระเข้าในห้องกลับหับทวาร |
นางเห็นองค์ทรงศักดิ์ผิดยักษ์ผัว | ร้องกรีดกลัวตกประหม่าน่าสงสาร |
วิ่งเข้าไปในที่ตะลีตะลาน | แล้วรูดม่านป้องปิดให้มิดองค์ |
พระเห็นนางกลางคนวิมลโฉม | งามประโลมเลิศล้วนนวลระหง |
ถึงทุกข์ตรอมผอมซูบทั้งรูปทรง | ยังคมขำลํ้าอนงค์ทั้งวงวัง |
แสงชวาลาสว่างพระย่างย่อง | ตามเข้าห้องเหลียวหาทั้งหน้าหลัง |
แลเห็นองค์นงคราญแอบม่านบัง | ทรุดลงนั่งเคียงนางพลางพาที |
พี่เสียทัพอัปราปัจจามิตร | ไม่วายคิดถึงน้องจะหมองศรี |
ครั้นเป็นยักษ์จักเข้ามาในธานี | พวกไพรีอยู่ในเขตนิเวศน์วัง |
จึงกลับแกล้งแปลงเป็นเช่นมนุษย์ | มาหาสุดสวาทได้เหมือนใจหวัง |
อย่านึกแหนงแคลงจิตไม่ปิดบัง | เจ้าเหมือนดังดวงตาของสามี |
ถึงตัวไปใจนึกรำลึกถึง | วันนี้จึงลอบมาจะพาหนี |
เมื่อน้องแก้วแววตาอยู่ธานี | พวกไพรีรุกราญประการใด |
นางฟังคำชำเลืองดูรูปโฉม | งามประโลมหลากจิตคิดสงสัย |
หรือข้าศึกนึกพรั่นประหวั่นใจ | หรือท้าวไทแปลงมาเหมือนพาที |
ถ้าปลงจิตผิดผัวสิชั่วนัก | เสียยศศักดิ์สารพัดจะบัดสี |
จึงเสแสร้งแกล้งว่าจงปรานี | อย่าทำทีเทียมผัวให้ชั่วช้า |
ใช่รุ่นราวสาวแส้คนแก่เฒ่า | จะยั่วเย้ายุ่งหยาบบาปหนักหนา |
ที่ในวังยังอักโขล้วนโสภา | เชิญไปหาเห็นจะสมอารมณ์ปอง |
พระฟังคำซํ้าปลอบว่าขอบจิต | สุจริตรักผัวไม่มัวหมอง |
มิเสียทีที่พี่ได้ไว้ใจน้อง | จะปกป้องครองกันจนวันตาย |
อยู่ไกลตัวกลัวว่าปัจจามิตร | จะแนบชิดเคียงประโลมแม่โฉมฉาย |
จึงกลับมาพาไปมิให้อาย | อย่าเคลื่อนคลายเคลือบแคลงระแวงใจ |
พลางจูงหัตถ์ตรัสว่าอย่าช้าอยู่ | มนุษย์รู้รบต้านทานไม่ไหว |
นางฟังคำอํ้าอึ้งตะลึงตะไล | คิดจะไปแล้วก็คิดจะผิดตัว |
จึงว่าถ้าสามีจงนิมิต | ให้เพ่งพิศพักตร์เห็นว่าเป็นผัว |
นี่รูปร่างอย่างมนุษย์น้องสุดกลัว | จะแกล้งยั่วเย้าทำให้ช้ำใจ |
พระฟังนางพลางว่าผิดจริตแล้ว | แม่นางแก้วกินรีนี่ไฉน |
ให้เป็นยักษ์จักให้เขาจับเราไว้ | เถิดเห็นใจเจ้าแล้วเมียมิเสียแรง |
รู้กระนี้ไม่อยากมาคิดว่าซื่อ | เจ้าแปลกหรือหรือว่าอางขนางแหนง |
พี่บอกเล่าเจ้าทุกสิ่งเจ้ายิ่งแคลง | หรือจะแกล้งกลบเกลื่อนให้เฟือนทาง |
อยู่เถิดเจ้าเราจะไปมิใช่ผัว | จงตั้งตัวตามถนัดไม่ขัดขวาง |
ทำผินหลังยั้งยืนสะอื้นพลาง | สงสารนางนึกว่าพระสามี |
เห็นเคืองขัดตัดรอนวิงวอนไหว้ | น้องสงสัยว่ามนุษย์สุดบัดสี |
แม้นองค์พระภัสดาจงปรานี | อย่าราคีคิดแหนงแคลงฤทัย |
ขอทราบความตามจริงสักสิ่งหนึ่ง | นั่นแหละจึงจะสร่างทางสงสัย |
ถึงยากเย็นเป็นตายก็หมายใจ | จะตามไปไม่ขัดพระอัชฌา |
พระนั่งแนบแอบประโลมโฉมเฉลา | พี่รักเท่านัยเนตรของเชษฐา |
คนอื่นไกลใครเล่าจะเข้ามา | ไม่ควรแก้วแววตาจะราคี |
ระลึกถึงจึงอุตส่าห์มาหาน้อง | อย่าขัดข้องแหนงวิญญาณมารศรี |
พลางอิงแอบแนบนวลป่วนฤดี | พอสบทีถูกต้องทำนองใน |
เปรียบเหมือนดังพังแปรกที่แตกฝูง | เขาจับจูงจากดงด้วยหลงใหล |
ตามช้างต่อหมอขลังที่นั่งไพร | เห็นกิ่งไม้เหมือนหนึ่งป่าอุตส่าห์เดิน |
ต้องผูกกูบฟุบเท้าก็เคล่าคล่อง | ทำนิทำนองเปลี่ยนผลัดไม่ขัดเขิน |
เหมือนปี่เป่ากราวเชิดต่างเพลิดเพลิน | ไม่กํ้าเกินแก่หัดสันทัดกัน |
แต่นางเทพกินราคิดว่าผัว | ช่างแปลงตัวกลับกลายแยบคายขยัน |
จึงทูลถามตามประสงค์ว่าทรงธรรม์ | จะผ่อนผันคิดอ่านประการใด ฯ |
๏ พระลูบโลมโฉมเฉลาเยาวลักษณ์ | ไม่ลืมรักร่วมจิตพิสมัย |
แม้นตัวพี่ชีวันไม่บรรลัย | คงไม่ให้แก้วตาอนาทร |
จะพาไปไว้ที่พี่ไปอยู่ | ได้เคียงคู่สุวรรณบรรจถรณ์ |
แม่โฉมเทพกินราอย่าอาวรณ์ | จะรีบจรจวนแจ้งแสงตะวัน |
จงจัดแจงแต่งองค์เถิดนงลักษณ์ | พลางเชยพักตร์พิศชมภิรมย์ขวัญ |
นางโฉมยงหลงเลยด้วยเคยกัน | จนไก่ขันจวนจะแจ้งจัดแจงองค์ |
ประดับเครื่องเรืองจรัสประภัสสร | ใส่ปีกหางอย่างกินรนวลระหง |
พระผินพักตร์กลั้นพระสรวลชวนอนงค์ | นางโฉมยงเยื้องย่องจากห้องใน |
ออกจากปรางค์ทางว่าโยธาหาญ | ล้อมปราการตรวจกันเสียงหวั่นไหว |
ยุพาพินบินตามนะทรามวัย | เที่ยวดูให้รอบเขตนิเวศน์วัง |
แล้วเหาะเลื่อนเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยฟ้า | พระนำหน้านางงามบินตามหลัง |
พระร่อนเรียงเคียงคลอค่อยรอรั้ง | นางบินบังเบียดผัวด้วยกลัวพล |
พระแกล้งพาราร่อนให้อ่อนปีก | แฉลบหลีกลอยเร่ในเวหน |
เห็นพร้อมพรั่งคั่งคับทัพพยนต์ | เที่ยวเวียนวนวงรอบในขอบวัง ฯ |
๏ ฝ่ายตระเวนเห็นคนบนอากาศ | ต่างก็ฆาตฆ้องสัญญาทั้งหน้าหลัง |
ขึ้นขวางทางกลางฟ้าดาประดัง | คอยระวังมิให้ออกนอกกำแพง |
พอดาวเดือนเลื่อนลับพยับฟ้า | พระสุริยาไตรตรัสจรัสแสง |
นางเห็นพลบนอากาศหวาดระแวง | เข้าแอบแฝงภัสดาค่อยพาที |
โยธาทัพนับแสนมาแน่นนัก | เขาคอยกักกั้นไวัมิให้หนี |
ต้องเวียนวนจนสว่างขึ้นอย่างนี้ | จะรู้ที่ผ่อนผันทำฉันใด |
พระรอเรียงเคียงชิดสนิทสนอม | เจ้างามพร้อมมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว |
จะพาแก้วแววตาแม่คลาไคล | ไปอยู่ในปรางค์มาศปราสาททอง |
แล้วจูงองค์นงคราญลงชานพัก | เห็นพร้อมพรักนักสนมบังคมสนอง |
นางหวาดหวั่นพรั่นจิตผิดทำนอง | ดูพวกพ้องพนักงานหมอบกรานเตรียม |
พระนั่งกลางปรางค์มาศปราสาทรัตน์ | นางกระษัตริย์ทรุดกายด้วยอายเหนียม |
สาวสุรางค์นางห้ามตามธรรมเนียม | ต่างเฝ้าเฟี้ยมฟังรสพจมาน |
พระแย้มยิ้มพริ้มพรายชม้ายเนตร | เห็นอัคเรศรู้องค์ก็สงสาร |
หยิบพระศรีที่ตั้งอยู่ทั้งพาน | วางประทานนงลักษณ์ตรงพักตรา |
พระเทพินสิ้นสติดำริคิด | เห็นจะผิดผัวรักใช่ยักษา |
เราเสียกลผลกรรมได้ทำมา | จะเอาหน้าไปแฝงอยู่แห่งใด |
เสียดายองค์หลงผัวเหมือนชั่วชาติ | ใจจะขาดคิดน่าเลือดตาไหล |
จะกลั้นใจให้ตายกลับหายใจ | สะอื้นไห้ฮักฮักซบพักตรา |
พระตรัสถามทรามสวาทประหลาดแล้ว | เป็นไรแก้วนัยเนตรของเชษฐา |
อยู่ดีดีมิได้ขัดพระอัชฌา | มาโศกากีดขวางเป็นอย่างไร |
หรือทุกข์โศกโรคร้อนแต่ก่อนเก่า | ไม่บรรเทาทำเข็ญเป็นไฉน |
หรือหิวหอบบอบช้ำในนํ้าใจ | จึงร้องไห้ไม่แถลงให้แจ้งความ |
นางแสนแค้นแสนเล่ห์ช่างเสแสร้ง | ยังเสียดแทงถางถากเหมือนขวากหนาม |
จึงว่ากรรมทำไว้เหมือนไฟลาม | เฝ้าติดตามเติมซํ้าให้จำเป็น |
ถึงมิชั่วตัวดีถึงทีเคราะห์ | มาจงเจาะจำชั่วเพราะตัวเข็ญ |
คิดไม่ถึงจึงต้องพานํ้าตากระเด็น | ไม่รักเป็นกายคนแต่จนใจ |
แม้นเจ้ากรรมทำลายให้วายวอด | เห็นยิ่งยอดยินดีจะมีไหน |
นางครวญคร่ำร่ำว่าโศกาลัย | พระชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย |
พระฟังเปรียบเฉียบแหลมยิ้มแย้มเยาะ | สะเดาะเคราะห์ออกเสียเถิดให้เฉิดฉาย |
เพราะพระเสาร์เข้ามาแทรกจึงแยกย้าย | เหมือนกระต่ายติดกับต้องอับปาง |
อันตัวพี่นี้นํ้าใจเจ้าไม่ชอบ | จะช่วยปลอบก็กระดากดังขวากขวาง |
ความรักใคร่ไม่ยืดจึงจืดจาง | จะต้องค้างมรสุมเที่ยวตุ๋มลอย |
เพราะลมกล้าสาหัสตะปัดตะป่อง | เรือจึงต้องติดวนเหมือนก้นหอย |
จะชิดเฉียดเกลียดกลัวมดตัวน้อย | มันจะต่อยเท้งเต้งวังเวงใจ |
อันรูปร่างอย่างมนุษย์เห็นหลุดยักษ์ | ไม่รู้จักห้ามปรามตามวิสัย |
พระเสแสร้งแกล้งล้ออรไท | แล้วเข้าในแท่นทองห้องบรรทม ฯ |
๏ นางฟังตรัสตัดรอนยอกย้อนเย้ย | สุดจะเงยดูสุรางค์นางสนม |
สะอื้นอั้นกลั้นกลัดอัดอารมณ์ | กำเริบลมจับนิ่งไม่ติงกาย |
หลวงแม่เจ้าเถ้าแก่เข้าแซ่ซ้อง | จับประคองขนองเน้นที่เส้นสาย |
ค่อยริกริกพลิกฟื้นสะอื้นอาย | เจ้าขรัวนายนั่งปลอบให้ชอบใจ |
แม่ไม่มีที่พึ่งอย่าขึ้งโกรธ | จงออมโอษฐ์อ่อนความตามวิสัย |
พวกข้าเฝ้าสาวสนมกรมใน | จะพลอยได้พึ่งพาบารมี ฯ |
๏ นางกระษัตริย์อัดอั้นให้ตันจิต | สุดจะปิดสุดจะปัดให้บัดสี |
จึงว่ากรรมจำเป็นถึงเช่นนี้ | มิรู้ที่คิดอ่านประการใด |
ด้วยสัจจังหวังว่าพญายักษ์ | แปลงมารักลุ่มหลงไม่สงสัย |
จึงหลงตามความแสนที่แค้นใจ | จะอยู่ไปเป็นคนไม่พ้นอาย |
โอ้กินราหรือมาต้องเป็นสองผัว | เหมือนหญิงชั่วชอกช้ำสล่ำสลาย |
วาสนาอาภัพให้กลับกลาย | นางฟูมฟายชลนาโศกาลัย |
พวกท้าวนางต่างว่าอย่ากันแสง | มิใช่แกล้งกลับจิตคิดไฉน |
เหมือนเสียแก้วแล้วกรรมทำอย่างไร | จะเกลี่ยไกล่กลับคิดให้ชิดเชื้อ |
อย่ากำสรดอตส่าห์เข้าไปเฝ้าแหน | ยึดให้แน่นเหมือนอย่างยึดหางเสือ |
แม้นละเมินเหินห่างจะร้างเรื้อ | เหมือนเสียเกลือเนื้อเน่าไม่เข้ายา |
เธอลวงโลมโฉมยงให้หลงเล่ห์ | เพราะบุพเพนิวาสพาสนา |
ถึงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจะนินทา | เทวดาท่านก็เห็นเป็นพยาน |
สงวนยศอตส่าห์สามิภักดิ์ | ถึงมิรักก็คงจะสงสาร |
ถือทิฐิสิจะกลับอัประมาณ | ทั้งเสียการเสียกายเสียดายดี |
นางเห็นจริงนิ่งคะนึงแล้วจึงตอบ | ว่าก็ชอบสารพัดจะบัดสี |
ใช่สาวแส้แก่ตัวลูกผัวมี | แต่ครั้งนี้มีกรรมจะทำไป |
แค้นแต่ปากอยากจะว่าให้สาหัส | เห็นจะขัดเคืองวิญญาณ์ที่ปราศรัย |
ปรึกษาพลางนางกระษัตริย์จัดสไบ | ตามเข้าไปในที่ศรีไสยา |
จึงบังคมก้มกรานประทานโทษ | ได้ขึ้งโกรธเจ้าชีวิตผิดหนักหนา |
แต่นี้ไปไม่ขัดพระอัชฌา | ขอเป็นข้ากว่าชีวันจะบรรลัย ฯ |
๏ พระยิ้มพลางทางว่าเป็นข้าเจ้า | มิว่างเปล่าอยู่หรืองานการที่ไหน |
แม้นเป็นพระมเหสีจะดีใจ | จะได้ใช้เช่นนั้นเหมือนสัญญา |
นางอายเอียงเมียงหมอบตอบพระโอษฐ์ | ตามแต่พระจะประโยชน์โปรดเกศา |
ไม่ขัดเลยเคยขยาดพระอัธยา | จะค่อนว่าทารกรรมให้จำตาย |
พระว่าพี่วิสัยมิใช่ยักษ์ | จะได้หักคอเมียเสียง่ายง่าย |
แต่ต้องห้ามปรามปราบที่หยาบคาย | ให้หายร้ายรู้จักขอเคยหมอควาญ |
พลางแย้มสรวลชวนชมภิรมย์รื่น | ให้แช่มชื่นเชิงรักสมัครสมาน |
แล้วถามนางปางก่อนนครมาร | นอกเมืองนี้ที่สำราญประการใด |
นางนบนอบตอบรสพจนารถ | ที่ประพาสภูผาพฤกษาไสว |
มีสระนํ้าถํ้าธารสำราญใจ | แต่ต้องไปแรมค้างกลางพนม |
มีตำหนักรักษาพลับพลาพร้อม | ล้วนไม้หอมห้องสุรางค์นางสนม |
เกิดเพชรนิลถิ่นฐานสำราญรมย์ | เชิญไปชมให้สบายคลายพระหัย |
พระชื่นชอบตอบว่าจงพาพี่ | ไปพรุ่งนี้นอนค้างหว่างไศล |
แล้วออกนั่งยังสิงหาสน์ปราสาทไชย | เสนาในอภิวันท์จึงบัญชา |
พรุ่งนี้เช้าเราจะออกไปชมสวน | เกณฑ์กระบวนแห่แหนให้แน่นหนา |
ประเทียบเหล่าสาวสรรค์กัลยา | ให้พร้อมกันทันเวลาจะคลาไคล |
อำมาตย์รับอภิวาทมาบาดหมาย | ทั้งไพร่นายเกณฑ์กันเสียงหวั่นไหว |
ถือปืนผาอาวุธธุชธงชัย | หมวกเสื้อใส่ต่างต่างละอย่างกัน |
เกณฑ์แห่รายซ้ายขวาทั้งหน้าหลัง | ได้พร้อมพรั่งพลไกรพอไก่ขัน |
ประเทียบเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล | มีม่านกั้นกำบังปูหลังคา |
นกอินทรีที่ทรงองค์กระษัตริย์ | วิมานรัตน์รุ้งพราววาวเวหา |
มาเรียงเรียบเทียบประทับที่พลับพลา | พอเวลารุ่งเสร็จสำเร็จการ ฯ |
๏ ฝ่ายสนมกรมในทั้งใหญ่น้อย | ต่างเพลินพลอยปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ |
กับทั้งเหล่าสาวสรรค์พนักงาน | เตรียมเครื่องอานตามตำแหน่งจัดแจงกาย |
แต่องค์พระมเหสีผู้มียศ | ให้นึกอดสูใจมิใคร่หาย |
ด้วยสามีมิได้เห็นว่าเป็นตาย | ออกตามชายชมสวนไม่ควรเป็น |
จะบอกป่วยฉวยเธอคิดว่าบิดพลิ้ว | จะโกรธกริ้วกราดเกรี้ยวพูดเคี่ยวเข็ญ |
จะโศกเศร้าเร่าร้อนไม่หย่อนเย็น | โอ้จำเป็นกองกรรมได้ทำมา |
จะจัดแจงแต่งตัวตามผัวใหม่ | ก็อายใจว่าจะรักเธอหนักหนา |
ครั้นมิแต่งจะว่าแกล้งทำมารยา | จะค่อยว่าแนมเหน็บให้เจ็บใจ |
เป็นจำจนอ้นอั้นให้ตันจิต | สุดจะคิดขัดข้องทำนองไหน |
จะต้องรับอับอายทรงกายไป | พอพ้นภัยไม่พ้นคนนินทา |
ดำริพลางนางชำระสระสนาน | พนักงานคอยถวายเครื่องซ้ายขวา |
ไม่แต่งองค์นงลักษณ์ผัดพักตรา | เลือกแต่ผ้านุ่งห่มพอสมทรง |
สร้อยสังวาลบานพับสำรับเก่า | ไม่กวดเกล้ากันเกศเนตรขนง |
แล้วชวนเหล่าสาวสุรางค์นางอนงค์ | มาเฝ้าองค์อิศราคอยคลาไคล ฯ |
๏ พระเห็นพักตร์อัคเรศก็รู้เท่า | ทรงเครื่องเก่าเศร้าหมองไม่ผ่องใส |
จึงแกล้งตรัสตัดพ้ออรไท | ในจิตใจพี่นี้เหมือนจะเลื่อนลอย |
ให้หนักหน่วงห่วงหลังระวังหน้า | นึกพะว้าพะวังวนดังก้นหอย |
จะแต่งตัวกลัวจะพานํ้าตาย้อย | ด้วยแรงน้อยเหนื่อยอ่อนผ่อนกำลัง |
จะไปไหนให้ขยั้นไม่ทันเพื่อน | ไม่ชื่นเหมือนเยี่ยงอย่างแต่ปางหลัง |
หรือเจ้าไม่พอใจออกไปนอกวัง | จะได้สั่งให้เลิกพลสกลไกร |
นางฟังคำรํ่าตรัสเป็นตัดพ้อ | ไม่ย่อท้อทูลแจ้งแถลงไข |
แสนสงสารผ่านเกล้าเศร้าพระทัย | ด้วยมาไกลนคเรศนิเวศน์วัง |
สรงเสวยเคยชื่นระรื่นรส | ต้องออมอดอัตคัดประหวัดหวัง |
ทั้งยี่ภู่สุวรรณแท่นบัลลังก์ | ที่จัดตั้งแต่งถวายก็คายคัน |
ด้วยเมืองยักษ์นครากาลวาศ | เป็นเชื้อชาติชาวป่าพนาสัณฑ์ |
ล้วนซื่อดายตายเปล่าโฉดเขลาครัน | ไม่รู้ชั้นเชิงที่ปฎิพัทธ์ |
แต่เป็นข้าฝ่าละอองฉลองบาท | โปรดประภาษเป็นไฉนก็ไม่ขัด |
ชาวโกญจามารันล้วนสันทัด | รู้แยบยลปรนนิบัติพระอัชฌา |
จึงใช้สอยคล่อยคล่องไม่ต้องโทษ | ควรจะโปรดปฎิพัทธ์มนัสสา |
ที่เมืองนี้มีแต่โง่เหมือนโคนา | จะผูกพาไปข้างไหนก็ไปตาม |
ถึงจะใช้ให้เหมือนคนทุพพลภาพ | จะคอนหาบหาสาแหรกไปแบกหาม |
สนองคุณมุลิกาพยายาม | สุดแต่ตามพระจะโปรดที่โทษทัณฑ์ ฯ |
๏ ชะโฉมเทพกินราคิดว่าแก่ | มิรู้แง่งอนคารมคมขยัน |
ถึงสาวสาวชาวโกญจาเมืองมารัน | ไม่เทียมทันเทียบเจ้านางเฒ่ารึ้ง |
คอยเขม้นเช่นกับงูจะสู้หมอ | ไม่รั้งรอร้ายดุทะลุถึง |
เหลือกำลังยังไม่เชื่องเปรียวเปรื่องปรึง | ทั้งลึกซึ้งสารพัดได้หัดปรือ |
จะไปสวนป่วนปั่นกระสันโศก | มิเกิดโรคร้อยแก้วขึ้นแล้วหรือ |
กำเริบลมตรมใจเหมือนไฟฮือ | เห็นจะรื้อเรื้อรังให้คลั่งคลุ้ม |
แม้นรักษายาเย็นเห็นไม่ฟื้น | คงจะกลืนลูกกลอนร้อนสุขุม |
ยิ่งเดินทางกลางหนที่คนชุม | จะกลัดกลุ้มป่วนปั่นเป็นมั่นคง |
พลางสรวลสันต์บันเทิงด้วยเชิงฉลาด | ลงจากอาสน์จรลีเข้าที่สรง |
นํ้ากุหลาบอาบอบตรลบองค์ | ภูษาทรงสนับเพลาพริ้งเพราพราย |
ใส่เสื้อทองกรองศอลอออ่อน | ทับทรวงซ้อนสังวาลประสานสาย |
มงกุฎเก็จเพชรกระจ่างพร่างประกาย | พระหัตถ์ซ้ายธำมรงค์อลงการ |
ครั้นเสร็จสรรพจับพระขรรค์แล้วลีลาศ | นำสุรางค์นางนาฏจากราชฐาน |
ขึ้นทรงนั่งหลังอินทรีที่วิมาน | ตั้งเครื่องอานพานสุวรรณเป็นหลั่นลด |
แต่นงลักษณ์อัคเรศอยู่ริมแท่น | พวกห้ามแหนแวดล้อมอยู่พร้อมหมด |
ฝูงกำนัลขันทีที่มียศ | ขึ้นนั่งรถพระประเทียบดูเรียบเรียง |
ให้คลายคลี่รี้พลพหลแห่ | ทั้งหน้าหลังสังข์แตรเซ็งแซ่เสียง |
กลองชนะมลายูเป็นคู่เคียง | จากวังเวียงเรียงเดินขึ้นเนินดง |
นกอินทรีที่นั่งบัลลังก์อาสน์ | เผ่นผงาดเยื้องย่างเหมือนอย่างหงส์ |
ทหารรายซ้ายขวารักษาองค์ | กองกันวงเกียกกายรายระวัง |
เข้าเดินทางหว่างพนมร่มระรื่น | เสียงครึกครื้นโยธาทั้งหน้าหลัง |
เสียงกงรถปรดปรึงก้องกึงกัง | สะเทื้อนดังกังสดาลสะท้านไพร |
พฤกษาออกดอกดวงเป็นพวงห้อย | ระย้าย้อยอยู่ที่ข้างทางไสว |
นางชาววังนั่งแลอยู่แต่ไกล | เห็นเกือบใกล้รัถาก็คว้าชิง |
บ้างได้ผลหล่นร่วงได้ดวงดอก | บ้างเยาะหยอกพูดจาประสาหญิง |
เก็บมะไฟได้มะทรางมะปรางปริง | เป็นกิ่งกิ่งเลียบสล้างไปข้างรถ |
จอมกระษัตริย์ทัศนาพฤกษาสูง | ต้นยางยูงเย็นระรื่นชุ่มชื่นสด |
คีรีเรียงเคียงกันเป็นหลั่นลด | บ้างสูงจดจอมเมฆวิเวกใจ |
บ้างเขียวขาววาววงตะล่งเลื่อม | ชะงักเงื้อมง้ำชะโงกโตรกไศล |
เสียงสินธุพุลั่นสนั่นไพร | เป็นธารใสทรายแก้วพลอยแพรวพราย |
มีห้วยเหวเปลวปล่องช่องชะวาก | ดูหลากหลากเล่ห์เขียนวิเชียรฉาย |
พระชมเพลินเนินผาศิลาลาย | ขึ้นเนินทรายแซ่เสียงสำเนียงพล |
เห็นมืดกลุ้มคลุ้มมาในอากาศ | ดูเกลื่อนกลาดทางฟ้าเวหาหน |
เสียงโห่ร้องก้องกระหึ่มครึ้มคำรน | ให้หยุดพลพยุหบาตรดาษดา |
ดูคับคั่งตั้งถ้วนกระบวนทัพ | คอยรบรับเรียงรายทั้งซ้ายขวา |
นกอินทรีที่นั่งยืนรั้งรา | อยู่กลางหมู่โยธาดูอาการ ฯ |
๏ จะกลับกล่าวท้าวเทพาสูรยักษ์ | กับเพื่อนรักเร่งรัดจัดทหาร |
หมายจะตรงลงหยุดอุทยาน | พอหมู่มารกองนอกมาบอกความ |
ว่ากองทัพคับคั่งมาตั้งอยู่ | สังเกตดูไพร่พลออกล้นหลาม |
ยังสงสัยไม่ประจักษ์ตระหนักนาม | จึงร้องห้ามอสุราพลากร |
ให้เกียกกายนายทัพขับพหล | ลงหยุดบนเนินทรายชายสิงขร |
ครั้นรวบรอมพร้อมทหารเคยราญรอน | ขับมังกรไปหน้าโยธามาร |
เห็นเสนาข้าไทมาในทัพ | สมทบกับวิทยาดูกล้าหาญ |
ยิ่งขัดแค้นแน่นใจดังไฟกาล | ร้องด่ามารมาตยาเสนาใน |
ทำไมมึงจึงมากับทัพมนุษย์ | หมายว่าสุดสิ้นฝีมือกูหรือไฉน |
ประเดี๋ยวนี้ชีวันจะบรรลัย | จงกลับไปช่วยกันมัดพวกศัตรู |
ได้แก้แค้นแทนที่ฆ่าพี่น้อง | ให้กึกก้องเกียรติยศไม่อดสู |
ถ้าครั้งนี้มิช่วยเข้าด้วยกู | ขืนรบสู้กูจะล้างให้วางวาย ฯ |
๏ พวกนายกองร้องว่าพญายักษ์ | ยังรู้จักรักชีวีออกหนีหาย |
อันพหลพลกายทั้งไพร่นาย | ก็กลัวตายจึงต้องมาสามิภักดิ์ |
แต่องค์พระมเหสีที่สนิท | ยังมาติดตามองค์พระทรงศักดิ์ |
ทั้งห้ามแหนแสนสาวที่ท้าวรัก | ก็สมัครเข้าด้วยพระภูวไนย |
อันหมู่มุขทุกกระทรวงพระหลวงขุน | ใครมีบุญก็เป็นข้าได้อาศัย |
จะโกรธาฆ่าฟันทำฉันใด | ก็จนใจไม่รู้ที่จะหนีตัว ฯ |
๏ เทพาสูรทรงฟังให้คั่งแค้น | ว่าห้ามแหนมเหสีต่างมีผัว |
เงยพักตร์ไม่ใคร่ขึ้นให้มึนมัว | สู้ทรงตัวร้องถามตามสงกา |
จริงหรือวะมเหสีเขามีชู้ | หรือโกรธกูกล่าวแกล้งแสร้งมุสา |
พวกอสูรทูลแถลงแจ้งกิจจา | เดี๋ยวนี้มาพร้อมพรั่งอยู่หลังทัพ |
เทพาสูรฉุนแค้นแสนสลด | อ่อนระทดระทวยล้มจมลมจับ |
ประลัยกัลป์นั้นเข้าประคองรับ | นวดประทับให้สหายค่อยคลายใจ |
แล้วว่าเกลอเธออย่าทุกข์จะรุกรบ | มันจะหลบหลีกหนีทันที่ไหน |
มเหสีอีสนมกรมใน | จับมาได้แล่เนื้อเอาเกลือทา |
เทพาสูรฉุนเฉียวคิดเหนี่ยวหน่วง | หรือมันลวงดอกกระมังยังกังขา |
ไม่เห็นแน่แก่ใจนัยนา | จึงห้ามว่าอย่าเพ่อรบสงบดู |
คำโบราณท่านห้ามความลับหลัง | อย่าให้ฟังคำฟ้องทั้งสองหู |
แม้นจริงจังครั้งนี้มันมีชู้ | จะเลี้ยงดูที่ไหนได้ฆ่าให้ตาย |
แล้วทำทีสีหนาทประกาศก้อง | เหวยพวกพ้องไพรินสิ้นทั้งหลาย |
จะฆ่าฟันกันต่างจะวางวาย | บอกเจ้านายมึงให้มารบราวี ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงมหาศักดาเดช | มงกุฎเกศกระษัตริย์ชาติดังราชสีห์ |
ให้แหวกทัพขับวิหคนกอินทรี | ออกยืนที่ตรงหน้าพญามาร |
แล้วร้องเย้ยเหวยเทพาสุราราช | ที่แขนขาดหรือไม่หายาประสาน |
ยังยกทัพขับมาหาพระกาฬ | ไปวานมารมาช่วยตายไม่อายใจ |
อันสาวสาวชาวพารากาลวาศ | เห็นแขนขาดเขาไม่คิดพิสมัย |
ไม่อดสูผู้หญิงจะชิงชัย | จะบรรลัยแหลกลงเป็นผงคลี |
ท่านท้าวเทพาสูรคิดขุ่นข้อง | เขม้นมองร้องอุเหม่มเหสี |
หลงรำลึกนึกถึงว่ามึงดี | กลับมามีผัวใหม่นอกใจกู |
ช่างลอยหน้าสามิภักดิ์รักมนุษย์ | ขากถุยทุดทรยศไม่อดสู |
อีห้ามแหนแสนซำสามมาตามชู้ | อยู่ใกล้กูจะใคร่ถองสักสองตึง |
ชะคิดแค้นแต่นางแม่อีแก่แรด | สาวสิบแปดปีเปรียบไม่เทียบถึง |
มาแอบหลังนั่งเฝ้าให้เคล้าคลึง | กระบวนมึงมิรู้สิ้นอีลิ้นทอง |
เสียแรงรักภักดีดังชีวิต | หรือมาคิดเมามัวมีผัวสอง |
แม้นจับได้ไม่เลี้ยงเคียงประคอง | จะทุบถองล้างนํ้าให้หนำใจ ฯ |
๏ นางเทพกินราก้มบังคมกราบ | สารภาพผิดนักควรตักษัย |
จะตีฆ่าด่าฟันทำฉันใด | ไม่นอกใจเจ้าพระคุณกรุณา |
ถึงจะถือซื่อสัตย์ก็พลัดชั่ว | เหมือนเมามัวมืดมิดผิดหนักหนา |
อันความดีที่จะทูลมูลิกา | เหมือนมืดสิ้นดินฟ้านภาลัย |
เหลือจะทูลมูลความเมื่อยามผิด | สุดจะคิดให้พระองค์สิ้นสงสัย |
แต่เทวัญชั้นฟ้าสุราลัย | จะเห็นใจจริงจังในครั้งนี้ |
พลางแลดูภูธรเห็นกรขาด | อเนจอนาถในวิญญาณ์มารศรี |
สะอึกสะอื้นฝืนอารมณ์ไม่สมประดี | วิสัญญีอยู่กับอาสน์เพียงขาดใจ ฯ |
๏ พญายักษ์รักนางอย่างชีวิต | เห็นรับผิดพูดลึกนึกสงสัย |
ดูท่วงทีกิริยายังอาลัย | เห็นจะไม่สู้เสียดอกเมียเรา |
ดำริพลางทางว่าเหวยมนุษย์ | เป็นบุรุษหฤโหดช่างโฉดเขลา |
ไม่กลัวบาปหยาบใหญ่ด้วยใจเบา | เมียของเขาคบค้าน่าไม่อาย |
อันห้ามแหนแสนสาวอีเหล่านั้น | ไม่ป้องกันอนุญาตเหมือนมาดหมาย |
แต่เมียหลวงหวงแหนแสนเสียดาย | อย่าวุ่นวายขัดขวางส่งนางมา ฯ |
๏ พระยิ้มพลางทางว่าพญายักษ์ | แม้นเขารักเรียกให้เขาไปหา |
อสุรินทร์ผินพักตร์จำนรรจา | ร้องเรียกเทพกินราไม่พาที |
แลเขม้นเห็นซบสลบนิ่ง | ไม่ไหวติงกายามารศรี |
เอ๊ะเป็นไรไม่มาหาสามี | หรือเทวีวายวางเป็นอย่างไร |
พระร้องว้าฮ้าสิงหไกรภพ | นางสลบนิ่งแน่ไม่แก้ไข |
ดูดู๋เหล่าสาวสรรค์กำนัลใน | ทำไมไม่นวดฟั้นกัลยา ฯ |
๏ พระสรวลพลางทางลวงว่าดวงสมร | เขาแกล้งนอนเสียเขาไม่อยากไปหา |
เมื่อคืนนี้นงลักษณ์เล่นสักรวา | จนเวลารุ่งเช้าจึงหาวนอน |
ประลัยกัลป์นั้นห้ามปรามสหาย | มันรักชายเชื่อฟังเขาสั่งสอน |
จึงเสแสร้งแกล้งนิ่งให้วิงวอน | จะง้องอนมันทำไมไม่ได้การ |
มันมีชู้รู้เห็นอยู่เป็นแน่ | ชอบแต่แล่เนื้อให้กาเป็นอาหาร |
จะทำให้ไฟกัลป์นั้นบันดาล | ประหารผลาญเสียให้ยับทั้งทัพชัย |
เทพาสูรกลัวจะเสียมิ่งเมียรัก | แกล้งหน่วงหนักผันแปรพูดแก้ไข |
แสนสงสารมารพหลสกลไกร | ที่จำใจมาด้วยจะม้วยมรณ์ |
เราคิดล่อพอให้อ้ายไกรภพ | ออกไปรบที่กลางหว่างสิงขร |
ทั้งนักสิทธ์วิทยาวิชาธร | ให้ไฟฟอนเสียไหม้ทั้งไพร่นาย |
ปรึกษาพลางว่าเหวยเฮ้ยมนุษย์ | จะยงยุทธ์ด้วยกำลังไพร่ทั้งหลาย |
นึกเอ็นดูหมู่พหลพลนิกาย | จะพลอยตายเสียเปล่าไม่เข้าการ |
แต่แม่ทัพรับสู้กันดูเล่น | ให้พลเห็นฤทธิแรงกำแหงหาญ |
แม้นชนะพระสหายเราวายปราณ | จงอยู่ผ่านธานีให้ปรีดา |
พระแย้มยิ้มพริ้มพรายภิปรายตรัส | อันกระษัตริย์เชื้อชาติวาสนา |
แม้นเมืองน้อยถอยกำลังอหังการ์ | ก็ต้องให้แต่ข้าออกราวี |
เหมือนตัวท่านราญรอนจนอ่อนฤทธิ์ | ครั้นสุดคิดแล้วก็ละสละหนี |
ยังกลับมาท้าทายอายไม่มี | นับถือผีพวกยักษ์จักรวาล |
ล้วนโยธาหน้ากากหลากประหลาด | เหมือนปีศาจโซเซเดรัจฉาน |
ทั้งเซอะซะจะเข้ามาหาพระกาฬ | เหมือนจะวานผลาญกายให้วายวาง |
ประลัยกัลป์หันหุนให้ฉุนโกรธ | นัยน์ตาโชติช่วงแดงดังแสงฝาง |
ทั้งเขี้ยวงอกออกเป็นวาเหมือนงาช้าง | ชี้มือพลางทางว่าเหวยมนุษย์ |
อันตัวกูผู้มหาอานุภาพ | เคยปรามปราบฟ้าดินให้สิ้นสุด |
ใครไม่หาญทานคทาเทพาวุธ | จะม้วยมุดเหมือนแมงเม่า[๑]มาเข้าไฟ |
นี่หากว่าพระสหายเสียดายหญิง | จะพลอยมิ่งเมียรักเขาตักษัย |
แม้นมิคิดนิดเดียวประเดี๋ยวใจ | จะบรรลัยแหลกลงเป็นผงคลี |
จะรบรับจับเป็นให้เห็นฤทธิ์ | สมที่ผิดเมียรักท้าวยักษี |
พลางเร่งทัพขับพหลพลโยธี | เข้าโจมตีทัพหน้าชาวมารัน ฯ |
๏ ฝ่ายพวกยักษ์จักวาลแกว่งขวานง้าว | พุ่งแหลนหลาวไล่กระโจมโถมถลัน |
พระยาธรรอนรับจับประจัญ | ต่างต่อแย้งแทงฟันกันบรรลัย |
เสียงฉัวะฉัวะผลัวะผลุทะลุทะลัก | เลือดพลักพลักพลุ่งพล่านดังธารไหล |
ทั้งตีนตัวหัวขาดเกลื่อนกลาดไป | บ้างลากไส้พุงวิ่งทิ้งอาวุธ |
พวกพยนต์พลทรายกายสิทธิ์ | ต่างตามติดตีทัพสัประยุทธ์ |
เหยียบกุมภัณฑ์ฟันแทงด้วยแรงรุด | อุตลุดจับกุมตะลุมบอน |
ประลัยกัลป์เห็นทัพย่อยยับแยก | บ้างตื่นแตกตายกลิ้งดังสิงขร |
เงื้อกระบองร้องดังขับมังกร | เข้าไล่ต้อนตีพยนต์ไม่ทนทาน |
ถูกโยธาขาขาดล้มกลาดกลิ้ง | ได้ทียิ่งรุกมาที่หน้าฉาน |
พระขับนกผกโผนโจนทะยาน | เข้าต่อต้านตีรันประจัญรบ |
อินทรีโถมโจมจิกหยิกด้วยเล็บ | มังกรเจ็บพลิกสะบัดเลี้ยวกัดขบ |
นกอินทรีตีมังกรเสือกซอนซบ | พระไกรภพเผ่นไล่ประลัยกัลป์ |
ต่างแรงเรี่ยวเคี่ยวขับสัประยุทธ์ | อุตลุดเลี้ยวลัดสะพัดผัน |
อสุรีตีพลาดพระฟาดฟัน | ถูกกุมภัณฑ์ล้มดิ้นสิ้นชีวา |
แต่ท้าวเทพาสูรนั้นวุ่นวิ่ง | เข้าฉุดชิงเมียรักของยักษา |
พระเหลียวเห็นเผ่นฟาดด้วยสาตรา | ถูกแขนขวาขาดพลัดตกปัถพี |
ยังแต่ตัวกลัวตายอายผู้หญิง | อุตส่าห์วิ่งเหยาะเหยาะแล้วเหาะหนี |
พวกพลยักษ์จักรวาลไม่ต้านตี | ขอชีวีวอนว่าเป็นข้าไท |
จอมกระษัตริย์ตรัสห้ามปรามทหาร | ไมให้ผลาญพวกยักษ์ให้ตักษัย |
แล้วรวบรอมพร้อมพหลสกลไกร | ได้กระบองของประลัยกัลป์มาร |
มเหสีที่ลมจับก็กลับฟื้น | เสด็จคืนเข้านิเวศน์ประเทศสถาน |
ให้รางวัลบรรดาข้าราชการ | ทั้งทหารล้วนทั่วทุกตัวกัน |
พวกเจ้าจอมหม่อมห้ามที่ตามเสด็จ | ใส่แหวนเพชรสร้อยสะอิ้งทุกสิ่งสรรพ์ |
หลวงแม่เจ้าท้าวนางได้รางวัล | ทั้งกำนัลนักสนมกรมใน ฯ |
๏ จะกลับกล่าวท้าวเทพาสูราบ้าง | เหาะไปกลางเกลียวมหาชลาไหล |
ไม่มีแขนแสนสลดรันทดฤทัย | แม้นอยู่ไปก็จะรับแต่อับอาย |
จึงโจนลงคงคาประดานํ้า | กระเดือกดำดิ่งไปลึกใจหาย |
จะกลับผุดสุดแรงพลิกแพลงกาย | ก็บรรลัยในสายสมุทรไท ฯ |
๏ จะกล่าวความนามขินีเป็นที่รัก | เมียประลัยกัลป์ยักษ์ที่ตักษัย |
ได้แก้วตาของพญานกยูงไว้ | ทำแหวนใส่นิ้วนางอย่างมนุษย์ |
รู้เหาะเหินเดินฟ้านภากาศ | ด้วยอำนาจแก้วเนตรวิเศษสุด |
เมื่อสามีกรีพลไปรณยุทธ์ | ครั้นม้วยมุดมีลางถึงนางมาร |
ให้ฝันเห็นเป็นว่าผัวนั้นหัวขาด | โลหิตสาดโซมองค์น่าสงสาร |
พอตื่นเช้าบ่าวมาบอกอาการ | ว่าขุนมารผัวขวัญนั้นบรรลัย |
ยักขินีตีอกแล้วชกหัว | ลงทอดตัวโศกซบสลบไสล |
แล้วกลับฟื้นกลืนกลํ้าระกำใจ | นั่งร้องไห้โหยหาถึงสามี |
เสียงโฮโฮโอ้ว่าพญายักษ์ | เคยฟูมฟักรักน้องไม่หมองศรี |
มาสิ้นสูญบุญท้าวเสียคราวนี้ | ไม่มีที่พึ่งพาเอกากาย |
โอ้อกกูอยู่เดียวเปล่าเปลี่ยวจิต | ยิ่งคิดคิดแล้วให้จิตใจหาย |
จะนั่งนอนร้อนรนกระวนกระวาย | เฝ้าฟูมฟายแต่นํ้าตาด้วยอาลัย |
ยามเที่ยงคืนดื่นดึกนึกถึงผัว | ยิ่งหมองมัวซบหน้านํ้าตาไหล |
จะแลเหลียวเปลี่ยวเปล่าง่วงเหงาใจ | จำจะไปตามหาศพสามี |
แม้นหลอเหลือเนื้อหนังยังไม่สูญ | จะกองกูณฑ์เก็บเข้าช่วยเผาผี |
ให้สิ้นตัวผัวรักด้วยอัคคี | จะได้มีผัวอื่นให้ชื่นใจ |
จึงจัดแจงแต่งกายนุ่งลายอย่าง | สไบบางริ้วทองผุดผ่องใส |
ตุ้มหูห้อยสร้อยนวมสวมกำไล | แล้วสอดใส่แหวนแววแก้วโมรา |
กรีดนิ้วมือถือพัดดูหยัดเหยาะ | ระเห็จเหาะข้ามทะเลลอยเวหา |
หนทางไกลได้เดือนไม่เคลื่อนคลา | ถึงกรุงกาลวาศลงริมพงไพร |
พอพวกยักษ์จักรวาลมาพานพบ | ถามถึงศพสามีอยู่ที่ไหน |
พวกบ่าวนำตำแหน่งให้แจ้งใจ | นางแลพบศพประลัยกัลป์มาร |
ซากศีรษะอัฐิเปื่อยปริเน่า | จึงก้มเกล้ากราบลงด้วยสงสาร |
สะอื้นอั้นตันใจอาลัยลาญ | ขินีมารร้องไห้ฟายน้ำตา |
โอ้พ่อคุณทูนหัวผู้ผัวแก้ว | มาม้วยแล้วสิ้นชาติวาสนา |
เมียอุตส่าห์พยายามติดตามมา | ไม่พูดจาด้วยบ้างเหมือนอย่างเคย |
เมื่อยามเป็นเห็นเมียเคยเคลียเคล้า | ประโลมเล้าเนื้ออุ่นพ่อคุณเอ๋ย |
ตั้งแต่นี้มิได้คืนมาชื่นเชย | จะแลเลยลับเลื่อนทุกเดือนปี |
เคยนอนแท่นแผ่นผาศิลาลาด | มาไสยาสน์ริมข้างทางวิถี |
ยิ่งสมเพชเวทนาศพสามี | เสียงโฮโฮโศกีพิรี้พิไร |
พอขุนยักษ์จิตราพาทหาร | เที่ยวตรวจด่านเดินทางหว่างไศล |
ถึงเนินทรายชายป่าพนาลัย | เห็นร้องไห้รักผัวจับตัวมา |
แกล้งคุกคามถามดูก็รู้จัก | ว่าเป็นมิ่งเมียรักท้าวยักษา |
พวกกบฏกฎหมายวายชีวา | ให้บ่าวผูกมือมาถึงธานี |
พอพระองค์ทรงเดชเกศกระษัตริย์ | ออกนั่งตรัสการบำรุงซึ่งกรุงศรี |
ขุนจิตราพานางอสุรี | เข้าไปที่เฝ้ามูลกราบทูลความ |
พระทรงฟังสังเวชเป็นเพศหญิง | ครั้นจะนิ่งเสียก็ยากเหมือนขวากหนาม |
ถ้าปล่อยปละจะละเลิงดังเพลิงลาม | สั่งให้ล่ามโซ่จำใช้ทำงาน |
ข้างโฉมยงองค์มิ่งมเหสี | เห็นยักขินีซื่อตรงก็สงสาร |
ทูลอ้อนวอนขอโทษพระโปรดปราน | รับนางมารมาไว้ห้องไสยา |
ถือว่าพระมเหสีสหายผัว | เป็นเพื่อนตัวตื้นลึกได้ปรึกษา |
ทั้งนางยักษ์รักเทพกินรา | ค่อยพูดจาปรนนิบัตินั่งพัดวี ฯ |