- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวอินณุมาศเจ้าเมืองโกญจาได้โอรสบุญธรรม
- ตอนที่ ๒ คงคาประลัยขบถ
- ตอนที่ ๓ พราหมณ์จินดาลักพระกุมารไป ท้าวพินทุมารจับสองกุมารแล้วพาไปเลี้ยงไว้ในถ้ำ
- ตอนที่ ๔ เสนาท้าวอินณุมาศกู้เมืองได้ จึงเชิญเสด็จกลับไปครองแผ่นดิน
- ตอนที่ ๕ สิงหไกรภพลองยา แล้วหนีท้าวพินทุมารกลับบ้านเมือง
- ตอนที่ ๖ สิงหไกรภพเข้าเมืองมารัน แล้วได้พระธิดาสร้อยสุดาเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๗ พราหมณ์จินดาตามหาสิงหไกรภพ
- ตอนที่ ๘ สิงหไกรภพหนีออกจากเมืองมารัน
- ตอนที่ ๙ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๐ ท้าวจัตุพักตร์ตีเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๑ รามวงศ์หลงเชื่อวิรุณพัฒพี่เลี้ยง หลอกให้เดินทางไปถึงเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๒ รามวงศ์พานางแก้วกินรีหนีออกจากเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๓ ท้าวเทพาสูรตีเมืองมารันคืน
- ตอนที่ ๑๔ สิงหไกรภพ ตามหารามวงศ์
- ตอนที่ ๑๕ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๖ สิงหไกรภพให้จัดงานถวายพระเพลิงพระศพท้าวอินทณุมาศและนางจันทร
- ตอนที่ ๑๗ สิงหไกรภพต้องเสน่ห์นางเทพกินรา
- ตอนที่ ๑๘ รามวงศ์พบเจ็ดนาง พระเทวราชโอรสเจ้าเมืองวิเรน และพระอนุชา
- ตอนที่ ๑๙ รามวงศ์เข้าเมืองกาลเนตร
ตอนที่ ๑๓ ท้าวเทพาสูรตีเมืองมารันคืน
๏ จะกลับกล่าวท้าวเทพาสุรานั้น | ยกกุมภัณฑ์พลนิกายทั้งซ้ายขวา |
วิรุณพัฒนำทัพขับโยธา | สามเดือนครึ่งถึงพาราเมืองมารัน |
ลงหยุดยั้งตั้งรายริมชายทุ่ง | พอฤกษ์รุ่งรอพหลพลขันธ์ |
ให้ขานโห่โยธาตรวจตรากัน | พลกุมภัณฑ์เพียบจังหวัดปัถพี |
แล้วท้าวสั่งตั้งคำให้ทำสาร | ไปนัดการรบพุ่งในกรุงศรี |
จัดอำมาตย์ราชทูตที่พูดดี | ไปพาทีกับท้าวเจ้าพารา |
อำมาตย์รับอภิวาทเชิญราชสาร | ใส่บนพานมรกตขึ้นรถถา[๑] |
ประโคมฆ้องกลองแตรแห่สารตรา | รีบตรงมาที่ประตูพระบูรี |
แล้วรอรั้งสั่งความไปตามเรื่อง | ให้เจ้าเมืองมาคำนับรับสารศรี |
กรมวังฟังแถลงแจ้งคดี | ไปพร้อมที่ทิมดาบเตรียมกราบทูล ฯ |
๏ จะกล่าวความพราหมณ์พรหมครองสมบัติ | กับโฉมยงองค์รัชฎาสูร |
บำรุงใจไพร่ฟ้าไม่อาดูร | พร้อมประยูรญาติวงศ์พงศ์กุมภัณฑ์ |
พวกเสนาข้าเฝ้าเหล่าทหาร | เริงสำราญรักใคร่ทั้งไอศวรรย์ |
เวลาสายกรายกรจรจรัล | ออกนั่งบัลลังก์รัตน์ชัชวาล |
อำมาตย์หมอบนอบน้อมกราบพร้อมพรั่ง | กรมวังก้มเกล้าทูลข่าวสาร |
ด้วยท้าวเทพาสูรตระกูลมาร | ยกทหารมาประชิดติดธานี |
ใช้อำมาตย์ราชทูตถือรับสั่ง | มารอรั้งอยู่ประตูบูรีศรี |
ให้พระองค์ทรงธรรม์ไปอัญชลี | ขุนมนตรีจึงอ่านเรื่องสารตรา |
เจ้าพราหมณ์ฟังคั่งแค้นด้วยแสนหยาบ | จะใคร่ทราบถามซักพวกยักษา |
อันเมืองเราเจ้านครแต่ก่อนมา | ขึ้นเทพาสูรบ้างหรืออย่างไร |
ฝ่ายเสนาข้าเฝ้าเหล่าอำมาตย์ | อภิวาททูลแจ้งแถลงไข |
อันสองพระนครแต่ก่อนไร | เคยมาไปเป็นแต่ฝ่ายสหายรัก |
เจ้าพราหมณ์แจ้งแถลงว่ากับข้าเฝ้า | อันตัวเรามารักษาอาณาจักร |
บำรุงวงศ์พงศาพญายักษ์ | ให้พร้อมพรักอยู่ทั้งพระอัยกี |
ทั้งกรุงแก้วโกญจาธิดาราช | ก็เป็นญาติยังบำรุงสองกรุงศรี |
เทพาสูรขุนมารพาลพาที | เหมือนเมืองนี้เป็นเชลยเคยวันทา |
พวกเสนาข้าเฝ้าเหล่าอำมาตย์ | ทั้งพระญาติวงศ์เผ่าพงศา |
ย่อมรู้รอบชอบผิดในกิจจา | อยู่พร้อมหน้าใครจะเห็นเป็นอย่างไร ฯ |
๏ ฝ่ายข้าเฝ้าเผ่าพงศ์วงศ์กระษัตริย์ | พลอยคิดขัดเคืองข้องสนองไข |
เจ้าพารากาลวาศบังอาจใจ | ไม่มาไปเหมือนแต่หลังอหังการ์ |
มิควรรับนับถือหนังสือสาร | จับประหารชีวังให้สังขาร์ |
ข้าพเจ้าเหล่าอำมาตย์มาตยา | จะอาสาสงครามไม่ขามใจ |
เจ้าพราหมณ์ตอบขอบจิตอย่าคิดพรั่น | จะผ่อนผันปราบปรามตามวิสัย |
แม้นรบรับสับสนพลไกร | สงสารไพร่ใหญ่น้อยจะพลอยตาย |
พวกเสนาพาทหารคิดการลับ | ไปเข้ากับข้าศึกเหมือนนึกหมาย |
แล้วบอกเหตุเภทผลกลอุบาย | ชื่อกระต่ายลวงเสือคงเชื่อฟัง ฯ |
๏ ฝ่ายเสนาข้าเฝ้าเหล่าทหาร | ต่างกราบกรานชื่นชมเห็นสมหวัง |
แล้วลาออกนอกเขตนิเวศน์วัง | ต่างลอบสั่งบ่าวไพร่พร้อมใจกัน |
เป็นหมวดกองสองร้อยสามร้อยบ้าง | ตามขุนนางตัวนายพาผายผัน |
ไปกองทัพรับเข้าเฝ้ากุมภัณฑ์ | อภิวันท์ทูลความตามอุบาย |
ทราบว่าพระเสด็จมาบรรดายักษ์ | สามิภักดิ์ภูวนาถเหมือนมาดหมาย |
ด้วยเป็นข้ามนุษย์ก็สุดอาย | ขอถวายชีวาเป็นข้าไท ฯ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้าพารากาลวาศ | คิดประมาทมิได้แคลงแหนงไฉน |
ชาวพารามาคำนับก็รับไว้ | ให้อยู่ในกองทัพนั้นนับพัน ฯ |
๏ ฝ่ายพราหมณ์สั่งทั้งสี่เสนีใหญ่ | ให้คุมไพร่พวกพหลพลขันธ์ |
กองละหมื่นพื้นทหารชาญฉกรรจ์ | ไฟนํ้ามันมีสำหรับอยู่กับกาย |
พวกไพร่ที่มีปีกจะหลีกลัด | เอาสาดซัดเข้าให้ไหม้เหมือนใจหมาย |
ต่างรับสั่งทั้งสี่เสนีนาย | ต่างแยกย้ายไปตั้งหลังไพรี |
แล้วเกณฑ์กองสองหมื่นพื้นทหาร | เคยรอนราญรบศึกไม่นึกหนี |
ช้างที่นั่งดั้งกันล้วนมั่นดี | ให้มนตรีเตรียมท่าอยู่หน้าวัง |
ครั้นเสร็จสรรพกลับหลังเข้าวังราช | ไปปราสาทมาตุรงค์เหมือนจงหวัง |
เห็นเทวีที่สุวรรณนั่งบัลลังก์ | ถวายบังคมทูลตามมูลความ |
บัดนี้ท้าวเจ้าพารากาลวาศ | มารุกราษฎร์เบียดเบียนเป็นเสี้ยนหนาม |
ข้าพระบาทญาติวงศ์จะสงคราม | แล้วทูลตามคำทูตพูดหยาบคาย |
นางพญาว่าท้าวเทพาสูร | เหมือนประยูรญาติสนิทมิตรสหาย |
อย่ารบราฆ่าฟันกันวุ่นวาย | จะล้มตายเสียเปล่าเปล่าไม่เข้าการ |
เราจะไปให้ถึงองค์พระทรงเดช | ได้ทูลเหตุมิให้ท้าวเธอร้าวฉาน |
พลางเรียกเหล่าสาวศรีตะลีตะลาน | ขึ้นทรงยานุมาศออกไปนอกวัง |
ตรงไปเฝ้าท้าวเทพาสุราราช | เรียกร่วมอาสน์อำไพเหมือนใจหวัง |
นางนบนอบหมอบเมียงเคียงบัลลังก์ | คิดถึงครั้งก่อนมาโศกาลัย ฯ |
๏ เทพาสูรฉุนรำพึงถึงสหาย | สุชลพรายพลอยพรั่งหล่อหลั่งไหล |
แล้วถามซักอัคเรศว่าเหตุไร | เสียกรุงไกรไม่รู้ถึงหูเรา |
วิรุณพัฒนัดดาไม่ว่าขาน | ว่ารักหลานล้นเหลือหลงเชื่อเขา |
ผิดสังเกตเหตุไฉนจึงใจเบา | รักศัตรูงูเห่าสืบเผ่าพงศ์ |
จึงมาช่วยด้วยเสียดายสหายรัก | จะเสียศักดิ์ท้าวไทครรไลหงส์ |
ให้จับหลานท่านยายอ้ายรามวงศ์ | เอาจำลงเหล็กตรึงแล้วจึงมา |
จะจับอ้ายไกรภพรบมนุษย์ | ฆ่าให้สุดสิ้นวงศ์เผ่าพงศา |
ทั้งบุตรีอีถ่อยสร้อยสุดา | ก็จะฆ่าเสียด้วยกันแลท่านยาย |
นางทราบความรามวงศ์ต้องลงโทษ | ให้ฉุนโกรธหักใจมิใคร่หาย |
จึงว่าท้าวเล่าไม่ถามความต้นปลาย | เอาหลานชายฉันไปทำแต่ลำพัง |
พระเชื่อใจอ้ายวิรุณพัฒนั้น | จะพากันฉิบหายเมื่อภายหลัง |
มันยุยงลงโทษให้โกรธชัง | พระไม่ยั้งหยุดคิดเห็นผิดที |
ไปเอาหลานฉันมาอย่าเอาไว้ | พระกลับไปบำรุงอยู่กรุงศรี |
เมืองโกญจามารันทุกวันนี้ | ก็เป็นที่พึ่งกันไม่ฉันทา ฯ |
๏ เทพาสูรฉุนแค้นว่าแสนร้าย | ทุดอียายแก่แรดแพศยา |
เขาฆ่าผัวตัวตายวายชีวา | ยังด้านหน้ารักใคร่กูไม่เคย |
คิดว่าดีอีเฒ่ามันเจ้าเล่ห์ | ทำโว้เว้พันผูกกับลูกเขย |
ตัวก็แก่แต่นํ้าใจกระไรเลย | ช่างเฉยเมยลืมผัวด้วยมัวเมา |
แม้นมิคิดนิดหนึ่งถึงสหาย | จะต้องตายตามโทษที่โฉดเขลา |
วิรุณพัฒนัดดาไปหาเรา | เขาบอกเล่าล้วนจริงทุกสิ่งอัน |
ตัวออกมาว่ากล่าวพูดก้าวเฉียง[๒] | รักลูกเลี้ยงหลานเอกแกล้งเสกสรร |
ไม่ขอพบคบค้าคนอาธรรม์ | เมืองมารันของสหายที่วายปราณ |
ไปบอกให้อ้ายจินดาออกมารบ | แม้นหลีกหลบจะเข้าไปไล่ประหาร |
ใครต่อสู้กูจะจับสับประจาน | แล้วจะได้ให้หลานผ่านพารา ฯ |
๏ นางลุกยืนขึ้นเสียงเถียงทะเลาะ | มันเหลือเพราะพระช่างพูดว่ามุสา |
เป็นเพื่อนรักจักได้พึ่งจึงออกมา | พกโมโหโกรธารํ่าด่าทอ |
ที่เท็จจริงสิ่งไรไม่ไถ่ถาม | เชื่อฟังความข้างเดียวไปเจียวหนอ |
เห็นได้ทีแล้วกระไรไม่รั้งรอ | มาค่อนว่าน่าหัวร่อไม่พอแรง |
มาพันผูกลูกเขยเพราะเคยเห็น | หรือซ่อนเร้นรู้แยบมาแอบแฝง |
หรือในนอกชอกช้ำเห็นดำแดง | หรือจะแกล้งถมทับให้อับอาย |
คิดว่าพระจะมาเยือนเป็นเพื่อนผัว | กลับเป็นชั่วเช่นเขาว่าเกลอพร้าหาย |
จะฆ่าตีชีวิตให้วอดวาย | ก็ยอมตายแล้วไม่ง้อไม่ขอตัว ฯ |
๏ พญามารดาลเดือดด่าแม่รัก | ทุดอียักษ์เจ้าคารมเคยข่มผัว |
รักลูกเขยเคยเข้ากันเมามัว | ก็ไสหัวไปเสียอย่ามาว่ากู |
จนแก่เฒ่าเจ้าโมโหโทโสสุด | โย้ไม่หยุดพูดทะลวกเขาหนวกหู |
เคยขึ้นเสียงเถียงผัวอีหัวงู | จะข่มขู่กูขี้เกียจเกลียดคารม |
ไม่รับแพ้แก่แรดมาแผดร้อง | ชอบแต่ถองนั่นแหละวะจึงจะสม |
นางสุดแสนแค้นคั่งไม่บังคม | ฝืนอารมณ์กลับหลังเข้าวังใน |
จึงบอกพราหมณ์ตามจิตที่คิดโกรธ | มันทำโทษหลานรักเพียงตักษัย |
เจ้าพราหมณ์ฟังดังชีวันจะบรรลัย | จึงลาไปรีบรัดจัดโยธา |
จึงสั่งน้องของนางรัชฎาสูร | พงศ์ประยูรจัตุพักตร์พวกยักษา |
อันตัวพี่นี้จะแกล้งแปลงกายา | เป็นนาคาให้สำหรับอยู่กับกาย |
เข้ารบรับกับเทพาสุรานั้น | เห็นใกล้กันแล้วจึงขว้างเหมือนอย่างหมาย |
จะรวบรัดมัดไว้มิให้คลาย | จึงทำลายล้างมันให้บรรลัย |
แล้วเป็นงูอยู่ที่ผ้าเจียระบาด | ยักษ์อังกาศยินดีจะมีไหน |
ถือหอกแก้วแววฟ้าแล้วคลาไคล | มาตรวจไพร่พลรบได้ครบครัน |
ให้กองทัพจับทูตที่ถือสาร | สังหารผลาญชีวาให้อาสัญ |
ขึ้นช้างพลายส่ายงาเป็นบ้ามัน | ได้ฤกษ์ลั่นฆ้องโห่เป็นโกลา |
ให้เดินทัพนับหมื่นล้วนดื่นดาษ | ช้างอำมาตย์สี่นายทั้งซ้ายขวา |
ถึงหน้าทัพยับยั้งสั่งโยธา | ให้สรวลเสเฮฮาร้องท้าทาย ฯ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวเจ้าพารากาลวาศ | เห็นพลกลาดกลางทุ่งเหมือนมุ่งหมาย |
นึกทะนงทรงพระแสงจัดแจงกาย | ขึ้นทรงพลายพระที่นั่งสั่งเสนี |
ให้เดินทัพขับพหลพลทหาร | เข้ารุกราญรบพุ่งพวกกรุงศรี |
ทั้งสองข้างต่างกล้าเข้าราวี | ต่างต้านตีต่อแย้งต่างแทงฟัน |
ชาวกรุงไกรไส้ศึกโดดคึกคัก | ไล่ฆ่ายักษ์โยธาลงอาสัญ |
ฝ่ายอังกาศอาจองทรงช้างมัน | ไล่ถลันลุยไล่แทงไพร่พล |
พวกพารากาลวาศตายกลาดเกลื่อน | ต่างฟั่นเฟือนทั้งทัพวิ่งสับสน |
เทพาสูรหมุนคว้างไสช้างชน | ไล่แทงพลมารันบั่นบุกมา |
ช้างที่นั่งอังกาศองอาจศึก | ไสสะอึกฮูมแปร๋นแล่นถลา |
ช้างต่อช้างต่างปะทะพอประงา | ขว้างนาคารวบรัดมัดกุมภัณฑ์ |
กระหวัดวงองค์เอวเสียงอึดอัด | ปากก็กัดกายเลี้ยวเกี่ยวกระสัน |
จนอาวุธหลุดหัตถ์รัดพัลวัน | อังกาศฟันถูกศีรษะอสุรี |
พลัดตกช้างพลางสะบัดสลัดหลุด | ทิ้งอาวุธไว้ทั้งเกราะแล้วเหาะหนี |
พวกกรุงไกรไล่โถมกระโจมตี | ทั้งโยธีแตกตายพลัดพรายกัน ฯ |
๏ ฝ่ายเสนีสี่นายที่รายตั้ง | โอบหน้าหลังล้อมทัพไว้ขับขัน |
สกัดทางกลางอากาศสาดนํ้ามัน | ถูกกุมภัณฑ์ปีกไหม้เป็นไฟโพลง |
แต่เพลิงผลาญมารตายเสียหลายหมื่น | นภางค์พื้นควันกลุ้มคลุ้มโขมง |
บ้างพลัดตกอกฉีกถึงซีกโครง | บ้างวิ่งโทงทัพแตกต่างแยกไป |
พวกพารามารันไล่ฟันฟาด | จนเลือดสาดตามทางเป็นรางไหล |
งูก็กลายเป็นพราหมณ์งามวิไล | กลับเข้าในนัคเรศนิเวศน์วัง |
แต่พวกพราหมณ์ตามฆ่าพลกาลวาศ | จับอำมาตย์ไพร่นายมัดไพล่หลัง |
จนแลเห็นเย็นรอนอ่อนกำลัง | กลับมายังเวียงไชยทั้งไพร่นาย |
ต่างเข้าเฝ้าเจ้าพราหมณ์รามราช | เจ้าอังกาศเก็บศัสตราวันทาถวาย |
คทาธรศรพระขรรค์พรรณราย | ไปแต่กายกุมภัณฑ์ไม่บรรลัย ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์ดูรู้ว่าเทพาวุธ | สำหรับยุทธ์ยินดีจะมีไหน |
ให้รางวัลตามบรรดาเสนาใน | ทั้งนายไพร่พลรบได้ครบครัน |
ให้พระแสงแต่งตั้งเจ้าอังกาศ | เป็นอุปราชราชวังนรังสรรค์ |
แล้วปรึกษาข้าเฝ้าเหล่ากุมภัณท์ | เราคิดพรั่นไพรีที่หนีไป |
จะโกรธาฆ่าพระหน่อวรนาถ | เสียดายชาติเชื้อกระษัตริย์จะตัดษัย |
จะตามติดคิดอ่านประการใด | จึงจะได้คืนมายังธานี ฯ |
๏ ฝ่ายข้าเฝ้าเผ่าพงศ์วงศ์กระษัตริย์ | ต่างคิดขัดขุ่นข้องให้หมองศรี |
ต่างทูลว่าข้าพเจ้าอยู่เหล่านี้ | มิรู้ที่คิดอ่านประการใด |
เจ้าเมืองว่าถ้าไม่ตามเป็นความผิด | จำจะคิดผันแปรไปแก้ไข |
จะจัดแจงแต่งสาราให้ม้าใช้ | รีบเอาไปแจ้งเรื่องเมืองโกญจา |
แล้วจัดพลมนตรีสักสี่หมื่น | เลือกแต่พื้นเหาะเหินเดินเวหา |
ทั้งม้ารถคชไกรไอยรา | รีบตรวจตราให้สำเร็จในเจ็ดวัน |
ขุนอำมาตย์ได้ฟังรับสั่งตรัส | มาเร่งรัดจัดพหลพลขันธ์ |
บ้างเขียนบอกลอกฉบับแล้วฉับพลัน | ให้ราชมัลม้าใช้รีบไคลคลา ฯ |
๏ จะกลับกล่าวเทพาสูรพูนเทวษ | มาถึงเขตเขาไม้ไพรพฤกษา |
เลือดชโลมโซมซาบอาบอุรา | ต้องสาตรายับย่อยเป็นรอยราย |
ลงธารนํ้าชำระพระโลหิต | อ่านมนตร์ปิดเป่าแก้ให้แผลหาย |
เสียสาตราอาวุธสุดเสียดาย | ทั้งอับอายอดสูแก่หมู่มาร |
ทั้งเสียพลมนตรีเสียทีทัพ | จำจะกลับไปนิเวศน์ประเทศสถาน |
เอาอาวุธของสหายที่วายปราณ | มารอนราญแก้แค้นอ้ายแสนกล |
แต่ตรึกตราปรารภจนพลบคํ่า | เห็นเมฆคลํ้าคลุ้มฟ้าเวหาหน |
เหาะทะยานผ่านโพยมตามลมบน | ไม่คอยพลตั้งพักตร์ไปนครา ฯ |