- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวอินณุมาศเจ้าเมืองโกญจาได้โอรสบุญธรรม
- ตอนที่ ๒ คงคาประลัยขบถ
- ตอนที่ ๓ พราหมณ์จินดาลักพระกุมารไป ท้าวพินทุมารจับสองกุมารแล้วพาไปเลี้ยงไว้ในถ้ำ
- ตอนที่ ๔ เสนาท้าวอินณุมาศกู้เมืองได้ จึงเชิญเสด็จกลับไปครองแผ่นดิน
- ตอนที่ ๕ สิงหไกรภพลองยา แล้วหนีท้าวพินทุมารกลับบ้านเมือง
- ตอนที่ ๖ สิงหไกรภพเข้าเมืองมารัน แล้วได้พระธิดาสร้อยสุดาเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๗ พราหมณ์จินดาตามหาสิงหไกรภพ
- ตอนที่ ๘ สิงหไกรภพหนีออกจากเมืองมารัน
- ตอนที่ ๙ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๐ ท้าวจัตุพักตร์ตีเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๑ รามวงศ์หลงเชื่อวิรุณพัฒพี่เลี้ยง หลอกให้เดินทางไปถึงเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๒ รามวงศ์พานางแก้วกินรีหนีออกจากเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๓ ท้าวเทพาสูรตีเมืองมารันคืน
- ตอนที่ ๑๔ สิงหไกรภพ ตามหารามวงศ์
- ตอนที่ ๑๕ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๖ สิงหไกรภพให้จัดงานถวายพระเพลิงพระศพท้าวอินทณุมาศและนางจันทร
- ตอนที่ ๑๗ สิงหไกรภพต้องเสน่ห์นางเทพกินรา
- ตอนที่ ๑๘ รามวงศ์พบเจ็ดนาง พระเทวราชโอรสเจ้าเมืองวิเรน และพระอนุชา
- ตอนที่ ๑๙ รามวงศ์เข้าเมืองกาลเนตร
ตอนที่ ๑๗ สิงหไกรภพต้องเสน่ห์นางเทพกินรา
๏ จะกล่าวกลับจับความตามสังเขป | ถึงนางเทพกินรามารศรี |
อยู่กรุงแก้วโกญจามากว่าปี | พระสามีเริศร้างจืดจางใจ |
แสนระกำจำจนให้อ้นอั้น | จนผิวพรรณพักตร์หมองไม่ผ่องใส |
ทุกเช้าคํ่ารำพึงตะลึงตะไล | มิได้ไปเฝ้าแหนด้วยแสนอาย |
แกล้งบอกป่วยด้วยจะใคร่ให้มาปลอบ | หมอประกอบยาอย่างไรก็ไม่หาย |
จะนั่งนอนร้อนรนกระวนกระวาย | คิดเสียดายผัวเก่าเศร้าโศกา |
เมื่อยามอยู่คู่เคียงเคยเลี้ยงน้อง | ไม่จากห้องห่างเหเสน่หา |
มาสิ้นบุญสูญลับอัปรา | ต้องน้อยหน้าสารพัดจะขัดเคือง |
อันโรคอื่นขืนประทังจะยังชั่ว | อันโรคผัวเริศร้างผอมคางเหลือง |
เคยเคียงคู่อยู่สำราญที่บ้านเมือง | นางปลดเปลื้องเปล่าอุราคิดอาวรณ์ ฯ |
๏ ฝ่ายนางยักขินีที่สนิท | อยู่ใช้ชิดข้างสุวรรณบรรจถรณ์ |
พลอยง่วงเหงาเจ่าจุกเป็นทุกข์ร้อน | ไม่หลับนอนนั่งรักษาพยาบาล |
ครั้นเห็นนางครางครวญให้ป่วนปั่น | เข้านวดฟั้นโฉมยงด้วยสงสาร |
ค่อยปลอบถามความว่าพระอาการ | ร้อนรำคาญขัดขวางเป็นอย่างไร |
อันยาหยูกลูกก็รู้ตามผู้หญิง | ไม่ทอดทิ้งมิ่งแม่จะแก้ไข |
นางฟังปลอบตอบตามเนื้อความใน | ถึงได้ยาอย่างไรก็ไม่คลาย |
อันโรคของน้องนี้เป็นที่สุด | แม้นม้วยมุดเกิดใหม่จะได้หาย |
เป็นมนุษย์สุดจะรับที่อับอาย | แม้นเป็นหม้ายดีกว่ามีสามี |
เพราะโฉดเขลาเบาจิตคิดว่าผัว | จึงเสียตัวตามมาเหมือนทาสี |
ต้องตํ่าต้อยน้อยหน้าทั้งตาปี | นางขินีก็ย่อมรู้อยู่ด้วยกัน |
แม้นข้าตายฝ่ายเจ้าเอาตัวรอด | คิดเล็ดลอดหลีกไปอยู่ไพรสัณฑ์ |
นางครวญครํ่ารํ่าว่าแล้วจาบัลย์ | สะอื้นอั้นอารมณ์ไม่สมประดี |
นางยักษ์ฟังนั่งนึกรำลึกได้ | จึงกราบไหว้วอนว่ามารศรี |
ซึ่งเศร้าสร้อยน้อยหน้าพระสามี | ตัวข้านี้จะช่วยรับแก้อับอาย |
อันเสน่ห์เล่ห์ลมถมถนำ | ข้าเคยทำพญายักษ์รักใจหาย |
ให้ผูกจิตพิศวาสไม่คลาดคลาย | จะช่วยแม่แก้อายอย่าวายปราณ |
จะแก้ไขให้พระองค์ลุ่มหลงรัก | มาชวนชอบปลอบปลักสมัครสมาน |
ในสามวันสัญญาไม่ช้าการ | เยาวมาลย์แม่อย่ารํ่าจาบัลย์ ฯ |
๏ นางฟังคำรํ่าว่าดังยาทิพย์ | มายกหยิบหายโรคที่โศกศัลย์ |
กระซิบถามตามผู้หญิงจริงกระนั้น | หรือช่วยกันแก้อายให้คลายใจ |
นางยักษ์รับกลับว่าอย่าปรารภ | กลัวจะหลบหลีกห้ามปรามไม่ไหว |
เอาผ้าทรงองค์พระภูวไนย | กับสไบที่แม่ห่มประสมกัน |
จะติดต่อบริกรรมทำให้ผัว | มาพันพัวพิสมัยเฝ้าใฝ่ฝัน |
ไปฝังป่าช้าที่หลุมผีนั้น | ถึงเจ็ดวันกลับไปเซ่นคงเป็นการ |
นางยินดีที่ได้สมอารมณ์คิด | ให้ทรงฤทธิ์หลงรักสมัครสมาน |
ถอดแหวนเพชรเจ็ดกะรัตชัชวาล | ยื่นประทานทั้งภูษาผ้าสไบ |
กับผืนผ้าชุบสรงของทรงศักดิ์ | ให้นางยักษ์ยินดีจะมีไหน |
จัดเครื่องเซ่นเป็นกระทงลงเทียนไชย | แล้วเหาะไปป่าช้าในราตรี |
เอาผ้านั้นพันติดตะบิดรัด | ด้ายดิบมัดเหมือนดังตราสังผี |
แล้วเสกปลุกผูกจิตตามพิธี | เอาฝังที่หลุมศพดินกลบไว้ |
ครั้นรุ่งเช้าเข้ามาวังอยู่ยังตึก | ถึงยามดึกลอบไปทำตามวิสัย |
สามราตรีผีพยนต์เข้าดลใจ | ภูวไนยไสยาสน์หวาดวิญญาณ์ |
พอล่วงสามยามประโคมเสียงโครมครื้น | สะดุ้งตื่นฟื้นพระองค์หลงแลหา |
หวนรำลึกตรึกถึงเทพกินรา | สงสารแก้วแววตาจะอาลัย |
ลงจากอาสน์ยาตรเยื้องชำเลืองเหลียว | ไปองค์เดียวแต่พระองค์ด้วยหลงใหล |
ขึ้นตึกทองห้องนางสว่างไฟ | เห็นสาวใช้นั่งยามถามถึงนาง |
เขาทูลความทรามชมบรรทมหลับ | ประตูหับหัตถ์ผลักสลักขวาง |
ทำเกาะเกาะเคาะพระหัตถ์ตรัสเรียกพลาง | ข้าหลวงนางเปิดบานทวารรับ |
แล้วหลีกออกนอกห้องพระย่องย่าง | แสงชวาลาสว่างเห็นนางหลับ |
ขึ้นร่วมเตียงเอียงแอบแนบประทับ | นางตกใจไหววับขยับองค์ |
ชำเลืองดูรู้ว่าต้องเสน่ห์ | สมคะเนเหมือนหนึ่งจิตคิดประสงค์ |
แกล้งทำครางพลางขืนฝืนดำรง | ระทวยองค์อภิวันท์จำนรรจา |
หม่อมฉันป่วยด้วยเป็นโรคให้โศกเศร้า | มิได้เฝ้าทรงศักดิ์นานหนักหนา |
นี่ดึกสามยามเศษเสด็จมา | จะบัญชาใช้งานประการใด |
พระชื่นแช่มแย้มยิ้มอะลิ้มอะเหลี่ย | มาหาเมียจะให้มาเวลาไหน |
ตำแหน่งพระมเหสีที่จะใช้ | ไม่เข้าใจดอกหรือเจ้าเยาวมาลย์ |
มาถึงนี่พี่จะบอกอย่าออกห่าง | เปรียบเหมือนอย่างชายเช่นเป็นทหาร |
ครั้นศึกมีสิจะมาบอกอาการ | มิเสียบ้านเมืองหรืออย่าดื้อดึง |
เจ้าเจ็บไข้ใจพี่ไม่มีชื่น | จนดึกดื่นจึงอุตส่าห์มาให้ถึง |
พลางเลียมโลมโฉมเฉลาเคียงเคล้าคลึง | ด้วยรุมรึงร้อนรนเพราะมนตรา |
ประคองชมสมสนิทพิศวาส | ไม่เคลื่อนคลาดห่างเหเสน่หา |
ให้ป่วนปลื้มลืมนางสร้อยสุดา | จนเวลารุ่งรางไม่ห่างไกล |
แนบถนอมหอมกลิ่นระรินรื่น | เหมือนจะกลืนกลอยจิตพิสมัย |
ยิ่งพิศยิ่งพริ้งพร้อมละม่อมละไม | จะพิศไหนงามนั่นเพียงขวัญตา ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์มิ่งมเหสี | ครั้นรวีวรรณสว่างกลางเวหา |
ไม่เห็นองค์พงศ์กระษัตริย์ภัสดา | ถามคณานักสนมกรมใน |
ไม่มีผู้รู้แจ้งยิ่งแคลงจิต | พระทรงฤทธิ์จรดลไปหนไหน |
หรือเกิดเหตุเภทพาลประการใด | ยิ่งตกใจให้ไปหาโหราจารย์ |
เขาทำนายทายว่าพระภูวนาถ | อยู่ในราชนิเวศน์เขตสถาน |
ให้เที่ยวถามห้ามแหนแสนรำคาญ | อลหม่านวุ่นวิ่งเป็นสิงคลี |
พวกสาวใช้ไปเที่ยวดูจึงรู้ว่า | อยู่ห้องเทพกินรามารศรี |
นางสงสัยใคร่คิดเห็นผิดที | อยู่ดีดีเสด็จไปมิได้มา |
นึกจะใคร่ไปตามก็ขามจิต | หน่อยหนึ่งพระจะว่าคิดริษยา |
เครื่องเสวยเคยเชิญเกินเวลา | จะคอยท่าเที่ยงสายเบี่ยงบ่ายไป |
จึงตรัสเรียกบุตรีทั้งพี่น้อง | ให้นำสุพรรณภาชน์ทองอันผ่องใส |
ไปเรียงเรียบเทียบถวายภูวไนย | ตามพระทัยอย่าให้ขัดพระอัธยา ฯ |
๏ บุตรีรับอภิวาทแล้วยาตรเยื้อง | นางเชิญเครื่องเรียงรายทั้งซ้ายขวา |
ไปตึกทองห้องเทพกินรา | เห็นผ่านฟ้าพึ่งจะฟื้นตื่นบรรทม |
ทั้งเมียท้าวเจ้าพระยากาลวาศ | อยู่ร่วมอาสน์แนบชิดสนิทสนม |
นางตั้งเครื่องเคืองแค้นแน่นอารมณ์ | น้อมบังคมก้มหน้าแล้วพาที |
พระหลงปลื้มลืมเสวยเฝ้าเชยชิด | เห็นเครื่องคิดได้ว่ากับมารศรี |
จะแสบท้องของเสวยเนยนมมี | กินกับพี่เถิดนะเจ้าเยาวมาลย์ |
นางถอยถดลดองค์ลงจากอาสน์ | อภิวาทวันทาแล้วว่าขาน |
ขอบพระคุณทูลกระหม่อมซึ่งโปรดปราน | ขอประทานโทษที่ขัดพระอัธยา |
มิควรเคียงเรียงร่วมสุพรรณภาชน์ | ให้ขวยเขินเกินอำนาจวาสนา |
พลางแอบองค์นงลักษณ์ก้มพักตรา | พระพลอยว่าพี่ก็ไม่พอใจกิน |
แล้วตรัสขับบุตรีทั้งพี่น้อง | เอาข้าวของคืนไปเสียให้สิ้น |
ตั้งเกะกะจะเอาขว้างเสียกลางดิน | ให้ขุ่นคิ่นขัดข้องด้วยต้องมนตร์ |
พระบุตรีหนีออกไปนอกม่าน | พนักงานยกกลับวิ่งสับสน |
สองธิดาคลาไคลขึ้นไพชยนต์ | ทูลยุบลมารดาโศกาลัย |
ลูกหลากจิตบิตุรงค์ลุ่มหลงรัก | ดูผิวพักตร์หม่นหมองไม่ผ่องใส |
แล้วทูลความตามที่พระภูวไนย | ตรัสขับไล่ไม่เสวยไม่เคยเป็น ฯ |
๏ นางฟังคำรำพันให้อั้นอัด | เกิดวิบัติบ้านเมืองจะเคืองเข็ญ |
ยิ่งแค้นคั่งดังจะพาเลือดตากระเด็น | มันกลับเป็นสิทธิ์ขาดไม่คลาดคลา |
น้อยหรือพระจะให้ร่วมสุพรรณภาชน์ | เหลือประหลาดหลงรักมันหนักหนา |
ให้เคียงนั่งตั้งปึ่งขึงหน้าตา | อีกิ้งก่าได้ทองจองหองจริง |
จะไปดูภูวไนยจะได้รู้ | ไปหลงอยู่อย่างนี้หรือผีสิง |
หรือต้องมนตร์ดลเสน่ห์ประเหว่ประวิง | จึงทอดทิ้งเวียงวังไม่กังวล |
จึงชวนเหล่าท้าวนางจากปรางค์มาศ | ข้าหลวงกลาดเกลื่อนตามหลามถนน |
ครั้นถึงพระมเหสีนิรมล | ตรงขึ้นบนตึกทองเข้าห้องใน |
เห็นนางเรียงเคียงองค์พระทรงฤทธิ์ | ให้แค้นจิตเจียนจะพาเลือดตาไหล |
ค่อยยอบย่องมองดูพระภูวไนย | ยังหลับไม่ตื่นบรรทมสมประดี ฯ |
๏ ฝ่ายนางเทพกินราทำหน้าเก้อ | ออกจากเธอมาวันทามารศรี |
สร้อยสุดาว่านางทำอย่างนี้ | เจ้าเห็นดีแล้วหรือเจ้าเยาวมาลย์ |
ไม่จงรักตักเตือนทำเชือนเฉย | มิให้เสวยโภชนากระยาหาร |
ไม่เชิญไปข้างหน้าว่าราชการ | พวกไพร่บ้านพลเมืองจะเลื่องลือ |
จริงหนาเจ้าเราก็รู้เป็นผู้ใหญ่ | เอาภูวไนยไว้อย่างนี้เห็นดีหรือ |
ใช่หวงหึงซึ่งลงมาจะหารือ | หรือจะถือโปรดปรานประการใด ฯ |
๏ นางเทพกินราฟังคิดคั่งแค้น | ช่างหวงแหนหึงสาทำปราศรัย |
ยิ่งสู้นิ่งยิ่งเฉยยิ่งเคยใจ | สะบัดสไบเบือนหน้าแล้วพาที |
เหตุเพราะพระเสด็จมาเวลาหนึ่ง | จึงอื้ออึงถึงพระมเหสี |
ถึงโปรดปรานท่านก็เลี้ยงแต่เพียงนี้ | มิรู้ที่ทูลเชิญให้เกินตัว |
เป็นแต่ข้าฝ่าละอองฉลองบาท | ฉวยกริ้วกราดเคืองขัดจะตัดหัว |
จะว่ากล่าวเจ้าชีวิตก็คิดกลัว | ต้องเจียมตัวตามประสาเป็นข้าไท ฯ |
๏ นางฟังคำซํ้าแค้นว่าแสนแง่ | ชะนางแม่ปลาช่อนย้อนไถล |
ว่าดีดีนี่มาเหน็บให้เจ็บใจ | เจ้ามันไก่สองขนชนชำนาญ |
ถึงคราวขึ้นมึนตึงทำปึ่งปั้น | ประชดประชันจะให้ฉาวให้ร้าวฉาน |
หมายชนะจะเป็นโสดได้โปรดปราน | ออกตั้งต้านตีเสมออย่าเพ่อฮึก |
ทำยศอย่างนางพญากาลวาศ | ขึ้นร่วมอาสน์แอบเอียงบนเตียงตึก |
แม้นมิกีดนิดหนึ่งอย่าพึงนึก | จะรู้สึกตัวดอกบอกให้รู้ ฯ |
๏ ฝ่ายนางเทพกินนรว่าหม่อมฉัน | กลัวลนลานเหลือกลัวตัวเป็นหนู |
จริงจริงนะพระมานั่งตั้งกระทู้ | หม่อมฉันรู้แล้วพุคะเป็นเชลย |
ไม่ปิดป้องของหลวงไม่หวงห้าม | ต้องเกิดความเพราะพระไม่เสวย |
จะขืนครํ่าน้ำพระทัยก็ไม่เคย | ครั้นนิ่งเฉยอยู่อย่างนี้ก็มีคาว |
เพราะสองขนคนแก่เป็นแม่หม้าย | ไม่แยบคายลึกซึ้งเหมือนหนึ่งสาว |
เสียพารากาลวาศจึงขาดคราว | เหมือนมะนาวโตงเตงต้องเกรงใจ |
สร้อยสุดาว่าน้อยหรือช้อยลิ้น | ประมาทหมิ่นหมายชนะหรือไฉน |
เจ้าคารมลมเติบกำเริบใจ | ประชดประชันหมั่นไส้คันไม้มือ |
ชวนทะเลาะเพราะพระพิศวาส | จะให้ขาดเด็ดเดี่ยวไปเจียวหรือ |
ยิ่งหย่อนตามลามไหม้เหมือนไฟฮือ | เห็นอยู่มือแล้วกระมังในครั้งนี้ |
เชื่อว่าวิทยามนตร์นางคนโปรด | คงเป็นโสดสมคะเนมเหสี |
อย่าเพ่อนึกฮึกไปเป็นไรมี | ได้ดูดีกันสินะไม่ละกัน |
เทพกินราว่านิจจาเอ๋ย | กระไรเลยเฉียวฉุนทำหุนหัน |
ทั้งเผ็ดร้อนค่อนว่าสารพัน | จะฆ่าฟันเสียก็ได้เป็นไรมี |
ถึงตบต่อยย่อยยับจะรับแพ้ | กลัวแล้วแม่แม่เป็นพระมเหสี |
ถวายชีวิตสิทธิ์ขาดแล้วชาตินี้ | เหมือนไม่มีมือมาเป็นข้าไท |
อย่าหักดิบหยิบผิดประดิษฐ์ต่อ | โปรดแต่ข้อจริงจังพอฟังได้ |
ที่เหลือหูสู้ตายด้วยอายใจ | ไม่อาลัยแล้วชีวิตนิดเท่านี้ |
แต่เกิดมาตาหูพึงรู้เห็น | ช่างยากเย็นย่อยยับกว่าสับสี |
ถึงมีปากยากไร้เหมือนไม่มี | จะตายดีตายร้ายตายเหมือนกัน ฯ |
๏ สร้อยสุดาว่าชิชะไม่ละลด | เหลือจะอดอีเชลยกลับเย้ยหยัน |
ช่างยอกย้อนซ้อนเสริมฮึกเหิมครัน | ตบให้ฟันร่วงหลุดพลางยุดยื้อ |
นางเทพกินราปัดเหวี่ยงวัดว่า | ข้าเป็นข้าครอกเค้าของเจ้าหรือ |
สร้อยสุดาคว้าไขว่ยุดไม้มือ | ทะยานยื้อไล่ขยิกข่วนหยิกตี |
เทพกินราร้องเรียกก้องตึก | พระรู้สึกว่าอุเหม่มเหสี |
ไม่ยำเยงเกรงผัวถือตัวดี | มาทุบตีเมียข้าว่ากระไร |
สร้อยสุดารารั้งนั่งประณต | เหลือจะอดตามแต่จะโปรดไฉน |
มันจองหองต้องทำให้หนำใจ | ขอตบให้สมน้ำหน้าปากกล้าดี |
เทพกินราก้มบังคมบาท | พระนางนาฏรํ่าด่าดังทาสี |
จะผิดพลั้งอย่างไรก็ไม่มี | เข้าทุบตีตบต่อยจบย่อยยับ |
ว่าพระองค์หลงมาอยู่ช้านัก | ไม่เชิญองค์ทรงศักดิ์เสด็จกลับ |
ครั้นว่ากลัวพระอาชญาด่าสำทับ | จะต้องรับอับอายไม่วายวัน |
ขืนเคี่ยวเข็ญเช่นนี้เฝ้าตีด่า | ก็น่าที่ชีวาจะอาสัญ |
พิไรรํ่าพรํ่าว่าแล้วจาบัลย์ | อภิวันท์วอนว่าพระสามี |
ประทานโทษโปรดข้าฝ่าพระบาท | ไม่พ้นราชอาชญามารศรี |
จะขอบังคมลาฝ่าธุลี | ไปอยู่ที่บิตุราชมาตุรงค์ ฯ |
๏ พระฟังคำรํ่าปลอบให้ชอบจิต | อย่าเพ่อคิดหุนหวนนวลหง |
ว่าน้อยหรือสร้อยสุดาคิดว่าตรง | ทำทะนงนํ้าใจดังไฟฮือ |
มาทับถมข่มเหงคะเนงร้าย | ข้ามอบหมายให้ใช้มิใช่หรือ |
ทำเกะกะชะดีอวดฝีมือ | ขืนดึงดื้อจะพาเลือดตาย้อย |
แล้วปลอบเทพกินราอย่ากำสรด | อยู่กับพี่มิให้ยศเจ้าถดถอย |
จะปราบปรามตามทำเนียบให้เรียบร้อย | มิให้น้อยหน้าใครอย่าได้นึก |
จะจัดแจงแต่งตั้งเสียครั้งนี้ | ให้เป็นพระมเหสีอยู่ที่ตึก |
ใครรุกราญหาญหักมาฮักฮึก | จะรู้สึกโทษหมดไม่ลดละ |
แล้วขับพระมเหสีไปทีเจ้า | ตึกของเขาขึ้นมานั่งไม่ฟังหนะ |
อย่าบิดเบือนเชือนเฉยอยู่เลยละ | เดี๋ยวนี้จะเจ็บอายวุ่นวายกัน ฯ |
๏ นางฟังคำนํ้าพระเนตรลงพรากพราก | น้อยหรือชะพระพิพากษาขยัน |
ไม่ซักไซ้ไล่เลียงให้เที่ยงธรรม์ | ทำให้มันปั้นปึ่งกระบึงกระบอน |
น้อยหรือพระมเหสีอภิเษก | เป็นองค์เอกแอบสุวรรณบรรจถรณ์ |
แสนสำออยร้อยอย่างช่างชะอ้อน | งอนกว่าศรงอนโง้งเหมือนโก่งแร้ว |
นางรูปงามทรามสงวนนวลระหง | จะสืบวงศ์ว่านเครือเป็นเชื้อแถว |
ถือรับสั่งตั้งแต่งตำแหน่งแล้ว | คงลอยแก้วเกือบถึงชั้นตรึงส์ไตร |
ชะคราวขึ้นมึนตึงทำปึงปั้น | ให้นึกกลัวตัวสั่นหวาดหวั่นไหว |
ลองทะเลาะเยาะเล่นก็เป็นไร | เลือดมิไหลโซมหน้าค่อยว่ากู ฯ |
๏ นางเทพกินราแกล้งกันแสงว่า | เหลือระอาอัปยศอายอดสู |
มารํ่าด่าหน้าที่นั่งตั้งกระทู้ | ล้วนมึงกูกรรมเอ๋ยไม่เคยฟัง |
จะฆ่าฟันฉันใดก็ไม่ห้าม | สู้ตายตามเวรสร้างไว้ปางหลัง |
กลัวจริงจริงยิ่งกว่าเสือเหลือกำลัง | พระทรงฟังเถิดพุคะตามสบาย |
จะตบต่อยย่อยยับสำทับถม | ค่อนขู่ข่มแค้นเดือดไม่เหือดหาย |
ขืนอยู่ไปไม่รอดจะวอดวาย | ขอถวายบังคมลาฝ่าละออง |
เหมือนปล่อยเต่าเอาบุญทูลกระหม่อม | เหลืออดออมอกช้ำเป็นนํ้าหนอง |
จะไปอยู่บูรีกับพี่น้อง | อย่าให้ต้องทุบตีสิ้นชีวา ฯ |
๏ พระฟังความยามคลั่งกำลังหลง | ให้แสนสงสารมิตรขนิษฐา |
สู้กับเขาเอาเถิดเทพกินรา | พี่ไม่ว่าฟ้าผี่เอาซีนาง |
ลุกขึ้นน้องลองแรงจะแต่งให้ | ชักสไบเหน็บกระหวัดไม่ขัดขวาง |
พยุงยืนขึ้นตรงหน้าแล้วว่าพลาง | นี่แน่นางสร้อยสุดาเจ้ากล้าดี |
เอาซีเจ้าเขาจะสู้จะดูเล่น | ใครชนะจะได้เป็นมเหสี |
นางฟังตรัสขัดแค้นแสนทวี | ด้วยสามีลำเอียงไม่เที่ยงตรง |
จริงหรือพระจะให้แพ้อีแก่แรด | ถูกยาแฝดฟั่นเฟือนละเลือนหลง |
ช่วยชูชุบอุปภิเษกเป็นเอกองค์ | ทั้งยุส่งเสริมซํ้าให้ยํ่ายี |
พระจะช่วยด้วยก็จงส่งพระขรรค์ | ค่อยหํ้าหั่นบั่นเกล้าเอาเกศี |
หุนโมโหโศกาแค้นสามี | เข้าตบตีมิได้ละกินรา |
นางเมียน้อยคอยรับจับพระหัตถ์ | ต่างป้องปัดป่ายตะกายข่วนซ้ายขวา |
พระไกรภพตบพระหัตถ์ทัศนา | สำรวลร่าร้องเออเสมอกัน |
ทั้งสองนางต่างปลํ้าขยำยุด | สไบหลุดหยุดกระหวัดรัดกระสัน |
แล้วหมุนเข้าเอาอีกข่วนหยิกกัน | พัลวันเหวี่ยงวัดด้วยขัดใจ |
ทั้งสองข้างต่างเจ็บต่างเล็บหัก | ต่างหอบฮักเหงื่อโซมชโลมไหล |
ฝ่ายค่อมเค้าสาวสนมกรมใน | บ้างวิ่งไปปรางค์ปราสาทราชบุตรี |
ทูลฉลองสองธิดาวิ่งมาตึก | เสียงอึกทึกที่ในห้องทั้งสองศรี |
ต่างเข้าด้วยช่วยพระชนนี | ต่างหยิกตีกินราโศกาพลาง ฯ |
๏ จอมกระษัตริย์ตรัสว่าอย่ามาช่วย | พระเข้าด้วยช่วยป้องปัดไม่ขัดขวาง |
สร้อยสุดามานะไม่ละวาง | กันแสงพลางทางว่ากับสามี |
น้อยหรือชะพระองค์ดำรงราชย์ | ช่างตัดขาดหลงรักเมียยักษี |
เสียแรงน้องครองสัตย์สวัสดี | ไม่ปรานีนํ้าพระทัยช่างไม่คิด |
ให้มันสู้ดูถูกลืมลูกเต้า | น้อยหรือเข้าประคองช่วยป้องปิด |
ไม่ละมันวันนี้สิ้นชีวิต | พลางเข้าชิดข่วนหยิกผลักพลิกแพลง ฯ |
๏ พระบุตรีพี่น้องร้องกรีดกราด | ห้ามพระมาตุรงค์พลางทางกันแสง |
พระว่าน้อยสร้อยสุดาหน้าตาแดง | ยังจะแผลงฤทธิ์รามาสำทับ |
สั่งธิดาว่าแน่แม่ของเจ้า | โมโหเต่าต่อยตุบตะกุบตะกับ |
ถ้าขืนสู่อยู่จะถูกจมูกยับ | พากันกลับไปหนาอย่าช้าที ฯ |
๏ ฝ่ายพี่น้องร้องไห้ห้ามพระแม่ | ทั้งเถ้าแก่ช่วยว่ามารศรี |
นางแสนแค้นแสนสุดรักบุตรี | ทรงโศกีชี้หน้าด่าเมียน้อย |
มึงมาสู้กูจะทำให้หนำจิต | ถึงชีวิตมรณาไม่ราถอย |
พลอยหยาบหยามตามผัวอีหัวพลอย | ช่างสำออยออดแอดยาแฝดดี |
มึงลืมยักษ์รักผัวมัวมนุษย์ | ซากถุยทุดทรลักษณ์เสียศักดิ์ศรี |
รํ่าด่าพลางนางพญาพาบุตรี | กลับไปที่ปรางค์มาศปราสาททอง |
ระทวยองค์ลงบนแท่นแสนรันทด | โศกกำสรดเสียผัวให้มัวหมอง |
พวกแสนสาวชาวแม่มาแซ่ซ้อง | เคียงประคองนวดฟั้นให้บรรทม |
บ้างฝนไพลใส่สุราแทรกม่าเหมี่ยว | ไหนช้ำเขียวทากลบประคบประหงม |
สร้อยสุดาอาวรณ์ร้อนอารมณ์ | เมื่อบรรทมตรมเจ็บรอยเล็บราย |
ยิ่งเห็นแผลแลดูอดสูสะอื้น | ดังพิษปืนปักอุระโทรมสลาย |
มิหนักหน่วงห่วงบุตรสุดเสียดาย | จะสู้ตายเสียให้ลับที่อัประมาณ |
ไม่ทรงเสวยเลยอิ่มง่วงหงิมเหงา | กำสรดเศร้าแสนวิโยคโศกสงสาร |
ทั้งมดหมอก็มาพยาบาล | เยาวมาลย์มิได้ออกนอกไสยา ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์หลงรักเมียยักษ์ร้าย | ไม่เหือดหายห่างเหเสน่หา |
อยู่ตึกทองห้องเทพกินรา | ด้วยมนตราตรึงจิตสนิทใน |
เห็นนางเหนื่อยเมื่อยขบประคบประหงม | ถนอมชมเชยชิดพิสมัย |
ที่ถูกเล็บเจ็บแก้มช่วยแต้มไพล | คิดแค้นใจสร้อยสุดาดูน่าชัง |
มารบกวนข่วนเมียเราเสียแก้ม | ทำพลอมแพลมเหลือระอาเหมือนบ้าหลัง |
เฝ้าคลอเคลียเมียน้อยคอยระวัง | ด้วยคลุ้มคลั่งเคลิ้มลืมปลื้มอารมณ์ ฯ |
๏ ฝ่ายนางเทพกินรานั้นหน้าชื่น | ทุกวันคืนเคียงชิดสนิทสนม |
เห็นพระองค์หลงเลยแต่เชยชม | คิดปรารมภ์ร้อนตัวด้วยกลัวภัย |
พระไม่ออกนอกบ้างอยู่อย่างนี้ | พวกเสนีเขาคงจะสงสัย |
จำจะเชิญเสด็จพระภูวไนย | ให้ออกไปตรัสประภาษราชการ |
ครั้นรุ่งแจ้งแต่งองค์สรงเสวย | เหมือนอย่างเคยเคียงพักตร์สมัครสมาน |
จึงว่าพระเสด็จมาอยู่ช้านาน | จะเกิดการโกลาทั้งธานี |
จงโปรดเกล้าเหล่าอาณาประชาราษฎร์ | เชิญพระบาทออกบำรุงชาวกรุงศรี |
ตามวิสัยในจังหวัดปัถพี | ให้เป็นที่พึ่งอำมาตย์มาตยา ฯ |
๏ พระตรัสชมสมควรนวลระหง | เป็นเอกองค์อัคเรศของเชษฐา |
รู้ระเบียบเรียบร้อยกว่าสร้อยสุดา | เช่นนี้น่ากลํ้ากลืนให้ชื่นใจ |
พลางแอบอุ้มจุมพิตสนิทสนอม | ให้หวนหอมยวบจิตพิสมัย |
มาเตือนซํ้าจำสลัดตัดอาลัย | เสด็จไปพระโรงรัตน์ชัชวาล |
ลดพระองค์ลงนั่งบัลลังก์อาสน์ | พร้อมอำมาตย์หมอบเมียงเคียงขนาน |
พระหลงลืมปลื้มใจอาลัยลาญ | จะตรัสการอื่นอื่นไม่ชื่นใจ |
ถามอำมาตย์มาตยาว่าหน้าหนาว | แก่กับสาวเหล่าขุนนางรักข้างไหน |
เขาทูลตอบชอบที่รุ่นอุ่นฤทัย | พระว่าไม่ถูกต้องทำนองความ |
ว่าที่จริงหญิงแก่กับแม่หม้าย | ค่อยแยบคายเหมือนทุเรียนมีเสี้ยนหนาม |
สมคะเนเสนาพวกบ้ากาม | ต้องทูลตามโต้ตอบชอบพระทัย ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์สร้อยสุดาสมร | เป็นทุกข์ร้อนด้วยพระองค์ลุ่มหลงใหล |
ทั้งเมียน้อยพลอยทำให้ช้ำใจ | จะแก้ไขขัดข้องคิดหมองมัว |
มันลบหลู่ดูถูกลูกผู้หญิง | มาช่วงชิงผัวเราเป็นเจ้าผัว |
หนึ่งเดี๋ยวนี้อีเชลยจะเคยตัว | หมายว่ากลัวก็จะกลับทับทวี |
จะแก้แค้นแทนทดไม่ลดละ | ต่อยศีรษะเสียให้ยับเป็นสับสี |
คอยรั้งรอพอให้มาพ้นสามี | จะรุมตีตบให้สาใจมัน |
ถึงแม้นพระจะไม่เลี้ยงจะเสี่ยงสับ | จะสู้รับอาชญาถึงอาสัญ |
พยาบาทมาดหมายมาหลายวัน | ให้กำนัลข้าหลวงคอยท่วงที |
รู้ว่าองค์ทรงเดชเสด็จออก | พระโรงนอกสมคะเนมเหสี |
เรียกสาวสรรค์บรรดาฝูงนารี | มาพร้อมที่หน้าพระลานชานชลา |
แล้วจัดแจงแต่งองค์นางนงลักษณ์ | ทรงสะพักสไบบังพระอังสา |
ไปตึกทองห้องเทพกินรา | เห็นผัดหน้านั่งแท่นยิ่งแค้นใจ |
เข้าชี้หน้าว่าแน่อีแก่แรด | ทำยาแฝด[๑]ให้พระองค์ลุ่มหลงใหล |
เชื่อมนตร์ขลังตั้งตัวไม่กลัวใคร | จะเป็นใหญ่ยอดอย่างนางพญา |
น้อยหรือพระมเหสีตีเสมอ | ทำปั้นเจ๋อเย่อหยิ่งอีกิ้งก่า |
หมายสู้มือถือยศไม่ลดลา | เมื่อแรกมาเมืองกูไม่รู้ฤทธิ์ |
เห็นแก่ลูกปลูกฝังเหมือนอย่างญาติ | กลับวิวาทวัดรอยจะคอยขวิด |
ทรยศคดคู้เหมือนงูพิษ | หมายจะปิดประตูค้าเชื่อคารม |
ทั้งคิดทำสำออยได้ร้อยอย่าง | เอาเลือดล้างบาทาให้สาสม |
นิ่งอยู่ใยไม่ออกมาค้าคารม | อีแสนคมคางจะเบี้ยวประเดี๋ยวนี้ ฯ |
๏ นางเทพกินราฟังคิดคั่งแค้น | จึงว่าแสนสาหัสแสนบัดสี |
เห็นยิ่งนิ่งยิ่งซ้ำจะยํ่ายี | ช่วยมากี่มากน้อยสร้อยสุดา |
แกล้งโกหกยกว่าทำยาแฝด | ให้ติดแปดเป็นผิดริษยา |
น้อยหรือชะจะเอาเลือดล้างบาทา | ไม่คิดบ้างนางพญาเมืองมารัน |
เป็นลูกสาวท้าวจัตุพักตร์ | สหายรักภัสดาที่อาสัญ |
เคยเรียกแม่แต่แรกหรือแปลกกัน | เดี๋ยวนี้มันมึงกูนางผู้ดี |
เฝ้าด่าร่ำซ้ำเติมทำเหิมฮึก | อย่าเพ่อนึกว่าจะอพยพหนี |
จะตบต่อยน้อยหรือมือไม่มี | วานซืนนี้ลืมมือไปหรือไร |
สร้อยสุดาคว้าตบนางหลบเลี่ยง | สู้กันเสียงอึกอักพลิกผลักไส |
ต่างยับย่อยสร้อยสุดาเรียกข้าไท | พวกสาวใช้เข้ามาฉุดแย่งยุดยื้อ |
ยักขินีตีด่าพวกข้าหลวง | มึงทั้งปวงทำเช่นนี้ดีแล้วหรือ |
เข้าผลักไสไม่หาญต่อต้านมือ | เรียกกันอื้ออึงมาพวกข้าไท |
ต่างเข้าด้วยช่วยเจ้าทั้งสาวแก่ | เสียงเซ็งแซ่สู้กันสนั่นไหว |
เจ้าต่อเจ้าสาวใช้ต่อสาวใช้ | ต่างผลักไสสู้กันประจัญรับ |
ที่ผ้าผ่อนล่อนหลุดลงทรุดซบ | บ้างก็ตบตีทุบเสียงตุบตับ |
บ้างข่วนคางหางคิ้วเป็นริ้วยับ | เสียงปุบปับปัดป่ายตะกายกัน |
ยักขินีมีแรงวัดแว้งเหวี่ยง | ใครใกล้เคียงโดดชกหัวหกหัน |
บ้างผลักพลิกหยิกขยำที่สำคัญ | พัลวันวิ่งร้องก้องโกลา ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงเดชเกศกระษัตริย์ | ครั้นเสร็จตรัสความแผ่นดินถวิลหา |
ขึ้นจากห้องท้องพระโรงลีลามา | เข้าตึกเทพกินราเห็นนารี |
ปลํ้ากันจมล้มกลิ้งวิ่งปะทะ | ที่ในห้องสองพระมเหสี |
ยิ่งสุดแสนแค้นขัดฉวยพัชนี | ไล่หวดตีเตะพัลวันไป |
ถูกค่อมเค้าเถ้าแก่เสียงแซ่ซ้อง | ต่างวิ่งร้องกรีดกราดหวีดหวาดไหว |
มเหสีหนีพระภูวไนย | เสด็จไปสู่ที่มิทันนาน ฯ |
๏ เทพกินราแกล้งกันแสงซบ | ทำสลบหลับตาน่าสงสาร |
พระอุ้มนางวางบนที่ตะลีตะลาน | เอ๊ะเยาวมาลย์ขัดขวางเป็นอย่างไร |
เห็นเลือดซับยับย่อยเป็นรอยชํ้า | โอ้กรรมกรรมเอ๋ยกรรมจะทำไฉน |
พลางนวดเน้นเส้นศออรไท | เห็นหายใจริกริกพลิกกายา |
ประคองกอดสอดกรค่อยซ้อนเกศ | พี่มาแล้วแก้วเนตรของเชษฐา |
อย่าท้อแท้แม่เทพกินรา | สร้อยสุดามาทำไมเล่าให้ฟัง ฯ |
๏ นางยินปลอบชอบชื่นค่อยฝืนพักตร์ | ซบกับตักภูวไนยเหมือนใจหวัง |
แล้วแสร้งทำดำรงทรงกำลัง | ทูลว่าครั้งนี้เห็นไม่เป็นตัว |
สร้อยสุดาข้าไททั้งใหญ่น้อย | มาตบต่อยตีหยิกทั้งจิกหัว |
ช่วยกันรุมคุมเหงไม่เกรงกลัว | ความเจ็บทั่วสารพางค์จะวางวาย |
พระโปรดด้วยช่วยบอกหนทางให้ | จะได้ไปสู่สวรรค์เหมือนมั่นหมาย |
แล้วทำชักพักตร์ผงับไม่อับอาย | แกล้งเงยหงายงอแขนด้วยแสนเพลง |
พระหลงกลชลนัยน์ไหลพร่างพร่าง | บอกหนทางเฟือนว่าอาระเหง |
ทั้งข้าไทไห้สะอื้นเสียงครื้นเครง | พระกริ่งเกรงจะสลบนิ่งซบเซา |
จึงเรียกน้ำอำมฤตมารินรด | แทรกโอสถทรงชโลมโฉมเฉลา |
ค่อยหอมชื่นฟื้นองค์นางนงเยาว์ | กำสรดเศร้าสำออยตะบอยวอน |
เจ้าพระคุณทูลกระหม่อมชุบย้อมเลี้ยง | ได้พึ่งเพียงพุ่มโพธิ์สโมสร |
แสนอาลัยใจคิดถึงบิดร | สุดจะจรจากพระคุณกรุณา |
อยู่ในวังครั้งนี้เหมือนชีวิต | จะมอดม้วยด้วยเขาคิดริษยา |
ต้องบอบช้ำจำตายวายชีวา | จะกินยาพิษให้บรรลัยลาญ |
ให้เห็นว่าสามิภักดิ์รักพระบาท | จนสิ้นชาติชีวังสิ้นสังขาร |
แต่หนหลังพลั้งผิดกิจการ | โปรดประทานโทษาให้ข้าน้อย |
แล้วนอบนบซบสะอื้นทำฝืนหน้า | บีบน้ำตาตกเหยาะเผาะเผาะผอย |
พระทรงฟังสังเวชนํ้าเนตรย้อย | ให้แค้นสร้อยสุดาที่มากวน |
จึงปลอบพลางทางว่าเจ้าอย่าม้วย | พี่จะช่วยปกป้องครองสงวน |
แม่น้องหญิงมิ่งขวัญอย่ารัญจวน | เจ้าสมควรเป็นใหญ่อยู่ในวัง |
สร้อยสุดาหน้าเคอะดูเซอะซะ | ทำเกะกะกิริยาเหมือนบ้าหลัง |
โมโหมากปากกล้านึกน่าชัง | จะไล่ออกนอกวังเสียครั้งนี้ |
พลางฉวยได้ไม้เรียวโกรธเกรี้ยวกราด | ไปปราสาทสร้อยสุดามารศรี |
เห็นโฉมยงนงนุชกับบุตรี | กลับปรานีนิ่งขึงตะลึงแล |
ดูนงเยาว์เศร้าสร้อยเป็นรอยเล็บ | ที่แผลเจ็บย่อยยับไม่นับแผล |
แล้วหวนหุนฉุนชังด้วยรังแก | จึงว่าแน่งามน้อยสร้อยสุดา |
เป็นผู้ดีมีศักดิ์อัคราช | ไม่รักพักตร์รักชาติวาสนา |
ไปรบราญพาลเทพกินรา | ทั้งตีด่ากระไรเลยไม่เคยพบ |
เป็นผู้หญิงจริงนะจะหึงผัว | ไม่ควรตัวตีคนจนสลบ |
เขาเจียมตัวกลัวอยู่ไม่สู้รบ | ชะช่างตบช่างต่อยอร่อยมือ |
จะให้ตายหมายจะให้ลากไปทิ้ง | เป็นผู้หญิงอย่างนี้เห็นดีหรือ |
ทั่วถิ่นฐานบ้านเมืองจะเลื่องลือ | ออกอึงอื้อเอออะไรช่างไม่อาย |
ไม่เกรงผัวกลัวบาปทำหยาบช้า | ชอบแต่เป็นแม่ค้าทุบปลาขาย |
ปะสามีที่มุเขาดุร้าย | หลังจะลายเลอะแล้วไม่แคล้วเลย ฯ |
๏ มเหสีตีทรวงสะอื้นรํ่า | ค่อนด่าว่าสารยำแล้วกรรมเอ๋ย |
แต่ปางก่อนร่อนชะไรพระไม่เคย | อีเชลยแล้วซิทูลออกวุ่นวาย |
เมื่อสู้กันมันก็ข่วนแต่ล้วนเล็บ | ยังคิดเจ็บใจอยู่ไม่รู้หาย |
น้อยหรือชะสลบเสือกซบกาย | ใช้อุบายหลายประการอีมารยา |
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าพระคุณของเมียเอ๋ย | กระไรเลยหลงรักเขาหนักหนา |
เมียศัตรูงูเห่าไปเอามา | มันเจ้ายาแฝดเสน่ห์ทั้งเล่ห์ลม |
เมียดูพระจริตเห็นผิดนัก | พระลืมรักห้ามแหนแสนสนม |
จะต้องถูกหยูกยาต้องอาคม | น้องปรารมภ์ร้อนใจมิได้วาย |
ขอเชิญพระสะเดาะพระเคราะห์บ้าง | ให้เสื่อมสร่างบางเบาบรรเทาหาย |
ถึงต้องถูกหยูกยาบรรดาร้าย | จะเคลื่อนคลายเคราะห์โศกสิ้นโรคภัย ฯ |
๏ พระฟังคำกำลังเคลิ้มคลั่งอยู่ | มิได้รู้สึกองค์ว่าหลงใหล |
สำรวลพลางทางว่าช่างกระไร | เจ้าช่างใส่ความคิดดูมิดเม้น |
ข้ามันถูกหยูกยาประดาเสีย | หลงด้วยเมียน้อยแน่เจ้าแลเห็น |
แม้นสมสู่อยู่กับเจ้าทุกเช้าเย็น | เห็นไม่เป็นอันตรายสบายดี |
แล้วหลงเลี้ยวเสียวซาบให้ปลาบปลื้ม | ตะลึงลืมสร้อยสุดามารศรี |
คิดถึงเทพกินราไม่พาที | กลับไปที่ตึกทองห้องบรรทม |
ถนอมแนบแอบนางไม่ห่างพักตร์ | ภิรมย์รักร่วมจิตสนิทสนม |
ให้หอมหวนนวลเนื้อไม่เบื่อชม | ด้วยอาคมลมแสลงแรงรังควาน ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์มิ่งมเหสี | เห็นสามีลุ่มหลงน่าสงสาร |
ห้ามไม่หยุดสุดจะขัดจะทัดทาน | พระอาการฟั่นเฟือนไม่เหมือนเคย |
ผิดจริตผิดพระรูปเศร้าซูบผอม | เจ้าพระคุณทูลกระหม่อมของเมียเอ๋ย |
จะผันแปรแก้ไขฉันใดเลย | ยังไม่เคยพบเห็นเหมือนเช่นนี้ |
ดำริพลางนางให้หาโหราเฒ่า | เข้ามาเฝ้าองค์พระมเหสี |
ให้ชำระดวงชะตาพระสามี | จะร้ายดีเป็นไฉนจะใคร่รู้ ฯ |
๏ โหรพินิจคิดคูณทูลพระเคราะห์ | จวบจำเพาะสุริยาถึงราหู |
อังคารจันทร์นั้นวินาศราชครู | ว่ามีผู้ใช้ฤทธิ์กฤตยา |
ถูกกระทำอำนาจปีศาจสิง | เหตุเพราะหญิงต่างประเทศเพศภาษา |
ต่อปลายปีมีผู้รู้วิชา | จะช่วยมาแก้ไขจึงได้คลาย |
นางฟังคำกลํ้ากลืนสะอื้นอั้น | เห็นแม่นมั่นเหมือนหนึ่งจิตที่คิดหมาย |
ประทานทรัพย์กับบรรดาโหราทาย | โหรถวายวันทาแล้วลาไป |
นางกระษัตริย์อัดอั้นให้ตันจิต | สุดจะคิดผันแปรสุดแก้ไข |
ทุกเช้าคํ่ารำพึงตะลึงตะไล | ร้อนฤทัยเทียมเพลิงละเลิงลาม |
ละไว้นานบ้านเมืองจะเคืองขัด | เกิดวิบัติเบียดเบียนเป็นเสี้ยนหนาม |
จำจะลอบบอกข่าวเรื่องราวความ | ไปถึงพราหมณ์จินดาเมืองมารัน |
ให้มาช่วยด้วยเป็นเชื้อสายสนิท | เขาศักดิ์สิทธิ์อิทธิเวทวิเศษขยัน |
ดำริพลางนางทรงเขียนสารพลัน | แล้วผูกพันผนึกพับประทับตรา |
ให้ยักษีพิเรนเวนตำรวจ | ตัวเร็วรวดร้ายกาจอาจอาสา |
ขึ้นเหาะเหินเดินทางกลางเมฆา | ได้เดือนหนึ่งถึงพาราลงธานี |
ตรงไปเฝ้าเจ้าพราหมณ์ทูลความลับ | น้อมคำนับกราบกรานส่งสารศรี |
เจ้าพราหมณ์ถามตามโบราณการธานี | เสร็จแล้วคลี่ศุภสารออกอ่านพลัน ฯ |
๏ ในสารองค์นงลักษณ์อัคเรศ | มงกุฎเกศโกญจามหาสวรรย์ |
มาแจ้งเหตุเชษฐากรุงมารัน | ตามพงศ์พันธุ์ญาติมิตรสนิทใน |
ด้วยเมียเก่าเจ้าพระยากาลวาศ | ทำภูวนาถเคลิ้มองค์ลุ่มหลงใหล |
ลืมว่าขานการบำรุงชาวกรุงไกร | ให้คลั่งไคล้คลึงเคล้าทุกเช้าเย็น |
ท้าวพระยาสามนต์คนทั้งหลาย | ไม่สบายบ้านเมืองจะเคืองเข็ญ |
มันหยาบช้าสารพัดวิบัติเป็น | มิได้เว้นวันวิตกในอกตรอม |
เดี๋ยวนี้พระจริตก็ผิดนัก | วรลักษณ์ผิดรูปซีดซูบผอม |
จะสิ้นบุญสูญปิ่นบดินทร์จอม | จะเสียพร้อมทั้งตระกูลประยูรวงศ์ |
ขอเชิญพี่ที่สนิทมาคิดอ่าน | ดำริการแก้ไขที่ใหลหลง |
ให้เคลื่อนคลายหายคลั่งประทังองค์ | ได้สืบวงศ์พงศ์จังหวัดปัถพี ฯ |
๏ พอจบความพราหมณ์ตะลึงรำพึงคิด | พระทรงฤทธิ์สังหารมารยักษี |
มาเพลี่ยงแพ้แม่หม้ายเสียดายดี | เพราะโลกีกรรมเอ๋ยไม่เคยเป็น |
สงสารองค์ทรงสวัสดิ์ดังฉัตรแก้ว | ทำร้ายแล้วไม่มีที่จะเห็น |
จะไปรับดับร้อนให้ผ่อนเย็น | จะได้เป็นความชอบประกอบการ |
ดำริพลางทางสั่งเสนายักษ์ | ให้อยู่รักษาเขตประเทศสถาน |
ผูกพาหุรู้เหาะมีเบาะอาน | เกณฑ์ทหารห้าสิบจะรีบไป |
แล้วจัดแจงแต่งองค์ขึ้นทรงม้า | เหาะลอยหลามข้ามมหาชลาไหล |
ไม่หยุดยั้งรั้งรารีบคลาไคล | ถึงกรุงไกรโกญจาลงธานี |
เข้าหาเหล่าเถ้าแก่หลวงแม่เจ้า | พาเข้าเฝ้าสร้อยสุดามารศรี |
นางปราศรัยไถ่ถามความบูรี | แล้วเล่าที่ทุกข์ร้อนแต่ก่อนการ |
พระคลั่งไคล้ใหลหลงพะวงสวาท | ไม่รักราชสมบัติพัสถาน |
ไม่ตรัสถามความพารามาช้านาน | ครั้นทัดทานทูลเตือนเฉยเชือนไป |
ให้โหรเฒ่าเขาดูภูวนาถ | ต้องปีศาจสิงองค์ให้หลงใหล |
จะผันแปรแก้กันทำฉันใด | จึงจะได้หายฤทธิ์กฤตยา ฯ |
๏ พราหมณ์คำนับรับเสาวนีย์สนอง | ถ้าถูกต้องกลเล่ห์เสน่หา |
ข้าเรียนรู้ครูสอนแต่ก่อนมา | จะอาสาเซ่นผีพลีกรรม |
แก้ให้หายคลายเคลื่อนที่เฟือนคลั่ง | ถอดถอนทั้งอาคมถมถนำ |
แม้นรูปฝังบังรอยเด็กน้อยนำ | ไปขุดจำเพาะที่ไม่มีแคลง |
แล้วทูลลามายังท้องพระโรงหลวง | พอดับดวงทินกรรอนรอนแสง |
ตั้งบายศรีพลีบัตรให้จัดแจง | พร้อมตำแหน่งจัตุสดมภ์กรมวัง |
ให้ทารกหกขวบยืนทั้งแปดทิศ | ลงยันต์ปิดกลางศีรษะปัถมัง |
ถือเทียนไชยไว้ทุกคนบนบัลลังก์ | เจ้าพราหมณ์นั่งกลางอ่านโองการมนตรี ฯ |
๏ ร้องเรียกผีปีศาจมากลาดกลุ้ม | เป็นเมฆคลุ้มคลํ้าฟ้าเวหาหน |
กินเหล้าข้าวกราวเกรียวบัดเดี๋ยวดล | ลูกเด็กคนยืนอยู่ข้างบูรพา |
ถือเทียนไชยไฟสว่างออกทางหลวง | คนทั้งปวงไพร่นายทั้งซ้ายขวา |
เด็กเดินออกนอกกำแพงลัดแลงมา | ถึงป่าช้าหลุมผีที่สำคัญ |
ขุดลงไปได้ผ้าผูกตราสัง | รูปคนทั้งสองสัมผัสรัดกระสัน |
พวกขุนนางต่างเอาผ้ากลับมาพลัน | อภิวันท์ทูลความพราหมณ์จินดา ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์ทำนํ้ากรดรดชำระ | ผ้าสละหลุดสลายคลายคาถา |
เห็นหนังสือชื่อเทพกินรา | กับภูษาชุบสรงของทรงธรรม์ |
พวกขุนนางต่างหมายเห็นคลายคลั่ง | ด้วยมนตรีขลังเคลื่อนคลายสายกระสัน |
ต่างชมฤทธิ์วิทยาเจ้ามารัน | อยู่พร้อมกันคอยเฝ้าดูเจ้านาย ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงมหาศักดาเดช | ครั้นสิ้นเพศผีสางเสื่อมสร่างหาย |
บรรทมตื่นฟื้นในพระทัยสบาย | ให้กลับกลายเกลียดกลิ่นกินรา |
ดำริความยามเฟือนดูเหมือนฝัน | สุดสำคัญคิดหวังไม่กังขา |
พิศพระรูปซูบทรงยิ่งสงกา | ทัศนานิ่งอึ้งตะลึงตะไล |
พอนางตื่นฟื้นองค์แอบทรงศักดิ์ | พระผละผลักพลางถามตามสงสัย |
ข้าอยู่นี่กี่เดือนแล้วเฟือนไป | ช่วยบอกให้แน่นางอย่าพรางกัน |
นางกินราคิดเห็นเป็นผิดนัก | พระคลายรักรังเกียจดูเดียดฉันท์ |
จึงว่าพระจะมาถามความเช่นนั้น | มิได้ทันสำคัญทำบัญชี |
พระเคืองขัดตรัสว่าดูน่าเกลียด | แกล้งกระเบียดกระเสียนราวกับสาวศรี |
แล้วหมางเมินเดินมาเรียกนารี | จุดอัคคีไฟสว่างส่องทางไป |
ขึ้นปรางค์ทองห้องสร้อยสุดาสมร | เห็นนางนอนนิ่งระงับยังหลับใหล |
ดูผิดรูปซูบผอมด้วยตรอมใจ | สะอื้นอ้อนถอนฤทัยทั้งไสยา |
ค่อยเอนแอบแนบองค์นางนงลักษณ์ | สงสารนักนิ่งพิศขนิษฐา |
ระทวยทอดกอดแก้วกานดาพะงา | อุ่นอุราเคลิ้มหลับระงับไป ฯ |
๏ ฝ่ายนางเทพกินราประหม่าจิต | เห็นทรงฤทธิ์ผิดสังเกตเหตุไฉน |
เรียกยักขินีที่รักร่วมฤทัย | มาเล่าให้แจ้งตามเนื้อความมี |
พระหมองหมางจางจิตเห็นผิดประหลาด | ไปปราสาทสร้อยสุดามารศรี |
จะผันแปรแก้ไขอย่างไรดี | ฝ่ายขินีตีอกนึกตกใจ |
จะมีผู้รู้เวทวิเศษขลัง | มาแก้คลั่งเคลื่อนคลายหายไฉน |
จะไปดูคู่ที่ฝังเป็นอย่างไร | แล้วลอบไปในป่าในราตรี |
เห็นรอยขุดสูญสิ้นคุ้ยดินหา | ไม่เห็นผ้าคว้าพบแต่ศพผี |
เสียนํ้าใจในอารมณ์ไม่สมประดี | กลับมาที่ตึกทองเข้าห้องใน |
กระซิบเล่าเยาวมาลย์เสียการแล้ว | ไม่คลาดแล้วความผิดคิดไฉน |
อยู่พาราน่าที่จะมีภัย | จะแก้ไขขัดสนไม่พ้นตัว |
เมื่อผิดชอบลอบหนีเสียดีกว่า | ไม่น้อยหน้าหญิงชายไม่อายผัว |
เทพกินราฟังกำลังกลัว | รีบแต่งตัวเทวีตะลีตะลาน |
โจงรัดกระหวัดมั่นกระสันชัก | สอดสะพักสไบทรงน่าสงสาร |
ใส่ปีกทองสองข้างชวนนางมาร | ออกข้างบานบัญชรรีบร่อนรา |
ขึ้นลอยลิ่วปลิวสูงถึงสายเมฆ | แลวิเวกอ้างว้างกลางเวหา |
กับที่รักยักขินีตามลีลา | เข้าเขตแคว้นแดนป่าในราตรี ฯ |
๏ จะกล่าวองค์นงลักษณ์อัคราช | เสียงฆ้องฆาตย่ำรุ่งก้องกรุงศรี |
ตื่นไสยาสน์หวาดผวาเห็นสามี | มาร่วมที่แท่นรัตน์ชัชวาล |
ค่อยถอยถดลดองค์นางนงลักษณ์ | ดูทรงศักดิ์ซูบทรงน่าสงสาร |
เห็นจะหายคลายคลั่งสิ้นรังควาน | จึงบันดาลดลใจให้ได้คิด |
เสด็จมาปราสาทไสยาสน์หลับ | ไม่ไหวติงนิ่งระงับหลับสนิท |
หากพี่เลี้ยงเพียงพี่ช่วยชีวิต | จึงทรงฤทธิ์รอดมาเห็นหน้าน้อง |
นางนิ่งนึกแล้วสะอึกสะอื้นอั้น | ค่อยกลืนกลั้นบรรเทาที่เศร้าหมอง |
ดำรงองค์นงคราญเผยม่านทอง | ออกจากห้องไสยาสั่งนารี |
เตรียมเครื่องอานพานชำระสรงพระพักตร์ | ให้พร้อมพรักพนักงานพานพระศรี |
คอยสำรองกล้องชุดจุดอัคคี | อยู่ข้างที่แท่นรัตน์ชัชวาล |
พอแดดสายฝ่ายพระองค์ดำรงราชย์ | ตื่นไสยาสน์ยามวิโยคโศกสงสาร |
นางสาวสาวเหล่ากำนัลพนักงาน | ถวายพานสรงพระพักตร์พระจักรา |
ครั้นสรรพเสร็จเสด็จออกมานอกห้อง | นั่งแท่นทองที่พระแกลเหลือบแลหา |
มเหสีพี่น้องสองธิดา | มาวันทาทรงศักดิ์ตรัสทักทาย |
เมื่อคืนนี้พี่มาเวลาดึก | ไม่รู้สึกทรามวัยหลับใจหาย |
ไม่แกล้งว่าถ้าชู้ผู้อื่นกราย | มันขยายหมดแล้วนะแก้วตา |
นางนิ่งนั่งฟังองค์พระทรงเดช | นํ้าพระเนตรพร่างพรายทั้งซ้ายขวา |
พระสงสัยไถ่ถามตามกิจจา | เจ้าโศกาจาบัลย์ด้วยอันใด |
หรือโกรธพี่ที่ไม่มาอยู่ปราสาท | เหลือประหลาดลืมองค์ให้หลงใหล |
โรคระทมลมจับวับหัวใจ | แต่ก่อนไม่มีเลยไม่เคยเป็น |
จะนอนนั่งคลั่งในนํ้าใจพี่ | ให้ฟั่นเฟือนเหมือนชี้ที่ฝันเห็น |
เดี๋ยวนี้หายคลายร้อนค่อยหย่อนเย็น | แต่เป็นเช่นว่านี้สักกี่วัน |
เจ้าจำได้ไหมเล่าเยาวลักษณ์ | ช่วยประจักษ์แจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
นางฟังรสพจนายิ่งจาบัลย์ | สุดกลืนกลั้นวันทาทูลสามี |
พระลืมองค์หลงเสียด้วยเมียยักษ์ | ไปฟูมฟักเฝ้าประคองเพราะต้องผี |
แต่เดือนห้ามาเข้าเดือนเก้านี้ | นี่หากพี่พราหมณ์จินดาเมืองมารัน |
มาผันแปรแก้ไขจึงได้ฟื้น | เสด็จคืนกลับมาหาหม่อมฉัน |
ประเดี๋ยวนี้พี่ยาจินดานั้น | อยู่พร้อมกันข้างหน้าแต่ราตรี |
พระฟังคำรำพึงตะลึงจิต | ให้ขุ่นคิดเคืองข้องมัวหมองศรี |
น้อยหรือเทพกินราคิดว่าดี | มิรู้อีผีเสื้อทำเหลือลาม |
แล้วสั่งเหล่าท้าวนางไปข้างหน้า | บอกเชษฐามาข้างในจะไถ่ถาม |
ฝ่ายท้าวนางต่างไปเฝ้าทูลเจ้าพราหมณ์ | เหมือนเรื่องความตรัสไว้เล่าให้ฟัง |
เจ้าพารามารันสำคัญแจ้ง | จึงจัดแจงผืนผ้าด้ายตราสัง |
ชวนเสนีที่เป็นใหญ่เข้าในวัง | ตรงขึ้นยังปรางค์รัตน์กระษัตรา |
ค่อยก้มกรานคลานเข้าไปเคารพ | ต่างนอบนบอภิวันท์ด้วยหรรษา |
พระปราศรัยไถ่ถามพราหมณ์จินดา | นั้นผืนผ้าริ้วทองของผู้ใด |
เจ้าพราหมณ์ฟังบังคมบรมนาถ | อัคราชเล่าแจ้งแถลงไข |
ตั้งพิธีพี่พาเสนาไป | ขุดผ้าในป่าช้านอกธานี |
มีหนังลือชื่อนางนามพระบาท | ด้ายดิบคาดรัดดังตราสังผี |
พระฟังคำจำได้สไบนี้ | เห็นอยู่ที่อีเทพกินรา |
น้อยไปหรือชื่อกูเข้าอยู่ด้วย | ให้งงงวยหลงรักเสียหนักหนา |
เร็วเร็วเข้าเถ้าแก่เอาตัวมา | มันจะว่าอย่างไรจะได้ฟัง |
พวกแสนสาวชาวแม่วิ่งแซ่ซ้อง | ขึ้นตึกทองมองหาเหลียวหน้าหลัง |
ไม่พบปะชะเง้อละเล้อละลัง | ไม่เห็นทั้งปีกทองที่ห้องใน |
ทั้งที่รักยักขินีมิได้พบ | พากันหลบเสียแล้วกรรมทำไฉน |
พวกท้าวนางต่างคนต่างจนใจ | ต่างกลับไปทูลแถลงแจ้งกิจจา ฯ |
๏ จอมกระษัตริย์ตรัสกริ้วนิ่วพระพักตร์ | มันคบยักษ์ยาแฝดแพศยา |
เสนาในไปจัดอสุรา | เที่ยวตามหามาสังหารผลาญชีวี |
เจ้าพราหมณ์ฟังรั้งรอว่าข้อผิด | ก็ควรคิดเคืองขัดตัดเกศี |
สงสารหน่อวรนาถราชบุตรี | ยังจะมีเชื้อวงศ์พงศ์ประยูร |
ประทานโทษโปรดให้หนีไปเถิด | อย่าให้เกิดการบาปให้สาบสูญ |
สองพระองค์ทรงพระอนุกูล | ให้เพิ่มพูนพงศ์กระษัตริย์สวัสดี |
พระฟังพราหมณ์ห้ามเห็นเป็นประโยชน์ | คลายความโกรธตรัสกับพระมเหสี |
จริงหนอเจ้าเราอย่าทำเลยกรรมมี | มันชาติอีคนชั่วช่างหัวมัน |
พลางปราศรัยไถ่ถามความพี่เลี้ยง | ถึงวังเวียงวงนิเวศน์ขอบเขตขัณฑ์ |
แล้วปลดเปลื้องเครื่องประทานสังวาลวัลย์ | มงกุฎกรรเจียกแก้วพลอยแพรวพราย |
ให้เจ้าพราหมณ์ตามมีที่ความชอบ | ได้ประกอบก่อเกื้อเป็นเชื้อสาย |
พราหมณ์เคารพนบนอบยุบยอบกาย | กราบถวายบังคมพระภูวไนย |
แล้วแต่งองค์ทรงเครื่องเรืองจรัส | เพชรรัตน์รุ้งพร่างสว่างไสว |
ทูลลามาพาพหลพลไกร | รีบกลับไปพาราเมืองมารัน |
ฝ่ายองค์พระสิงหไกรภพโลก | ค่อยเคลื่อนคลายวายวิโยคที่โศกศัลย์ |
กับองค์พระมเหสีก็ดีกัน | ทุกคืนวันเวลาไม่อาวรณ์ |
พระบำรุงกรุงไกรทั้งไอศูรย์ | ยิ่งเพิ่มพูนภิญโญสโมสร |
แสนเสนาพฤฒามาตย์ราษฎร | ไม่เดือดร้อนรื่นเริงบันเทิงใจ ฯ |