ตอนที่ ๑๘ รามวงศ์พบเจ็ดนาง พระเทวราชโอรสเจ้าเมืองวิเรน และพระอนุชา

๏ จะกล่าวความรามวงศ์องค์โอรส รักษาพรตพรหมเมศตามเพศไสย
เที่ยวเหาะเหินเดินทางที่กลางไพร เห็นเขาใหญ่ใกล้ทะเลเหมือนเมฆา
เขียวชอุ่มพุ่มพฤกษ์ดูครึกครื้น พระลงยืนหยุดอยู่ยอดภูผา
มีร่มไม้ไทรครึ้มมหึมา สูงสักห้าสิบเส้นเยือกเย็นลม
แต่ลูกยาวราวกับมะพร้าวหอม ที่สุกงอมหอมชื่นไม่ขื่นขม
ดูกว้างขวางหว่างเวิ้งเพิงพนม เข้านั่งร่มไทรแท่นแผ่นศิลา
พระแลเล็งเพ่งพิศข้างทิศใต้ ล้วนคลื่นใหญ่ในทะเลกับเวหา
สายสมุทรสุดหมายสุดสายตา เห็นแต่ปลาลอยสล้างอยู่กลางชล
แล้วเพ่งพิศทิศอุดรสิงขรเขา ตระหง่านเงาเงื้อมฟ้าเวหาหน
ตะวันออกหมอกสลัวมืดมัวมน พยับฝนคลํ้าเมฆวิเวกใจ
ทอดพระเนตรเขตคันตะวันตก ล้วนนกหกเหินร่อนว่อนไสว
ยิ่งแลเหล็ยวเปลี่ยวเปล่าเศร้าฤทัย เห็นไรไรเรือทองลอยล่องมา
เข้าเสือกเสยเกยตื้นคลื่นกระแทก ราโท[๑]แยกแยะอยู่เชิงภูเขา
ดูเรือทองห้องหับประดับประดา ผู้ใดมาอยู่ในนั้นหรือฉันใด
ไม่เห็นออกนอกเรือเหลือประหลาด หรือปีศาจสาครหลอนไฉน
นิ่งพินิจคิดแคลงใคร่แจ้งใจ เหาะลงไปนาวามีฝาบัง
ล้วนลายทองป้องปิดผนิดแน่น ผิดเรือแล่นลูกค้าแขกฝาหรั่ง
ชักพระขรรค์ฟันบานทวารพัง เห็นนางนั้งเจ็ดองค์ทรงสำอาง
อนาถนิ่งอิงเขนยเลยสลบ เป็นซากศพกระษัตรีหรือผีสาง
เข้าห้องเก๋งเพ่งพิศพินิจนาง ล้วนโศกซูบรูปร่างละอย่างกัน
เหมือนเรียงปีพี่น้องผุดผ่องพักตร์ วิไลลักษณ์ล้ำสุรางค์นางสวรรค์
หรือบิดานารีสิ้นชีวัน แต่ผิวพรรณผุดผาดเลือดฝาดมี
หรือเหนื่อยอ่อนซ้อนซบสลบนิ่ง จะต้องหญิงกลัวจะผิดกิจฤๅษี
แต่ศีลห้ากาเมประเวณี ห้ามแต่ที่มีเจ้าของเขาป้องกัน
นี่รุ่นราวสาวแส้พอแก้ได้ ไม่มีใครช่วยรักษาจะอาสัญ
พลางต้องดูรู้มีดวงชีวัน เฝ้าปลุกสั่นสักเท่าไรก็ไม่ฟื้น
จึงเสกนํ้าพรำพรมเป่าลมธาตุ ไม่สิ้นชาติชีวาค่อยฝ่าฝืน
ที่ไฟธาตุขาดดับก็กลับคืน ต่างพลิกฟื้นลืมเนตรทั้งเจ็ดองค์
เห็นดาบสถดถอยชม้อยชม้าย จะทักทายอายจิตพิศวง
หน่อกระษัตริย์ตรัสประโลมนางโฉมยง ทั้งเจ็ดองค์ทรงสบายอย่าอายใจ
จะขอถามตามจริงมิ่งสมร เดิมบิดรมารดาอยู่หาไหน
นคเรศเขตแคว้นด้าวแดนใด จึงมาในนาวาล้วนนารี
เห็นนางนิ่งจริงนะกลัวจะม้วย จึงชุบช่วยชีวามารศรี
ยังสงสัยใคร่แจ้งแห่งคดี มาทั้งนี้มีกังวลไปหนใด
ฝ่ายเจ็ดนางต่างรู้ว่าชูช่วย ระทดระทวยทูลแจ้งแถลงไข
พระบิดาข้าบำรุงชาวกรุงไกร ทั้งโภไคไอศูรย์มากมูลมอง
บังเกิดกรรมนํ้าท่วมประเทศถิ่น คนตายสิ้นชายหญิงสูญสิ่งของ
พระชนกาปรานีข้าพี่น้อง ใส่เรือทองลอยมาในสาชล
ทุกคืนวันสัญจรเที่ยวร่อนเร่ มาอ้างว้างกลางทะเลระเหระหน
ข้างเหนือใต้ไม่แจ้งแห่งตำบล แต่เหลือทนจนชีวันจะบรรลัย
พระสิทธามาชุบอุปถัมภ์ พระคุณลํ้าดินฟ้าชลาไหล
ขอทูลความถามพระภูวไนย จะไปไหนไยจึงมาในสาคร
พระฟังคำร่ำเล่าเศร้าสังเวช เสียประเทศถิ่นฐานสงสารสมร
เป็นลูกสาวท้าวพระยาอนาทร พลอยทุกข์ร้อนรำพึงคิดถึงองค์
เหมือนอกเราเปล่าเปลี่ยวเสียวสะอื้น อุตส่าห์ฝืนเล่าความตามประสงค์
อันตัวพี่นี้นามชื่อรามวงศ์ จะไปปลงศพพระอัยกา
แล้วเล่าความตามเรื่องที่เคืองแค้น ต้องโศกแสนเสียวงศ์เผ่าพงศา
ตั้งแต่ต้นมาค้างกลางหิมวา จำจากเมียเสียสีกาแก้วกินรี
รู้ว่ากรรมทำไว้จึงได้บวช อุตส่าห์สวดมนต์ถือเป็นฤๅษี
สารพัดตัดขาดในชาตินี้ ไม่ขอมีเมียใหม่จนวายปราณ
แต่ตั้งจิตคิดประโยชน์จะโปรดญาติ กลับไปราชนิเวศน์ประเทศสถาน
เที่ยวเฟือนทางกลางป่าไปช้านาน พอพบพานภคินีพวกพี่น้อง
เห็นนิ่งแน่แก้ไขพอไม่ม้วย สงสารด้วยโฉมเฉลาจะเศร้าหมอง
เมื่อเดิมทีศรีสวัสดิ์มีสัดจอง ได้ลอยล่องท้องทะเลตามเวรา
นี่เรือแตกแยกยับอยู่กับฝั่ง เหลือกำลังทั้งเจ็ดของเชษฐา
ขอไถ่ถามความคิดวนิดา เจ้าจะพากันไปหนตำบลใด
เจ็ดธิดานารีชุลีหัตถ์ เห็นเคร่งครัดตัดมิตรพิสมัย
จึงว่าพระจะเสด็จไปแห่งใด จะขอไปเป็นข้าฝ่าธุลี
ฉลองคุณมุลิกาพระดาบส อย่าเปลื้องปลดปลิดปละสละหนี
มิโปรดด้วยช่วยพาไปธานี ก็น่าที่ชีวันจะบรรลัย
พระฟังวอนอ่อนหวานสงสารสมร พลางกอดกรว่ากรรมทำไฉน
ถ้ารู้เหาะก็จะพาเจ้าคลาไคล นี่จนใจจะต้องเดินเห็นเกินการ
กำลังกายหมายมาตรสิ้นชาติหนึ่ง ก็ไม่ถึงซึ่งนิเวศน์ประเทศสถาน
จะทิ้งนุชสุดเสียดายจะวายปราณ แสนสงสารทรามวัยกระไรเลย
ทั้งเจ็ดนางจงอาศัยอยู่ไพรสูง พอพ้นฝูงเสือสีห์เจ้าพี่เอ๋ย
ลูกไทรหวานปานขนมนํ้านมเนย เก็บเสวยให้ทุกวันไม่บรรลัย
แม้นตัวพี่นี้ไปพบพาราแล้ว ไม่ลืมแก้วกลอยจิตพิสมัย
จะรีบจัดรถาเสนาใน มารับไปไว้เหมือนน้องร่วมท้องกัน
กระษัตรามาขอก็จะเษก ให้เปนเอกอัคเรศเจ้าเขตขัณฑ์
แล้วตัวพี่นี้จะลาอยู่อารัญ บวชตะบันน้ำกินจนสิ้นชนม์
นางฟังคำรํ่าว่านํ้าตาตก สะอื้นอกอ้างว้างอยู่กลางหน
จะห้ามปรามตามติดก็คิดจน ให้อั้นอ้นชลนัยน์ไหลรินริน
ต่างรํ่าว่าข้าน้อยจะคอยท่า จนชีวาม้วยมุดสุดถวิล
มาพบปะจะขอบุญพระมุนนิน ขอรับศีลทรงพรตดาบสนี ฯ
๏ พระชื่นชอบตอบว่าสาธุสะ ดีแล้วจ๊ะจะได้ถือเป็นฤๅษี
แล้วนำนางย่างเดินเนินคีรี ขึ้นนั่งที่แท่นใต้ต้นไทรทอง
ส่วนเจ็ดนางต่างองค์ประจงจีบ ชฎากลีบเสริมเกล้าทั้งเศร้าหมอง
สไบทองรองเรืองเป็นเครื่องทอง แล้วพี่น้องตั้งประณตบทมาลย์
พระสอนสั่งทั้งศีลแปดแลศีลห้า ให้รักษาอารมณ์พรหมวิหาร
ทั้งเจ็ดนางต่างราบก้มกราบกราน สมาทานศีลห้าตามบาลี
พระเลือกเก็บลูกไทรมาให้ฉัน ประชุมกันตามจริตกิจฤๅษี
ส่วนเจ็ดนางทรงพรตดาบสนี ปรนนิบัติพัดวีพระพี่ยา
ด้วยเป็นศิษย์คิดคุณบอกบุญบวช ต่างนั่งนวดกรกายทั้งซ้ายขวา
พระรามวงศ์สงสารแก้วกานดา นึกจะลาแล้วสะท้อนถอนฤทัย
เสียดายพักตร์ลักขณาพระนลาฏ สมเป็นราชธิดาจะหาไหน
แต่ละองค์ทรงโฉมประโลมใจ งามวิไลแลเปล่งดังเพ็งจันทร์
แต่จนใจได้รักษาสิกขาบท รู้อดรสรูปกลิ่นถวิลกลั้น
ชำเลืองดูสุริยาเย็นสายัณห์ สะอื้นอั้นกลั้นรักหักอารมณ์
จึงว่าพี่นี้จะลาแล้วหนาน้อง แม่อยู่ห้องคูหาต่างอาศรม
ทรงสิกขาอย่าให้ผิดในกิจกรม จะได้พรหมนิพพานสำราญใจ
ทั้งเจ็ดนางต่างฟังพระสั่งสอน สะอื้นอ้อนอกสั่นประหวั่นไหว
อยู่หว่างเขาเช้าเย็นจะเห็นใคร ต่างรํ่าไรไห้สะอื้นกลืนนํ้าตา
นางราศีพี่สาวคราวดาบส น้อมประณตนอบนบซบเกศา
พบพระพี่มีคุณกรุณา ช่วยชีวาไว้แล้วกลับแคล้วกัน
ในชาตินี้มิได้รองละอองบาท จะสิ้นชาติชีวาม้วยอาสัญ
จะเกิดไหนให้ปะองค์พระทรงธรรม์ ให้ผูกพันพิศวาสอย่าคลาดคลาย
นางมณีที่สองรํ่าร้องไห้ พระจะไปไกลหม่อมฉันมิ่งขวัญหาย
เห็นแน่ใจไม่รอดคงวอดวาย จะจำตายเสียเปล่าเปล่าไม่เข้ายา
อยากจะใคร่ให้พระพี่เห็นที่รัก จะขอควักนัยเนตรให้เชษฐา
แทนคุณพี่มีคุณกรุณา ช่วยรับแก้วแววตาตามอาวรณ์
นางเสาวนีที่สามว่ายามยาก หมายจะฝากชีวิตอดิศร
ทรงพระคุณอุ่นจิตดังบิดร ถึงทุกข์ร้อนดับสิ้นชื่นวิญญาณ์
พระจากไปใจน้องจะต้องขาด ไปตามบาทบทเรศพระเชษฐา
แต่ศพของน้องนี้สิ้นชีวา จะคอยท่าฝ่ายุคลอยู่ต้นไทร
นางอำพันนั้นเป็นน้องรองที่สี่ ทรงโศกีมิใคร่ฟื้นสะอื้นไห้
โอ้ชาตินี้มีกรรมทำกระไร จะได้ไปเป็นข้าฝ่ายุคล
สนองคุณมุลิกาอุตสาหะ กวาดขยะหญ้าฟางกลางถนน
อยู่ที่นี่มิได้หายวายกังวล ถึงบรรลัยไม่พ้นทนทรมาน
นางละอองรองพี่เป็นที่ห้า สะอื้นอ้อนวอนว่าน่าสงสาร
นางมอดม้วยช่วยรักษาพยาบาล ให้หม่อมฉานชื่นใจว่าไม่ตาย
จะตามติดคิดรักพระจักรแก้ว มิโปรดแล้วแสนให้อาลัยหาย
อยู่ที่นี่มิรอดคงวอดวาย โปรดให้ตายเสียสักหน่อยจึงค่อยไป
นางสารานารีน้องที่หก นํ้าตาตกซกโซมชโลมไหล
ชุลีกรวอนว่าด้วยอาลัย พระไปไหนน้องจะตามเป็นความจริง
ถึงแม้นพระจะเสด็จระเห็จเหิน น้องจะเดินทางสุธาประสาหญิง
ถึงจะไปไม่ตลอดพระทอดทิ้ง สู้ตายกลิ้งกลางป่าดีกว่าคอย
นางสมุทรสุดท้องนั่งร้องไห้ พระเมตตาพาไปไว้ใช้สอย
ไม่สงสารฉันเป็นเด็กลูกเล็กน้อย มิอยากปล่อยภูวไนยให้ไคลคลา
พลางสวมสอดกอดองค์ทรงกันแสง โอ้เสียแรงน้องรักพระหนักหนา
ทั้งเจ็ดนางต่างสะอื้นกลืนนํ้าตา ต่างทุกข์ร้อนวอนว่าด้วยอาลัย
พระรามวงศ์ทรงฟังนึกสังเวช นํ้าพระเนตรคลอคลอหลั่งหล่อไหล
เสียดายรักหนักหน่วงเป็นห่วงใย ด้วยเคียงใกล้ได้กลิ่นรวยรินรส
แรกรุ่นราวสาวหนุ่มนึกกลุ้มกลัด เสียวสัมผัสผิวเนื้อแทบเหลืออด
แต่อายจิตกิจกรมพรหมพรต สู้สะกดอดใจอาลัยลาญ
เสียดายรูปลูบหลังนางทั้งเจ็ด ช่วยชุบเช็ดชลนาน่าสงสาร
ปลอบประโลมโฉมเฉลาเยาวมาลย์ มาพบพานพี่ก็รักภคินี
นึกจะไปได้กลับมารับน้อง แม่มัวหมองนึกจะสละหนี
จะหาไหนได้เหมือนนุชพระบุตรี จะรู้ที่ทิ้งขว้างเสียอย่างไร
อย่ากันแสงแหนงจิตขนิษฐ์น้อง จะอยู่ด้วยช่วยประคองให้ผ่องใส
รุ่งพรุ่งนี้พี่จะลาเจ้าคลาไคล พลางลูบไล้รับขวัญเจ็ดกัลยา
นางฟังปลอบชอบชื่นค่อยฝืนพักตร์ ยิ่งเพิ่มรักภูวเรศเหมือนเชษฐา
เที่ยวกรีดเล็บเก็บได้ดอกไม้มา โรยที่แท่นแผ่นผาเมื่อราตรี
เดือนกระจ่างกลางโพยมดังโคมช่วง ประดับดวงดาวจรัสรัศมี
พระนั่งแท่นแผ่นผาเจ็ดนารี ปรนนิบัติพัดวีพระพี่ยา
เย็นระเรื่อยเฉื่อยฉํ่าด้วยน้ำค้าง พรอยพรอยพร่างพรมไม้ไทรสาขา
ยามพระพายชายเชยรำเพยพา หอมบุปผารวยรื่นชื่นอารมณ์
พระรามวงศ์ลงเอกเขนกนิ่ง เจ็ดนางอิงแอบชิดสนิทสนม
พระแกล้งกล่อมจอมขวัญให้บรรทม ล่วงปฐมยามแล้วแก้วกลอยใจ
เจ้าพี่เอ๋ยเคยนอนบรรจถรณ์แท่น มาพิงแผ่นผารองไม่ผ่องใส
สิ้นสุรางค์นางเห่แต่เรไร จะเห่ให้ไสยาในราตรี
เคยฟังขับศัพท์เสียงสำเนียงร้อง มาแซ่ซ้องเสียงจิ้งหรีดดังดีดสี
เคยบรรทมโสมนัสนางพัดวี โอ้ยามนี้หนอนํ้าค้างพร่างโพยม
เคยได้ยินพิณพาทย์ระนาดฆ้อง ประโคมกลองกลางคืนให้ชื่นโฉม
อยู่ชายฝั่งฟังคลื่นเสียครื้นโครม เหมือนประโคมค่อนรุ่งในกรุงไกร
เชิญพระนุชบุตรีฟังพี่กล่อม งามละม่อมมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว
ถึงหนาวลมห่มแพรพอแก้ได้ แต่หนาวในทรวงสะอื้นทุกคืนวัน
วิเวกเสียงเที่ยงคืนระรื่นเรื่อย เจ็ดนางเหนื่อยนอนหลับแล้วรับขวัญ
นั่งพินิจพิศน้องผ่องผิวพรรณ แสงพระจันทร์แจ่มส่องละอองนวล
ล้วนน่ารักพักตร์ผิวคิ้วขนง แต่ละองค์ทรงงามทรามสงวน
แนบถนอมหอมให้ใจรัญจวน ฤดีป่วนรวนเรเสน่ห์ใน
นึกสนิทชิดชื่นระรื่นกลิ่น กลัวขาดศีลเสียกิจผิดวิสัย
เสียดายพรตอดกลั้นอ้นอั้นใจ ลุกขึ้นไปห่างนางข้างคีรี
ดำริธรรมกรรมฐานสังหารรัก ด้วยไตรลักษณ์หักธุระพระฤๅษี
อันรูปทรงหลงเห็นว่าเป็นดี คือซากผีพองเน่าเสียเปล่าดาย
ได้สติตริตรึกจนดึกดื่น จะกลับคืนเขตคันลอบผันผาย
พวกเจ็ดนางช่างเถิดเกิดแล้วตาย อันร่างกายไม่น่าจะอาวรณ์
ปลงสังเวชเจตนานิรารัก ทรงสะพักตะพายแล่งพระแสงศร
จากไทรทองย่องจดบทจร พระจันทรเที่ยงตรงเปล่งโปร่งดวง
เดินจงกรมพรหมพักตร์ประทักษิณ รอบคิรินร่มไทรทั้งใหญ่หลวง
ระลึกบุญพูนสวัสดิ์สัตว์ทั้งปวง จงลุล่วงโลกพ้นทนทรมาน
พอนางไม้ไทรทองคะนองหยอก เป็นหญิงออกอ้อนวอนเสียงอ่อนหวาน
ฉันไหว้จ๊ะพระมหาสิทธาจารย์ โปรดประทานบุญบ้างอย่าหมางเมิน
พระเหลือบเห็นเช่นพระมเหสี แก้วกินรีริมเงาภูเขาเขิน
ให้เคลิ้มจิตคิดว่าน้องตรัสร้องเชิญ กลับห่างเหินหายวับไปกับตา
ตะลึงนึกตรึกตรองโอ้น้องแก้ว บรรลัยแล้วลับเนตรของเชษฐา
ยังตามพี่มีบุญกรุณา กรวดนํ้าไปให้สีกาแก้วกินรี
นิจจาเอ๋ยเคยนอนสิงขรเขา จำจากเจ้าเยาวลักษณ์เพราะยักษี
ยิ่งตรึกตราอารมณ์ไม่สมประดี ถือขันตีแตกกระเทาะก็เพราะเมีย
มาดูที่พี่น้องผุดผ่องพักตร์ เสียดายนักน้องหญิงจะทิ้งเสีย
เข้าเคียงโฉมโลมเล้าคลอเคล้าเคลีย ละห้อยละเหี่ยห่วงใยอาลัยลาญ
สามิภักดิ์รักพี่เป็นที่ยิ่ง จะทอดทิ้งโฉมยงก็สงสาร
จะอุ้มเหาะก็หลายองค์นางนงคราญ ดำริการเกินกำลังนั่งตะลึง
แล้วคิดได้ใส่ปีกเสียให้สิ้น สอนให้บินไปถึงไหนก็ไปถึง
ดีพระทัยได้สมอารมณ์รำพึง พรุ่งนี้จึงจะไปเหมือนใจจง
พอแจ่มแจ้งแสงสว่างเจ็ดนางตื่น พระแช่มชื่นชิดชวนนวลหง
พี่จะทำปีกประดับสำหรับองค์ ให้โฉมยงรู้บินเหมือนกินรี
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวค้นเดินวนวก เก็บขนนกมาประดับสลับลึ
เป็นปีกใส่สายยนต์ไกกลมี ให้บุตรีเจ็ดองค์สวมทรงกร
ให้โผผินบินลองก็ข้องขัด หน่อกระษัตริย์จับมือกระพือสอน
ยุพาพินบินเป็นเผ่นอัมพร แฉลบร่อนราปีกเลี่ยงหลีกลม
พระนำหน้าว่านางไปทางนี้ เจ็ดนารีเรียงตามดูงามสม
ข้ามสำเนาเขาเขินเนินพนม ลิ่วลอยลมชมเมฆวิเวกใจ
จบแสงแดดแผดร้อนสมรมิ่ง ให้เวียนวิงหวาดพรั่นประหวั่นไหว
พระเวทนาพานางลงกลางไพร ดำเนินในแถวทางหว่างคีรี
ร่มระรื่นพื้นผาศิลาลาด รุกขชาติช้อยชดสลดสี
ส่วนเจ็ดองค์นงนุชพระบุตรี เก็บมาลีหลายอย่างต่างต่างกัน
แก้วกาหลงชงโคยี่โถกระถิน อินทนิลน่าชมดอกนมสวรรค์
พระรามวงศ์ทรงศรกรกุมขรรค์ สอยลูกจันแจกอนงค์องค์ละใบ
ทั้งเจ็ดนางต่างถวายดอกไม้ป่า พระถามว่ารสสุคนธ์เก็บต้นไหน
นางนิ่งเดินเมินชะม้อยร้อยมาลัย สอดสวมใส่ศรพระขรรค์ค่อยบรรจง
พระยิ้มแย้มแช่มชื่นระรื่นร่ม ชวนนางชมนกไม้ไพรระหง
เห็นสระศรีมีโกมุทบุษบง ชวนกันลงสรงนํ้าเล่นสำราญ
เจ็ดนารีปรีดิ์เปรมเกษมสนุก ต่างลืมทุกข์อาบกินกระสินธุ์สนาน
พระรามวงศ์หลงปลื้มลืมรำคาญ เลือกหักก้านโกมุทบุษบัน
ได้บัวตูมพุ่มพวงแซมทรวงเล่น แกล้งเข้าใกล้ให้นางเห็นเหมือนเช่นถัน
นางหลีกเลี่ยงเอียงอายยิ้มพรายกัน เลียงสรวลสันต์ซิกซี้เปรมปรีดา
เที่ยวเลือกหักฝักปทุมกระทุ่มนํ้า ถือใบทำร่มกั้นด้วยหรรษา
นางสุดท้องร้องดอกสร้อยสักรวา พวกพี่ยารับน้องทำนองดี
พระรามวงศ์ทรงว่ายถอนสายติ่ง ทำปลิงทิ้งพระธิดามารศรี
นางร้องกรีดหวีดผวาว่ายวารี หนีพระพี่โผไล่เลี้ยวไปมา
จึงฉวยฉุดยุดยื้อไม่ถือผิด ด้วยเป็นศิษย์สังเกตเหมือนเชษฐา
พระเสสรวลชวนชิดเล่นปิดตา ให้พวกพ้องน้องยาอยู่โยงยืน
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวซ่อนสมรมิ่ง แฝงบัวนิ่งบังหน้าค่อยฝ่าฝืน
นางสรวลสันต์กันเองเสียงเครงครืน ค่อยย่องยืนแยกหาเป็นช้านาน
นางราศีพี่ใหญ่ย่องไปปะ โถมกอดพระพระก็กอดสอดประสาน
นาสิกเสียดเฉียดชื่นรื่นสำราญ นางทัดทานทูลตามเป็นความใน
พระสวมสอดกอดจูบรักรูปกลิ่น ไม่ขาดศีลหรือพุคะนี่ไฉน
พระเบือนบอกหยอกเล่นจะเป็นไร แล้วแฝงใบบัวหนีไปลี้ลับ
นางมณีที่สองเมียงมองพบ พระหลีกหลบไล่ลัดสกัดจับ
กระโจมกอดสอดกรพระช้อนรับ นางหลีกกลับแกล้งหนีพระพี่ยา
นางสมุทรสุดท้องเป็นน้องน้อย เข้าแฝงคอยช้อยเนตรดูเชษฐา
เห็นจวนใกล้ได้ช่องค่อยย่องมา กอดพี่ยายุดพระบาทไม่คลาดคลาย
พระโอบอุ้มจุมพิตสนิทสนอม นางยินยอมยิ้มแย้มยื่นแก้มถวาย
ด้วยพาซื่อถือว่ารักไม่ยักอาย พระอุ้มว่ายวารีด้วยปรีดา
แล้วชวนนุชสุดสวาทเล่นสาดนํ้า ต่างซัดซํ้าสู้กันด้วยหรรษา
พระสาดแรงแกล้งให้ถูกจมูกตา นางหลบหน้าหนีกระจายพลัดพรายไป
พระเพลินเล่นเย็นจวนจึงชวนน้อง ขึ้นบกครองเครื่องฤๅษีตามวิสัย
นางจัดกลีบจีบชฎาอังสาสไบ แล้วสวมใส่ปีกป้องทั้งสองกร
พระนำหน้าพานางขึ้นกลางเมฆ แลวิเวกหวาดทรวงดวงสมร
ดูมืดมนฝนคลํ้าที่อัมพร ทินกรเกือบจะดับพยับโพยม
เย็นระรื่นชื่นฉํ่าด้วยนํ้าค้าง เข้าเคียงนางหนาวเบียดชิดเฉียดโฉม
พอคํ่าเดือนเลื่อนสว่างเหมือนอย่างโคม ส่องโพยมแจ่มแจ้งแสงพระจันทร์
ดาวกระจายรายเรียงเรืองอร่าม ดูแวววามงามกระจ่างสว่างสวรรค์
นางบินเบียดเฉียดชิดตามติดพัน ชมพระจันทร์ชั้นฟ้าดาราเรือง
อยากใคร่ดูรู้จักทูลซักถาม พระบอกนามโรหิณีสุกสีเหลือง
โน่นดวงแดงแสงกํ่าประจำเมือง แม้นขึ้นเบื้องบูรพาเป็นการะพฤกษ์[๒]
นั่นดาวหางต่างสีที่สังเกต ขึ้นประเทศไหนเห็นจะเป็นศึก
นางฟังคำจำได้ดังใจนึก จนยามดึกดาวเคลื่อนทั้งเดือนคล้อย
พระเคียงคลอรอนางกลางอากาศ นํ้าค้างสาดซาบสกนธ์ดังฝนฝอย
ฝูงปักษาการเวกแฝงเมฆลอย ตัวน้อยน้อยนํ้าเสียงสำเนียงเย็น
เหมือนสังคีตดีดสีเป่าปี่แก้ว เสียงแว่วแว่วไวไวแลไม่เห็น
พระเหาะหาว้าว่อนมันซ่อนเร้น ชวนน้องเล่นล้อมนกเวียนวกวน
เวลารุ่งมุ่งหมายตามสายเมฆ สูงวิเวกว่ายฟ้าเวหาหน
เที่ยวผันแปรแลหาทั้งสากล ไม่เห็นคนเขตแคว้นแดนบูริน ฯ
๏ จะกล่าวเรื่องเมืองวิเรนริมเมรุมาศ เป็นเชื้อชาติเทวดารักษาคีล
เกษมสันต์หรรษาทั้งธานินทร์ ชาวเมืองกินทิพรสถือทศธรรม์
ทั้งถิ่นฐานบ้านเมืองล้วนเครื่องแก้ว เป็นเลิศแล้วรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์
แต่ต้นไม้ในประเทศขอบเขตคัน ล้วนจวงจันทน์กฤษณาสุมามาลย์
พวกนักปราชญ์ราชครูผู้วิเศษ ย่อมอาศัยอยู่ในเขตประเทศสถาน
รู้เหาะเหินเดินฟ้าปรีชาชาญ แสนสำราญรื่นรอบขอบนคร
ท่านท้าวเทพมาลีผ่านพิภพ เลิศลบลือฤทธิ์อดิศร
กับนางทิพกัลยาพะงางอน ปิ่นนิกรเกศสุรางค์สำอางนวล
นางเทวีมีพระหน่อวรนาถ ชื่อเทวราชรูปงามทรามสงวน
สิบห้าปีสีอินทนิลนวล เหมือนจะชวนชาววังให้คลั่งใจ
รู้เดินนํ้าดำดินศิลปศาสตร์ เฉลียวฉลาดเล่นพิณดีดดิ้นไหว
แสนสาตราฆ่าฟันไม่บรรลัย รู้ถอดใจจุติสิทธิมนตร์
ไปเที่ยวออกนอกวังเคยนั่งเล่น ที่นั่งเย็นเยี่ยมฟ้าเวหาหน
เมื่อวันหนึ่งจึงทรงเล่นหงส์ยนต์ ชักปีกบนอัมพรเผยร่อนรา
กับพี่เลี้ยงเคียงองค์ชักหงส์เหิน พระเพลิดเพลินสรวลสันต์ด้วยหรรษา
ขึ้นสูงลิ่วปลิวลมชมชลา ถิ่นสุธาทุ่งแถวแนวนที
พอพายุประจุบันเป็นควันกลุ้ม มืดชอุ่มคลํ้าฟ้าทุกราศี
ไม่เห็นสิ้นถิ่นสุธาเหมือนราตรี พายุตีตึงตังกำลังแรง
ที่นั่งหงส์ทรงปลิวลิ่วลิ่วลิบ ลับทวีปหว่างสุเมรุไม่เห็นแสง
ถึงเนินทรายฝ่ายอสูรกองกูณฑ์จำแลง บังเกิดแสงรัศมีเหมือนสีรุ้ง
แม้นพิธีที่ทำนั้นสำเร็จ กายเป็นเพชรถึงจะเอาเผาถลุง
ไม่ล้มตายร่ายมนตร์บ่นบำรุง เป็นเพลิงพลุ่งโพลงสว่างนั่งกลางเพลิง
เห็นพยนต์หงส์องค์พระเทวราช มาตรงหาดเหาะปลิวละลิ่วเหลิง
ข้ามพิธีที่มันแกล้งเชื่อแรงเริง จนเปลวเพลิงกลับดับจะจับกิน
ยืนทะลึ่งถึงพระเทวราช รวบจับฟาดฟัดแขนกับแผ่นหิน
พระถอดใจไว้บนที่สีขริน ยักษ์ก็กินกายกลืนเริงรื่นแรง
พอเสื่อมมนต์อนธการบันดาลหาย สุริย์ฉายสายสว่างกระจ่างแสง
มารทะมึนยืนขวางอยู่กลางแปลง สองตาแดงดังหนึ่งไฟประลัยลาม
แลเขม้นเห็นคนมาบนเมฆ เดินโยกเยกโย่งเย่งน่าเกรงขาม
คอยขวางหน้าตาปลิ้นแลบลิ้นพลาม ฝ่ายพระรามวงศ์มาข้างหน้านาง
แลเขม้นเห็นทะมึนยืนแยกเขี้ยว จะเลี่ยงเลี้ยวหลีกลัดก็ขัดขวาง
มันไล่คว้ามาจะจับพระรับพลาง จับจักรขว้างราพณ์ร้ายตัดกายกร
ทั้งเศียรบาทขาดกระเด็นกลับเป็นอีก พระหลบหลีกลัดแลงทรงแผลงศร
เป็นแสนลูกถูกทะลุปรุอุทร เป็นสี่กรแปดหน้ารุกราวี
พระระวังทั้งเจ็ดเหนื่อยเหน็ดนัก ยื่นศรจักรขรรค์คทาให้มารศรี
แล้วพระองค์ทรงแกว่งพระแสงตรี คอยต่อตีหนีพลางกลางโพยม
ยักษ์อสูรฉุนแค้นกางแขนรวบ ตะครุบรวบฉวยคว้าไล่ถาโถม
นางขว้างจักรยักษ์ขาดเลือดสาดโซม อสูรโอมอ่านเวทวิเศษมนตร์
ต่อไม่ติดคิดรู้ว่าผู้หญิง เลียใจจริงจำวิบัติปัฏิสนธิ์
ซวนเซทรุดสุดกำลังประทังทน ทุ่มทอดตนตึงตังดิ้นพังครืน
กระเดือกดิ้นสิ้นชีพทวีปไหว กายาใหญ่เสือกยืดมืดทะมึน
พระรามวงศ์นงนุชลงหยุดยืน อยู่เหนือพื้นแผ่นผาพอสายัณห์
พอได้ยินพิณพาทย์ระนาดฆ้อง ประสานซ้องเสียงบรรเลงเพลงสวรรค์
สาวสุรางค์นางฟ้าฝูงเทวัญ มาพร้อมกันสรรเสริญแน่นเนินทราย
ต่างภิญโญโมทนาที่ฆ่ายักษ์ มันจักคิดผลาญทวีปให้ฉิบหาย
มาตั้งกิจพิธีจะหนีตาย ให้กายกลายเป็นเพชรเกือบเสร็จการ
ถึงกระนั้นอันผู้ชายทำลายล้าง ไม่วายวางตราบกาลปาวสาน
สตรีปราบราพณ์ร้ายจึงวายปราณ ขอประทานแทนคุณพระมุนี
ด้วยยักษ์ตายภายหน้าจะผาสุก บรรเทาทุกข์เทวาในราสื
แล้วต่างจับทับโทนตะโพนตี มโหรีรับเพลงวังเวงใจ
บ้างร้องขับจับระบำรำถวาย ทอดกรกรายปรายหัตถ์กระหวัดไหว
ฝูงเทวัญกั้นหน้านางฟ้าไว้ ต่างล่อไล่หลีกองค์ตีวงเวียน
ไว้จังหวะประปรายชม้ายชม้อย ดูอ่อนช้อยชดหัตถ์ฉวัดเฉวียน
ระทวยระทดบทแบบล้วนแนบเนียน ต่างผลัดเปลี่ยนซ้ายขวาหลายท่าทาง
ทำเลี้ยวล่อคลอเคล้าเพริศเพราพริ้ง รำท่าสิงโตเต้นเที่ยวเล่นหาง
รำลงสรงหงส์ร่อนทอดกรกาง ย้ายทำนองย่องย่างกวางเดินดง
แล้วรำท่าม้าคลีต่างหนีไล่ แทงวิสัยไว้จังหวะดูระหง
แล้วรำอย่างนางกินรราร่อนลง อ่อนเอี้ยวองค์อายเอียงม่ายเมียงกัน
พวกเทวาคว้ากรอัปสรสะบัด เกี่ยวกระหวัดรัดเปลี่ยนวงเวียนหัน
รำมังกรช้อนฟองตระกองกัน ฝูงเทวัญเวียนเคล้าหยอกเย้านาง
แล้วรำท่านารายณ์ลั่นสายศิลป์ มังกรกินหางกระหวัดสะบัดหาง
แล้วย่องทำรำพระรามรีบตามกวาง ซัดชาตรีที่นางมโนรา
รำพระรถยศยงยอดสงสาร สร้อยสังวาลเวียนซ้ายสอดฝ่ายขวา
เทพบุตรฉุดสไบไล่ไขว่คว้า เฉวียนฉวัดมัจฉาชมสาคร
สาวสุรางค์นางสวรรค์ป้องกันกาย รำถวายเอี้ยวองค์ท่าโก่งศร
เกษมสันต์หรรษาสถาวร ถวายพรภูวไนยแล้วไคลคลา
พอได้ยินหินพลอดอยู่ยอดเขา ผู้เป็นเจ้าแปดองค์ทรงสิกขา
ขอโปรดด้วยช่วยอศุภชุบชีวา จะเป็นสานุศิษย์ไปติดตาม ฯ
๏ พระรามวงศ์ทรงฟังระวังหวาด ว่าปีศาจสิงสู่กระทู้ถาม
ใหัโปรดด้วยช่วยไฉนสงสัยความ จงบอกตามจริงแจ้งอย่าแฝงบัง
ฝ่ายดวงจิตติดหินไม่สิ้นเสียง ฟังไล่เลียงเล่าตามเนื้อความหลัง
เมื่อลมพัดพลัดเขตนิเวศน์วัง ด้วยมืดทั้งดินฟ้าเหมือนราตรี
ยักษ์กระโจมโถมจับฟัดกับหิน แล้วกลืนกินไว้ในท้องของยักษี
จึงดวงใจได้ค้างอยู่อย่างนี้ ด้วยเป็นที่ท้องทับลี้ลับลม
แม้นศพออกนอกไส้ใจเข้าติด จะกลับฟื้นคืนชีวิตสนิทสนม
ขอพระองค์ทรงยศสร้างพรตพรหม ให้เสร็จสมปรารถนาสถาวร
พระรับคำนำหน้าพาน้องรัก เยี่ยมศพยักษ์ใหญ่กลิ้งกลางสิงขร
แกว่งพระขรรค์ฟันทะลุแล่อุทร เห็นศพนอนอยู่ในไส้ยังไม่โทรม
ช่วยอุ้มออกนอกไส้ดวงใจเห็น กลับฟื้นเป็นรูปร่างสำอางโฉม
ผิวผ่องเหมือนเดือนเพ็งเปล่งโพยม มานั่งโน้มน้อมหัตถ์นมัสการ
ขอเป็นศิษย์คิดคุณการุญรัก ด้วยศรัทธาสามิภักดิ์สมัครสมาน
ขอทูลถามนามวงศ์พระทรงญาณ อยู่ดินดานแดนใดไปไหนมา
พระรามวงศ์ทรงพรตพจนารถ บอกนามราชสุริยวงศ์เผ่าพงศา
ตั้งแต่ต้นจนปะอสุรา ช่วยน้องแก้วแล้วจะลาแรมป่าไป
ฝ่ายหน่อนาถราธนาพระดาบส อย่าเปลื้องปลดโปรดน้องให้ผ่องใส
ไปประทับยับยั้งอยู่วังใน พอน้องได้อภิวาทบาทบงสุ์
ให้บิดรมารดาวงศาสิ้น ได้รับศีลจินตนาเป็นอานิสงส์
ข้าจะได้ไปด้วยช่วยพระองค์ รณรงค์รบพุ่งไปกรุงไกร
พระฟังน้องตรองตรึกก็นึกรู้ กตัญญูยอดดีจะมีไหน
เพราะคุณติดคิดสนองจึงต้องไป ตามวิสัยสุริย์พงศ์วงศ์เทวา
แล้วศึกนางขว้างจักรให้ยักษ์ม้วย ไม่ต้องด้วยโอวาทขาดสิกขา
ให้บวชใหม่ให้ศีลดังจินดา แล้วตามพระอนุชาไปธานี
ฝ่ายหน่อไทไปทูลสองกระษัตริย์ โสมนัสนับถือพระฤๅษี
ราธนามาทั้งสิ้นด้วยยินดี ให้นั่งที่แท่นแก้วพรอยแพรวพราย
พระหน่อนาถราชวงศ์บรรจงจัด พานเภสัชเพลานํ้าชาถวาย
ปรนนิบัติพัดวีฤๅษีสบาย แต่เจ็ดนางต่างอายซังตายดำรง
จอมกระษัตริย์ทัศนาพระดาบส รักษาพรตงดงามตามประสงค์
ล้วนหนุ่มสาวคราวสนุกทุกทุกองค์ อุตส่าห์ทรงศีลธรรมได้จำเริญ
เหมือนเปลวไฟใกล้ฝอยน้อยหรือนะ อุตส่าห์ห้ามหยุดสุดสรรเสริญ
ทรงศีลธรรม์อันประเสริฐจึงเพลิดเพลิน พลอยเจริญหฤทัยอาลัยลาญ
จึงเอื้อนอรรถตรัสว่าพระดาบส รู้ออมอดอารมณ์พรหมวิหาร
อันลูกยาข้าพเจ้าไม่เอาการ จนยักษ์มารมันทำลายแทบวายวาง
ถวายไปใช้สอยให้ค่อยรู้ ที่รบสู้สารพัดยังขัดขวาง
ค่ำวันนี้นิมนต์อยู่บนปรางค์ ต่อสว่างเวลาจึงคลาไคล
แล้วจัดแจงแต่งปราสาทอาสนะ ให้แปดพระสิทธาเธออาศัย
เสร็จธุระกระษัตราลาครรไล ไปห้องไพชยนต์รัตน์ชัชวาล
ฝ่ายองค์พระเทวราชหน่อนาถน้อย นึกเศร้าสร้อยแสนวิโยคโศกสงสาร
ครั้นพลบคํ่าอำลาพระอาจารย์ ไปกราบกรานบิตุราชมาตุรงค์
ลูกมีกรรมจำลาฝ่าพระบาท เพราะบังอาจอ่อนเชิงละเลิงหลง
ขอบุญญาฝ่าละอองสองพระองค์ ดำรงทรงยศยืนอยู่หมื่นปี
จอมกระษัตริย์ตรัสสอนอวยพรให้ จงเลื่อมใสสัตย์ซื่อถือฤๅษี
แต่โฉมยงองค์พระชนนี ทรงโศกีกอดบุตรสุดเสียดาย
โอ้ลูกเอ๋ยเคยสุขไม่ทุกข์ยาก จะพลัดพรากจากไปแม่ใจหาย
เคยเห็นเจ้าเช้าเย็นไม่เว้นวาย สงสารสายสุดสวาทจำคลาดคลา ฯ
๏ จะคลาดเคลื่อนเดือนปีไปลี้ลับ แม่จะนับวันคอยละห้อยหา
จะแลเหลียวเปลี่ยวใจนัยนา นี่เวราสร้างไว้ฉันใดเลย
มีลูกเต้าเล่าก็พรากไปจากอก เหมือนพรากนกพรากกานิจจาเอ๋ย
จะออกป่าคาไม้พอไม่เคย โอ้ใครเลยเขาจะมาพยาบาล
เวลาคํ่านํ้าค้างกลางอากาศ จะซัดสาดโซมองค์น่าสงสาร
เคยนอนที่ยี่ภู่นางอยู่งาน ลมจะพานพัดต้องให้หมองมอม
เคยสรงชลปนปรุงจรุงกลิ่น จะสูญสิ้นกลิ่นอายจะหายหอม
ไปเป็นข้าดาบสต้องอดออม จะซูบผอมพ่อเอ๋ยไม่เคยเป็น
สิบห้าปีนี้แล้วลูกแก้วแม่ จะเริศร้างห่างแหไม่แลเห็น
จะละห้อยคอยเจ้าทุกเช้าเย็น ไหนจะเว้นเวลาที่อาลัย
แล้วกอดลูกผูกจิตคิดสังเวช พระชลเนตรนองตกซกซกไหล
กรุงกระษัตริย์ตรัสว่านี่อะไร เฝ้าร้องไห้ไปเปล่าเปล่าไม่เข้าการ
ลูกจะดีมีครูไปอยู่วัด หรือมาพลัดพลอยหลงว่าสงสาร
ไม่ฝึกหัดลัทธิชำนิชำนาญ จึงรำคาญเคืองเข็ญถึงเช่นนี้ ฯ
๏ นางฟังตรัสอัดอั้นกลั้นสะอื้น จนดึกดื่นยามสองยิ่งหมองศรี
บังคมลาพาพระหน่อจรลี ไปแท่นที่ไสยาสน์อาสน์โอรส
ให้นอนหลับรับขวัญสู้กลั้นโศก ยามวิโยคแยกบุตรสุดสลด
พระวงศานารีที่มียศ ต่างกำสรดเศร้าใจอาลัยลาญ
ครั้นรุ่งรางนางให้พระเทวราช สำอางอาสน์อ่าองค์สรงสนาน
นํ้าหอมฟุ้งปรุงปนสุคนธาร พระวงศ์วานขัดสีฉวีวรรณ
แล้วนางนาฏมาตุรงค์ช่วยทรงเครื่อง อร่ามเรืองรัศมีสอดสีสัน
มงกุฎเพชรเตร็จแก้วพลอยแพรวพรรณ กุณฑลกรรเจียกกระจ่างแพรวพร่างพราย
แล้วทรงพิณจินดาดังอาวุธ ประเสริฐสุดเสียงดังฟ้าผ่าสลาย
ให้ศัตรูหูแตกแหลกทำลาย สวมตะพายสะพักไว้ไม่ไกลองค์
ครั้นเสร็จสรรพจับพระขรรค์กัลเม็ด แล้วเสด็จลีลาศดังราชหงส์
พร้อมสุรางค์นางนาฏพวกญาติวงศ์ พระบิตุรงค์นำมาหามุนี
ประณตนั่งพรั่งพร้อมจอมกระษัตริย์ โองการตรัสฝากฝังสั่งฤๅษี
ช่วยฝึกสอนหล่อนให้รักรู้จักดี จะได้มีเกียรติยศปรากฏไป
พระรามวงศ์ทรงสดับก็รับสั่ง จะนึกหวังดังหนึ่งน้องอันผ่องใส
ประสาชายหมายสนิทร่วมจิตใจ จะรักใคร่ไปกว่าชีวาวาย
ขอพระองค์ทรงเดชเกศกระษัตริย์ ผ่านสมบัติอยู่คู่สุริย์ฉาย
ที่ทุกข์โศกโรคภัยอย่าใกล้กราย ขอถวายพระพรลาไปอารัญ ฯ
๏ สองกระษัตริย์ตรัสช่วยอำนวยสวัสดิ์ ให้พ้นสัตว์ส่งไปถึงไอศวรรย์
ฝ่ายสาวสาวเหล่าสุรางค์นางกำนัล ที่ผูกพันพิศวาสราชโอรส
ต่างร้องไห้ใจหายจะวายเห็น มิได้เป็นห้ามแหนแสนสลด
พระสิทธาลาองค์พระทรงยศ ชวนดาบสบุตราเจ้าธานี
ออกนอกวังเคลื่อนคล้อยลอยลิบลิ่ว[๓] เป็นแถวทิวปลิวฟ้าในราศี
หน่อกระษัตริย์พลัดพรากจากบูรี ทุกข์ทวีเทวษให้อาลัยแล
ดูเวียงวังดังหนึ่งในใจจะขาด จำนิราศเริศร้างเหินห่างแห
เหาะเหลียวหลังรั้งรอคิดท้อแท้ สงสารแม่เมื่อจะมาเหลืออาลัย
ลูกมีกรรมจำลาฝ่าพระบาท โอ้อนาถนึกน่าน้ำตาไหล
ยิ่งตรึกตราอาวรณ์ร้อนฤทัย ตัวต้องไปใจจะกลับจนลับตา
สะอึกสอื้นกลืนกลั้นอัดอั้นอก นํ้าเนตรตกพร่างพรายทั้งซ้ายขวา
ฝ่ายนางสมุทรสุดท้องเป็นน้องยา บินนำหน้าหน่อกระษัตริย์เหาะถัดนาง
เห็นกันแสงแกล้งยิ้มทำพริ้มพักตร์ พระอายนักสะเทิ้นทำเมินหมาง
พอเย็นยํ่าคํ่าพลบในนภางค์ ลอยมากลางกลีบเมฆวิเวกใจ
พระรามวงศ์สงสารพระเทวราช ชวนประภาษพูดจาอัชฌาสัย
จะหยุดพักสักคืนให้ชื่นใจ ลงเขาใหญ่ไม้ร่มรื่นลมเย็น
จันทร์กระจ่างกลางดงด้วยทรงกลด ถึงแม้นมดจะไต่ไปก็เห็น
นํ้าค้างพร่างกลางอากาศสาดกระเซ็น นอนนั่งเล่นล้อมพระที่พาทีกัน
พระรามวงศ์ลงเอกเขนกตรัส กับหน่อกระษัตรีย์แกล้งชวนทำสรวลสันต์
คิดจะใคร่ได้ยินพิณสำคัญ จึงว่าวันนี้สบายเดือนหงายงาม
พ่อดีดพิณจินดาว่าบวงสรวง ขับชมดวงเดือนเจริญอย่าเขินขาม
พระน้องรับจับพิณถวิลความ แล้วดีดสามสายดังก้องกังวาน
เหมือนดนตรีปี่พาทย์ระนาดฆ้อง ประสานซ้องซ้อนเสียงสำเนียงหวาน
แว่วกระแสงแปลงสายหลายประการ เหมือนขับขานหวานแว่วแจ้วจำเรียง
ไว้จังหวะประปรายกรีดกรายหัตถ์ แสนสันทัดทุ้มเอกวิเวกเสียง
ดังฟ้ารัองก้องกระหึ่มครึมสำเนียง เสียงเปรี้ยงเปรี้ยงเพียงฟ้าผ่าโพยม
แล้วย้อนเสียงเสียงซอแต่พอเพราะ ขับเสนาะน่าชมเสียงชมโฉม
ยามดึกเดือนเคลื่อนคล้อยลอยประโลม ดังดวงโคมแสงสว่างกระจ่างตา
กระต่ายแต้มแจ่มรูปเฝ้าฟุบแฝง กระจ่างแจ้งจรเร่ในเวหา
มีดาวห้อมล้อมเดือนคล้อยเคลื่อนคลา ดูดาราเรียงตามอร่ามดวง
เทวดาอารักษ์ซึ่งศักดิ์สิทธิ์ สิงสถิตพุ่มไม้ไศลหลวง
ทุกแหล่งหล้าฟ้าดินสิ้นทั้งปวง ฟังบวงสรวงเสียงพิณดังจินดา
ดีดถวายหลายเพลงวังเวงจิต ให้หลับสนิทนานเพลินบนเนินผา
แสงเดือนผ่องส่องพักตร์ลักขณา ดูนวลหน้านางสมุทรแสนสุดงาม
เห็นหงิมหงิมยิ้มเยื้อนเหมือนจะทัก จะรับรักหรือระคางกีดขวางขาม
จะดีดให้ตื่นฟื้นฟังรับสั่งความ ฝ่ายพระรามวงศ์ว่าเหลืออาวุธ
วิเวกวับจับจิตดังกริชกรีด ประดิษฐ์ดีดดีเลิศประเสริฐสุด
แล้วเสแสร้งแกล้งว่าลองพระน้องนุช นางสมุทรคิดขับพอรับพิณ
นางรับสั่งซังตายถวายเสียง หวนสำเนียงน่าฟังหวังถวิล
บังคมคัลวันทาเจ้าฟ้าดิน สมเด็จอินทร์ศวรสยมบรมญาณ
ช่วยย่นย่อมรคานภากาศ ให้ถึงราชนิเวศน์ประเทศสถาน
สถิตแท่นแสนมหาโอฬาฬาร ชัชวาลชวาลาระย้าย้อย
โอ้ยามยากจากจรมานอนป่า นึกน้ำตาตกเหยาะเผาะเผาะผอย
เคยห้ามแหนแสนสุรางค์นางน้อยน้อย ประคองคอยข้างที่ศรีไสยา
มาเย็นเยียบเงียบเหงาเศร้าสะอื้น โอ้ดึกดื่นเดือนคล้อยละห้อยหา
เห็นอื่นอื่นกลืนกลํ้าแต่นํ้าตา ไม่เหมือนหน้าน้องแก้วที่แคล้วกัน
แล้วส่งลำอำมรินทร์รับพิณแก้ว วิเวกแว่ววังเวงเพลงสวรรค์
ต่างรับส่งลงจังหวะพัลวัน ทั้งโอดพันเพลินเพลงวังเวงใจ
พระรามวงศ์ทรงฟังทั้งสองน้อง ต่างยิ้มย่องยวนจิตพิสมัย
ต่างชื่นชอบตอบต้องทำนองใน จนอุทัยไขแสงต่างแต่งองค์
ขึ้นเหาะเหินเดินฟ้าเป็นหน้าหลัง พร้อมสะพรั่งดังนกยูงแลฝูงหงส์
ไปหลายเดือนเพื่อนทางที่กลางดง พอเย็นลงแลเพลินเนินพนม
เห็นเขาเขียวเดี่ยวโดดดังโขดเมฆ สูงวิเวกเทียมฟ้ามีอาศรม
ปักเสาหงส์ธงปลิวริ้วริ้วลม ระรื่นร่มรังเรียงเคียงเคียงกัน
ทั้งเก้าองค์ลงเดินเนินบรรพต เห็นดาบสบวชบำเพ็ญเบญจขันธ์
เข้าฌานนิ่งพิงผาบูชายัญ ดูผิวพรรณเพศพักตร์เป็นยักษ์มาร
เหมือนจะแก่แต่กายเส้นสายสะพรั่ง หน้าเหมือนดังไกรสรซ้อนประสาน
อยู่แดนดงองค์เดียวจะเชี่ยวชาญ ต่างก้มกรานตรงจิตพระสิทธา
กระแอมไอให้เสียงนั่งเรียงเรียบ ก้มพับเพียบประนมกรอ่อนเกศา
ฝ่ายองค์อนุโรธโคตรอสุรา นั่งรักษาศีลเพ่งบำเพ็งญาณ
มิได้ฉันพรรณผลอยู่บนเขา ทุกเย็นเช้าฉันแต่วาตะอาหาร
อายุยืนหมื่นเศษมีเหตุการณ์ พระอาจารย์แจ้งจบทั้งภพไตร
เสียงกระแอมแย้มเยื้อนเหมือนจะรู้ ลืมเนตรดูขู่ถามตามสงสัย
พวกหนุ่มสาวดาวบสบวชอดใจ มีธุระอะไรไปไหนมา ฯ
๏ พระรามวงศ์ทรงพรตประณตสนอง ข้าเที่ยวท่องถือบวชสวดสิกขา
เดินจงกรมพรหมจรรย์อรัญญา ไม่รู้ว่าแว่นแคว้นด้าวแดนใด
ได้พบปะพระคุณค่อยอุ่นจิต ขอเป็นศิษย์ซักถามตามสงสัย
พระพรรษาฝ่าเท้าสักเท่าไร อยู่เขาใหญ่ยอดสุดสร้างกุฎี
ได้นํ้าท่าอาศัยที่ไหนหนอ มันเผือกพอฉันหรือพระฤๅษี
หนึ่งประเทศเขตแขวงตำแหน่งนี้ จะเป็นที่ถิ่นท้าวด้านแดนใด ฯ
๏ พระอนุโรธโชติช่วงในดวงจิต ฟังนักสิทธ์สนทนาอัชฌาสัย
จึงแจ้งความตามประสงค์จำนงใน เราบวชได้หมื่นปีกับสี่พัน
รักษาศีลกินลมบรมสุข ไม่มีทุกข์ที่จะต้องหาของฉัน
อันคีรีที่อาศรมพรหมจรรย์ ชื่อสัตภัณฑ์ประเทศพ้นเขตมนุษย์
นี่อยู่ต่อบริเวณสุเมรุมาศ อโนดาตแดนคงคามหาสมุทร
เป็นราวริมหิมพานต์พิมานครุฑ นิมนต์หยุดอยู่ด้วยกันเชิญฉันลม ฯ
๏ พระรามวงศ์ทรงฟังสังระเสริญ[๔] แสนเจริญพรรษาอยู่อาศรม
ซึ่งชวนฉันบรรพชาสมาคม จะกินลมเหลือศรัทธาสมาทาน
มาท่องเที่ยวเดี๋ยวนี้มีธุระ อุตสาหะหาเขตประเทศสถาน
ขอพึ่งบุญมุลิกาพระอาจารย์ โปรดประทานทางให้ดังใจจง ฯ
๏ ฝ่ายองค์พระมหาสิทธาเฒ่า เห็นย่อมเยาว์สาวหนุ่มล้วนลุ่มหลง
ช่วยสอนสั่งทั้งเก้าว่าเจ้าปลง ให้เห็นตรงลงในพระไตรลักษณ์
อันรูปเหมือนเรือนโรคโสโครกครบ เครื่องอาศภ[๕]สูญกลับอัปลักษณ์
ล้วนเปื่อยเน่าเก่าลงอย่าหลงนัก ไม่น่ารักรูปนี้เกลียดรังเกียจใจ
ถึงตัวเราเล่าก็เบื่อมีเนื้อหนัง ไม่จีรังรักษาพออาศัย
แต่ก่อนอยู่บำรุงชาวกรุงไกร เป็นเมืองใหญ่ยักษ์มารแน่นบ้านเมือง
เมียก็มีอีสาวรุ่นราวแสน นั่งท้าวแขนขัดขมิ้นไม่สิ้นเหลือง
ล้วนคุณหม่อมหอมฟุ้งเห็นรุ่งเรือง ทำยักเยื้องยิ้มยั่วให้มัวเมา
เหมือนหนุ่มหนุ่มลุ่มหลงพะวงสวาท เหลือร้ายกาจกอดจูบรักรูปเขา
ครั้นวอดวายตายไปเหม็นไม่เบา เป็นหนอนหนองพองเน่าเสียเปล่าดาย
กูได้คิดปลิดปลงเปลื้องสงสาร หวังนิพพานเพิ่มพูนเพียงสูญหาย
ชาติมนุษย์สุดสับปลับย่อมกลับกลาย ประดักประเดิดเกิดตายไม่วายเว้น
มิฟังว่าถ้าจะไปก็ได้ทุกข์ กุลียุคยากแค้นสุดแสนเข็ญ
จงคิดกันผันผ่อนให้หย่อนเย็น อยู่บวชเป็นประชาชีไม่มีภัย ฯ
๏ พระรามวงศ์ลงกราบซับซาบโสต ซึ่งทรงโปรดปรานีจะมีไหน
แต่ว่ายังลังเลคะเนใจ เห็นไม่ได้ดังพระคุณกรุณา
ยังเหนี่ยวหน่วงห่วงใยตัดไม่ขาด คิดถึงญาติใหญ่น้อยจะคอยหา
พระเห็นเหตุเขตขัณฑ์สวรรยา ช่วยบัญชาชี้แจงให้แจ้งใจ ฯ
๏ ฝ่ายองค์พระอนุโรธโปรดประภาษ ให้โอวาทอย่าเสื่อมทางเลื่อมใส
ซึ่งเวียนวงหลงมาไกลกว่าไกล แม้นตรงไปปีครึ่งจึงถึงเมือง
ล้วนยักษีผีเสื้อมันเหลือร้าย ถึงไม่ตายกลางทางก็คางเหลือง
มรคาสารพัดจะขัดเคือง อยู่ข้างเบื้องบูรพาจงคลาไคล
แล้วแอบอิงนิ่งนั่งตั้งสติ ตามลัทธิธรรมขันธ์ไม่หวั่นไหว
พระรามวงศ์ปลงเชื่อเห็นเหลือไกล หยุดอาศัยในศาลาพอราตรี
ครั้นรุ่งรางต่างลากราบดาบส น้อมประณตนับถือพระฤๅษี
สามิภักดิ์ทักษิณด้วยยินดี ออกจากที่วงวัดเขาสัตภัณฑ์
พาพระน้องล่องลิ่วลอยปลิวฟ้า หมายไปสู่บูรพาพนาสัณฑ์
ค่อยเคลื่อนคลอรอเรียงมาเคียงกัน แล้วสรวลสันต์ผันผินด้วยยินดี ฯ
๏ จะกล่าวนางกลางป่าหน้าเป็นยักษ์ มีน้องรักร่วมท้องกันสองศรี
น้องสิบสี่พี่สาวสิบเก้าปี ผิวพรรณพี่สีเสนเหมือนเช่นครุฑ
แต่ผิวน้องผ่องเขียวมีเขี้ยวเพชร รู้ระเห็จเหาะเหินเดินสมุทร
ต่างแคล้วคลาดสาตราเครื่องอาวุธ นิ้วเหมือนครุฑครีบแขนแม้นบิดา
ครั้นพ่อแม่แก่ตายฝ่ายลูกสาว พึ่งรุ่นราวรู้เล่ห์เสน่หา
ใคร่มีคู่สู่สมภิรมยา เที่ยวเหาะเหินเดินฟ้าหาสามี
เมื่อวันนั้นมันมาบนอากาศ ลอยลีลาศแลเขม้นเห็นฤๅษี
พระรามวงศ์นงนุชเจ็ดบุตรี ที่สุดท้ายชายสีอินทนิล
ต่างพิศเพ่งเปล่งปลั่งอยู่ทั้งสอง นางพี่น้องต้องอารมณ์สมถวิล
ลอยขวางหน้าว่าเจ้าคุณพระมุนิน จะไปถิ่นฐานตำบลแห่งหนใด ฯ
๏ พระรามวงศ์นงนุชหยุดพินิจ ต่างนิ่งคิดพิศวงนึกสงสัย
มือตีนนางอย่างครุฑวุฒิไกร เหตุไฉนหนอพักตร์เหมือนยักษ์มาร
มีเขี้ยวแก้วแววไวอยู่ในปาก ดูแรงราครูปสาวเห็นห้าวหาญ
ประดับเครื่องเรืองจรัสชัชวาล พัดใบตาลต่างจักรป้องพักตรา
เห็นท่วงทีมีฤทธิ์รูปผิดเพศ รู้พระเวทเหาะเหินเดินเวหา
เห็นผู้ชายหมายเขม้นแลเล่นตา ดูท่วงทีกิริยาจะบ้ากาม
จึงเอื้อนอรรถตรัสว่ามาแต่ไหน เจ้าชื่อไรไม่รู้จักมาทักถาม
อันเราหรือฤๅษีเป็นชีพราหมณ์ เที่ยวมาตามกิจกรมพรหมจรรย์
เจ้าทั้งสองน้องพี่หรือมิใช่ อยู่เมืองไหนนารีต่างสีสัน
ฝ่ายนางยักษ์รับเคารพอภิวันท์ ตัวหม่อมฉันชื่อปักษีเป็นพี่ยา
นางคนนี้เป็นน้องของหม่อมฉัน แม่เป็นพันธุ์พวกยักษ์พ่อปักษา
ทั้งพ่อแม่แก่ตายวายชีวา เป็นกำพร้าพี่น้องอยู่สองคน
พวกนักสิทธ์วิทยาเขามาขอ ฉันไม่พอใจเห็นไม่เป็นผล
มาพบพระจะถวายกายสกนธ์ ตามไปปรนนิบัตินวดพัดวี
จะไปไหนไปด้วยจนม้วยมอด มิได้ทอดทิ้งธุระพระฤๅษี
แล้วสองนางต่างไปหาสุมาลี นางผู้พี่ถวายพระรามวงศ์
น้องสาวให้กับพระเทวราช ด้วยหวังสวาทมาดจิตคิดประสงค์
เธอไม่รับจับต้องทั้งสององค์ พระรามวงศ์ว่าสีกาอย่ามากวน
จะจับต้องของเจ้าเข้าก็บาป บอกให้ทราบสาวรุ่นอย่าหุนหวน
เป็นสีกาพาไปก็ไม่ควร เวลาจวนอย่าขวางหนทางจร
จงอยู่ดีพี่น้องทั้งสองยักษ์ อย่าริรักฤๅษีฟังพี่สอน
แล้วหลีกไปให้ห่างกลางอัมพร นางตามวอนว่าพระคุณพระมุนี
นางทั้งเจ็ดเหตุไฉนจึงให้อยู่ มิใช่ผู้หญิงหรือเป็นฤๅษี
ส่วนตัวน้องข้องขัดตัดไมตรี รูปไม่ดีหรือไม่รักเป็นยักษ์มาร
แต่มีมนตร์ดลศักดาอานุภาพ ทูลให้ทราบแสนหอมเนื้อหม่อมฉาน[๖]
ขอไปด้วยช่วยรักษาพยาบาล อย่าทัดทานทิ้งไว้ให้ได้อาย ฯ
๏ พระตอบว่านารีเหล่าพี่น้อง เป็นพวกพ้องพรหมจรรย์ควรผันผาย
เจ้าเป็นยักษ์มักโทโสโมโหร้าย จะใกล้กรายกลัวผิดกิจสิทธา
ทั้งสองยักษ์รักงามเหาะตามหลัง ขอบวชมั่งเหมือนพระองค์ทรงสิกขา
ช่วยบอกให้ได้สำเร็จจงเมตตา ต่างตามอ้อนวอนว่าด้วยอาลัย
พระรามวงศ์สงสารรำคาญจิต สุดจะคิดผันแปรสุดแก้ไข
มันขืนเฝ้าเซ้าซี้พิรี้พิไร จะหลีกไปไม่พ้นจำจนจริง
จะฆ่าตีชีวิตให้ปลิดปลด จะขาดพรตอดสูฆ่าผู้หญิง
แกล้งหยุดหย่อนร่อนเร่ประเวประวิง ยิ่งเย็นยิ่งกริ่งที่จะมีภัย
พาพระน้องล่องลอยลงเหลี่ยมเขา เข้าบังเงาเงื้อมผาหยุดอาศัย
ส่วนพี่น้องสองนางไม่ห่างไกล เด็ดดอกไม้ไปถวายธิบายวอน
น้องหวังรักหนักหนาอุตส่าห์ง้อ มาตามขอบวชด้วยพระช่วยสอน
รํ่าว่ากล่าวท้าวแขนแสนแสงอน ชะอ้อนอ่อนคอเอียงเข้าเคียงชิด ฯ
๏ พระอดสูขู่ขับจับพระแสง ทำเสียงแข็งขืนเบียดเกลียดจริต
มิหลบลี้หนีไปกูไม่คิด ประเดี๋ยวนี้ชีวิตไม่ติดตัว
ส่วนสองนางต่างสัญญาว่าเช่นนั้น แม้นพระฟันฉันให้ตายถวายหัว
แม้นไม่ม้วยช่วยประคองอย่าหมองมัว ยอมเป็นผัวฉันนะจ๊ะจงฉะฟัน
พระเคืองคำทำใบ้ให้พระน้อง ต่างจะลองฤทธิ์ยักษ์ชักพระขรรค์
นางยักษ์ยืนยื่นคอหัวร่อกัน สององค์ฟันหันฟาดพลัดพลาดแพลง
พระรามวงศ์ทรงจักรขว้างยักษ์ผิด ยิ่งเคืองคิดแค้นค้อนลั่นศรแผลง
ไม่ถูกต้องสองนางคิดคลางแคลง จนอ่อนแรงรู้ว่าดีมีศักดา
เอาดีต่อขอโทษอย่าโกรธหยอก พี่ฟันหลอกลองจิตขนิษฐา
ทั้งสองนางต่างว่าฉันได้สัญญา จะขอพาไปเป็นผัวทูนหัวเมีย
น้องรักใคร่ไม่คิดชีวิตม้วย จงเอออวยอนุกูลอย่าสูญเสีย
แล้วสองนางต่างเฝ้าคลอเคล้าเคลีย อย่าปดเมียไม่ได้นะเล่นพนัน ฯ
๏ พระรามวงศ์องค์พระเทวราช เชิงฉลาดหลอกหลอนพูดผ่อนผัน
ไม่กลัวบาปหยาบช้าเช่นว่านั้น จะโกรธกันเสียเปล่าไม่เข้ายา
แม้นอยากใคร่ไปด้วยจะช่วยบวช ให้รู้สวดศักราชศาสนา
ฝึกสอนเจ้าเล่า ก ข แล ก กา ได้เห็นหน้าเหมือนหนึ่งน้องทั้งสองนาง
อสุรีดีใจจะได้ผัว ต่างฝากตัวตามแต่ตรัสไม่ขัดขวาง
พระสอนสองครองผ้าสารพางค์ ให้ศีลนางพลางแปลแต่ปาณา
อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตคิดฉ้อฉล อย่าแปดปนกาเมเสน่หา
อย่าปดโป้โว้เว้ถือเอกา อย่าพูดจาสัพยอกอย่าหยอกเอิน
ให้โอวาทมาดหมายไม่กรายใกล้ แต่พอให้สองนางเจ้าห่างเหิน
ครั้นเสร็จบวชกรวดนํ้าให้จำเริญ ต่างเพลิดเพลินพลอยรักษาศีลห้าตัว
ทั้งสองนางต่างคนปรนนิบัติ หน่อกระษัตริย์สัญญานึกว่าผัว
เชื่อฟังคำยำเยงทั้งเกรงกลัว รักษาตัวตามพรตดาบสนี
นอนค้างคืนตื่นเช้าจากเขาเขิน ขึ้นเหาะเหินเดินฟ้าในราศี
ที่บวชเก่าเคล้าคลอกันจรลี อสุรีรั้งหลังระวังองค์ ฯ


[๑] ราโท แปลว่า ไม้กระดานที่ประกบบนกาบเรือ

[๒] การะพฤกษ์  ประกายพรึก (ชื่อดาวประจำรุ่ง)

[๓] ต้นฉบับว่า “ออกนอกวังทั้งสิบลิบลิบลิ่ว” แต่จำนวนตามท้องเรื่องมีเพียง ๙ คน จึงแต่แปลงเสียใหม่ (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑)

[๔] สังระเสริญ = สรรเสริญ

[๕] อาศภ = อศุภ

[๖] หม่อมฉาน = หม่อมฉัน

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ