ตอนที่ ๕ สิงหไกรภพลองยา แล้วหนีท้าวพินทุมารกลับบ้านเมือง

๏ ขอหยุดเรื่องเมืองไว้ให้สงบ จะกล่าวถึงสิงหไกรภพในคูหา
แต่อยู่ด้วยพินทุมารก็นานมา จนชันษาได้ถึงสิบสี่ปี
เรียกยักษาว่าพ่อก็เกรงขาม เรียกเจ้าพราหมณ์จินดานั้นว่าพี่
พญายักษ์รักบุตรแสนทวี ให้สองศรีเรียนเวทวิเศษมนตร์
แม้นไพรีมีมาให้กล้าหาญ[๑] จึงโอมอ่านวิทยาเป็นห่าฝน
ให้มืดมิดปิดแสงพระสุริยน บรรดาคนข้าศึกไม่เห็นกาย
แม้นสาตราอาวุธจะถูกเข้า ให้เสกเป่าลงแล้วก็แผ้วหาย
ทั้งสองคนเล่ามนตร์สังวัธยาย[๒] ไม่เคลื่อนคลายจำได้ดังใจปอง
ฝ่ายกุมภัณฑ์วันนั้นคิดถึงป่า จึงโลมลารํ่าสั่งเจ้าทั้งสอง
พระลูกรักจงรักษาคูหาทอง อย่าไปห้องโน้นเลยนะแก้วตา
ครั้งสั่งสรรพจับกระบองออกจากถํ้า กายกำยำคึกคักเป็นยักษา
เที่ยวล่าไล่โคถึกมฤคา กินตามเพศอสุราสำราญใจ ฯ
๏ พระสิงหไกรภพพูนสวัสดิ์ หน่อกระษัตริย์แกล้วกล้าจะหาไหน
ถามเจ้าพราหมณ์ตามแคลงให้แจ้งใจ พ่อจะไปแล้วก็สั่งทุกครั้งครา
ว่ามิให้ไปเล่นที่ห้องนั้น ของสำคัญคงจะมีกระมังหนา
ไปให้รู้ดูสักทีพี่จินดา ว่าแล้วพาพราหมณ์เดินดำเนินไป
ค่อยเสียดสอดลอดองค์ลงตามปล่อง ครั้นถึงห้องเวิ้งว้างสว่างไสว
เป็นเชิงชั้นหลั่นลดแลวิไล มีต้นไม้หนึ่งงามอร่ามครัน
ทุกกิ่งใบนั้นมีสีต่างต่าง ที่กิ่งข้างตะวันออกเขียวขบขัน
ข้างทิศใต้ใบเหลืองสิ้นทั้งนั้น กิ่งตะวันตกขาวราวสำลี
ทิศอุดรกิ่งแดงดังแสงชาด แลประหลาดสี่อย่างล้วนต่างสี
พระเพ่งพิศพฤกษาบรรดามี ต้นไม้นี้ผุดผาดประหลาดนัก
พี่ยังรู้จักชื่อบ้างหรือไม่ ต้นอะไรหนอฉันดูไม่รู้จัก
เจ้าพราหมณ์ว่าพี่ไม่รู้เลยน้องรัก พญายักษ์ห้ามเราเพราะเท่านี้
อย่าเจ้าไปจับต้องนะน้องแก้ว ต้นไม้เช่นนี้แล้วมักมีผี
พระเย้ยหยันเชษฐาแล้วพาที ว่าพี่นี้ขลาดเขลาไม่เข้าการ
ถ้าแม้นว่าเบื่อเมาเอาไม่ได้ ไม่มีใครจงรักจะหักหาญ
แม้นมีผู้รักษาพยาบาล คงเป็นไม้ต้องการไม่เชื่อเลย
บิดาหวงห้ามไว้มิให้เห็น ต่อจะเป็นของดีคุณพี่เอ๋ย
ต้นพฤกษาเช่นนี้เรามิเคย จะละเลยนิ่งอยู่ดูทำไม
เราทั้งสองลองกินดูเถิดพี่ ถ้าร้ายดีก็คงเห็นว่าเป็นไฉน
เจ้าพราหมณ์ฟังน้องตอบก็ชอบใจ เข้าเด็ดใบแดงเคี้ยวทั้งสองคน
พอกลืนกายกลายเป็นนาคราช ทำอำนาจเลื้อยไล่กันสับสน
นัยน์ตาแดงแผลงฤทธิ์คำรามรณ ภาษาคนก็ยังรู้อยู่ในใจ
เข้ากลมเกลียวเกี่ยวกอดตามเพศนาค จะออกปากพูดกันนั้นไม่ได้
มิรู้ที่จะคิดอ่านประการใด กอดกันไว้พี่น้องนองนํ้าตา ฯ
๏ จะกล่าวถึงพินทุมารชาญกำแหง เที่ยวแสวงจับสัตว์เป็นภักษา
ตะวันบ่ายชายแสงพระสุริยา อสุรารีบกลับมาแท่นทอง
ถึงบัลลังก์นั่งแท่นศิลาอาสน์ แลประหลาดมิได้เห็นลูกทั้งสอง
ลุกขึ้นเดินลดเลี้ยวไปเที่ยวมอง มาถึงห้องเหวใหญ่ต้นไม้ยา
เห็นลูกเลี้ยวเกี่ยวกันในหุบหิน รู้ว่าลูกแก้วกินใบพฤกษา
จึงเข้าไปในซอกตรอกศิลา ตักเอานํ้ามวกผามาโทรมกาย
แล้วหยอดไปในปากนาคทั้งสอง ตกถึงท้องรูปนั้นก็พลันหาย
เป็นมนุษย์พี่น้องทั้งสองชาย ราพณ์ร้ายร้องว่าสาแก่ใจ
พ่อห้ามว่าอย่าเล่นขืนมาเล่น จึงต้องเป็นนาคนองนํ้าตาไหล
ทีนี้จำพ่ออย่านำน้องมาใน แล้วพาไปถํ้าทองห้องไสยา
ชวนภิรมย์ชมเชยเหมือนเคยสนิท ประคองชิดรับขวัญด้วยหรรษา
ครั้งรุ่งรางสว่างแสงสุริยา อสุราเที่ยวไปในไพรวัน ฯ
๏ หน่อกระษัตริย์ตรัสกับเจ้าพราหมณ์พี่ ใบไม้นี้กินเป็นงูก็ดูขัน
ไปกินอีกเถิดจะเป็นเหมือนเช่นกัน หรือจะผันแปรร่างเป็นอย่างไร
ฝ่ายเจ้าพราหมณ์ห้ามน้องเป็นหลายครั้ง เห็นไม่ฟังก็ไม่ขัดอัชฌาสัย
จึงพี่น้องสองราพากันไป ถึงต้นไม้หยุดพูดกันสองคน
เราตักนํ้ามวกผามาสำหรับ แม้นกลายกลับแก้ไขไม่ขัดสน
ยาเรามีทีนี้ไม่อับจน แล้วสองคนตักน้ำมวกผามา
พระโฉมยงองค์สิงหไกรภพ จึงเร้ารบให้พี่ขึ้นใบพฤกษา[๓]
เจ้าพราหมณ์ไปเก็บใบขาวนั้นมา[๔] แล้วเคี้ยวกินตรงหน้าพระน้องชาย
เป็นลิงลมโลดไล่กันในถ้ำ แล้วกินนํ้ารูปนั้นจึงพลันหาย
เอาใบเขียวเคี้ยวตามรูปก็กลาย เป็นนกแก้วแพรวพรายบินลำพอง
เอาน้ำกลืนคืนเป็นมนุษย์ได้ เจ้าชอบใจสรวลสันต์กันทั้งสอง
แล้วเอาใบไม้เหลืองมากินลอง เนื้อเป็นทองธรรมชาติสะอาดตา
เจ้ากินนํ้าสิ้นสีเสมอเก่า ทั้งสองเจ้าแจ้งกลต้นพฤกษา
จึงซักถามพราหมณ์เทพจินดา เหมือนต้นยานี้ก็เห็นไม่เป็นการ
ถึงเอาไปก็แต่พอหัวร่อเล่น น้องไม่เห็นที่จะทำเป็นแก่นสาร
แม้นเอร็ดอร่อยเหมือนอ้อยตาล หรือเปรี้ยวหวานนั้นแลข้าจะว่าดี
เจ้าพราหมณ์ว่ายาอยู่ในภูเขา ก็เสียเปล่าจริงแล้วนะแก้วพี่
ถ้าแม้นเราเอาไปในบูรี คุณนั้นมีถ้าจะรํ่าสักลำเรือ
กินเป็นนกนึกไปไหนก็ไปง่าย เป็นนาคร้ายจะรบกับศึกเสือ
กินเป็นทองผ่องแผ้วในผิวเนื้อ ปะผู้หญิงยิงเรือคงรักเรา
นี่แสนจนคนผู้จะพบเห็น มาหนีเร้นอยู่ในเวิ้งเพิงภูเขา[๕]
เหมือนปักษีปีกหักลงพักเซา ต้องเงียบเหงาอยู่ในห้องทั้งสองรา
หน่อกระษัตริย์ตรัสถามเจ้าพราหมณ์พี่ ว่าเดี๋ยวนี้น้องฟังยังกังขา
แต่ข้าจำความได้จนใหญ่มา ได้เห็นหน้าก็แต่พ่อกับพี่พราหมณ์
คิดว่าคนในแผ่นดินสิ้นเท่านั้น จำสำคัญอยู่ในใจจึงไม่ถาม
ประเดี๋ยวนี้พี่บอกออกเนื้อความ ขอซักตามข้อแคลงไม่แจ้งใจ
ข้ากับพี่นี้เกิดในหว่างเขา ก็คนเหล่านั้นเกิดมาแต่ไหน
เหมือนเกิดแล้วเกิดต่อเหมือนหน่อไม้ น้องจะใคร่แจ้งจิตในกิจจา
เจ้าพราหมณ์ฟังน้องว่าน่าสงสาร จึงคิดอ่านตอบตามความมุสา
พี่กับเจ้าชาวเมืองมิถิลา แต่บิดาชนนีนั้นวายปราณ
พี่กับน้องท้องเดียวเที่ยวเดินเล่น ยักษ์ไปเห็นจับได้ไม่สังหาร
มาเลี้ยงไว้ในคูหาเป็นช้านาน จะคิดอ่านออกให้พ้นก็จนใจ
จะบอกน้องแล้วก็เห็นยังเด็กอยู่ กลัวว่ารู้ถึงยักษ์จะตักษัย
จึงจำจนทนเทวษทุกวันไป แล้วกอดน้องร้องไห้ระทวยกาย
พระโฉมยงองค์สิงหไกรภพ ได้แจ้งจบความในก็ใจหาย
ชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย ให้ระคายเคืองแค้นท้าวกุมภัณฑ์
แล้วคิดถึงคุณยักษ์ที่รักใคร่ แต่มดไรมิให้ตอมถนอมขวัญ
ค่อยคลายหายโกรธาปรึกษากัน ถ้ากระนั้นเราจะอยู่ไปไยมี
เก็บเอาแต่ใบไม้เอาไว้กิน เป็นนกแก้วแล้วบินระเห็จหนี
แต่จะไปกลางวันไม่ทันที อสุรีรู้ความจะตามมา[๖]
ครั้นสุริยงลงยอแสงระยับ ชวนกันกลับมาอยู่ในคูหา
พอพยับอับแสงสุริยา ยักษ์ก็มาถึงถํ้าด้วยกำลัง
ยื่นมะม่วงพวงให้กับลูกน้อย[๗] ประคองค่อยกอดจูบแล้วลูบหลัง
เมื่อวันนี้บิดาไปป่ารัง เขม่นหนังนัยนาอยู่ริกริก
ทั้งปวดเศียรเจียนแทบจะจับไข้ จะหายใจก็ไม่คล่องช่องนาสิก
ให้เหื่อออกเอิบอาบไหลซาบซิก ใจพ่อยังริกริกมาเรียดทาง
เมื่ออยู่ป่าปรารภถึงสองเจ้า เร่งร้อนเร่าโรควิบัติให้ขัดขวาง[๘]
เจ้ามิได้เคืองข้องหมองระคาง ก็เป็นลางอื่นโอ้อัศจรรย์
ท้าวเอนองค์ลงเหนือศิลาอาสน์ สะดุ้งหวาดแว่วเพ้อละเมอฝัน
เหตุว่าสองดวงใจจะไกลกัน ท้าวกุมภัณฑ์ม่อยหลับระงับไป ฯ
๏ หน่อกระษัตริย์สอดหัตถ์สะกิดพี่ ลงจากที่แท่นรัตน์จรัสไข
แล้วเหลียวดูอสุราให้อาลัย ถอนใจใหญ่ก้มเกล้าลงกราบกราน
โอ้พระคุณทูนเกศของลูกแก้ว จะลาแล้วลับไปไกลสถาน
ด้วยพระองค์ทรงศักดิ์เป็นยักษ์มาร จะอยู่นานไปก็แคลงระแวงกลัว
ทั้งจะได้พบกับพี่น้อง อยู่บ้านช่องพ่อแม่บังเกิดหัว
ครั้นจะบอกบิตุรงค์ให้ตรงตัว ก็เกรงกลัวจะมิให้ลูกไคลคลา
พระคุณเอ๋ยตื่นขึ้นจะเปล่าแล้ว[๙] มิได้กอดลูกแก้วเสน่หา
จะคลั่งแค้นใจพ่อขอสมา อย่าเป็นเวรเวรากับลูกน้อย
พระโศกศัลย์กันแสงกำสรดสั่ง ชลนัยน์ไหลหลั่งลงเผาะผอย
เจ้าพราหมณ์เทพจินดานํ้าตาย้อย ต่างค่อยค่อยก้มกราบกับบาทา
แล้วระงับดับโศกให้เสื่อมสิ้น ทั้งพี่น้องสองกินใบพฤกษา
เป็นนกแก้วแล้วก็คาบซึ่งห่อยา บินถลาขึ้นตามปล่องช่องคีรี
เจ้าพราหมณ์นำน้องไปในอากาศ เขม้นมาดมิถิลาคิรีศรี[๑๐]
พระพายพัดส่งมาในราตรี สกุณีรอเรียงมาเคียงก้น
ลอยละลิ่วปลิวเข้าในกลีบเมฆ แสนวิเวกในระหว่างทางสวรรค์[๑๑]
เห็นแต่ดาวแจ่มแจ้งแลแสงจันทร์ เจ้าพากันรีบบินตะบึงมา ฯ
๏ จะกล่าวถึงพินทุมารชาญสมร วันนั้นนอนหลับอยู่ในคูหา
เมื่อสองศรีหนีไปจากไสยา อสุราฝันไปให้เป็นลาง
ว่าอินทรีมีฤทธิ์ทิศอิสาน บินทะยานโผแผ่ซึ่งปีกหาง
มาจิกสับยับสิ้นทั้งสารพางค์ ไม่เว้นว่างเจ็บทั่วไปทั้งกาย
แล้วมิหนำซ้ำควักเอาดวงเนตร สำแดงเดชบินกลับไปลับหาย
ความเจ็บแสบแทบจะสิ้นชีวาวาย ราพณ์ร้ายดิ้นร้องจนรู้ตัว
ยังฟั่นเฟือนเหมือนจริงไม่ใช่ฝัน กายาสั่นขนพองสยองหัว
ต่อเป็นครู่รู้สึกจึงสร่างกลัว พอสุริย์แสงแจ้งทั่วทั้งโลกา
ลุกขึ้นมองไม่เห็นสองโอรสราช ไม่ไสยาสน์เหมือนแต่หลังก็กังขา
หรือดวงใจไปอยู่ที่ต้นยา อสุราเยื้องย่องเที่ยวมองเมียง
มาถึงห้องเหวใหญ่ก็ไม่เห็น ยะเยือกเย็นจักจั่นสนั่นเสียง
เห็นแต่ใบไม้ร่วงอยู่รายเรียง กิ่งก็เกลี้ยงรอยเก็บไปมากมาย
โอ้ชะรอยพี่น้องทั้งสองศรี พากันหนีพ่อแล้วจึงสูญหาย
ทั้งรักลูกผูกแค้นแสนเสียดาย ระทวยกายล้มกลิ้งลงนิ่งไป
นํ้าค้างพรมลมโปรยลงตามปล่อง ละอองต้องกายยักษ์ไม่ตักษัย
ค่อยชื่นฟื้นกลืนกลํ้าระกำใจ นั่งร้องไห้อยู่ในห้องปล่องคีรี
โอ้เจ้าดวงนัยนาบิดาเอ๋ย ไม่เห็นเลยที่ว่าลูกจะลอบหนี
พ่อเลี้ยงไว้ได้ถึงสิบสี่ปี มิได้ตีได้ด่าให้อาทร
เมื่อแรกตกมาอยู่ในคูหา พ่ออุตส่าห์ขอนมนางไกรสร
มาโลมเลี้ยงลูกยาด้วยอาวรณ์ ถนอมนอนแนบข้างไม่ห่างกัน
แต่เห็นเจ้าร้องไห้ก็ใจหาย พ่ออุ้มสายสุดที่รักแล้วรับขวัญ
ความรักใคร่ในลูกนี้ผูกพัน ถึงทุกวันเจ้าเป็นหนุ่มยังอุ้มเชย
เจ้าคอยหลบหนีไปมิได้สั่ง ไม่สงสารพ่อมั่งเลยลูกเอ๋ย
ตั้งแต่วันนี้ไปที่ไหนเลย จะได้เชยชมสองพระลูกรัก
เมื่อลูกแก้วแววตาเจ้าฆ่าพ่อ ควรได้ข้อวิตกเพียงอกหัก
ยิ่งรํ่าไรไห้สะอื้นเสียงฮักฮัก ปิ้มว่าจักมอดม้วยด้วยลูกยา
แล้วกลั้นกลืนขืนจิตคิดขึ้นได้ จำจะไปตามลูกเสน่หา
ในแถวทางข้างเมืองมิถิลา เห็นจะพากันไปดังใจปอง
แม้นไม่ออกนอกเขตของเราแล้ว คงจะได้ลูกแก้วมาทั้งสอง
แล้วจัดแจงแต่งกายกุมกระบอง ออกจากห้องเหวใหญ่เหาะทะยาน
คว้างคว้างกลางเมฆไม่หยุดยั้ง ดังกำลังลมเพชรหึงหาญ
ต้นยูงยางกลางเถื่อนไม่ทนทาน ต้องลมพานต้นเอนระเนนมา ฯ
๏ จะกล่าวถึงสกุณีทั้งพี่น้อง มากลางห้องหิมเวศเขตยักษา
จนรุ่งรางสร่างแสงพระสุริยา ค่อยร่อนราลอยเลื่อนตามลมบน
ประเดี๋ยวใจได้ยินเสียงสนั่น พิลึกลั่นดังพายุพยับฝน
พสุธาอากาศก็มัวมน สุริยนเมฆกลุ้มชอุ่มบัง
ทั้งพี่น้องสองเหลียวตะลึงหา เห็นยักษาเหาะคว้างมาข้างหลัง
ทั้งสองนกอกเพียงจะโทรมพัง ไม่รอรั้งรีบรุดจนสุดแรง
เห็นยักษามาใกล้ก็ร่ายเวท แสนวิเศษสุริย์ฉายก็หายแสง
เป็นห่าฝนอนธการขึ้นกลางแปลง เข้าเคียงแข่งโบยบินตะบึงมา
ฝ่ายขุนยักษ์ศักดาวราฤทธิ์ ครั้นมืดมิดมิได้เห็นโอรสา
ก็รู้ว่าลูกรักทำศักดา อ่านมหาเวทมนตร์ที่สอนไว้
พระยามารอ่านมนตร์สำหรับแก้ ก็ปรวนแปรเสื่อมสร่างสว่างไสว
เห็นสองบุตรสุดสวาทคลาดออกไป ยิ่งโลดไล่โดยด่วนจวนจะทัน
พอสิ้นแคว้นแดนเขตประเทศถิ่น ที่พระอินทร์อานุภาพเธอสาปสรร
สิ้นกำลังทั้งนกทั้งกุมภัณฑ์ แต่ยักษ์นั้นพลัดตกจากคีรี
ทั้งสองนกพลัดตกจากเขาใหญ่ ทางใกล้ไกลพอเห็นพักตร์กับยักษี
ทั้งสองข้างต่างสิ้นสมประดี ทั้งจะหนีก็ไม่ได้ไล่ไม่ทัน
พญายักษ์กวักหัตถ์ตรัสประภาษ สุดสวาทของพ่อจะผายผัน
พ่อจะตายวายชีพสิ้นชีวัน เจ้าพากันลงมาหาบิดร
เขตของพ่อสิ้นอยู่เพียงภูเขา สุดจะขืนตามเจ้าบนสิงขร
พระลูกรักสองราจงอาวรณ์ อย่าเพ่อให้บิดรนี้จำตาย
เจ้านกแปลงแจ้งประจักษ์ว่ายักษา ขึ้นภูผาไม่ได้ดังใจหมาย
ที่ความกลัวกุมภัณฑ์นั้นค่อยคลาย ดำรงกายกินนํ้ามวกศิลา
กลับเป็นมนุษย์นั่งอยู่ทั้งสอง แล้วพี่น้องก้มกราบท้าวยักษา
ค่อยอยู่เถิดทรงฤทธิ์พระบิดา ลูกขอลาบทมาลย์ไปบ้านเมือง
เชิญพระองค์จงคืนไปครองถํ้า อย่าครวญครํ่าทุกข์ตรอมให้ผอมเหลือง
แม้นไม่มีห่วงใยมิให้เคือง จะรองเบื้องบาทยุคลอยู่จนตาย
นี่รำลึกนึกไปถึงแม่พ่อ ทั้งพงศ์เผ่าเหล่ากอสิ้นทั้งหลาย
ด้วยมิได้รู้เห็นว่าเป็นตาย รำลึกถึงจึงถวายบังคมลา
ถ้าแม้นไปได้พบกันสิ้นแล้ว ตัวลูกแก้วจึงจะกลับออกมาหา
อย่าโศกศัลย์กันแสงเสียนํ้าตา พระบิดาจงเสด็จไปถํ้าทอง
อสุรินทร์ยินคำที่รํ่าตอบ จึงตรัสปลอบโลมเล้าเจ้าทั้งสอง
ซึ่งแก้วตาอาลัยถึงพี่น้อง ก็ควรของเจ้าแล้วไม่ห้ามเลย
ถึงจะอยู่จะไปก็ไม่ว่า กลับมาหาพ่อก่อนเถิดลูกเอย
พอชื่นจิตบิดาได้ชมเชย อย่ากลัวเกรงพ่อเลยนะแก้วตา
สองกุมารสงสารพญายักษ์ เห็นเรียกนักนึกจะใคร่ลงไปหา
แล้วกลับกลัวตัวสั่นหวั่นวิญญาณ์ ชุลีกรวอนว่าด้วยอาลัย
ลูกทำผิดคิดหนีทั้งพี่น้อง ควรจะต้องโทษหนักถึงตักษัย
ให้หวาดหวั่นพรั่นตัวด้วยกลัวภัย สุดจะไปใกล้ชิดพระบิดร
แม้นโปรดเกล้าเจ้าประคุณจงคืนหลัง ไปอยู่ยังถํ้าทองห้องสิงขร
จะเห็นว่าพระโปรดยกโทษกรณ์ ไปนครแล้วก็คงจะคืนมา ฯ
๏ ท้าวกุมภัณฑ์ครั้นเห็นไม่กลับหลัง จึงร้องสั่งลูกน้อยเสน่หา
พ่อก็อ้อนวอนปลอบเป็นหลายครา ทั้งพี่น้องสองราไม่เชื่อใจ
เป็นเหตุเพราะเคราะห์กรรมของพ่อแล้ว จะคลาดแคล้วลูกรักถึงตักษัย
สะอื้นพลางทางสะท้อนถอนฤทัย ชลนัยน์ซึมซาบลงอาบพักตร์
แต่ซบเสือกเกลือกกลับกระสับกระส่าย ไม่เหือดหายหวงห่วงให้หน่วงหนัก
สิ้นกุศลผลกรรมมานำชัก พญายักษ์ขาดใจบรรลัยลาญ ฯ
๏ ฝ่ายพระหน่อบดีกับพี่เลี้ยง เห็นสิ้นเสียงยักษาน่าสงสาร
ไม่ไหวติงนิ่งแน่ไปช้านาน สองกุมารหวั่นหวาดประหลาดใจ
จึงพากันจรจรัลลงจากเขา ต่างวิ่งเข้าเคียงประคองแล้วร้องไห้
รํ่าร้องเรียกอสุราด้วยอาลัย โอ้เป็นไรบิดาไม่พาที
หรือเคืองขัดตัดขาดประหลาดแล้ว ครรไลละลูกแก้วไปเมืองผี
ไม่หมายเลยว่าจะเป็นถึงเช่นนี้ เมื่อตะกี้คิดว่าบิดาลวง
มิรู้ว่าปิ่นเกล้าเจ้าประคุณ มาสิ้นบุญเสียที่เหลี่ยมภูเขาหลวง
เคยโอบอ้อมอุ้มแอบไว้แนบทรวง รักดังดวงชีวาไม่อาธรรม์
ลูกจะเล่นสิ่งไรก็ไม่ห้าม มีแต่ตามใจสิ้นทุกสิ่งสรรพ์
ถึงผิดพลั้งสั่งสอนสารพัน ไม่ตีรันด่าว่าด้วยปรานี
คิดขึ้นมาน่าแค้นพี่พราหมณ์นัก บอกว่าพ่อเป็นยักษ์ให้ลอบหนี
จนบิดามาตามถึงคีรี เหมือนลูกนี้ทำกรรมให้จำตาย
โอ้พระคุณทูนเกศของลูกแก้ว จะลับแล้วเช้าเย็นไม่เห็นหาย
สะอื้นพลางทางทอดระทวยกาย พระหัตถ์พ่ายชลนาโศกาลัย
พราหมณ์พี่เลี้ยงเคียงปลอบพระหน่อนาถ สุดสวาทพี่ยาอย่าร้องไห้
เพราะถึงกรรมกุมภัณฑ์จึงบรรลัย เรามิได้แกล้งฆ่าพระยามาร
จงเผาศพทรงฤทธิ์พระบิตุเรศ อย่าให้เวทนาไว้ในไพรสาณฑ์
จะโศกีพี่เห็นไม่เป็นการ คิดประหารห้ามรักหักฤทัย
พระสิงหไกรภพซบสะอื้น ค่อยกลั้นกลืนเช็ดชลนาไหล
แล้วไถ่ถามตามซึ่งสงสัยใจ เผาอย่างไรจึงจะดีเล่าพี่พราหมณ์
พี่เลี้ยงว่าแรงเรายังเยาว์นัก อันศพยักษ์ใหญ่เหลือจะหาบหาม
เอาฟืนสุมใส่เพลิงละเลิงลาม ให้เพลิงพลามเผาสิ้นทั้งอินทรีย์
แล้วชวนกันดั้นเดินริมเนินผา เที่ยวหักหากิ่งไม้ในไพรศรี
มาสุมศพทบทับลำดับดี จุดอัคคีเพลิงคบคนละคัน
แล้วเลือกเด็ดดอกดวงพวงบุปผา ปีบจำปาสุกรมนมสวรรค์
บูชาศพซบเศียรอภิวันท์ พลางรำพันขอสมาพญายักษ์
ถนอมเลี้ยงลูกยาไม่อาวรณ์ ค่อยชูช้อนต้องถือมือไม่หนัก
ลูกทุบตีขี่คอด้วยความรัก แต่อ่อนศักดิ์มาจนพ่อมรณา
ซึ่งผิดพลั้งครั้งนี้จงได้โปรด ประทานโทษลูกน้อยเสน่หา
อย่าผูกผิดคิดแค้นเคืองวิญญาณ์ จะเป็นเวรเวรากับลูกไป
แล้วกราบศพซบทรงกันแสงสะอื้น พระเนตรชื้นไปด้วยชลนัยน์ไหล
แต่รอรั้งยั้งหยุดไม่จุดไฟ เป็นห่วงใยยักษ์ร้ายที่วายปราณ
จนโพล้เพล้เวลาจะคํ่าพลบ ประคองคบจุดเพลิงเถกิงผลาญ
ควันตลบกลบกลุ้มในดงดาน ชัชวาลแสงสว่างกลางโพยม
กะเลวรากซากศพอบระอุ อัคคีคุลมรื้อกระพือโหม
พอเที่ยงคืนฟืนสิ้นศพก็โทรม ทั้งสองโทมนัสนั่งระวังไฟ
จนเดือนดับลับเงาเขาพระเมรุ พระสุริเยนทร์แย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล
พราหมณ์จินดาว่ากับพระหน่อไท เราประจุธาตุไว้หว่างคีรี
แม้นมืสุขสืบสายไปภายหน้า จึงกลับมาเยี่ยมธาตุท้าวยักษี
พลางชวนน้องก่อกองเป็นเจดีย์ ประจุธาตุไว้ที่หว่างบรรพต
แล้วสำเร็จเสร็จสมอารมณ์หมาย ไม่เหือดหายอาลัยใจสลด
หน่อกระษัตริย์นมัสการกรประณต เทพทั้งโสฬสจงเมตตา
ข้าขอฝากซากศพพนาสูร ให้เพิ่มพูนสวัสดีที่ภูผา
แล้วกราบศพกุมภัณฑ์จำนรรจา ลูกจะลาเลยลับไปนับนาน
เจ้าประคุณทูลเกล้าจะเปล่าเปลี่ยว สันโดษเดียวแดนดงน่าสงสาร
ไหนจะต้องฟ้าฝนทนทรมาน อยู่ริมชานเชิงผาพนาวัน
พระคิดไปใจหายไม่วายห่วง ยิ่งเศร้าทรวงทรงโศกกันแสงศัลย์
พราหมณ์ประคองน้องรักร่วมชีวัน พลางรับขวัญเช็ดชลนานอง
พ่ออย่ารํ่ากำสรดกันแสงไห้ จะเจ็บไข้พาตัวนั้นมัวหมอง
ทางยังไกลไปบ้านเถิดหนอน้อง ถึงบ้านช่องจะได้เล่นให้เย็นใจ
แล้วแย้มสรวลชวนชื่นเชิงฉลาด พาลีลาศเลยเลี้ยวเหลื่อมไศล
ถึงสุมทุมพุ่มพงพนาลัย เอาใบไม้ยาดีมีศักดา
แล้วแบ่งปันกันกินสิ้นทั้งสอง ทั้งพี่น้องกายกลายเป็นปักษา
บินละลิ่วปลิวลมขึ้นลอยฟ้า ค่อยร่อนรารอเรียงมาเคียงกัน
สุริยงลงลับเหลี่ยมสิงขร สำนักนอนเนินผาพนาสัณฑ์
แต่แรมทางกลางไพรมาหลายวัน ถึงเขตคันนิคมคามพราหมณ์จินดา
จึงนำน้องล่องลอยลงเนินเขา ต่างคนเข้ากินนํ้าในมวกผา
เป็นมนุษย์ผุดผ่องเพียงทองทา พราหมณ์จินดาดีใจใครจะปาน
ออกนำหน้าพาเดินดำเนินนาด ค่อยลีลาศลัดทางมากลางบ้าน
ขึ้นเคหาอาศัยแสนสำราญ ให้กุมารเข้ามายั้งอยู่ข้างใน
เห็นข้าคนบนตึกมาต้อนรับ สั่งกำชับชี้แจงแถลงไข
แม้นน้องเราเขาถามเนื้อความใคร สูอย่าได้แจ้งอรรถที่สัจจา
จงบอกว่าข้ากับกุมารนั้น ได้ร่วมครรภ์ชนนีเสน่หา
แล้วให้แต่งเอมโอชโภชนา สามเวลาเลี้ยงดูพระกุมาร
เกษมสุขทุกข์โศกก็เสื่อมสิ้น อยู่บ้านถิ่นเป็นสุขสนุกสนาน
ถนอมหน่อกระษัตราไว้ช้านาน จนกุมารชันษาสิบห้าปี ฯ
๏ ขอยกความพราหมณ์ชื่อประสิทธิ์โสม อยู่เมืองโรมวิสัยบูรีศรี
ชำนาญในไตรเพททางพิทธี ถือจารีตโยคีเที่ยวเขจร
มาถึงย่านบ้านพราหมณ์วิรุณฉาย เป็นสหายเคยสมัครสโมสร
จึงตรงขึ้นเคหาด้วยอาวรณ์ ประทับร้อนนั่งรออยู่หอกลาง
ร้องเรียกหาว่าพราหมณ์วิรุณฉาย จนเที่ยงสายแล้วไม่เปิดหน้าต่างบ้าง
อยู่หรือไปข้างไหนอย่าได้พราง มาหอกลางนั่งเล่นก็เป็นไร
พราหมณ์จินดาแลดูก็รู้จัก ว่าเพื่อนรักของบิดามาปราศรัย
ออกจากห้องน้องชายก็ตามไป นั่งลงไหว้พฤฒาแล้วพาที
ท่านผู้เฒ่าเที่ยวไปข้างไหนหาย เชิญขึ้นนั่งให้สบายบนเก้าอี้
อันบิดาข้าตายเสียหลายปี ทุกวันนี้เปล่าใจไม่สบาย
ข้าเห็นท่านปานเห็นบิดาข้า เคยไปมาเหมือนหนึ่งญาติไม่ขาดสาย
ครั้งนี้ท่านผู้เฒ่ามาเปล่าดาย ข้าใจหายให้คิดเหมือนบิดา
พลางสะท้อนถอนใจอยู่ในอก นํ้าตาตกพร่างพรายทั้งซ้ายขวา
ตาพราหมณ์ฟังนั่งคิดอนิจจา แล้วว่าข้ามิได้รู้ถึงหูเลย
คราวโน้นมาว่าเมียนั้นมอดม้วย เดี๋ยวนี้ตัวตายด้วยเจียวอกเอ๋ย
เราพลอยโศกเสียใจไม่เสบย บุญไม่เคยเผากันเมื่อวันตาย
ก็พี่น้องพ้องญาติยังอยู่มั่ง หรือสิ้นทั้งว่านเครือในเชื้อสาย
นั่นลูกใครน่าดูเป็นผู้ชาย มิตรสหายหรือว่าญาติกากัน
พราหมณ์จินดาได้ยินสิ้นสติ มิได้ปริปากพูดแล้วผินผัน
กลัวน้องรักจักรู้เรื่องสำคัญ จึงเสกสรรตอบตามเรื่องความไป
คนนี้น้องท้องเดียวกันกับข้า ท่านบิดาลืมชื่อหรือไฉน
แล้วพูดเชือนเกลื่อนกลบเนื้อความใน เชิญท่านไปอาบนํ้าให้สำราญ
ตาพราหมณ์ฟังคำพลางทางหัวร่อ เราถามพ่อเจ้าแต่ยังไม่สังขาร
บอกว่ายายวายชีพชนมาน เห็นแต่ท่านผู้เดียวดังดวงตา
ว่าน้องรักร่วมครรภ์นั้นเห็นผิด นี่เนื้อคิดเสแสร้งแกล้งมุสา
ให้เสียวงศ์พงศ์พราหมณ์จำนรรจา อันบิดาเจ้าไม่เป็นเหมือนเช่นนี้
พูดกันไปไยเล่าไม่เข้าข้อ เจ้าหลอกล่อลวงเล่นเหมือนเช่นผี
แล้วลงจากเคหาเดินพาที ตั้งแต่นี้กูไม่มาแล้วอย่าแคลง
จินดาพราหมณ์หวามไหวฤทัยหวาด กลัวหน่อนาถน้องชายจะหน่ายแหนง
ฉวยพรางไว้ไม่มิดคิดระแวง จะเสียแรงเสียรักที่ภักดี
นึกสะท้อนถอนใจอยู่ในหน้า แล้วลีลาเข้าห้องให้หมองศรี
ไม่มีสุขทุกข์ทับระทมทวี ดังอัคคีคนสุมรุมอุรา ฯ
๏ สงสารหน่อนฤเบศเกศกระษัตริย์ ฟังรหัสแจ้งจิตคิดกังขา
เห็นจริงจังดังคำพราหมณ์พฤฒา ชลนาคลอเนตรสังเวชใจ
จะถามไถ่ใครดีคราวนี้หนอ ว่าแม่พ่ออยู่ถึงหนตำบลไหน
อนาถนึกตรึกตรองหมองฤทัย ที่ไหนใครเขาจะรู้ในเรื่องความ
ธรรมดาว่าเสี้ยนสิ่งใดยอก จะบ่งออกมาได้ก็ด้วยหนาม
จำจะพูดพาทีกับพี่พราหมณ์ ให้แจ้งความเท็จจริงที่กริ่งใจ
จึงเข้าไปในตึกที่เตียงตั้ง เห็นพราหมณ์นั่งทุกข์ร้อนถอนใจใหญ่
เข้าเคียงข้างพลางถามเนื้อความใน พี่อย่าได้โศกเศร้าไม่เข้าการ
ข้าตรองตรึกนึกดูก็รู้สิ้น ด้วยได้ยินพฤฒาท่านว่าขาน
เสียแรงเลี้ยงน้องมาเป็นช้านาน ไม่แจ้งการให้ประจักษ์แต่สักคำ
จึงอื้ออึงถึงหูรู้ถนัด อย่าควรปัดบอกตามเนื้อความขำ
แม้นยอกย้อนซ่อนเงื่อนทำเอื้อนอำ ก็จะจำจืดจางทางอาลัย
อันบิดามารดาของข้านี้ อยู่ถิ่นที่นัคเรศประเทศไหน
แม้นรักน้องเหมือนหนึ่งน้องจงตรองใจ ช่วยบอกให้แจ้งอรรถแต่สัจจา ฯ
๏ พราหมณ์จินดาหน้าซีดสลดจิต ดังชีวิตชีวังจะสังขาร์
แม้นบอกความตามจริงจะโกรธา แสร้งมุสาเกลื่อนกลบประจบความ
นี่แน่พ่อข้อนี้เป็นจนจิต มิควรคิดสงสัยมาไถ่ถาม
ขืนจะเชื่อวาจาอีตาพราหมณ์ แก่พลุ่มพล่ามพูดพร่ำเที่ยวหยำเป
ดูฟั่นเฟือนเหมือนบ้าหน้าเป็นหลัง เอาจริงจังก็ไม่ได้ทำไพล่เผล
คนพิการบาญชีเขาแทงเท เจ้าโมโหโว้เว้ทุกสิ่งอัน
พี่บอกความตามจริงยังกริ่งแหนง ใช่จะแกล้งเอาเท็จมาเสกสรร
พ่อแม่ตายไร้ญาติขาดพงศ์พันธุ์ ได้เห็นกันพี่กับน้องทั้งสองรา ฯ
๏ พระฟังความพราหมณ์พรางยิ่งหมางหมอง ให้ขุ่นข้องเคืองขัดสหัสสา
ไม่เชื่อฟังตั้งต้นหนนั้นมา ค่อยตรึกตราตรองจิตคิดคะนึง
ธรรมดาว่าเชื้อกระษัตริย์ชาติ แหลมฉลาดผู้ใดไม่หยั่งถึง
ประสมทรัพย์ซ่อนไว้หลายตำลึง พอวันหนึ่งพราหมณ์พี่มีที่ไป
จึงเรียกหาข้าคนเข้าในห้อง ให้เงินทองเสื้อผ้าแล้วปราศรัย
ท่านทั้งหลายชายหญิงอย่ากริ่งใจ เราแหนงในกิจจาจึงหารือ
อันพี่พราหมณ์จินดากับข้านี้ ร่วมชนกชนนีกันแน่หรือ
ท่านรู้เห็นเหตุผลแต่ต้นมือ ช่วยเล่ารื้อเรื่องหลังให้ฟังความ
คนทั้งหลายชายหญิงได้สิ่งทรัพย์ น้อมคำนับตอบคำที่ร่ำถาม
อันนายของข้าพเจ้าเป็นเผ่าพราหมณ์ ประพฤติตามพระสนมพรหมจรรย์
เมื่อคราวครั้งสิ้นบุญคุณผู้ใหญ่ เธอเที่ยวไปกลางป่าพนาสัณฑ์
จำไม่แน่แต่ประมาณก็นานครัน จึงผายผันพาพ่อลีลามา
ว่าเป็นน้องเป็นพี่นั้นมิใช่ เห็นแต่ใจจงรักพ่อนักหนา
ข้าบอกความตามจริงจงเมตตา อย่าต่อว่าอื้ออึงคะนึงไป ฯ
๏ พระโฉมยงองค์สิงหไกรภพ ได้ฟังจบแจ้งสิ้นไม่สงสัย
แสนวิโยคโศกเศร้าเสียพระทัย คิดอาลัยถึงชนกชนนี
ขับบรรดาข้าคนไปพ้นตึก คะนึงนึกตรึกตรองให้หมองศรี
โอ้อาภัพอัปภาคย์พันทวี มิได้มีพ่อแม่อยู่แต่ตัว
เมื่อครั้งอยู่คูหาพนาสัณฑ์ พึ่งกุมภัณฑ์เพียงพ่อบังเกิดหัว
เพราะพราหมณ์ว่าร้ายกาจขยาดกลัว คิดว่าพี่ของตัวจึงตามมา
โอ้มิรู้ผู้อื่นสิ้นทั้งนั้น ก็หมายมั่นเหมือนญาติวงศา
แสนสงสารมารดรกับบิดา มรณาหรือยังอยู่ไม่รู้ความ
แม้นใครช่วยชี้แจงตำแหน่งให้ ลูกจะไปตามติดไม่คิดขาม
น้อยหรือช่างชั่วช้าจินดาพราหมณ์ จนวอนถามแล้วไม่แจ้งแห่งยุคล
เช่นนี้อยู่ดูหน้ากันไม่ได้ จำจะไปเสาะแสวงทุกแห่งหน
เมื่อพบพานมารดาบิดาตน ท่านยากจนจะได้ทดแทนพระคุณ
แม้นนิ่งอยู่ดูเหมือนไม่รักญาติ ทั้งเสียชาติโฉดเฉาเหมือนเต่าตุ่น
ลูกผู้ชายตายเป็นก็ตามบุญ ให้หมกมุ่นหมองหมางระคางใจ
จึงแต่งองค์ทรงกวดกระหมวดเกศ เหมือนอย่างเพศพงศ์พราหมณ์ตามวิสัย
จีบกระโจมโขมพัตถ์พับสไบ สายธุรำอำไพพิสดาร
แล้วทรงช้องป้องพักตร์เพชรประดับ กระจ่างจับแจ่มแสงพระสุริย์ฉาน
ปักกุณฑลเพชรแพรวแก้วประพาฬ พระกรกาญจน์สอดใส่กำไลงาม
ธำมรงค์ทรงสอดนิ้วพระหัตถ์ เนาวรัตน์พลอยพรายลายอร่าม
แล้วจุณเจิมเฉลิมพักตร์เป็นเพศพราหมณ์ พลางคิดความที่จะไปข้างไหนดี
จึงยกหัตถ์อธิษฐานถึงเทเวศ พิมานเมศเมืองฟ้าในราศี
ขอให้ปะพระชนกชนนี จะบัตรพลีแต่งตั้งเครื่องสังเวย
แล้วเคี้ยวยากินกายกลายเป็นนก ก็โผนผกออกทางหน้าต่างเผย
ค่อยแช่มชื่นด้วยพระพายชายรำเพย ละลิ่วเลยลอยฟ้าถึงป่าวัน
เทพเจ้าเข้าดลบันดาลจิต ให้ไปทิศทักษิณเกษมสันต์
จะได้นางล้างผลาญมารฉกรรจ์ ให้สามัญเป็นสุขทุกตำบล
พระบินพลางทางทัศนาเนตร ดูประเทศหล้าแหล่งทุกแห่งหน
เห็นเกาะใหญ่ในท้องทะเลวน แลสกลสวนแก้วอุทยาน
เป็นที่เทพนิกรกินรนาฏ มาประพาสภูผาพฤกษาสาณฑ์
ชื่อเกาะแก้วโมลีที่สำราญ มีสถานเทวฤทธิ์อิศรา
เจ้านกน้อยลอยเลื่อนแฉลบร่อน ชมสิงขรเขียวชอุ่มพุ่มพฤกษา
ยิ่งพินิจพิศเพลินเจริญตา ถาบถลาลงจับกับคีรี
ดูภูมิฐานศาลสรวงสุรารักษ์ แฝงชะงักเงื้อมเงาคิรีศรี
ศิลาลานแลสะอ้านสะอาดดี หอมมาลีกลิ่นกลบตรลบไพร
สบายใจหายเหนื่อยระเรื่อยรื่น ด้วยลมชื่นเชิงผาน่าอาศัย
ขึ้นบนเทวสถานสำราญใจ วิเวกในวิญญาณ์เอกากาย
เสียงนกร้องก้องกู่กันกลางป่า ฟังภาษาสัตว์ไพรแล้วใจหาย
หวิววาบหิวหาวนอนผ่อนสบาย จนเคลิ้มกายหลับไปในไพรวัน ฯ


[๑] สมุดไทยว่า “แม้นไพรีมีมาทำกล้าหาญ”

[๒] สังวัธยาย แปลว่า สวดมนต์ดังๆ ให้จำได้

[๓] สมุดไทยเลขที่ ๔๔ ว่า “จึงเร้ารบให้พี่กินพฤกษา”

[๔] สมุดไทยเลขที่ ๔๔ ว่า “เจ้าพราหมณ์ไปเก็บเอาใบขาวมา”

[๕] สมุดไทยเลขที่ ๔๔ ว่า “มาลี้เร้นอยู่ในเวิ้งเพิงภูเขา”

[๖] สมุดไทยเลขที่ ๔๔ มีคำกลอนก่อนเริ่มบรรทัดถัดไปว่า

......................... “อสุรีรู้ความจะตามทัน
เราเก็บแต่ใบไม้เอาไว้ก่อน ต่อยักษ์นอนสบายจึงผายผัน
ได้ล่วงทางคืนหนึ่งถึงกุมภัณฑ์ จะตามไปไม่ทันเห็นมั่นคง
เจ้าพราหมณ์เห็นด้วยกันก็หรรษา จึงเก็บใบไม้ยาตามประสงค์
ทั้งสี่กิ่งกิ่งละห่อภูษาทรง ต่างผูกพันมั่นคงกับกายา”

[๗] สมุดไทยเลขที่ ๔๔ ว่า “ยื่นมะม่วงพวงผลให้ลูกน้อย”

[๘] สมุดไทยเลขที่ ๔๔ ว่า “จะร้อนเร่าโรควิบัติให้ขัดขวาง”

[๙] สมุดไทยเลขที่ ๔๔ ว่า “พระคุณเอ๋ยตื่นเช้าจะเปล่าแล้ว”

[๑๐] สมุดไทยเลขที่ ๔๔ ว่า “เขม้นมาดมิถิลาบูรีศรี”

[๑๑] สมุดไทยเลขที่ ๔๔ ว่า “แสนวิเวกอ้างว้างประหวั่นขวัญ”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ