- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวอินณุมาศเจ้าเมืองโกญจาได้โอรสบุญธรรม
- ตอนที่ ๒ คงคาประลัยขบถ
- ตอนที่ ๓ พราหมณ์จินดาลักพระกุมารไป ท้าวพินทุมารจับสองกุมารแล้วพาไปเลี้ยงไว้ในถ้ำ
- ตอนที่ ๔ เสนาท้าวอินณุมาศกู้เมืองได้ จึงเชิญเสด็จกลับไปครองแผ่นดิน
- ตอนที่ ๕ สิงหไกรภพลองยา แล้วหนีท้าวพินทุมารกลับบ้านเมือง
- ตอนที่ ๖ สิงหไกรภพเข้าเมืองมารัน แล้วได้พระธิดาสร้อยสุดาเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๗ พราหมณ์จินดาตามหาสิงหไกรภพ
- ตอนที่ ๘ สิงหไกรภพหนีออกจากเมืองมารัน
- ตอนที่ ๙ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๐ ท้าวจัตุพักตร์ตีเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๑ รามวงศ์หลงเชื่อวิรุณพัฒพี่เลี้ยง หลอกให้เดินทางไปถึงเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๒ รามวงศ์พานางแก้วกินรีหนีออกจากเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๓ ท้าวเทพาสูรตีเมืองมารันคืน
- ตอนที่ ๑๔ สิงหไกรภพ ตามหารามวงศ์
- ตอนที่ ๑๕ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๖ สิงหไกรภพให้จัดงานถวายพระเพลิงพระศพท้าวอินทณุมาศและนางจันทร
- ตอนที่ ๑๗ สิงหไกรภพต้องเสน่ห์นางเทพกินรา
- ตอนที่ ๑๘ รามวงศ์พบเจ็ดนาง พระเทวราชโอรสเจ้าเมืองวิเรน และพระอนุชา
- ตอนที่ ๑๙ รามวงศ์เข้าเมืองกาลเนตร
ตอนที่ ๑๑ รามวงศ์หลงเชื่อวิรุณพัฒพี่เลี้ยง หลอกให้เดินทางไปถึงเมืองกาลวาศ
๏ จะกล่าวความรามวงศ์องค์โอรส | พระอัยกีมียศเลี้ยงรักษา |
ค่อยอยู่เย็นเป็นสุขทุกเวลา | นางพญารักใคร่ไม่ไกลองค์ |
ครั้นเติบใหญ่ให้เรียนเขียนหนังสือ | แล้วฝึกปรือสงครามตามประสงค์ |
ขี่ช้างม้ากล้าหาญชาญณรงค์ | ได้เครื่องทรงท้าวไทอัยกา |
ใส่เกือกเกราะเหาะได้ด้วยกายสิทธิ์ | ไม่เพี้ยนผิดจัตุพักตร์ท้าวยักษา |
คทาธรศรจักรทรงศักดา | ได้ครบครันชันษาสิบห้าปี ฯ |
๏ นางกระษัตริย์จัดตั้งวิรุณพัฒ | เป็นพงศ์จัตุพักตร์มีศักดิ์ศรี |
เฉลียวฉลาดอาจองทรงฤทธี | ให้เป็นที่พี่เลี้ยงเคียงนัดดา |
ลูกอำมาตย์มหาดเล็กเด็กห้าร้อย | หนุ่มน้อยน้อยน่ารักล้วนยักษา |
สำหรับตามรามวงศ์พงศ์นรา | ออกทรงรถคชาหน้าพระลาน |
เวลาเย็นเล่นคะนองแยกสองทัพ | พี่เลี้ยงกับหน่อไทไล่ทหาร |
เข้าหักโหมโรมรันประจัญบาน | ต่างรอนราญรับรองด้วยว่องไว |
ถือดาบหวายไม้ตะบองทั้งสองข้าง | ต่างตีต่างแทงฟันเสียงหวั่นไหว |
ชุลมุนวุ่นวิ่งเข้าชิงชัย | ไพร่ต่อไพร่จับกุมเป็นกลุ่มกัน |
นายต่อนายกรายทวนกระบวนรบ | ขับสินธพโถมถลาม้าถลัน |
พระโจมตีพี่เลี้ยงเลี่ยงไม่ทัน | ถูกด้วยคันศรถลาตกพาชี |
ทหารพลอยถอยทัพกลับชนะ | เสียงเหะหะโห่แซ่พวกแพ้หนี |
พี่เลี้ยงแตกแสกหน้าพอราตรี | กลับไปที่เคหารักษากาย |
พระหน่อไทได้ชนะยิ่งสนุก | ไปปรางค์มุขมนเทียรวิเชียรฉาย |
ทุกเช้าเย็นเป็นสุขสนุกสบาย | ไม่อันตรายเริงรื่นทุกคืนวัน ฯ |
๏ จะกล่าวความพราหมณ์พรหมบรมนาถ | เสวยราชราไชมไหศวรรย์ |
เป็นปิ่นปักรักษาเมืองมารัน | พร้อมกำนัลนักสนมกรมใน |
กับนางรัชฎาสูรประยูรยักษ์ | เป็นที่รักร่วมจิตพิสมัย |
อสุรีมีโอรสยศไกร | ให้ชื่อชัยสุริยาปรีชาชาญ |
เกศาเศียรเวียนวงดังกงจักร | ประไพพักตร์เพียงบิดาทั้งกล้าหาญ |
เรียนไตรเพทเวทวิชาโหราจารย์ | แต่อายุกุมารสิบสองปี |
ให้ติดตามรามวงศ์ดำรงรัก | สามิภักดิ์พูนเพิ่มเฉลิมศรี |
ถึงหน้าแล้งแต่งสารมารมนตรี | ไปโกญจาธานีทุกปีไป |
ถึงปีกุนขุนมารถือสารตอบ | มานบนอบอ่านแจ้งแถลงไข |
ว่าสาราปรารภเจ้าภพไตร | ให้ท้าวไทเชษฐาเมืองมารัน |
ด้วยชนกชนนีโมลีโลก | ประชวรชราวาตโรคให้โศกศัลย์ |
หมอพิทักษ์รักษาสิบห้าวัน | ทั้งสององค์ทรงสวรรคครรไล |
จะจัดแจงแต่งการงานพระศพ | ตามขนบเมรุทองอันผ่องใส |
ให้รามวงศ์องค์โอรสยศไกร | ทูลลาอัยกีมายังธานี |
แต่เมืองยักษ์นคเรศให้เชษฐา | อยู่พาราว่าขานการกรุงศรี |
พอจบความพราหมณ์จินดาพามนตรี | ไปทูลพระอัยกีที่ปรางค์ทอง ฯ |
๏ ฝ่ายนางนาฏมาตุรงค์ว่าสงสาร | ช่างนิพพานพร้อมพรั่งกันทั้งสอง |
แล้วซักไซ้ไต่ถามตามทำนอง | จะแต่งของช่วยงานประการใด |
ก็สุดแท้แต่พราหมณ์ให้งามพักตร์ | จะเกณฑ์ยักษ์ไปช่วยด้วยก็ได้ |
ให้นัดดาพาพหลสกลไกร | ไปช่วยให้เสร็จสรรพแล้วกลับมา ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์ฟังบังคมประนมสนอง | ทำเมรุทองสูงเยี่ยมเทียมเวหา |
ทั้งราชวัติฉัตรธงอลงการ์ | พระเบญจาห้าชั้นสุวรรณรัตน์ |
ประดับเพชรเจ็ดสีมณีโชติ | ตั้งพระโกศแก้วแกมแจ่มจรัส |
แล้วมีงานการพาราสารพัด | ตามกระษัตริย์สู่สวรรคครรไล |
จะเกณฑ์ยักษ์สักหมื่นแต่พื้นทหาร | ไปช่วยงานแบกหามตามวิสัย |
ของช่วยศพจบพระหัตถ์จงจัดไป | เป็นผ้าไตรเงินตราสารพัน |
แล้วทูลลามายังพระโรงนอก | ให้หมายบอกเกณฑ์พหลพลขันธ์ |
เลือกล้วนช่างทั้งหมื่นพื้นฉกรรจ์ | อีกเจ็ดวันจะเสด็จให้เสร็จการ |
เสนายักษ์พรักพร้อมน้อมประณต | ไปเตรียมรถราเชนทร์เกณฑ์ทหาร |
ทั้งจะใส่ไตรผ้าคชาธาร | พวกยักษ์มารหมื่นขุนวิ่งวุ่นวาย ฯ |
๏ ฝ่ายยักษีพี่เลี้ยงพระหน่อนาถ | เป็นแผลหน้าพยาบาทไม่ขาดหาย |
พ่อของมันนั้นก็ฆ่าเจ้าตาตาย | อ้ายลูกชายยังซ้ำแกล้งทำกู |
จะทำบ้างยั้งมือถือว่าเจ้า | มันทำเราไม่ลดให้อดสู |
พระอัยกีอีเฒ่าเอาศัตรู | มาเชิดชูชุบเลี้ยงเพียงนัดดา |
ให้เครื่องทรงยงยุทธ์อาวุธเพชร | รู้ระเห็จเหาะเหินเดินเวหา |
จะฆ่าฟันมันไม่ตายวายชีวา | แต่นิ่งนึกตรึกตราอยู่ช้านาน |
พอคิดได้อัยกาเทพาสูร | จอมตระกูลกินราศักดาหาญ |
กับท้าวไทอัยกาได้สาบาน | จะคิดอ่านไปถึงได้พึ่งพา |
อันกรุงไกรไปทางทิศพายัพ | จะลวงจับรามวงศ์ส่งยักษา |
อีกเจ็ดวันมันจะไปกรุงโกญจา | จะคิดพาแยกเยื้องไปเมืองมาร |
คิดอุบายหมายมุ่งจนรุ่งเช้า | เข้าไปเฝ้าหน่อนาถในราชฐาน |
ทำทูลถามตามเรื่องเคืองรำคาญ | พระกุมารเล่าแถลงให้แจ้งใจ |
อีกหกวันฉันจะต้องยกกองทัพ | จะไปกับน้องหรือจิตคิดไฉน |
พระอัยกีอัยกานิคาลัย | จะต้องไปช่วยปลงตามวงศ์วาน |
พี่เลี้ยงแจ้งแกล้งว่าแม้นช้านัก | เหมือนไม่รักพระบิดาจะว่าขาน |
รู้เมื่อไรไปเมื่อนั้นให้ทันการ | พระวงศ์วานจะเห็นว่าเป็นดี |
กับเสนาห้าร้อยยกถอยก่อน | ข้าเคยจรแจ้งทางหว่างวิถี |
ไปถึงพระชนกชนนี | จะยินดีดังประสงค์จำนงใน |
อันสิ่งของกองทัพต่อสรรพเสร็จ | ตามเสด็จตามประสาอัชฌาสัย |
หน่อกระษัตริย์ตรัสตอบว่าขอบใจ | กระนั้นไปพรุ่งนี้เถิดดีครัน |
พี่บอกกล่าวบ่าวไพร่เสียให้รู้ | แต่เช้าตรู่เตรียมกายจะผายผัน |
พี่เลี้ยงรับกลับมาตรวจตรากัน | ผูกช้างมั่นม้าพยศรถวิมาน |
พวกโยธีขี่ม้าทั้งห้าร้อย | มาเตรียมคอยหน่อนาถราชฐาน |
สักสามยามรามวงศ์องค์กุมาร | มากราบกรานทูลพระอัยกี |
ฉันรู้ข่าวผ่าวร้อนนอนไม่หลับ | จะรีบไปได้กลับมากรุงศรี |
ยังหลายวันครั้นจะรอก็ช้าที | รุ่งพรุ่งนี้นัดดาขอลาไป ฯ |
๏ นางพญาว่าหนทางต่างประเทศ | ต้องข้ามเขตเขาป่าชลาไหล |
เป็นลูกเจ้าท้าวพระยาจะคลาไคล | มีบ่าวไพร่พร้อมพรั่งจึงบังควร |
พวกพลน้อยพลอยนายนี้ขายหน้า | ฟังยายว่าพ่อคุณอย่าหุนหวน |
ค่อยยกไปให้งามตามกระบวน | อย่าโดยด่วนไม่ได้ภัยจะมี ฯ |
๏ พระนัดดาว่าทหารหม่อมฉันหัด | รู้สันทัดทำศึกไม่นึกหนี |
ถึงโกฏิแสนแม้นมาจะราวี | สังหารชีวีให้บรรลัยลง |
จงโปรดเกล้าคราวเดียวอย่าเหนี่ยวหน่วง | ให้ได้ล่วงเหมือนจิตคิดประสงค์ |
ถึงน้อยไปไม่อายขายบาทบงสุ์ | ด้วยเผ่าพงศ์พวกพ้องของบิดา ฯ |
๏ นางฟังคำรํ่าบ่นว่าล้นเหลือ | ว่ากระไรไม่เชื่อเบื่อหนักหนา |
ช่างไม่คิดจิตใจเหมือนอัยกา | ไม่รักหน้ารักนามก็ตามที ฯ |
๏ พระชื่นชอบนอบนบอภิวาท | ทูลลาบาทบงกชบทศรี |
นางตรัสช่วยอวยชัยไปจงดี | อย่าให้มีเภทภัยสิ่งใดพาน |
แม้นไปปะปัจจามิตรอย่าคิดรบ | จงหลีกหลบมาประเทศเขตสถาน |
อย่าอาจองจงจำคำโบราณ | ชลธารน้อยนักแพ้อัคคี |
พระรามวงศ์ทรงฟังตรัสสั่งสอน | ชุลีกรกราบประณตบทศรี |
พอแจ่มแจ้งแสงทองหอกลองตี | มาเข้าที่สรงชลสุคนธา |
สนับเพลาเนากระหนกนุ่งยกแย่ง | รีบจัดแจงโจงสะพักเหมือนยักษา |
ใส่เสื้อทองฉลององค์อลงการ์ | กันสาตราเกราะเพชรเกล็ดมังกร |
เกี่ยวกระหวัดรัดอกปกอุหลัด | ปั้นเหน่งเนาว์นพรัตน์ประภัสสร |
สวมมงกุฎบุษย์สว่างกระจ่างจร | ทองพระกรแก้วจินดาพาหุรัด |
ธำมรงค์วงวาวพลอยพราวเพชร | แต่ละเม็ดค่าเมืองเรืองจำรัส |
ห้อยอุบะมะลิลาจำปาทัด | พระแสงขัดซ้ายขวาคทาธร |
พระบาทบงสุ์ทรงเกือกแก้วกระจ่าง | ลงจากปรางค์มาศไชยดังไกรสร |
ท้าววรจันทร์กั้นกลดบทจร | มาหยุดหย่อนยืนดูหมู่โยธี |
ขึ้นทรงอาสน์ราชรถกลิ้งกลดกั้น | ยักษ์โลทันนั่งหน้าเป็นสารถี |
พลนิกายซ้ายขวาขี่พาชี | พี่เลี้ยงขี่ไอยรานำหน้าพล |
ให้ตั้งโห่โยธาทั้งห้าร้อย | ต่างเหาะลอยเลื่อนสล้างกลางเวหน |
เสียงพิลึกครึกโครมโพยมบน | ดูเกลื่อนกล่นกลาดฟ้านภาลัย |
อภิรุมชุมสายรายระยับ | ข้างหน้าทัพธงทิวปลิวไสว |
ลับประเทศเขตแคว้นเข้าแดนไพร | พอจวนใกล้สุริยนสนธยา ฯ |
๏ บังเกิดลางกลางโพยมครึกโครมครื้น | เมฆทะมึนมืดมิดทุกทิศา |
เป็นเปลวปลาบวาบพรายพร่างสายตา | พอฟ้าผ่าเปรี้ยงลงถูกกงรถ |
เรือนปะแหรกแตกกระจายข้างท้ายหัก | อาชาชักฉีกตลอดม้วยมอดหมด |
พระรามวงศ์ทรงยืนยอดบรรพต | ให้องค์สั่นรันทดสลดใจ |
ทั้งโยธาห้าร้อยลอยลงป่า | ด้วยลมกล้าเหลือจะต้านทานไมไหว |
แต่พี่เลี้ยงเคียงคลอพระหน่อไท | ร้องเรียกไพร่พลมาพร้อมหน้ากัน ฯ |
๏ หน่อกระษัตริย์ตรัสถามตามวิตก | เรารีบยกพลนิกายจะผายผัน |
มาถึงนี่วิบัติอัศจรรย์ | จะป้องกันคิดอ่านประการใด |
พี่เลี้ยงว่าฟ้าฟาดแต่ราชรถ | คนทั้งหมดมิได้เห็นเป็นไฉน |
ทั้งนี้เพราะเคราะห์ม้าจึงพาไป | ซึ่งจะให้พาชีถึงที่ตาย |
จะเลิกทัพกลับคืนเข้าเมืองเล่า | อดสูชาวเวียงวังสิ้นทั้งหลาย |
เหมือนพวกเราเขลาขลาดใช่ชาติชาย | แต่ต้องสายฟ้าผ่าก็ล่าพล |
คำโบราณท่านเปรียบประเทียบว่า | อยู่ใต้ฟ้าแล้วตัวอย่ากลัวฝน |
ถึงรถแตกแยกยับไม่อับจน | ทรงช้างต้นตัดทางไปกลางไพร |
ข้าจะนำตำแหน่งรู้แห่งชัด | หนทางลัดหลีกมหาชลาไหล |
ข้ามลำเนาเขาเขินเหาะเหินไป | กำหนดในสามเดือนถึงเหมือนกัน ฯ |
๏ รามวงศ์หลงเล่ห์พี่เลี้ยงยักษ์ | พลอยฮึกฮักเห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
ขึ้นทรงช้างข้างท้ายนายโลทัน | พี่เลี้ยงนั้นขี่ม้านำหน้าทัพ |
ยกโยธาห้าร้อยเหาะลอยเลื่อน | ข้ามโขดเขื่อนเขาเคียงเรียงสลับ |
แสงเดือนหงายหมายจิตทิศพายัพ | หวังจะจับพระกุมารผลาญชีวัน ฯ |
๏ จะกลับกล่าวเจ้าพราหมณ์รามราช | เมื่อหน่อนาถเสด็จไปแต่ไก่ขัน |
จะทูลความห้ามไว้ก็ไม่ทัน | คิดพรั่นพรั่นไพรีจะบีฑา |
จึงรีบรัดจัดของเกณฑ์กองทัพ | ได้เสร็จสรรพไพร่นายทั้งซ้ายขวา |
ให้ลูกน้อยกลอยใจชัยสุริยา | คุมโยธาขุนนางไปต่างกาย |
ให้รีบตามรามวงศ์คงจะพบ | จึงสมทบพลขันธ์พาผันผาย |
ทุกหมวดกองป้องกันอันตราย | ลูกเจ้านายนะอย่าให้มีภัยพาล ฯ |
๏ ขุนนางยักษ์พรักพร้อมน้อมคำนับ | แล้วยกทัพทุ่มกลองตีฆ้องขาน |
เคลื่อนรถรัตน์อัสดรกุญชรชาญ | เหาะทะยานลอยละลิ่วเป็นทิวไป |
ทั้งธงเทียวเขียวแดงแสงสลับ | โห่ร้องรับพร้อมกันเสียงหวั่นไหว |
พวกเสนีขี่ม้าเคลื่อนคลาไคล | ล้อมช้างชัยสุริยาลอยมากลาง |
รีบตามหน่อวรนาถก็คลาดแคล้ว | ข้ามทุ่งแถวแนวเนาภูเขาขวาง |
ไม่เห็นหายหมายไปได้ไกลทาง | รีบขับช้างตามเสด็จได้เจ็ดวัน |
ถึงวังวนชลธารไม่พานพบ | ยิ่งปรารภเร่งพหลพลขันธ์ |
รีบเหาะตามข้ามไปก็ไม่ทัน | จนกุมภัณฑ์พลนิกรออกอ่อนใจ |
ได้เดือนหนึ่งถึงฝั่งมหรณพ | ไม่พานพบรามวงศ์ยิ่งสงสัย |
ไม่หยุดยั้งรั้งรอตามหน่อไท | ถึงกรุงไกรโกญจาพอราตรี |
หยุดประทับยับยั้งอยู่พรั่งพร้อม | ที่ริมป้อมนอกประตูบูรีศรี |
ครั้นเช้าชัยสุริยาพาเสนี | ไปพร้อมที่พระโรงรัตน์ชัชวาล ฯ |
๏ จะกล่าวถึงทรงศักดิ์กับอัคเรศ | เป็นปิ่นเกศกระษัตรามหาศาล |
ไม่โศกเศร้าเช้าค่ำแสนสำราญ | เยาวมาลย์ทรงครรภ์ไม่คั่นปี |
อันนางน้องรองรามวงศ์นั้น | ชื่อเหมวรรณน้องถัดชื่อรัศมี |
เป็นสององค์นงนุชพระบุตรี | ยังน้องที่แท้งบ้างทั้งวางวาย |
สิบสี่องค์คงสองพี่น้องนาฏ | อยู่ปรางค์มาศมนเทียรวิเชียรฉาย |
ทุกเช้าเย็นเป็นสุขสนุกสบาย | เจ้าขรัวยายพระพี่เลี้ยงเคียงประคอง |
แต่องค์พระสิงหไกรภพนั้น | สองทรงธรรม์สิ้นชนม์ให้หม่นหมอง |
ออกอำมาตย์อาสน์โถงพระโรงทอง | คิดตรึกตรองตรัสงานการนคร ฯ |
๏ กุมารชัยสุริยาพาอำมาตย์ | เข้าเฝ้าบาทบพิตรอดิศร |
ดอกไม้ทองของสำหรับสดับปกรณ์ | ของมารดรช่วยศพทูลครบครัน |
แล้วทูลว่ารามวงศ์องค์โอรส | พระทรงยศยกพหลพลขันธ์ |
จากนครก่อนมาได้ห้าวัน | ตามไม่ทันจนถึงเขตนิเวศน์วัง |
๏ พระสิงหไกรภพฟังจบแจ้ง | อนาถแหนงนึกในพระทัยหวัง |
เมื่อไม่ให้ใครนำมาลำพัง | หรือข้ามฝั่งเฟือนหลงในคงคา |
แม้นพบใครไถ่ถามตามสังเกต | ได้แจ้งเหตุแล้วคงตรงมาหา |
พระตรัสพลางทางชวนชัยสุริยา | ขึ้นสู่ปราสาททองห้องสุวรรณ |
ตรัสเล่าความรามวงศ์กับนงลักษณ์ | มานานนักยังไม่ถึงไอศวรรย์ |
นี่บุตรพี่ที่บำรุงกรุงมารัน | ดูผิวพรรณมิได้ผิดกับบิดา |
พระสอนให้ไหว้องค์นางนงลักษณ์ | นางนึกรักรับขวัญด้วยหรรษา |
ถามถึงวงศ์พงศ์พันธุ์จำนรรจา | พระมารดาอยู่ดีหรือมีภัย ฯ |
๏ กุมารหมอบนอบนบอภิวาท | เชิงฉลาดทูลแจ้งแถลงไข |
ด้วยเดชะพระเดชปกเกศไป | อันเภทภัยไม่มีมาบีฑา |
แต่องค์พระอัยกีมีรับสั่ง | ให้ทูลทั้งสององค์ทรงยศถา |
พระศพงานการใหญ่มิได้มา | ด้วยชราท่าทางก็ห่างกัน |
ให้นัดดามาแทนแม้นสำเร็จ | พระศพเสร็จสั่งไว้ให้หม่อมฉัน |
กราบทูลขอหน่อนราไปมารัน | ให้ทรงธรรม์คิดถึงพระอัยกี |
ทั้งสององค์ทรงพระสรวลสำรวลร่า | กลัวนัดดาจะไม่กลับไปกรุงศรี |
เสร็จธุระจะให้ไปเป็นไรมี | แล้วจัดที่แท่นให้ชัยสุริยา |
อยู่ปรางค์ทองห้องกั้นชั้นเฉลียง | บำรุงเลี้ยงเพียงองค์โอรสา |
แล้วสั่งให้จ่ายเสบียงเลี้ยงโยธา | ยังรอท่าพระโอรสต้องงดงาน ฯ |
๏ จะจับกล่าวท้าวเทพาสุราราช | ครองพารากาลวาศราชฐาน |
คีรีรอบขอบเขื่อนเหมือนปราการ | พลมารมากพ้นคณนา |
อยู่ไพชยนต์มนเทียรวิเชียรรัตน์ | แจ่มจรัสราวกับดาววาวเวหา |
มเหสีที่รักร่วมชีวา | ชื่อนางเทพกินราปิ่นนารี |
งามประโลมโฉมวิไลชาวไกรลาศ | มีองค์ราชธิดามารศรี |
ดังนางสวรรค์ชันษาสิบห้าปี | ชื่อโฉมแก้วกินรีศรีโสภา |
จะไปไหนใส่ปีกกินเรศ | รู้ประเวศเหาะเหินเดินเวหา |
นางห้ามแหนแสนสุรางค์สำอางตา | อสุราเริงรื่นทุกคืนวัน |
ถึงเวลาราตรีเข้าที่ลับ | ให้เคลิ้มหลับคล้ายจริตนิมิตฝัน |
ว่าองค์ท้าวเจ้าพาราเมืองมารัน | ยื่นพระขรรค์ให้พระองค์ทั้งธงชัย |
ประเดี๋ยวหนึ่งพระอาทิตย์ฤทธิรุทร | ตามมาฉุดชิงกันเสียงหวั่นไหว |
พญามารราญรอนพออ่อนใจ | ธงพระขรรค์นั้นเป็นไฟไหม้กายา |
เหลือจะทนรนร้อนพระกรบาท | กระเด็นขาดจากกายทั้งซ้ายขวา |
สะดุ้งตื่นฟื้นองค์คิดสงกา | พอเวลารุ่งรางสว่างวัน |
นึกสงสัยให้หาโหราเฒ่า | เข้ามาเฝ้าเล่าตามเนื้อความฝัน |
โหรคำนับรับสั่งตั้งเลขจันทร์ | เอาฤกษ์วันบวกคูณแล้วทูลทาย |
ซึ่งกระษัตริย์จัตุพักตร์ที่รักใคร่ | ให้ธงชัยกับพระขรรค์เหมือนมั่นหมาย |
พวกพารามารันอันเป็นชาย | จะถวายเกียรติยศให้งดงาม |
ด้วยยามจันทร์วันศุกร์เป็นทุกขลาภ | จะได้ปราบปัจจามิตรจะคิดขาม |
ซึ่งว่าองค์อาทิตย์มาติดตาม | จะเกิดความขุ่นเคืองถึงเมืองมาร |
คือผู้ที่มีบุญจุลจักร | จะหาญหักชิงสมบัติพัสถาน |
ธงพระขรรค์อันเป็นไฟประลัยลาญ | คือพวกพาลไพรีจะบีฑา |
ซึ่งภูธรกรบาทเด็ดขาดนั้น | จะโศกศัลย์เสียวงศ์เผ่าพงศา |
ขอพระองค์ทรงฤทธิ์อิศรา | จงบูชาราหูพระสุรกาล |
พระฟังคำทำนายหมายประมาท | เราชายชาติช้างงาปรีชาหาญ |
ถ้าแม้นผิดพระสยมทั้งพรหมมาร | ไม่มัสการ[๑]ผู้ใดทั้งไตรภพ |
สักโกฏิแสนแม้นมาเป็นข้าศึก | กูก็นึกสนุกอีกไม่หลีกหลบ |
ถึงราหูสุริยามาสมทบ | กูจะรบรับสู้ไม่บูชา |
พลางแต่งองค์ทรงเครื่องแล้วเยื้องย่าง | ออกขุนนางเฝ้าฝ่ายทั้งซ้ายขวา |
ตรัสประภาษราชการงานพารา | อสุราราษฎรไม่ร้อนรน ฯ |
๏ จะกล่าวความรามวงศ์พงศ์กระษัตริย์ | วิรุณพัฒนำทางมากลางหน |
ครั้นพลบคํ่าสำนักหยุดพักพล | พอสุริยนเยี่ยมทวีปก็รีบไป |
ถึงแดนด่านชานพารากาลวาศ | พบพวกลาดตระเวนถามตามสงสัย |
พี่เลี้ยงว่ามาเฝ้าสองท้าวไท | ข้างม้าใช้ทราบว่าชาวมารัน |
ไม่ห้ามปรามตามใจให้ไปเฝ้า | เหมือนร่วมเจ้าสองฝ่ายต่างผายผัน |
พี่เลี้ยงพามาถึงชานปราการพลัน | พอสายันต์หยุดอยู่นอกบูรี |
ได้กูบช้างต่างอาสน์ไสยาสน์หลับ | ให้วาบวับหวาดหวั่นมิ่งขวัญหนี |
ฝันว่าไฟไหม้จังหวัดปัถพี | เปลวอัคคีหุ้มห้อมเข้าล้อมองค์ |
ให้อัดอั้นควันคลุ้มกลุ้มตรลบ | พระเสือกซบลงกับที่ธุลีผง |
จะม้วยมรณ์ร้อนสุดพอภุชงค์ | คาบพระองค์จากที่อัคคีควัน |
ต้องสายฝนชุ่มชื่นระรื่นจิต | แต่ปวดพิษนาคาเพียงอาสัญ |
พอรู้สึกนึกวิบัติอัศจรรย์ | แสงตะวันส่องสว่างกระจ่างตา |
ดูยักษีพี่เลี้ยงเคยเคียงใกล้ | คิดจะใคร่แก้ฝันผินผันหา |
เห็นแต่ไพร่ไม่แถลงแจ้งกิจจา | แต่ตรึกตรากริ่งใจเกรงภัยพาล ฯ |
๏ ฝ่ายพี่เลี้ยงเลี่ยงไปแต่ใกล้รุ่ง | เช้าในกรุงกาลวาศราชฐาน |
เวลาเฝ้าเข้าประณตบทมาลย์ | พระเห็นหลานจัตุพักตร์ตรัสทักทาย |
เอ๊ะนัดดามาใดจะใคร่รู้ | เที่ยวเกี้ยวชู้หรือมาเที่ยวค้าขาย |
หรือขัดข้องท่องเที่ยวอยู่เดียวดาย | พระสหายอยู่ดีหรือมีภัย ฯ |
๏ วิรุณพัฒกลัดกลั้นอั้นสะอื้น | อุตส่าห์ฝืนทูลแจ้งแถลงไข |
อันองค์พระอัยกานิคาลัย | เสียกรุงไกรกับมนุษย์เพราะบุตรี |
แล้วทูลตามความหลังตั้งแต่ต้น | ตลอดจนมาประณตบทศรี |
ขอพระคุณบุญญาฝ่าธุลี | โปรดเป็นที่พึ่งให้พ้นภัยพาล |
เทพาสูรฉุนแค้นแน่นแสนสุด | เหม่มนุษย์ประมาททำอาจหาญ |
น้อยหรือมาฆ่าสหายกูวายปราณ | กูจะผลาญทั้งโคตรตามโทษทัณฑ์ |
จงจับอ้ายรามวงศ์ลงเหล็กไว้ | อย่าเพิ่งให้ชีวามันอาสัญ |
จับพ่อแม่แก่เฒ่าพวกเผ่าพันธุ์ | มาพร้อมกันจึงทำให้หนำใจ |
จะเชือดเนื้อเอาเกลือทาให้สาหัส | แล้วผูกมัดแผ่ตะรางกลางน้ำไหล |
ใส่พวกพ้องของมนุษย์แล้วจุดไฟ | คลอกเสียให้ตายสิ้นด้วยดินปืน ฯ |
๏ วิรุณพัฒทัดทานกุมารนี้ | อาวุธมีแม้นมัดจะขัดขืน |
ข้าจะรับจับเองไม่เครงครื้น | ขอขุนหมื่นไปด้วยได้ช่วยกัน |
แล้วทูลลาพาพวกผู้คุมยักษ์ | มาที่พักพวกพหลพลขันธ์ |
จึงบอกความรามวงศ์ว่าทรงธรรม์ | ให้กุมภัณฑ์มาเชิญอย่าเนิ่นนาน |
จงจัดแจงแต่งองค์สระสรงนํ้า | พระเชื่อคำลุ่มหลงน่าสงสาร |
จึงปลดเปลื้องเครื่องทรงอลงการ | วางบนพานเพชรพาดทั้งสาตรา |
พวกผู้คุมกุมภัณฑ์รุมกันจับ | เอาเชือกพับผูกมัดพระหัตถา |
พระตะลึงตึงองค์ด้วยสงกา | เขาใส่คาขื่อซํ้าแล้วจำตรวน |
ทั้งโซ่สวมกรวมคอไม่ต่อเถียง | ฝ่ายพี่เลี้ยงสมคะเนแกล้งเสสรวล |
พระแสนแค้นแน่นในใจรัญจวน | จนองค์ซวนเซล้มไม่สมประดี |
พวกผู้คุมรุมฉุดไม่หยุดยั้ง | ล้อมหน้าหลังลากจูงเข้ากรุงศรี |
พระกลืนกลํ้านํ้าตาไม่พาที | จนถึงที่พระโรงรัตน์ชัชวาล ฯ |
๏ ท้าวกุมภัณฑ์ครั้นเห็นยังเป็นเด็ก | เหม่ลูกเล็กหัวพองจองหองหาญ |
ไม่หมอบนั่งบังคมไม่ก้มกราน | อ้ายพวกพาลพงศ์พันธุ์จะบรรลัย ฯ |
๏ พระรามวงศ์องอาจชาติกระษัตริย์ | ว่าแค้นขัดเคืองเข็ญเป็นไฉน |
ถ้าแม้นว่ากล้าจริงไปชิงชัย | นี่ลวงให้หลงมาน่าไม่อาย |
เราสัตย์ซื่อถือญาติชาติโกหก | ใครจะยกยอมึงอย่าพึงหมาย |
จงเร่งมาฆ่ากูจะสู้ตาย | ไม่เสียดายชีวิตสักนิดเดียว |
อสุรินทร์ยินคำยิ่งซํ้าแค้น | กระทืบแท่นขึงสง่านัยน์ตาเขียว |
น้อยไปหรือดื้อดีเช่นนี้เจียว | มันคนเดียวฆ่าตายจะหายความ |
ประจานไว้ให้ระยำสมนํ้าหน้า | เอาขึ้นขาหยั่งถ่างไว้กลางสนาม |
พวกผู้คุมรุมฉุดว่าพูดลาม | ฉวยโซ่ล่ามลากถูพระสู้ทน |
เดินไม่ตรงองค์ซวนด้วยตรวนโซ่ | อุตส่าห์โซเซย่างกลางถนน |
ถึงประตูผู้คุมพวกกุมภณฑ์[๒] | ยกขึ้นบนขาหยั่งนั่งยองยอง |
ติดคาคองอมือใส่ขื่อเหล็ก | สายโซ่เหล็กล่ามรั้งไว้ทั้งสอง |
พวกตรวจตรัสพัศดีนั่งตีฆ้อง | เสียงจองหง่องจองหง่องป่องป่องดัง ฯ |
๏ พวกหญิงชายฝ่ายประชาบรรดายักษ์ | มาดูนักโทษหนุ่มต้องคุมขัง |
ทั้งยักษีที่สาวเป็นชาววัง | มาคับคั่งพรั่งพรูดังดูงาน |
เห็นรูปงามยามเศร้าเธอเหงาง่วง | นางข้าหลวงต่างว่าน่าสงสาร |
ซื้อส้มสูกลูกไม้มาให้ทาน | พระกุมารมิได้รับด้วยอับอาย ฯ |
๏ วิรุณพัฒจึงจัดเครื่องประดับ | ซึ่งสำหรับรามวงศ์ส่งถวาย |
พญายักษ์รักมิตรคิดเสียดาย | ของสหายเก็บไว้ในไพชยนต์ |
แล้วตรัสสั่งเสนีให้กรีทัพ | ที่สำหรับรบศึกได้ฝึกฝน |
ทั้งม้ารถคชสารชาญผจญ | จะยกพลไปสังหารผลาญไพรี |
วรุณพัฒนัดดาพลห้าร้อย | ล้วนหนุ่มน้อยนำทางกลางวิถี |
ครั้นสั่งเสร็จเสด็จจากแท่นมณี | ขึ้นสู่ที่ปรางค์มาศปราสาทไชย |
ฝ่ายอำมาตย์บาดหมายให้นายหมวด | จึงเกณฑ์ตรวจเตรียมกันเสียงหวั่นไหว |
แจกเสื้อหมวกพวกพลสกลไกร | อสูรใส่ปีกบินเหมือนกินรา |
ทั้งหน้าหลังตั้งถ้วนกระบวนทัพ | เกณฑ์กำกับเกียกกายทั้งซ้ายขวา |
มีปีกป้องกองแซงแต่งโยธา | เป็นเสือป่าแมวเซา[๓]เป็นเหล่ากัน |
ถือเขนโล่โตมรศรกำซาบ | ทั้งดั้งดาบปืนแต่งล้วนแข็งขัน |
คทาธรศรเสน่าทั้งเกาทัณฑ์ | พลกุมภัณฑ์เพียบจังหวัดปัถพี |
รถที่นั่งตั้งเวไชยันต์รัตน์ | เทียมกัณฐัศว์ซ้ายขวามีสารถี |
เทียบประทับกับเกยแก้วมณี | แต่ราตรีเตรียมถ้วนกระบวนมาร ฯ |
๏ ครั้งรุ่งเช้าท้าวเทพาสุราราช | ตื่นไสยาสน์อ่าองค์สรงสนาน |
นํ้าหอมฟุ้งปรุงปนสุคนธาร | นางอยู่งานที่สรงประจงพัด |
พระสอดสรรพสนับเพลาเพรากระหนก | ภูษาปกปิดพระชงฆ์โจงกระหวัด |
คาดปั้นเหน่งเปล่งเม็ดเพชรรัตน์ | ประจงจัดประจำยามอร่ามเรือง |
ฉลององค์ทรงสวมกรวมสลับ | ผ้าทิพย์ทับเจียระบาดขลิบตาดเหลือง |
ใส่เกราะเกล็ดเพชรล้วนค่าควรเมือง | สลับเนื่องนพเก้าแวววาววับ |
เกี่ยวกระหวัดรัดอกกระหนกกระหนาบ | ทับทรวงทาบทับทรวงดุนดวงประดับ |
พาหุรัดชัชวาลติดบานพับ | ทองพระกรซ้อนซับสลับเพชร |
ธำมรงค์วงวาวพลอยพราวพร่าง | มงกุฎกระจ่างแจ่มจรัสดูตรัสเตร็จ |
กรรเจียกจรซ้อนกุดั่นกัลเม็ด | ครั้นสรรพเสร็จทรงมหาคทาธร |
ขัดพระขรรค์บรรจงเหน็บวงจักร | สอดสะพักสะพายแล่งพระแสงศร |
ฝ่ายนงลักษณ์อัคเรศเกศกินร | ไม่เห็นกรเกศาพญามาร |
ไม่เคยเป็นเห็นว่าไปคงไม่รอด | วิ่งเข้ากอดบาทบงสุ์ด้วยสงสาร |
พลางทูลความตามนิมิตพิสดาร | จงโปรดปรานเกศาอย่าคลาไคล |
ทูลกระหม่อมจอมกระษัตริย์เหมือนฉัตรแก้ว | ทำลายแล้วไม่มีที่อาศัย |
นางทูลทัดภัสดาโศกาลัย | กำนัลในใหญ่น้อยพลอยโศกี ฯ |
๏ เจ้ากรุงยักษ์พักตร์สลดรันทดจิต | ชำเลืองพิศพักตร์พระมเหสี |
ทั้งห้ามแหนแสนสวาทราชบุตรี | แม้นชีวีวอดวายเสียดายนัก |
ระทวยทอดกอดกรถอนสะอื้น | ตะลึงยืนเย็นทรวงเป็นห่วงหนัก |
แล้วกลับจิตคิดสละมานะยักษ์ | ตรัสปลอบอัครชายาธิดาดวง |
อย่าโศกีพี่ไม่ครรไลลับ | แล้วจะกลับคืนหลังมาวังหลวง |
ทั้งห้ามแหนแสนสุรางค์นางทั้งปวง | อย่าเศร้าทรวงเสียใจพี่ไม่ทิ้ง |
อยู่พาราผาสุกอย่าทุกข์ร้อน | ร้องละครสักรวาประสาหญิง |
อย่ากลัวตายหมายมาดหวาดประวิง | ไม่ทอดทิ้งสุดสวาทไม่คลาดคลา |
พี่ปราบแดนแผ่นดินสิ้นพิภพ | อย่าปรารภร้อนจิตขนิษฐา |
แล้วแกล้งเดินเมินเฉยมาเกยชลา | ขึ้นรถแก้วแววฟ้าให้คลาไคล |
ประโคมฆ้องกลองแตรแห่เสด็จ | เหาะระเห็จโห่สนั่นเสียงหวั่นไหว |
ทอดธงทิวปลิวระยับทั้งทัพชัย | พลไกรเกลื่อนฟ้านภาดล |
ที่ใส่ปีกหลีกเพื่อนเลื่อนลอยล่อง | แกว่งกระบองบินคว้างมากลางหน |
วิรุณพัฒนัดดานำหน้าพล | ต่างเร่งร้นรีบตามกันหลามไป ฯ |
๏ จะกล่าวความรามวงศ์องค์โอรส | โศกกำสรดเศร้าหมองไม่ผ่องใส |
ต้องจองจำตรำตรากลำบากใจ | อยู่บนไม้ขาหย่าง[๔]ทนร่างกาย |
ถึงเจ็ดวันนั้นต้องยองยองนั่ง | เหลือกำลังดังอุระจะสลาย |
แกล้งอัดอั้นกลั้นใจจะให้ตาย | ก็ไม่วายชีวาให้อาดูร |
เสียดายองค์หลงกลด้วยคนคด | จึงเสียยศยากไร้เสียไอศูรย์ |
เสียอำมาตย์ญาติวงศ์พงศ์ประยูร | เสียตระกูลเกิดกายเป็นชายชาญ |
โอ้อาลัยอัยกีโมลีโลก | จะแสนโศกเศร้าสร้อยคิดคอยหลาน |
เมื่อทูลลาสารพัดจะทัดทาน | กรรมบันดาลดลใจมิให้ฟัง |
แสนสงสารมารดรบิตุเรศ | จะตั้งเนตรคอยหายอยู่ภายหลัง |
จะรีบไปให้ถึงเขตนิเวศน์วัง | มาแคล้วคลาดพลาดพลั้งเสียครั้งนี้ |
จะสูญลับอับอายถึงวายวอด | มิได้รอดไปประณตบทศรี |
สงสารพระชนกชนนี | ทั้งอัยกีมิได้เห็นใจแล้ว |
เพราะหลงคำสำคัญว่ามันรัก | จึงนับพักตร์แผ่เผื่อว่าเชื้อแถว |
เปรียบเหมือนนกตกล่วงเข้าบ่วงแร้ว | ไม่คลาดแคล้วชีวันจะบรรลัย |
ยิ่งตรึกตราอาดูรพูนเทวษ | นํ้าพระเนตรนองตกซกซกไหล |
แสนระกำจำทนด้วยจนใจ | สะอื้นอ้อนร้อนฤทัยดังไฟกาล |
อันข้าวนํ้าพะทำมะรงให้ทรงยศ | ก็สู้อดด้วยว่าจะอาสัญ |
แต่ตั้งสัตย์อธิษฐานถึงเทวัญ | ทุกช่องชั้นช่วยเห็นเป็นพยาน |
อยู่ดีดีมิผิดมันคิดโกรธ | มาทำโทษชีวังจะสังขาร |
ให้แจ้งจิตบิตุรงค์ทั้งวงศ์วาน | มาล้างผลาญกุมภัณฑ์ให้บรรลัย |
แต่ครวญครํ่ารำลึกสะอึกสะอื้น | สุดจะฝืนแรงดำรงองค์ไม่ไหว |
ด้วยหิวโหยโดยอดสลดใจ | สลบไปปิ้มชีวิตจะปลิดปลง ฯ |
๏ จะกล่าวแก้วกินรีบุตรีนาฏ | บิตุราชรักสงวนนวลระหง |
เป็นปิ่นเกล้าเหล่าสุรางค์นางอนงค์ | พอใจทรงฟังเรื่องเบื้องโบราณ |
ที่ยากไร้ได้ฟังก็สังเวช | นํ้าพระเนตรหยดลงด้วยสงสาร |
สอนให้เหล่าสาวสรรค์พนักงาน | ชำนาญอ่านอักขราทุกนารี |
คืนวันนั้นบรรทมบนแท่นรัตน์ | มิได้ตรัสเรียกเหล่านางสาวศรี |
รัญจวนจิตธิดาในราตรี | จนหลับไปในที่ศรีไสยา ฯ |
๏ จะกลับกล่าวถึงท้าวสหัสเนตร | เป็นปิ่นเกศดาวดึงส์ไตรตรึงษา |
เคยไสยาสน์อาสน์อ่อนแต่ก่อนมา | กลับกระด้างอย่างศิลาน่าอัศจรรย์ |
จึงเผยแกลแลเล็งเพ่งพระเนตร | ทั่วประเทศทิศาสุธาสวรรค์ |
เห็นรามวงศ์พงศาเมืองมารัน | ต้องโทษทัณฑ์แทบกายจะวายชนม์ |
กับโฉมแก้วกินรีบุตรียักษ์ | เป็นคู่รักร่วมสร้างทางกุศล |
จึงอาเพศเหตุการณ์บันดาลดล | ถึงไพชยนต์ทิพรัตน์ด้วยสัจจา |
จำจะช่วยด้วยผลาอานิสงส์ | ให้สืบทรงศักราชศาสนา |
จึงหยิบสังข์มารสิญจน์ของอินทรา | เสด็จจากฟากฟ้าในราตรี ฯ |
๏ ถึงเมืองมารอ่านเวทวิเศษสะกด | พวกรากษสเฝ้าหลับเหมือนกับผี |
ค่อยช้อนองค์พงศ์กระษัตริย์สวัสดี | ออกจากที่ทารกรรมพ้นจำจอง |
แล้วพรมพรำนํ้าสังข์ให้ทั้งหลับ | ให้เร่งกลับทรงสกนธ์หายหม่นหมอง |
แล้วพามาสิงหาสน์ปราสาททอง | เข้าในห้องธิดาพญามาร |
ค่อยวางองค์ลงแอบแนบเขนย | ยกกรเกยก่ายกอดสอดประสาน |
แล้วยืนยิ้มพริ้มพักตร์มัฆวาน | ไปวิมานเมืองฟ้าสุราลัย ฯ |
๏ ฝ่ายนงนุชบุตรีนารีราช | เมื่อหน่อนาถแนบประทับยังหลับใหล |
ครั้นรู้สึกนึกอนาถประหลาดใจ | จะถอยไปไม่พ้นด้วยมนตรา |
จะพลิกผลักสักเท่าไรก็ไม่พ้น | ให้อั้นอ้นจนจิตขนิษฐา |
นึกจะร้องข้องขัดหัทยา | ตกประหม่ามึนตึงตะลึงตะไล |
ประทีปทองส่องสว่างกระจ่างพักตร์ | ประหลาดนักหนุ่มนี้อยู่ที่ไหน |
ยิ่งเพ่งพิศคิดประหวัดกำหนัดใน | แกล้งผลักไสสั่นองค์ด้วยสงกา ฯ |
๏ ฝ่ายพระหน่อวรนาถไสยาสน์หลับ | สะดุ้งวับหวาดตื่นฟื้นผวา |
ประทีปทองส่องสว่างกระจ่างตา | เห็นนางหน้านวลแนบนอนแอบองค์ |
ลุกไม่ขึ้นมึนตึงตะลึงคิด | ประหลาดจริงนิ่งพินิจพิศวง |
เมื่อราตรีชีวิตจะปลิดปลง | กลับดำรงแรงรื่นค่อยชื่นใจ |
เครื่องกระสันพันธนาไม้ขาหย่าง | คนรอบข้างไม่เห็นเป็นไฉน |
หรือนารีนี้พาเรามาไว้ | จึงผลักไสเซ้าซี้แกล้งยียวน |
พอนางหยิกพลิกองค์แนบนงลักษณ์ | จุมพิตพักตร์ซักถามทรามสงวน |
เจ้างามขำลํ้านางสำอางนวล | อย่าหยิกข่วนข้องขัดสลัดกร |
แม่โฉมงามนามใดจะใคร่รู้ | พี่จะอยู่ฝากกายสายสมร |
ได้อิงแอบแนบชิดสนิทนอน | ไม่จากจรจนชีวันจะบรรลัย |
นางผลักพลิกหยิกข่วนว่ากวนจิต | มาแนบชิดยังซํ้าทำไถล |
ไม่ขอสู่อยู่หนตำบลใด | ชื่ออย่างไรไยมาในราตรี |
เข้าชิดเชื้อเหลือลามแล้วถามซัก | ทำเยื้องยักสาหัสน่าบัดสี |
มิบอกจริงยิ่งกวนทำยวนยี | ประเดี๋ยวนี้จะร้องให้ก้องวัง |
พระฟังคำรำพึงคะนึงคิด | ประหลาดจิตผิดอย่างแต่ปางหลัง |
มาอิงแอบแนบชิดเหมือนติดตัง | ดูเหมือนดังเทพไทจะให้เมีย |
จะบอกความตามเรื่องที่เคืองแค้น | ก็สุดแสนขายหน้าประดาเสีย |
ต้องจำจองหมองไหม้ดังไฟเลีย | จึงไกล่เกลี่ยกลบความตามสำเนา |
ใครจะพามาไว้ก็ไม่แจ้ง | ใช่จะแกล้งกล่าวประโลมโฉมเฉลา |
จึงถามไถ่ใคร่รู้ไม่ดูเบา | ด้วยเดิมเราไม่พบประสบกัน |
แต่บุญเคยเชยชมประสมสอง | ได้แนบน้องเนื้อหอมถนอมขวัญ |
อย่าขัดขวางห่างเหินให้เนิ่นวัน | จงผินผันพักตรามาพาที |
พลางอิงแอบแนบชิดจุมพิตพักตร์ | นางพลิกผลักพลางว่าน่าบัดสี |
พระสวมสอดกอดกวนให้ยวนยี | นางจะหนีให้พ้นก็จนใจ |
พระสอดซ้อนกรกุมปทุมประทับ | นางพลิกกลับผินพักตร์คอยผลักไส |
พระก่ายกอดสอดคล้องทำนองใน | นางจนใจจำเมินด้วยเกินกาย |
อุประมา[๕]ราหูเข้าจู่จับ | เหมือนเมฆทับกลับเกลื่อนดวงเดือนหาย |
เคี้ยวขม้ำกลํ้ากลืนไม่คืนคาย | ฝูงหญิงชายต่างตื่นเสียงครื้นเครง |
เอาขันจอกออกเคาะกุกเกาะกริ่ง | ปืนใหญ่ยิงยัดดินสิ้นเขนง[๖] |
ประโคมฆ้องกลองระฆังเสียงวังเวง | ดังเหง่งเหง่งเก่งก่างโหง่งหง่างดัง |
ประเดี๋ยวดลฝนลั่นเสียงครั่นครึก | ที่ลุ่มลึกแหล่งหล้าคงคาขัง |
พอดาวเดือนเคลื่อนลดไม่บดบัง | ต่างลุกนั่งขึ้นสบายไม่อายกัน |
นางชื่นชอบนอบนบอภิวาท | ขอรองบาทบาทาจนอาสัญ |
จะทูลความตามจริงทุกสิ่งอัน | ไม่บากบั่นเบือนบ่ายทำอายใจ |
ฉันชื่อแก้วกินรีบุตรีราช | โปรดประภาษบอกความนามไฉน |
จะจงรักภักดีแต่นี้ไป | น้องมิได้ข้องขัดหัทยา |
พระทราบเรื่องเคืองขัดให้อัดอั้น | ไม่หวังพันผูกรักกับยักษา |
เสียดายองค์นงลักษณ์ซบพักตรา | พระชลนาคลอคลอท้อฤทัย |
ระทวยจิตคิดคะนึงตะลึงนิ่ง | สุดจะทิ้งมิ่งมิตรพิสมัย |
สุดจะคิดชิดเชื้อเป็นเยื่อใย | เศร้าพระทัยถอนสะอื้นกลืนนํ้าตา |
นางเห็นนิ่งกริ่งจิตคิดประหลาด | ชุลีบาทบทเรศพระเชษฐา |
มิออกอรรถมธุรสพจนา | หรือโกรธาขัดขวางเป็นอย่างไร |
หรือน้องนี้มีโทษไม่โปรดตอบ | หรือไม่ชอบกิริยาอัชฌาสัย |
จงโปรดเกล้าเล่าแถลงให้แจ้งใจ | น้องก็ไม่ขออยู่จะสู้ตาย |
ต้องเสียตัวชั่วนักเพราะรักหลง | หวังดำรงรองบาทเหมือนมาดหมาย |
ไม่สมหวังทั้งกลับได้อับอาย | พลางฟูมฟายชลนาด้วยอาดูร ฯ |
๏ พระลูบโลมโฉมเฉลาเยาวลักษณ์ | ที่ความรักสุดสวาทไม่ขาดสูญ |
แม่เชื้อชาติราชหงส์ทรงตระกูล | เหมือนไพฑูรย์เทียมเท่าเขาคีรี |
จะหาไหนได้เหมือนแม่เพื่อนรัก | ได้ชูพักตร์พี่ยาเป็นราศี |
ได้เชยชมสมถวิลก็ยินดี | แต่บุญพี่นี้น้อยนะกลอยใจ |
เหมือนโกสุมภุมเรศประเวศถวิล | ได้เสียกลิ่นเสาวรสที่สดใส |
เสียดายดวงพวงผกาสุมาลัย | มากรายใกล้แล้วจะกลับลิบลับตา |
พระบิตุราชมาตุรงค์ของนงลักษณ์ | ประเสริฐศักดิ์สุรชาติวาสนา |
แม้นรู้เรื่องเคืองชัดพระอัชฌา | จะเข่นฆ่าให้ขาดสวาทวาย |
เหมือนได้แก้วแล้วมิได้อยู่ใกล้ชิด | พี่คิดคิดแล้วให้จิตใจหาย |
สงสารสุดนุชน้อยจะพลอยอาย | แสนเสียดายดวงใจกระไรเลย |
จึงไม่บอกออกนามด้วยความรัก | จะเสียศักดิ์ภคินีเจ้าพี่เอ๋ย |
ได้ชิดเชื้อเนื้อละมุนเพราะบุญเคย | จะได้เชยเช่นนี้สักกี่วัน |
ฟังพี่ว่าอย่าสลดกำสรดจิต | พลางเชยชิดโฉมน้องประคองขวัญ |
เพราะขัดขวางต่างประเทศต่างเขตคัน | พี่อัดอั้นอกซํ้าระกำใจ |
พระธิดาอาดูรพูนเทวษ | ไม่แจ้งเหตุพระองค์ยิ่งสงสัย |
สะอื้นอ้อนวอนว่าด้วยอาลัย | ถึงอยู่ไปเป็นหม้ายก็อายนัก |
วิสัยหญิงจริงจิตไม่คิดชั่ว | มิให้มัวหมองซํ้าด้วยตํ่าศักดิ์ |
ประการหนึ่งถึงไพร่ถ้าได้รัก | จะก้มพักตร์ปรนนิบัติด้วยสัจจัง |
สู้ล้มตายวายวางไปข้างหน้า | ตามประสาบุญน้อยไม่ถอยหลัง |
เหมือนตัวน้องครองใจอยู่ในวัง | บุรุษยังมิได้ต้องนัยนา |
พระถูกต้องน้องแล้วจะแคล้วคลาด | เหมือนเศียรขาดชีวังจะสังขาร์ |
มิขออยู่สู้ตายวายชีวา | พลางโศกากำสรดสลดใจ |
พระรามวงศ์สงสารรำคาญจิต | ประคองชิดเช็ดนํ้าตาแล้วปราศรัย |
แม่ยอดหญิงยิ่งลบทั้งภพไตร | จะบอกให้แจ้งเจ้าเยาวมาลย์ |
พี่ทรงนามรามวงศ์พงศ์กระษัตริย์ | ครองราชสมบัติมหาสถาน |
มาถูกต้องจองจำทำประจาน | เยาวมาลย์แม่ก็รู้อยู่ด้วยกัน |
แม้นเครื่องทรงยงยุทธ์อาวุธพี่ | ยังคงมีเหมือนก่อนพอผ่อนผัน |
จะอุ้มแก้วแววตาวิลาวัณย์ | จากนิเวศน์เขตขัณฑ์ไม่อันตราย |
แต่ครั้งนี้พี่ยากลำบากจิต | สุดจะคิดแก้ไขจิตใจหาย |
ถึงปลดปลงคงกอดเจ้าวอดวาย | ไม่ละสายสุดสวาทให้คลาดคลา |
พลางอุ้มองค์นงลักษณ์อัคเรศ | ชลเนตรพร่างพรายทั้งซ้ายขวา |
นางนอบนบอภิวาทว่าสาตรา | พระบิดาเอาไว้ในไพชยนต์ |
จะแก้ไขให้มาอย่าปรารภ | คงได้ครบสารพัดไม่ขัดสน |
พระสมถวิลยินดีด้วยนิรมล | เหมือนรอดพ้นภัยพาลสำราญใจ |
ปลอบประโลมโฉมเฉลาว่าเจ้าพี่ | ช่างปรานีเชษฐาจะหาไหน |
แม้นชาตินี้ชีวันไม่บรรลัย | ไม่จากไกลแก้วตาให้อาวรณ์ |
ทั้งสองข้างต่างสบายค่อยวายทุกข์ | เกษมสุขบนสุวรรณบรรจถรณ์ |
ยิ่งชื่นชุ่มหนุ่มสาวไม่หาวนอน | เผยบัญชรชมฟ้านภาลัย |
จนรุ่งรางนางมิได้ไขวิสูตร | แกล้งรวบรูดม่านทองทั้งสองไข |
ให้บังองค์ทรงธรรม์อยู่ชั้นใน | นางออกไปห้องกลางเหมือนอย่างเคย |
แกล้งสั่งเหล่าสาวใช้ให้ผายผัน | แต่งสุพรรณภาชน์ทองของเสวย |
ทั้งคาวหวานพานขนมเครื่องนมเนย | ตั้งเสวยที่ในห้องไสยา |
แกล้งใช้เหล่าสาวใช้ไปเสียหมด | น้อมประณตเชิญเสด็จพระเชษฐา |
ถวายเครื่องเอมโอชโภชนา | ทั้งสองราร่วมเสวยคุ้นเคยกัน |
ครั้นเสร็จสรรพกับสุรางค์นางเล็กเล็ก | สาวเด็กเด็กเดินรายตามผายผัน |
ขึ้นปรางค์ทองห้องท้าวเจ้ากุมภัณฑ์ | ใช้กำนัลไปสิ้นดังจินดา |
หยิบเครื่องทรงมงกุฎอาวุธเพชร | ได้สรรพเสร็จสมมาดปรารถนา |
บังสไบให้ลับแล้วกลับมา | ให้กระษัตริย์ภัสดาสารพัน |
พระรามวงศ์ทรงเครื่องเรืองจรัส | โสมนัสดังผ่านวิมานสวรรค์ |
ถนอมแนบแอบนางไม่ห่างกัน | เกษมสันต์ซิกซี้ด้วยปรีดา ฯ |
๏ ฝ่ายพวกพระนครบาลมารขุนหมื่น | ครั้นเช้าตื่นฟื้นกายทั้งซ้ายขวา |
มิได้เห็นรามวงศ์ยิ่งสงกา | ดูขื่อคาสารพัดไม่คัดง้าง |
ทีทำนองล่องหนด้วยมนตร์เวท | ผิดสังเกตสารพัดจะขัดขวาง |
เที่ยวสืบถามตามถนนทุกหนทาง | ทั่วระวางตามไปมิได้พบ |
พวกผู้คุมกุมภัณฑ์ต่างขวัญหาย | ที่กลัวตายเต็มทีออกหนีหลบ |
เหล่าทำมะรงกงกำต้องจำครบ | บ้างอพยพยกครัวกลัวอาญา ฯ |
๏ ฝ่ายเสนีที่เป็นใหญ่เข้าไปเฝ้า | ทูลนงเยาว์ยอดรักท้าวยักษา |
อันรามวงศ์ลงเหล็กไว้ตรึงตรา | เมื่อเวลาคืนนี้หลบหนีไป |
ให้ค้นคว้าหารอบทั้งขอบเขต | ไม่แจ้งเหตุไปหนตำบลไหน |
เอาทำมะรงกงกำนั้นจำไว้ | จงทราบใต้บาทายุพาพาล |
ฝ่ายเอกองค์นงลักษณ์อัคเรศ | ได้ทราบเหตุเห็นศึกจะฮึกหาญ |
จึงกำชับกับมหาเสนามาร | จงเตรียมการป้องกันอันตราย |
ให้นั่งยามตามไฟอย่าได้หลับ | ตรวจกำชับอสุรินสิ้นทั้งหลาย |
ต่างรับสั่งทั้งสี่เสนีนาย | ไปบาดหมายหมู่หมวดเที่ยวตรวจตรา |
นางโฉมยงสงสัยอยู่ในจิต | ปัจจามิตรมีมนตร์ดลคาถา |
จะทดแทนแค้นขัดหัทยา | ให้โขลนจ่าขรัวนายรายระวัง |
ตรวจประตูดูแลกุญแจใส่ | ข้างนอกในซ้ายขวาทั้งหน้าหลัง |
แล้วโฉมตรูยุรยาตรจากบัลลังก์ | ขึ้นไปยังปรางค์รัตน์ภัสดา |
ดูเครื่องทรงมงกุฎอาวุธหาย | คงผู้ร้ายมาลักแน่หนักหนา |
นางตรองตรึกนึกพรั่นหวั่นวิญญาณ์ | เสด็จมาปราสาทราชบุตรี |
ชำเลืองแลแกลหับหรือหลับอยู่ | เลียบเดินดูไม่เห็นเหล่านางสาวศรี |
คิดสงสัยในอุราไม่พาที | ตรงเข้าที่แท่นทองห้องบรรทม |
เห็นหนุ่มน้อยกลอยใจวิไลลักษณ์ | กับลูกรักร่วมจิตสนิทสนม |
นางถอยถดลดองค์ลงบังคม | อายอารมณ์ก้มหน้าไม่พาที |
พระรามวงศ์เอนเอกเขนกนึก | ใคร่ทำศึกสู้รบไม่หลบหนี |
นางกระษัตริย์ตรัสเรียกพระบุตรี | มานั่งที่ห้องกลางว่าอย่างไร |
ไม่ปรึกษาหารือทำสื่อรู้ | มามีชู้เจ้าเห็นเป็นไฉน |
เขาเผ่าพงศ์วงศ์วานประการใด | ดูกรรมกรรมทำได้ช่างไม่อาย |
แม้นเลิกทัพกลับมาบิดารู้ | ว่ามีชู้ชีวาตม์จะขาดหาย |
จะพาเราเผ่าพันธุ์เป็นอันตราย | นางฟูมฟายชลนานั่งจาบัลย์ ฯ |
๏ พระธิดาสารภาพกราบพระบาท | ควรรับราชอาชญาถึงอาสัญ |
แต่ความจริงสิ่งสัตย์อัศจรรย์ | ไม่หมายมั่นจะเป็นถึงเช่นนี้ |
เมื่อเที่ยงคืนฟื้นกายเห็นชายชิด | มิได้คิดจะคบจะหลบหนี |
ลุกไม่ขึ้นมึนสิ้นทั้งอินทรีย์ | เพราะถึงที่ชีวันจะบรรลัย |
ได้หมองมัวชั่วแล้วไม่แคล้วผิด | มิได้คิดกล่าวแกล้งแถลงไข |
นางทูลความตามจริงทุกสิ่งไป | พระหน่อไทนั้นนามรามวงศ์ |
พระชนนีตีอุระว่าชะลูก | ช่างพันผูกแผ่เผื่อเห็นเหลือหลง |
ก็เมื่อรู้อยู่ว่าผิดกับบิตุรงค์ | สั่งให้ลงโทษจำทำประจาน |
แกล้งหนีมาหาลูกเพราะผูกแค้น | จะทดแทนทำฉาวให้ร้าวฉาน |
พลอยอับอายขายหน้าพญามาร | พวกไพร่บ้านพลเมืองจะเลื่องลือ |
มารีบรักนักโทษเหมือนโหดไร้ | นี่งามหน้าหาอะไรทำได้หรือ |
จะลุกลามความใหญ่เหมือนไฟฮือ | มันขืนถือที่ผิดจึงบิดบัง |
ทำไม่เห็นเป็นไม่รู้ว่าผู้ร้าย | จะได้รับอับอายเมื่อภายหลัง |
ให้ข้าเฝ้าเขาลากไปจากวัง | ใส่คุกขังให้ตายก็หายความ |
พระธิดาว่ากรรมจะทำชั่ว | จะฆ่าผัวกลัวบาปที่หยาบหยาม |
แสนอดสูดูไปก็ไม่งาม | จะตายตามเวรกรรมที่ทำมา |
พระมารดรค้อนแค้นว่าแสนดื้อ | ชะช่างถืออุณรุทนางอุษา |
สู้ถนอมกล่อมเกลี้ยงอุ้มเลี้ยงมา | จนใหญ่กล้าว่าไรก็ไม่ฟัง |
ครั้นผิดมีมิชั่วแต่ตัวเจ้า | พลอยให้เราวุ่นวายเมื่อภายหลัง |
สอนไม่เอาเจ้าจะทำแต่ลำพัง | ข้าไม่ฟังเจ้าดอกบอกให้รู้ |
จะแพร่งพรายขายหน้าพญายักษ์ | ทั้งเสียศักดิ์เสียยศได้อดสู |
อย่าขืนคิดพิศวาสชาติศัตรู | มาไปอยู่กับข้าอย่าช้าที |
พลางจูงหัตถ์ตรัสขู่ดูดู๋ดื้อ | ยังแกะมือขืนขัดน่าบัดสี |
ไม่ละวางนางฉุดพระบุตรี | ทั้งหยิกตีเท่าไรไม่ไคลคลา ฯ |
๏ พระรามวงศ์สงสารแหวกม่านกั้น | ให้สาวสรรค์เห็นกายทั้งซ้ายขวา |
เข้าขัดขวางกางกั้นจำนรรจา | เมียของข้าข่มเหงไม่เกรงใจ |
ขืนจุกจิกหยิกตีจะวิวาท | ไม่ใช่ชาติทาสาอัชฌาสัย |
พลางชิงนางขวางขัดกุมหัตถ์ไว้ | จะเป็นไรเป็นไปเถิดไม่กลัว ฯ |
๏ พระมารดาว่าเจ้านี่อยู่ที่ไหน | ใครยกให้เจ้ามาว่าเป็นผัว |
มาชิงช่วงหวงกันทำพันพัว | ทะนงตัวเต็มประดาชะล่าลาม |
ลูกของข้าว่ายากก็ลากฉุด | มาแย่งยุดข่มเหงไม่เกรงขาม |
เหมือนแกล้งพาลราญทางทำขวางความ | เจ้าหน่อนามนคเรศประเทศใด ฯ |
๏ พระฟังคำทำว่าสมาบาป | ทำก้มกราบตรัสแจ้งแถลงไข |
เมื่อตะกี้นี้ไม่รู้ว่าผู้ใด | เดี๋ยวนี้ได้รู้แน่ว่าแม่ยาย |
ลูกนี้นามรามวงศ์ที่ลงโทษ | คิดประโยชน์จะเป็นกระเส็นสาย |
ต้องจองจำรํ่ารับแต่อับอาย | จึงฝากกายธิดาพญามาร |
หมายจะใคร่ให้สนิทกับบิตุราช | ทั้งพระมาตุรงค์จงสงสาร |
เมื่อตะกี้นี้ว่าไม่ได้ประทาน | เยาวมาลย์มิใช่คู่ไม่รู้เลย |
แต่ลอบลักรักใคร่ถึงได้เสีย | มิใช่เมียหรือขอรับไม่นับเขย |
เป็นคราวเคราะห์เพราะบุญไม่คุ้นเคย | อย่าถือเลยลูกได้ยึดไม้มือ |
ขอทูลความตามจนเป็นคนยาก | พระจะพรากให้ใครที่ไหนหรือ |
ลูกอาวรณ์ร้อนใจดังไฟฮือ | โปรดอย่าถือโทษทัณฑ์หม่อมฉันเลย ฯ |
๏ นางฟังคำซํ้าจิตยิ่งคิดแค้น | ชะช่างแสนซื่อสุดเจ้าบุตรเขย |
ทั้งก้าวเฉียงเลี่ยงเลียบพูดเปรียบเปรย | ยั่วเยาะเย้ยตัดพ้อล้อแม่ยาย |
จะแก้แค้นแทนทำให้หนำจิต | หรือจะคิดพันผูกเจ้าลูกขาย |
เพราะบุตรีนี้เยาว์เหมือนเต่าตาย | จึงได้อ้ายศัตรูมาดูแคลน |
ยิ่งกริ้วแก้วกินรีว่าอีดื้อ | เห็นแล้วหรือรักเสือมันเหลือแสน |
ยังหน่วงหนักชักช้าดูน่าแค้น | จะขืนแค่นขายหน้าอยู่ว่าไร ฯ |
๏ พระบุตรีพิลาปก้มกราบบาท | ลูกเสียชาติชั่วนักควรตักษัย |
พระมาตุรงค์จงระงับดับพระทัย | เสด็จไปปรางค์มาสปราสาททอง |
แล้วลูกรักจักไปตามเป็นความสัตย์ | ขอผ่อนผัดผ่านเกล้าอย่าเศร้าหมอง |
มีแสนสาวชาวแม่อยู่แซ่ซ้อง | ออกจากห้องเขาจะดูอดสูใจ ฯ |
๏ นางแค้นสุดฉุดคร่าประสาหญิง | ลูกเขยชิงแย่งยุดฉุดไม่ไหว |
ยิ่งโกรธาว้าวุ่นเป็นฟุนไฟ | คงจะได้เห็นกันในวันนี้ |
แล้วโฉมยงลงมาหน้าปราสาท | กลัวหน่อนาถจะพาธิดาหนี |
ให้สาวใช้ไปสั่งขุนเสนี | เตรียมโยธีไวไวมาในวัง |
พวกสาวใช้ได้กำชับรับคำตรัส | วิ่งตะปัดตะป่องไปเหมือนใจหวัง |
พบเสนาข้าเฝ้าเล่าให้ฟัง | ตามรับสั่งเสร็จสรรพแล้วกลับมา |
ส่วนเสนีที่เป็นนายฝ่ายทหาร | เร่งเรียกมารพลนิกายทั้งซ้ายขวา |
ล้วนจัดเจนเกณฑ์หัดถือสาตรา | ได้พลห้าร้อยถ้วนล้วนฉกรรจ์ |
เข้าในวังพรั่งพร้อมล้อมปราสาท | ต่างมุ่งมาดจะมัดรัดกระสัน |
นางกระษัตริย์ตรัสสั่งพวกกุมภัณฑ์ | ให้พร้อมกันรอราฟังอาการ |
แล้วตรัสเรียกบุตรีนารีราช | อย่าหมายมาดจะพ้นพลทหาร |
มิลงมาช้านักพวกยักษ์มาร | จะพลอยผลาญชีวันให้บรรลัย ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์ธิดาพญายักษ์ | เสียงคึกคักคิดพรั่นประหวั่นไหว |
พระองค์สั่นขวัญหนีไม่มีใจ | นางวิ่งไปปิดทวารบานบัญชร |
ค่อยแย้มแกลแลดูอสุรยักษ์ | เห็นคึกคักคั่งคับสลับสลอน |
แลเห็นองค์ชนนีชุลีกร | พระมารดรจงโปรดที่โทษทัณฑ์ |
ให้เลิกทัพกลับไปไว้ชีวิต | อย่าเพิ่งคิดเข่นฆ่าให้อาสัญ |
แล้วลูกกับภัสดาจะพากัน | ไปคำนับอภิวันท์เหมือนสัญญา |
นางกระษัตริย์ตรัสขู่ไม่รู้ด้วย | แม้นกลัวม้วยแล้วจงลงมาหา |
ถ้าดึงดื้อถือดีมิลงมา | จะจับฆ่าให้ม้วยไปด้วยกัน ฯ |
๏ พระรามวงศ์สงสารศรีสวัสดิ์ | เห็นผ่อนผัดมารดรไม่ผ่อนผัน |
เข้าเคียงชิดวนิดาวิลาวัณย์ | กอดประทับรับขวัญจำนรรจา |
ทำไมกับทัพยักษ์เหมือนหยากเยื่อ | พี่เหมือนเชื้อเพลิงสว่างกลางเวหา |
จะมุ่นไหม้หายฉิบไม่พริบตา | แก้วกานดาดูเล่นให้เย็นใจ |
แล้วแต่งองค์ทรงเครื่องพิชัยยุทธ์ | ยกแย่งครุฑเครือทองผุดผ่องใส |
ปั้นเหน่งเพชรเตร็จแก้ววาวแววไว | แล้วสอดใส่ฉลององค์อลงการ |
ใส่เกราะเพชรเตร็จตรัสเกี่ยวรัดอก | ทับกระหนกกระหนาบลายสายประสาน |
กรองศอสลับทับนวมสวมสังวาล | แก้วประพาฬพาหุรัดจำรัสเรือง |
ทองพระกรซ้อนทรงสวมมงกุฎ | ประดับบุษราคัมล้วนนํ้าเหลือง |
ธำมรงค์ลงยาล้วนค่าเมือง | อร่ามเรืองรัศมีฉวีวรรณ |
คทาธรศรแผลงพระแสงจักร | สอดสะพักสะพายแล่งทรงแสงขรรค์ |
พลางร่ายมนตร์รณรงค์คงกระพัน | ประกอบกันแคล้วคลาดทั้งสาตรา |
แล้วหยุดยั้งนั่งแนบอิงแอบอุ้ม | ประจงจุมพิตชิดขนิษฐา |
พี่จะผลาญมารหมู่อสุรา | ให้มารดาดูเล่นพอเห็นฤทธิ์ |
แม่ทรามเชยเผยแกลแลดูพี่ | แต่พอมีแรงรื่นค่อยชื่นจิต |
นางห้ามผัวกลัวจะตายวายชีวิต | พระอย่าคิดรบสู้กับหมู่มาร |
อันโยธีมีศักดาอานุภาพ | เคยไปปราบธานินทุกถิ่นฐาน |
รู้เหาะเหินเดินฟ้าลงบาดาล | ทั้งเชี่ยวชาญใช้มนตร์กลวิชา |
พระโฉมยงองค์เดียวดูเปลี่ยวนัก | จะรบยักษ์มารมากยากหนักหนา |
ค่อยนิ่งดูอยู่ในที่ไสยา | มันรุกมาโจมจับจึงรับรอง |
พอว่างศึกดึกดื่นคืนวันนี้ | จึงลอบหนีจากวังไปทั้งสอง |
พระทรงเกราะเหาะได้ดังใจปอง | อันตัวน้องจะบินเหมือนกินรี |
ตามแต่พระจะไปไหนขอไปด้วย | จนมอดม้วยไม่อางขนางหนี |
ถวายชีวิตสิทธิ์ขาดแล้วชาตินี้ | พลางโศกีกอดบาทไม่คลาดคลา |
พระสวมสอดกอดประทับแล้วรับขวัญ | อย่าหวาดหวั่นไหวจิตขนิษฐา |
ความรักเจ้าเท่าชีวีของพี่ยา | เพราะแก้วตามีคุณการุญรัก |
ได้เครื่องทรงยงยุทธ์อาวุธครบ | จะรุกรบปราบได้ทั้งไตรจักร |
จะซ่อนเร้นเป็นชายก็อายนัก | ทั้งพวกยักษ์จะฮึกนึกทะนง |
เวลานี้พี่จะขอไปต่อสู้ | แม่คอยดูจงสงวนนวลระหง |
พลางอิงแอบแนบน้องประคององค์ | อุ้มมาตรงแกลสุวรรณพรรณราย ฯ |
๏ พวกแสนสาวชาวแม่แลเห็นโฉม | ควรประโลมแลเหมือนดังเดือนหงาย |
สำอางเอี่ยมเยี่ยมยิ้มดูพริ้มพราย | แต่แม่ยายอายใจกระไรเลย |
เห็นลูกตัวผัวแอบอยู่แนบข้าง | จะเรียกนางนึกสะเทิ้นทำเมินเฉย |
พระหน่อไทไอกระแอมยิ้มแย้มเย้ย | นางแค้นเขยขายหน้าไม่พาที |
พระวางองค์นงลักษณ์ชักพระขรรค์ | จรจรัลจากปรางค์ปราสาทศรี |
พระยอบองค์ลงว่าพระชนนี | จะฆ่าตีไม่คิดกับธิดา |
ถึงดีชั่วตัวลูกได้ถูกต้อง | จะเป็นสองนั้นไม่ถือหรือพุขา |
นางไม่ตอบลอบสั่งขุนเสนา | ให้โยธาจับกุมไปคุมไว้ ฯ |
๏ อำมาตย์ยักษ์ขับยักษ์เข้าพรักพร้อม | ต่างหุ้มห้อมโห่ลั่นเสียงหวั่นไหว |
พระหน่อนาถฟาดฟันพระขรรค์ชัย | เป็นเปลวไฟไหม้มารไม่ทานทน |
ถูกเนื้อตัวหัวขาดเกลื่อนกลาดกลุ้ม | ที่เหลือรุมรบรับกันสับสน |
พระหวดหันผันโผนโจนประจญ | สังหารพลยักษ์ตายลงก่ายกัน ฯ |
๏ สี่อำมาตย์อาจองเข้ายงยุทธ์ | อุตลุดเลี้ยวลัดสะพัดผัน |
พระรบรับจับรุมกับกุมภัณฑ์ | ขึ้นเหยียบยันฟันสี่เสนีตาย |
ที่เหลือบ้างต่างวิ่งทิ้งอาวุธ | ไม่ต่อยุทธ์โยธีแตกหนีหาย |
สาวสุรางค์นางกระษัตริย์วิ่งพลัดพราย | ต่างวุ่นวายแซ่ทั้งในวังเวียง |
พระมาตุรงค์ตรงขึ้นบนปรางค์รัตน์ | เข้าห้องขัดดาลเงียบไม่เกรียบเสียง |
พวกล้อมวังนั่งป้อมไม่พร้อมเพรียง | ต่างหลีกเลี่ยงหลบตัวด้วยกลัวตาย ฯ |
๏ พระหน่อไทได้ชนะขึ้นปราสาท | เข้าร่วมอาสน์แนบประโลมนางโฉมฉาย |
ค่อยเชยพลางทางว่าชะแสนสบาย | ค่อยเหือดหายหิวได้ชื่นใจจริง |
เจ้าเห็นดีพี่แล้วหรือฝีมือรบ | ไม่หลีกหลบทิ้งทอดแม่ยอดหญิง |
นางสงสารมารดรรํ่าวอนวิง | น้องนี้ยิ่งทุกข์ช้ำระกำใจ |
แต่ผิดพลั้งดังนี้แล้วมิหนำ | พระมาซํ้าฆ่ายักษ์ให้ตักษัย |
ยิ่งซ้ำผิดติดพันทุกวันไป | เหมือนแกล้งให้มารดรร้อนรำคาญ |
เมื่อตะกี้นี้น้องแลตามแกลรัตน์ | เห็นวิ่งพลัดไปแต่องค์น่าสงสาร |
แม้นทรงฤทธิ์บิตุเรศรู้เหตุการณ์ | จะเดือดดาลดังไฟประลัยกัลป์ |
เมื่อเลิกทัพกลับมาจะว้าวุ่น | พระการุญน้องก่อนคิดผ่อนผัน |
อย่ารบสู้หมู่มารรำคาญครัน | รีบพากันไปให้พ้นไพรี ฯ |
๏ พระเชยโฉมโลมปลอบให้ชอบชื่น | ไม่ขัดขืนคำน้องอย่าหมองศรี |
มิคิดแล้วแก้วตาของสามี | อยู่ต่อตีลองฤทธิ์กับบิดา |
หวังต่อกรรอนราญประหารยักษ์[๗] | แต่คิดถึงน้องรักเป็นหนักหนา |
ซึ่งสังหารผลาญหมู่อสุรา | พระมารดายิ่งแค้นแสนรำคาญ |
เมื่อตะกี้นี้วิ่งทิ้งสาวใช้ | คิดจะใคร่ไล่ส่งก็สงสาร |
พลางแย้มสรวลชวนชื่นรื่นสำราญ | เยาวมาลย์แม่เหมือนเพื่อนชีวา |
เอ็นดูพี่มีคุณเมื่อคราวยาก | พี่หวังฝากชีวิตขนิษฐา |
จะพานุชสุดสวาทราชธิดา | ไปกรุงแก้วโกญจาเมืองมารัน |
จงจัดแจงแต่งกายสายสวาท | เที่ยวประพาสภูผาพนาสัณฑ์ |
ถึงยากเย็นเป็นไฉนไม่ไกลกัน | จริงนะขวัญนัยนาอย่าอาวรณ์ ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมแก้วกินรีศรีสวัสดิ์ | นางกระษัตริย์เศร้าทรวงดวงสมร |
คิดพะวงสงสารพระมารดร | จะจำจรจำใจจำไกลเมือง |
อยู่ภายหลังตั้งแต่พระแม่เจ้า | จะโศกเศร้าทุกข์ตรอมจนผอมเหลือง |
อยู่พาราว้าวุ่นจะขุ่นเคือง | สุดจะเปลื้องปลดผิดที่ติดพัน |
เป็นห่วงหนึ่งถึงทรงฤทธิ์บิตุเรศ | เคยโปรดเกศชุบย้อมถนอมขวัญ |
จะพลัดพรายตายเป็นไม่เห็นกัน | สะอื้นอั้นอารมณ์ระทมทวี |
วิบากกรรมจำใจจำให้ผิด | สุดจะคิดปิดป้องจึงต้องหนี |
ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์สมประดี | ไปเข้าที่สรงชลสุคนธาร |
ภูษาทิพย์จีบประจงทรงเข็มขัด | สะอิ้งรัดพรรณรายสายประสาน |
ทรงสร้อยทองรองนวมสวมสังวาล | ทองกรบานพับพลอยแพรวพลอยพราย |
พระธำมรงค์ทรงใส่ในนิ้วหัตถ์ | ล้วนแก้วเก็จเพชรรัตน์จรัสฉาย |
เรือนมณฑปนพเก้าดังดาวราย | ทับทิมพรายไพฑูรย์จรูญเรือง |
ทรงมงกุฎบุตรีสวมสิโรตน์ | มณีโชติช่วงศรีฉวีเหลือง |
ใส่ปีกทองสองข้างค่อยย่างเยื้อง | แลชำเลืองดูห้องเห็นของรัก |
เครื่องสำอางวางเรียงบนเตียงตั้ง | จะจากวังเป็นห่วงให้หน่วงหนัก |
ทุกคืนวันคันฉ่องเคยส่องพักตร์ | เสียดายนักนึกสะอื้นกลืนนํ้าตา |
โอ้เครื่องอานพานที่พระศรีเสวย | จะขาดเคยเลยไปไพรพฤกษา |
ทั้งเครื่องเล่นเห็นสนุกตุ๊กตา | จะลับหน้านึกให้อาลัยลาญ |
โอ้แท่นทองพระยี่ภู่ที่ปูลาด | เคยไสยาสน์ยามยากจะจากสถาน |
เสียดายสุดสมุดเรื่องเบื้องโบราณ | เคยฟังอ่านอกเอ๋ยจะเลยไกล |
ยิ่งกลืนกลํ้ากำสรดระทดเทวษ | นํ้าพระเนตรคลอคลองลงนองไหล |
สงสารเหล่าสาวสรรค์กำนัลใน | เคยเคียงใกล้กล่อมขับให้หลับนอน |
ตั้งแต่นี้มิได้เห็นจะเย็นเยียบ | สงัดเงียบห้องสุวรรณบรรจถรณ์ |
นางยิ่งนึกตรึกตรายิ่งอาวรณ์ | สะอื้นอ้อนอ่อนองค์ลงโศกา ฯ |
๏ พระปลอบประโลมโฉมเฉลาเยาวเรศ | แม่ดวงเนตรยาจิตขนิษฐา |
เคยเชยชมสมบัติอยู่อัตรา | ไปชมป่าบ้างเถิดเจ้าอย่าเศร้าใจ |
จะเพลิดเพลินเนินพนมร่มระรื่น | หวนหอมชื่นช่อดอกออกไสว |
กลิ่นตรลบอบทางในกลางไพร | ล้วนดอกไม้มาลีมีหลายพรรณ |
ทั้งโตรกตรอกซอกหินวารินไหล | ไปอาบเล่นเย็นใจเกษมสันต์ |
นางรับสั่งรั้งราปรึกษากัน | พอแสงจันทร์แจ่มฟ้าดาราราย ฯ |
[๑] มัสการ = นมัสการ
[๒] กุมภณฑ์ = กุมภัณฑ์
[๓] เสือป่าแมวเซา คือกองหหารที่มีหน้าที่สอดแนมและซุ่มคอยดักตีข้าศึกเพื่อตัดเสบียงอาหาร
[๔] ขาหย่าง = ขาหยั่ง
[๕] อุประมา = อุปมา
[๖] เขนง แปลว่า ภาขนะใส่ดินปืน
[๗] วรรคนี้ต้นฉบับขาด นายหรีด เรืองฤทธิ์ จงแต่งเติมลง