- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวอินณุมาศเจ้าเมืองโกญจาได้โอรสบุญธรรม
- ตอนที่ ๒ คงคาประลัยขบถ
- ตอนที่ ๓ พราหมณ์จินดาลักพระกุมารไป ท้าวพินทุมารจับสองกุมารแล้วพาไปเลี้ยงไว้ในถ้ำ
- ตอนที่ ๔ เสนาท้าวอินณุมาศกู้เมืองได้ จึงเชิญเสด็จกลับไปครองแผ่นดิน
- ตอนที่ ๕ สิงหไกรภพลองยา แล้วหนีท้าวพินทุมารกลับบ้านเมือง
- ตอนที่ ๖ สิงหไกรภพเข้าเมืองมารัน แล้วได้พระธิดาสร้อยสุดาเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๗ พราหมณ์จินดาตามหาสิงหไกรภพ
- ตอนที่ ๘ สิงหไกรภพหนีออกจากเมืองมารัน
- ตอนที่ ๙ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๐ ท้าวจัตุพักตร์ตีเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๑ รามวงศ์หลงเชื่อวิรุณพัฒพี่เลี้ยง หลอกให้เดินทางไปถึงเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๒ รามวงศ์พานางแก้วกินรีหนีออกจากเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๓ ท้าวเทพาสูรตีเมืองมารันคืน
- ตอนที่ ๑๔ สิงหไกรภพ ตามหารามวงศ์
- ตอนที่ ๑๕ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๖ สิงหไกรภพให้จัดงานถวายพระเพลิงพระศพท้าวอินทณุมาศและนางจันทร
- ตอนที่ ๑๗ สิงหไกรภพต้องเสน่ห์นางเทพกินรา
- ตอนที่ ๑๘ รามวงศ์พบเจ็ดนาง พระเทวราชโอรสเจ้าเมืองวิเรน และพระอนุชา
- ตอนที่ ๑๙ รามวงศ์เข้าเมืองกาลเนตร
ตอนที่ ๑๒ รามวงศ์พานางแก้วกินรีหนีออกจากเมืองกาลวาศ
๏ พระนำหน้าพานางจากปรางค์มาศ | เหาะลีลาศลอยเลื่อนด้วยเดือนหงาย |
ค่อยเคลื่อนคลอรอเรียงนางเอียงอาย | พระพายชายพัดเชยรำเพยพา |
พ้นนิเวศน์เขตวังพระตั้งจิต | ไปทางทิศอาคเนย์ในเวหา |
นางเคลื่อนคล้อยลอยบินเหมือนกินรา | จนเวลาดึกเงียบเชียบสำเนียง |
เสนาะด้วยสกุไณทั้งไก่แก้ว | วิเวกแว่วขันขานประสานเสียง |
ดังซอสีปี่แก้วแจ้วจำเรียง | เสนาะเพียงพิณพาทย์ฆาตประโคม |
จนเดือนคล้อยพลอยพร่างนํ้าค้างซัด | วายุพัดรวยรื่นให้ชื่นโฉม |
พระอุ้มแอบแนบนางกลางโพยม | ลอยประโลมลืมหนาวไม่หาวนอน |
พอสุริเยนทร์เผ่นเยี่ยมยุคุนธเรศ | ถึงขอบเขตเขาเขินเนินสิงขร |
พระคลอคล้อยลอยลงในดงดอน | บทจรนำนางไปกลางไพร |
เห็นพฤกษาน่าชมร่มระรื่น | ล้วนชุ่มชื่นช่อดอกออกไสว |
ขนุนสุกลูกเหลืองมะเฟืองมะไฟ | ลูกลำไยดกห้อยย้อยระย้า |
ทั้งจันทน์อินลิ้นจี่มีต่างต่าง | มะม่วงปรางเรียงรายทั้งซ้ายขวา |
ลูกฝรั่งมังคุดละมุดสีดา | ทั้งน้อยหน่าน่ากินก็ยินดี |
เก็บเสวยเชยชมพวงส้มสูก | มะพร้าวลูกแลดูล้วนหมูสี[๑] |
ทั้งกล้วยกล้ายหลายอย่างต่างต่างมี | บ้างออกปลีหวีเครือออกเรื่อเรือง |
มะตูมตาดดาษดกรกระย้า | ทั้งพุทราสุกห่ามอร่ามเหลือง |
เหมือนสวนในอุทยานที่บ้านเมือง | ค่อยย่างเยื้องชมเพลินเจริญใจ |
ถึงหว่างเว้งเพิงผาตรงหน้าถํ้า | มีธารนํ้าน่ากินกระสินธุ์ใส |
มีบัลลังก์ดังแกล้งมาแต่งไว้ | ต้นโศกใหญ่ยอดงํ้าข้างลำธาร ฯ |
๏ พระชวนนุชหยุดนั่งบัลลังก์อาสน์ | เอนไสยาสน์เย็นใจในไพรสาณฑ์ |
ระรื่นร่มลมเชยรำเพยพาน | นางอยู่งานนวดฟั้นให้บรรทม |
พระหยอกเย้าเล้าโลมโฉมสมร | ค่อยวายร้อนร่วมจิตสนิทสนม |
แนบถนอมหอมรื่นชื่นอารมณ์ | เคลิ้มบรรทมหลับไปในไพรวัน ฯ |
๏ ฝ่ายกาลีที่ประจำอยู่ถํ้าน้อย | ชื่ออองออยผีป่าพนาสัณฑ์ |
มีรูปร่างอย่างหญิงทุกสิ่งอัน | ศีรษะมันอย่างจระเข้เจ้าเล่ห์กล |
ปลูกต้นไม้ไว้ในสวนล้วนนิมิต | เสกประสิทธิ์ดอกดวงเป็นพวงผล |
ใครดมกลิ่นกินลูกก็ถูกมนตร์ | ให้วกวนเวียนหลงในพงพี |
นางอองออยคอยทุบตะครุบจับ | กินไตตับเลือดเนื้อตามเชื้อผี |
เมื่อวันนั้นมันออกนอกคีรี | เห็นเทวีปรนนิบัติภัสดา |
ดูนั่งแนบแอบอิงเอนพิงพาด | ไม่เคลื่อนคลาดห่างเหเสน่หา |
ให้นึกรักอักอ่วนป่วนวิญญาณ์ | ด้วยเหตุว่าผัวตายมาหลายปี |
คิดจะใคร่ได้หนุ่มมาอุ้มแอบ | สนิทแนบกายาเหมือนมารศรี |
จะฆ่าเมียเสียให้ตายวายชีวี | เอาสามีเป็นคู่ชื่นชูใจ |
จึงแปลงกายกลายเป็นเหมือนเช่นสาว | พึ่งรุ่นราวรูปแฉล้มดูแจ่มใส |
ประดับเครื่องเรืองอร่ามงามวิไล | เด็ดดอกไม้เมียงเมินดำเนินมา |
แกล้งทำเป็นเห็นองค์อนงค์นุช | ไปนั่งหยุดร่มแท่นที่แผ่นผา |
พูดไถลไถ่ถามตามสงกา | แม่นี้มาแต่หนตำบลใด |
ฝ่ายโฉมแก้วกินรานารีราช | เห็นนางนาฏนวลหงนึกสงสัย |
จึงตอบว่าข้านี้มีที่ไป | ยังกรุงไกรโกญจาเมืองสามี |
ขอถามหน่อยกลอยใจอยู่ไหนเล่า | หรือนงเยาว์อยู่ป่าพนาสี |
พึ่งรุ่นสาวราวกันฉันปรานี | เพื่อนไม่มีมาบ้างหรืออย่างไร ฯ |
๏ อสุรีผีป่าว่าข้าเจ้า | จะร่ำเล่าแล้วก็น่านํ้าตาไหล |
ข้าเป็นสาวชาวกุเวรมาเล่นไพร | ยักษ์มันไล่เลยหลงในพงพี |
พวกเสนาสามนต์คนทั้งหลาย | ใครจะตายหรือเป็นไม่เห็นผี |
แม้นโปรดด้วยช่วยพาไปธานี | เหมือนช่วยชีวีไว้อย่าให้ตาย |
นางฟังคำรํ่าว่าประสาหญิง | คิดว่าจริงนิ่งให้จิตใจหาย |
จึงตอบว่าข้าก็ยากลำบากกาย | ต้องพลัดพรายไพร่พลสกลไกร |
แต่ตัวข้าสามีนี้นะเจ้า | เธอพาเราเหาะเหินเดินไม่ไหว |
ทางประเทศเขตแคว้นก็แสนไกล | แม้นเหาะได้จะพาไปธานี ฯ |
๏ นางผีทำสำออยละห้อยละเหี่ย | แม่ละเสียก็เห็นจะเป็นผี |
เอ็นดูด้วยช่วยว่ากับสามี | จะปรานีได้บ้างหรืออย่างไร |
นางนิ่งนั่งฟังวอนให้อ่อนจิต | สุดจะคิดตอบคำทำไฉน |
สารพัดขัดสนเป็นจนใจ | พอหน่อไทฟื้นองค์คิดสงกา |
เห็นนางงามทรามสวาทสะอาดพักตร์ | หรือรู้จักกับมิตรขนิษฐา |
จึงตรัสถามตามระแวงแคลงวิญญาณ์ | นางนี้มาแต่หนตำบลใด |
มเหสีอัญชลีสนองถ้อย | เหมือนสาวน้อยเล่าแจ้งแถลงไข |
พระยิ้มพลางทางถามว่าทรามวัย | เจ้าชื่อไรรูปร่างสำอางองค์ ฯ |
๏ อองออยว่าข้านี้ชื่อศรีฟ้า | พระเมตตาอย่าให้เที่ยวลดเลี้ยวหลง |
จะเป็นข้ากว่าชีวิตจะปลิดปลง | ขอพระองค์อนุกูลอย่าสูญใจ ฯ |
๏ พระฟังคำรํ่าวอนล้วนอ่อนหวาน | แสนสงสารสุดจิตคิดไฉน |
จะชิดชมสมเคราะห์[๒]อุ้มเหาะไป | ก็เกรงใจยุพินกินรี |
แม้นมีรถคชชานั้นมาด้วย | จะรับช่วยไปบำรุงไว้กรุงศรี |
นี่จนจริงสิ่งไรก็ไม่มี | อยู่ที่นี่ก่อนเถิดเจ้าเยาวมาลย์ |
ด้วยป่านี้มีต้นผลไม้ | พออาศัยผลผลาเป็นอาหาร |
ทั้งคีรีมีนํ้าที่ลำธาร | พอสำราญรอรั้งประทังกาย |
พี่ไปถึงจึงจะพาโยธาทัพ | กลับมารับเจ้าไปเหมือนใจหมาย |
ไม่ลวงมิ่งทิ้งทอดให้วอดวาย | จงครองกายอยู่เถิดเจ้าเราจะลา ฯ |
๏ นางอองออยอ้อยอิ่งวิงวอนไหว้ | ถ้าทิ้งไว้ชีวังจะสังขาร์ |
แม้นสององค์ทรงเดชเวทนา | โปรดช่วยพาเดินทางไปกลางดง |
อีกเจ็ดวันนั้นจะถึงธานีน้อง | พบพวกพ้องเหมือนหนึ่งจิตคิดประสงค์ |
จะเป็นข้าฝ่าพระบาททั้งญาติวงศ์ | แล้วสององค์จึงเสด็จไปเขตคัน |
ทำฉะอ้อนวอนองค์อัคเรศ | จงโปรดเกศชุบย้อมกระหม่อมฉัน |
ช่วยนำเดินเชิญเสด็จสักเจ็ดวัน | อย่าให้ฉันอันตรายถึงวายปราณ |
นางฟังคำรํ่าไรพระทัยอ่อน | จึงทูลวอนพระองค์ด้วยสงสาร |
พระโปรดด้วยช่วยให้พ้นภัยพาล | ถึงป่วยการก็จะได้เป็นไมตรี ฯ |
๏ พระฟังคำจำตามด้วยความรัก | จึงถามซักศรีฟ้ามารศรี |
ทางทิศใดไปพาราของนารี | เจ้าจงชี้มรรคาจะพาไป |
นางอองออยค่อยสบายเหมือนหมายจิต | แกล้งชี้ทิศทางเดินเนินไศล |
พระรับคำนำหน้าพาเมียไป | นางทรามวัยวันทาตามสามี |
นางอองออยพลอยตามด้วยความรัก | หมายจะหักคอพระมเหสี |
พระนำนางย่างเดินเนินคีรี | จรลีล่วงทางไปกลางไพร ฯ |
๏ จะกล่าวเทพกินราอยู่ปราสาท | เสียอำมาตย์เศร้าหมองไม่ผ่องใส |
กลัวลูกเขยเลยนั่งระวังภัย | นางมิได้นิทราในราตรี |
ครั้นรุ่งเช้าใช้ให้นางน้อยน้อย | ไปลอบคอยดูธิดามารศรี |
นางสาวใช้ได้สั่งพลางจรลี | ต่างหลบลี้ลอบแลดูแต่ไกล |
เห็นเงียบเสียงเมียงมองเข้าห้องกั้น | แหวกสุวรรณม่านทองทั้งสองไข |
ไม่เห็นอยู่รู้ทีว่าหนีไป | ต่างตกใจกลับมาวันทาทูล |
พระบุตรีมิได้อยู่แล้วเพคะ | ไม่พบปะทั้งผู้ชายก็หายสูญ |
ได้ทราบสารมารดายิ่งอาดูร | เสียตระกูลไปแล้วแก้วกินรี |
ฝืนดำรงองค์นางจากปรางค์มาศ | ไปห้องราชธิดามารศรี |
ไม่เห็นนางอย่างจะดิ้นสิ้นชีวี | เห็นแต่ที่ทอดองค์ลงโศกา |
ประหลาดแล้วแก้วกินรีเอ๋ย | กระไรเลยหลงรักมันนักหนา |
เขาแค้นจิตบิตุรงค์ลงอาญา | จึงลอบพาแก้วแม่ไปแก้แค้น |
น่าน้อยจิตธิดาช่างพาซื่อ | ขืนเชื่อถือรักมนุษย์นั้นสุดแสน |
หน่อกระษัตริย์ทุกนิเวศน์ทั่วเขตแคว้น | ถ้ามาตรแม้นรักใคร่ก็ไม่อาย |
มาติดตามรามวงศ์ที่ลงโทษ | เสียประโยชน์ญาติประยูรนั้นสูญหาย |
โอ้อกแม่แต่จะช้ำระกำตาย | นางฟูมฟายชลนาด้วยอาลัย |
ยิ่งแลเหลียวเปลี่ยวเปล่าให้เศร้าจิต | สุดจะคิดผันแปรสุดแก้ไข |
จะติดตามขามฤทธิ์จนจิตใจ | สะอื้นไห้เสือกซบสลบลง ฯ |
๏ พวกเถ้าแก่แซ่ซ้องประคองล้อม | เอานํ้าหอมมาชโลมซึมโซมสรง |
ค่อยริกริกพลิกฟื้นฝืนดำรง | ระทวยองค์ทรงแรงแข็งฤทัย |
จึงให้หาข้าเฝ้าเข้ามาสั่ง | เร่งแต่งหนังสือแจ้งแถลงไข |
เหมือนเรื่องความรามวงศ์เข้าวังใน | ไปทูลให้ทราบความตามกิจจา ฯ |
๏ อำมาตย์รับกลับมานั่งสั่งเสมียน | ให้รีบเขียนพร้อมพรักด้วยยักษา |
ครั้นเสร็จสรรพพับผนิดแล้วปิดตรา | สั่งให้ม้าใช้รับคำนับนาย |
มาเรียกเหล่าบ่าวไพร่มิได้หยุด | ถืออาวุธหอกดาบกำซาบสาย |
แล้วรีบออกนอกกำแพงจัดแจงกาย | บ่าวตะพายย่ามตามแลหลามไป ฯ |
๏ ฝ่ายนางนาฏมาตุรงค์ทรงรันทด | โศกกำสรดถึงธิดานํ้าตาไหล |
สั่งให้หาโหรามาข้างใน | แล้วบอกให้ทำนายทายธิดา |
ไปติดตามรามวงศ์ด้วยหลงรัก | จะสูญศักดิ์สิ้นชาติวาสนา |
หรือไฉนใคร่รู้ดูชะตา | จะลอบพาไปหนตำบลใด ฯ |
๏ โหรรับสั่งตั้งเลขลงเปกเปาะ | จึงพิเคราะห์ฤกษ์ยามตามวิสัย |
แล้วทูลองค์นงคราญว่านานไป | คงจะได้กลับมายังธานี |
ด้วยเศษห้าว่าพระบุตรสุดสวาท | จนสิ้นชาติฝ่ายชายไม่หน่ายหนี |
จะสืบวงศ์พงศ์กระษัตริย์สวัสดี | ในปีนี้เคราะห์ร้ายแทบวายชนม์ |
พระราหูจู่จับเข้าทับลัคน์ | จะจากรักร่อนเร่ระเหระหน |
เพราะสตรีผีป่าจลาจล | ต้องทุกข์ทนแทบกายจะวายปราณ |
จะมีผู้ชูช่วยไม่ม้วยมอด | คงจะรอดมานิเวศน์ประเทศสถาน |
ข้างต้นร้ายปลายมือรื้อสำราญ | จะได้ผ่านสมบัติกับภัสดา |
นางฟังคำทำนายค่อยคลายโศก | ยามวิโยคยังไม่สิ้นถวิลหา |
ประทานทรัพย์นับโถให้โหรา | โหรก็ลากลับออกไปนอกวัง |
แต่โฉมยงนงลักษณ์อัคเรศ | ทุกข์เทวษมิได้สิ้นถวิลหวัง |
สู้ทรงแรงแข็งพระทัยพอประทัง | เหมือนจะคลั่งคลิ้มจิตถึงธิดา ฯ |
๏ จะกล่าวความรามวงศ์กับนงลักษณ์ | พานางยักษ์ไปในไพรพฤกษา |
พอแดดร่มลมเชยรำเพยพา | ขมคณานกไม้ในไพรวัน |
ที่หว่างเขาเหล่าฝูงนกยูงฟ้อน | เป็นคู่ร่อนปีกหางไม่ห่างหัน |
บ้างกรีดกรายชม้ายเมียงเข้าเคียงกัน | ดูเชิงชั้นสบายร่ายรำเรียง |
บนเงื้อมเงาเขาสูงล้วนฝูงหงส์ | ประสานส่งเสียงร้องกึกก้องเสียง |
ฝูงนกเขาเคล้าคู่เข้าคูเคียง | เค้าโมงเมียงฝูงหมายโมกไม้มอง |
เหล่ากาลิงเสียบกิ่งกาหลงเล่น | กระเต็นเต่นตามเต้นเผ่นผยอง |
นกค้อนทองป๋องเปาะเหมือนเคาะทอง | พระชวนสองนางงามเดินตามทาง |
นางอองออยพลอยถามนามวิหค | นั่นเสียงนกอะไรไซ้ปีกหาง |
โน่นหรือเจ้าเปล้าลายอยู่ปลายยาง | โน่นเรียกนางนวลแนบแอบนางนาน |
กุลาโห่โกกิลขมิ้นอ่อน | ที่มีหงอนนั้นเรียกนกหัวขวาน |
โพระดกโฮกร้องก้องกังวาน | กระทาขานขันรับกับกระทา |
ฝูงนกแก้วจับแก้วแล้วร้องพลอด | กระเรียนกะหรอดร้องเรียกเพรียกพฤกษา |
ตระเวนดุเหว่าเขาไฟนกไก่ฟ้า | ทึดทือถาบินนำสำบัณฑิตย์ |
ดูน่ารักปักษีมีต่างต่าง | พระชวนนางชมเพลินเจริญจิต |
โน่นแน่เจ้าเหล่านกต้อยตีวิด | ต่างเพ่งพิศนกไม้ใจบันเทิง |
แล้วชมสัตว์จัตุบาทเที่ยวกลาดเกลื่อน | กระทิงเถื่อนหมู่มฤคถึกเถลิง |
ฝูงเนื้อกวางต่างคะนองวิ่งลองเชิง | บ้างยืนเบิ่งเบือนหน้าเที่ยวหากิน |
กระต่ายกระแตแย้ตุ่นเที่ยววุ่นวิ่ง | นรสิงห์อรหันโผนผันผิน |
พวกคุลาแลดำดังนํ้านิล | เที่ยวตามหินหาเปี้ยวลดเลี้ยวเดิน |
พวกคนป่าพาฝูงจูงลูกหลาน | แบกอ้อยตาลไต่เต้าเลียบเขาเขิน |
สิงโตเต้นเล่นหางตามหว่างเนิน | พระเพลิดเพลินพานางมากลางไพร |
ตะวันรอนอ่อนอับพยับคํ่า | ถึงห้วยนํ้าเหวธารละหานไหล |
เห็นหว่างเวิ้งเพิงผาพฤกษาไทร | มีหินใหญ่อย่างบัลลังก์น่านั่งนอน |
พระชวนองค์นงนุชเข้าหยุดพัก | ริมชะงักเงื้อมลานชานสิงขร |
พอสิ้นแสงสุริยันพระจันทร | กระจ่างจรแจ่มฟ้านภาลัย |
เสียงน้ำลั่นครั่นครึกสะทึกสะท้าน | กระฉอกฉานชลเชี่ยวเป็นเกลียวไหล |
จิ้งหรีดร้องหริ่งหริ่งที่กิ่งไทร | พระหน่อไทเอนองค์ลงบรรทม |
นางแก้วกินรีเรียงนอนเคียงบาท | ไม่คลาคลาดทรงฤทธิ์สนิทสนม |
นางอองออยนึกกระหยิ่มอิ่มอารมณ์ | นอนที่ร่มไทรบังข้างหลังนาง |
ทำรักใคร่ใส่กลปรนนิบัติ | เข้านวดพัดทรามวัยมิให้หมาง |
ภาวนาอาคมเป่าลมพลาง | สะกดนางหน่อไทไม่ไหวองค์ |
มองเขม้นเห็นหลับระงับเงียบ | ไม่กริบเกรียบสมจิตคิดประสงค์ |
ฉุดกระชากลากนางไปกลางดง | มาถึงตรงโตรกนํ้าริมถํ้าธาร |
แก้ให้นางสร่างเวทจิกเกศไว้ | นางกราบไหว้ศรีฟ้าน่าสงสาร |
ไฉนมาทำโทษจงโปรดปราน | อองออยพาลพาโลทำโกรธา |
จงบอกความตามจริงอย่านิ่งไว้ | ทำอย่างไรผัวจึงรักมึงหนักหนา |
แม้นมิบอกออกอรรถตามสัจจา | จะฉีกขาแขนเคี้ยวเสียเดี๋ยวนี้ |
นางโฉมยงองค์สั่นพระขวัญหาย | เห็นแรงร้ายรู้ว่าเปรตเป็นเพศผี |
ตะโกนก้องร้องหาพระสามี | อองออยตีตบพัลวันไป |
ถามไม่บอกหลอกกูกลับกู่ผัว | มึงไม่กลัวผีมือหรือไฉน |
สงสารนางอย่างชีวันจะบรรลัย | ลงกราบไหว้แม่คุณกรุณา |
ลูกจะบอกออกให้หมดไม่ปดแม่ | จี้รักแร้แล้วเธอรักเป็นหนักหนา |
แม้นโกรธขึ้งถึงโมโหจะโกรธา | ทำแลบลิ้นปลิ้นตาคงปรานี |
ลูกบอกความตามจริงไม่กริ่งจิต | ขอชีวิตไว้เป็นข้ามารศรี |
อองออยจำคำไว้ถือไม้ตี | นางเทวีหวีดหวาดเพียงขาดใจ |
ลงกลิ้งเกลือกเสือกซบสลบนิ่ง | มันฟาดทิ้งเยาวมาลย์ลงธารไหล |
เห็นจมหายหมายมั่นว่าบรรลัย | ความดีใจวิ่งรุดไม่หยุดเลย |
นางเห็นองค์ทรงฤทธิ์สนิทนิ่ง | เข้าเอนอิงแอบอุ่นพ่อคุณเอ๋ย |
พลางกอดจูบลูบต้องประคองเชย | เอากรเกยกอดตัวด้วยมัวเมา |
ยิ่งหมกมุ่นฉุนเฉียวเสียวแสยง | เพลิงราคแรงร้อนใจดังไฟเผา |
เสน่หาปรารภเห็นซบเซา | ขยับเข้าเคียงข้างไม่ห่างกาย |
จึงผันแปรแก้มนตร์ที่ดลจิต | ให้ทรงฤทธิ์รู้สึกเหมือนนึกหมาย |
ค่อยฟื้นองค์ทรงเดชพระเนตรพราย | คิดว่าสายสวาทแอบแนบนิทรา |
ประคองศอกอดชิดจุมพิตชื่น | เหม็นเขียวชื่นคาวสาบซาบนาสา |
สะดุ้งตื่นฟื้นองค์คิดสงกา | เห็นศรีฟ้าแฝงชิดสนิทใน |
เหลียวดูองค์นงลักษณ์อัคเรศ | ไม่ปะเนตรเอะนางไปข้างไหน |
ประหลาดจริงนิ่งอึ้งตะลึงตะไล | จะลุกไปศรีฟ้ายุดผ้าทรง |
พระทรุดนั่งคลั่งจิตพลางพิศพักตร์ | สงสัยนักซักถามตามประสงค์ |
เจ้าเป็นหญิงนี่ทำไมไม่รักองค์ | ไยอนงค์จึงมาชวนให้ยวนยี |
เรานอนหลับเจ้ากับกินรีนั้น | เสียงพูดกันกับน้องทั้งสองศรี |
เห็นแต่เจ้าอยู่คนเดียวประเดี๋ยวนี้ | นางเทวีไปหนตำบลใด |
นางอองออยลอยหน้าว่าข้าเห็น | เขาลอบเล่นชู้ชิดพิสมัย |
นางโฉมงามตามชายสูญหายไป | ข้าเปลี่ยวใจจึงแอบอยู่แนบองค์ |
จะจับต้องน้องก็ตามแต่ความรัก | หรือทรงศักดิ์จะสละไม่ประสงค์ |
ไม่แกล้งว่าถ้าไม่เหมือนใจจง | ไม่ปล่อยองค์ภูวไนยให้ไคลคลา |
พระฟังคำรํ่าแถลงแหนงจิตกริ่ง | เห็นผิดหญิงในมนุษย์พูดมุสา |
ชะรอยมีรางควาน[๓]ทำมารยา | แกล้งแปลงมาเหมือนมนุษย์ทำยุดยื้อ |
เราหลงใหลไสยาสน์ประหลาดเหลือ | มิกินเนื้อน้องแก้วเสียแล้วหรือ |
ให้คิดแค้นแน่นใจดังไฟฮือ | สะบัดมือนางเมินลุกเดินไป |
ตะโกนแก้วกินรีเจ้าพี่เอ๋ย | แม่ทรามเชยไปหนตำบลไหน |
สงัดเงียบเยียบเย็นไม่เห็นใคร | ทุกก้านกิ่งมิ่งไม้พระไทรครึ้ม |
เที่ยวกู่นางกลางดงทุกพงพุ่ม | เสียงแต่ภุมราร้องก้องกระหึ่ม |
ที่หว่างเวิ้งเชิงเขาเป็นเงางึ้ม | โขมดพึมผิวกู่เสียงวู่โวย |
เสียงแว่วแว่วเอะแก้วพี่ร้องเรียก | ผิดสำเนียกพระระทวยระหวยโหย |
จนแสงทองส่องสว่างนํ้าค้างโปรย | พระอิดโรยอารมณ์ตรมอุรา ฯ |
๏ นางอองออยคอยตามด้วยความรัก | พระอย่าพักลดเลี้ยวไปเที่ยวหา |
เขามีชู้รู้แน่เห็นแก่ตา | ขืนจะมาเรียกรํ่าเฝ้าครํ่าครวญ |
ครั้นเห็นพระจะไม่เลี้ยงเป็นเที่ยงแท้ | จี้รักแร้รามวงศ์ทรงพระสรวล |
จึงว่านางช่างกระไรตั้งใจกวน | เฝ้ายียวนรํ่าไปไม่อายใจ |
จะขอถามตามตรงแน่นงลักษณ์ | เจ้ารู้จักอยู่หนตำบลไหน |
ถ้าพบนางอย่างประสงค์จำนงใจ | จะตามใจสารพัดไม่ขัดกัน |
นางอองออยอ้อยอิ่งว่าจริงหรือ | แล้วจะรื้อเคืองขุ่นทำหุนหัน |
แม้นจริงจังอย่างว่าสารพัน | ให้หม่อมฉันเห็นรักประจักษ์ใจ |
จึงจะบอกออกอรรถกระจัดแจ้ง | ที่ตำแหน่งมิ่งมิตรพิสมัย |
แม้นห่างเหินเนิ่นช้าจะลาไป | พระมิได้พบองค์นางนงคราญ |
พระฟังคำรํ่าว่ายิ่งปรารภ | จะใคร่พบวรนุชสุดสงสาร |
ปลอบประโลมโฉมเฉลาเยาวมาลย์ | แม้นพบพานภคินีของพี่ยา |
จะรักเจ้าเยาวเรศเหมือนเนตรซ้าย | จะรักฝ่ายอัคเรศเหมือนเนตรขวา |
พลางหยุดยั้งนั่งแท่นแผ่นศิลา | นางศรีฟ้าหมอบเมียงเข้าเคียงองค์ |
พระอิงแอบแนบเคล้าทั้งเศร้าสร้อย | นางอองออยคล้อยตามความประสงค์ |
เหมือนคชสารควาญหมอขึ้นคอทรง | จะไสลงท่านํ้าทำกระบวน |
ขยั้นย่อรอรั้งถอยหลังกลับ | กระดิกผลับขืนขัดฮึดฮัดหวน |
ยิ่งไสสั่นหันเหซุนเซซวน | กระหมวดม้วนงวงเงยเสยส่ายงา |
ต้องเกี่ยวหูลู่ลากกระชากชัก | กลับฮึกฮักฮูมแปร๋นแล่นถลา |
ลงเล่นนํ้าดำกระเดือกเสือกสุธา | กลับเป็นบ้าแทงกระทั่งถึงฝั่งชล |
ถีบสะบัดวัดเหวี่ยงเสียงสนั่น | ด้วยซึมมันมันย้อยดังฝอยฝน |
คำรามร้องก้องกระหึ่มครึมคำรณ | ทั้งผุดพ่นน้ำฟุ้งพอรุ่งราง |
นางอองออยช้อยชดรู้รสชาติ | จนเลือดฝาดขึ้นหน้าดังทาฝาง |
พระสร้อยเศร้าเฝ้าถามถึงความนาง | เจ้ารู้อย่างไรเล่าให้เข้าใจ |
นางศรีฟ้าว่าชู้เขาอยู่ถํ้า | ที่ธารนํ้าแรกมาอยู่อาศัย |
ถ้าแม้นพระจะจับจงกลับไป | เขาอยู่ในถํ้าทองทั้งสองรา |
พระฟังคำอํ้าอึ้งตะลึงสลด | เห็นจะปดอยากได้ต้องไปหา |
ไม่เหมือนคำรำพันจำนรรจา | จึงจะฆ่าเสียให้ตายวายชีวัน |
จึงตรัสว่าถ้าจริงอย่านิ่งอยู่ | นำไปดูชู้ชายเร่งผายผัน |
อองออยรับกลับไปดีใจครัน | จรจรัลจากเขาลำเนาเนิน |
พระนำหน้าพานางกลับทางเก่า | กำสรดเศร้าแสนวิตกระหกระเหิน |
เห็นวิหคนกไม้ก็ไม่เพลิน | พระรีบเดินดูนางไปกลางดง |
นางอองออยลอยนวลแกล้งกวนถาม | ถึงชื่อนามนกไม้ไพรระหง |
พระห้ามว่าอย่าเพ่อชมเลยโฉมยง | จวนเย็นลงแล้วจะค้างอยู่กลางไพร |
นางอองออยค่อยย่างแล้วทางว่า | ฉันเมื่อยขาขัดเข่าก้าวไม่ไหว |
พระโปรดด้วยช่วยประคองอุ้มน้องไป | พระขัดใจจูงลากกระชากมือ |
มันแกล้งทำสำออยตะบอยว่า | จะแกล้งฆ่าน้องแก้วเสียแล้วหรือ |
ส่วนเมียเก่าเขาชัดเคยหัดปรือ | จึงนับถือมีชู้ก็สู้ตาม |
พระบอกว่าถ้าเหมือนเจ้าบอกเล่าไว้ | จะทำให้เข็ดหลาบที่หยาบหยาม |
ยิ่งคิดแคลงแกล้งงดอดเนื้อความ | รีบเดินตามมรรคาพนาลัย |
ถึงทิวถํ้าสำนักซักศรีฟ้า | ไหนเขามามีชู้อยู่ที่ไหน |
นางศรีฟ้าพาเที่ยวลดเลี้ยวไป | แล้วเข้าในห้องถํ้าที่สำนัก |
ชี้ที่นอนหมอนหินของกินอยู่ | พระแลดูเถิดเป็นเห็นประจักษ์ |
ดีร้ายกลัวผัวพบแกล้งหลบพักตร์ | พระคอยดักอยู่ที่นี่เถิดดีจริง |
สองสามวันมันชะล่าคงมาอยู่ | จะจับชู้ได้ง่ายทั้งชายหญิง |
พระรู้เท่าเจ้าเล่ห์ประเวประวิง | พินิจนิ่งอยู่ในห้องช่องคีรี |
กระดูกหนังยังเห็นเหม็นตลบ | ทั้งซากศพโสโครกกะโหลกผี |
เห็นมั่นแม่นแสนกลอีคนนี้ | ยักขินีผีเสื้อหลงเชื่อมัน |
จักผูกมัดรัดไว้ได้ไถ่ถาม | ให้ได้ความตามจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
ชวนออกนอกคูหาพอสายัณห์ | เงื้อพระขรรค์ขู่ถามไปตามแคลง |
มึงว่าแก้วกินรีมามีชู้ | แกล้งลวงกูกล่าวร้ายให้หน่ายแหนง |
มึงใจบาปหยาบคายตัวร้ายแรง | แกล้งปลอมแปลงหลอกหลอนแต่ก่อนมา |
เมียของกูอยู่ไหนบอกให้แน่ | ขืนตอแหลแล้วจะบั่นฟันเกศา |
อองออยเห็นเป็นโมโหทั้งโกรธา | ทำแลบลิ้นปลิ้นตาให้ปรานี |
พระตัดเอาเถาวัลย์ที่พันไม้ | มัดมือไพล่สองข้างกลัวนางหนี |
ให้นึกแค้นแน่นใจฉวยไม้ตี | อองออยผีพูดวอนให้อ่อนใจ |
พระจะมาฆ่าเมียเสียแล้วหรือ | น้องสัตย์ซื่อหรือพระองค์มาสงสัย |
ทำแลบลิ้นปลิ้นตาให้อาลัย | พระแค้นใจว่ามันหลอกไม่บอกจริง |
พระหวดซํ้ารํ่าไปมิได้หยุด | อองออยสุดเจ็บเสือกลงเกลือกกลิ้ง |
เห็นไม่เชื่อเหลือจะอ้อนวอนประวิง | กัดเชือกทิ้งทะลึ่งลุกคุกคำราม |
รูปจำแลงแปลงกายก็หายเพศ | สูงเหมือนเปรตโทงเทงไม่เกรงขาม |
ขู่ตะคอกกลอกหน้าในตาวาม | แลบลิ้นพลามแล้วว่าชะน่ากลัว |
กูกินเมียเสียหมดอดตัวไว้ | เพราะหมายใจจะเคล้าเอาเป็นผัว |
จนรักใคร่ได้เป็นเมียเสียเนื้อตัว | กลับว่าชั่วมัดคร่าทั้งด่าตี |
ตัวกูหรือชื่ออองออยหนุ่มน้อยเอ๋ย | ไม่พ้นเลยแล้วอย่าหมายจะหน่ายหนี |
แม้นยอมอยู่กูจะเอาเป็นสามี | ไม่ฆ่าตีเคี่ยวเข็ญยอมเป็นเมีย |
แม้นไม่อยู่สู้รบขืนหลบหลีก | จะจับฉีกเลือดเนื้อเป็นเหยื่อเสีย |
พลางก้มตัวหัวร่อเฝ้าคลอเคลีย | มาหาเมียเถิดพ่อคุณอย่าวุ่นวาย |
พระรามวงศ์องอาจว่าชาติชั่ว | เป็นบ้าผัวผีดิบอีฉิบหาย |
หฤโหดโทษมึงจะถึงตาย | หากเสียดายคมศัสตราฆ่าสตรี |
พระแค้นนักชักกระบองร้องสำทับ | กระทืบโถมโจมจับจิกเกศี |
ตีผีดิบผึงล้มจมธุลี | แล้วซํ้าตีจะให้ตายวายชีวา |
มันร้องกรีดหวีดหวาดขยาดโขมด | ลุกกระโดดโลดผึงทะลึ่งถลา |
พระโกรธนางขว้างจักรอันศักดา | ถูกขาขวาขาดสิ้นยังตีนเดียว |
มันโดดโหยงโทงเทงโย่งเย่งสูง | ข้ามยางยูงยืนเท่าภูเขาเขียว |
ฝูงสัตว์อื่นตื่นฉาววิ่งกราวเกรียว | พระลดเลี้ยวเหาะเหินดำเนินไป |
พอมืดมัวทั่วถิ่นทั้งดินฟ้า | ไม่รู้ว่ามันไปหนตำบลไหน |
ลงเดินค้นวนวงในพงไพร | ก็มิได้ร่องรอยอองออยเลย |
คิดถึงเมียเสียดายตายเสียแล้ว | มาเสียแก้วกินรีเจ้าพี่เอ๋ย |
ติดตามพี่มิได้อยู่เป็นคู่เชย | โอ้กรรมเอ๋ยเคยสร้างแต่ปางใด |
เสียดายนุชสุดกลั้นทรงกันแสง | จนสิ้นแรงดำรงองค์ไม่ไหว |
พระเซล้มลมจับวับหัวใจ | เสียพระทัยในอารมณ์ไม่สมประดี |
ลุกไม่ขึ้นมึนมัวตัวระริก | สะอื้นกระซิกโศกาถึงมารศรี |
อ่อนอารมณ์ล้มแผ่แน่อินทรีย์ | สลบที่กลางป่าพนาวัน |
จนดึกดื่นชื่นฉํ่าด้วยนํ้าค้าง | ลงพร้อยพร่างพรมไปในไพรสัณฑ์ |
เป็นเดือนแรมแจ่มแจ้งด้วยแสงจันทร์ | เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วแว่ววิญญาณ์ |
ค่อยเย็นรื่นฟื้นองค์ดำรงนั่ง | เหลียวหน้าหลังพลางแลชะแง้หา |
ให้เงียบเหงาเปล่าใจในพนา | ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพนาดร |
จักระจั่นจอแจเสียงแซ่ซ้อง | เรไรร้องหริ่งหริ่งริมสิงขร |
ชะนีน้อยห้อยโหยผัวโวยวอน | จิ้งจอกหอนหวนเสียงสำเนียงเย็น |
โอ้ยามนี้พี่เคยได้เชยชิด | มาเปลื้องปลิดเปล่าใจมิได้เห็น |
ชลนัยน์ไหลซกตกระเซ็น | โอ้จำเป็นเป็นกรรมให้จำไกล |
จะกลับหลังยังเปนห่วงถึงดวงจิต | จะหามิตรเหมือนอย่างนี้หาที่ไหน |
ยิ่งนึกนึกตรึกตรายิ่งอาลัย | ถึงกระไรให้พบแต่ศพน้อง |
นิจจาเอ๋ยเลยขาดแล้วชาตินี้ | โอ้อกพี่มีแต่ช้ำเป็นนํ้าหนอง |
แม้นพบอีผีป่าจะผ่าท้อง | เอาศพน้องไปไว้กอดจนวอดวาย |
กรรมวิบากจากเจ้าให้เปล่าเปลี่ยว | มาอยู่เดียวแดนไพรให้ใจหาย |
จะคืนเข้าด้าวแดนก็แสนอาย | จะสู้ตายเหมือนนางอยู่กลางไพร |
พระโศกาอาดูรพูนเทวษ | ชลเนตรแดงเดือดดังเลือดไหล |
จนแสงทองส่องฟ้านภาลัย | สะอื้นไห้ไม่วายฟายน้ำตา |
จะไปค้นต้นไทรดูให้จบ | พอให้พบศพมิตรขนิษฐา |
แม้นหลอเหลือเนื้อหนังดังจินดา | จะได้พาเอาไปปลงส่งสการ |
พอรุ่งแจ้งแสงกระจ่างนภางค์พื้น | อุตส่าห์ฝืนองค์มาน่าสงสาร |
ค่อยทรงกายหมายจำเพาะเหาะทะยาน | ตรงไปธารต้นไทรเคยไสยา ฯ |
๏ จะกล่าวผีหนีองค์พระทรงยศ | สู้นอนอดแอบอยู่ในคูหา |
รักษากายหายขาดแผลสาตรา | ยังแต่ขาข้างเดียวออกเที่ยวโทง |
เที่ยวเขย่งเกงกอยไปร้อยทิศ | ยังมีฤทธิ์ลุกกระโดดโขยดโหยง |
เหนี่ยวยางยูงสูงสุดฉุดชโลง | เดินโทงโทงเที่ยวหาสวามี |
ครั้นได้คู่บุรุษเกิดบุตรน้อย | เหมือนอองออยเป็นเปรตพงศ์เพศผี |
จึงสืบเหล่าเผ่าพันธุ์ทุกวันนี้ | เรียกว่าผีตีนเดียวเที่ยวกลางดง ฯ |
๏ ฝ่ายพระหน่อวรนาถสะอาดโฉม | ลอยโพยมเยือกจิตพิศวง |
เคยเชยชื่นรื่นเรียงเคียงอนงค์ | มาเปลี่ยวองค์อาทวาเอกาสกนธ์ |
โศกกำสรดอตส่าห์ฝืนสู้กลืนกลํ้า | พระเนตรซ้ำพร่างพรายดังสายฝน |
คิดถึงแก้วกินรีนิรมล | เมื่อยามจนจากนุชสุดอาลัย |
จะแลขวาฟ้าบดสลดจิต | ให้มืดมิดมิ่งขวัญประหวั่นไหว |
จะเหลียวซ้ายสายเมฆวิเวกใจ | ไม่เห็นใครเปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย |
จะเหลียวหลังหวังสวาทก็คลาดแคล้ว | เห็นแต่แนวเนินไศลจิตใจหาย |
ดูแถวทางข้างหน้าเอกากาย | เห็นแต่สายเมฆกลุ้มคลุ้มนภา |
ดูจังหวัดปัถพีทวีเทวษ | ล้วนขอบเขตเขาไม้ไพรพฤกษา |
จะแลแหงนแสนไกลสุดสายตา | เห็นแต่ฟ้าฝนคลุ้มชอุ่มบัง |
โอ้เจ้าแก้วกินรีของพี่เอ๋ย | บรรลัยเลยลิบลับไม่กลับหลัง |
เสียสมบัติพลัดเขตนิเวศน์วัง | มาเสียทั้งสามีแลชีวา |
พระครวญครํ่ารํ่าไรมาในเมฆ | แสนวิเวกอ้างว้างกลางเวหา |
ถึงตำบลต้นไทรที่ไสยา | ค่อยรอราร่อนลงในดงดอน |
ดูเย็นเยียบเงียบสงัดลมพัดเฉื่อย | เรไรเรื่อยร้องหริ่งบนสิงขร |
ถึงหินขวางต่างเขนยที่เคยนอน | สะอื้นอ่อนอาลัยใจรันทด |
ระทวยองค์ลงที่แท่นด้วยแสนโศก | ยามวิโยคแรมรักพักตร์สลด |
สุดจะขืนฝืนองค์พระทรงยศ | โศกกำสรดเสือกซบสลบไป |
ในป่าสูงฝูงสัตว์สงัดง่วง | ใบไม้ร่วงทรวงพลิกริกริกไหว |
วายุพัดซัดรื่นค่อยชื่นใจ | พระกลับได้สมประดีค่อยมีแรง |
พอแดดร่มลมตกเสียงนกร้อง | สุริย์ส่องสีสายออกฉายแสง |
พระค้นคว้าหานางด้วยคลางแคลง | ไม่เห็นแห่งเทวีสิ้นชีวา |
เขม้นมองร่องรอยคอยสังเกต | มุ่งพระเนตรสอดส่ายทั้งซ้ายขวา |
ถึงเขาขวางทางตาลธารธารา | เห็นหย่อมหญ้ายับย่อยเป็นรอยราย |
ที่นางเสือกเกลือกกลิ้งนิ่งพินิจ | โลหิตติดกิ่งไม้น่าใจหาย |
ที่นี่แล้วแก้วตาชีวาวาย | เก็บได้ชายสไบฉีกขนปีกนาง |
คิดถึงองค์นงนุชสุดสังเวช | ชลเนตรแนวนองยิ่งหมองหมาง |
ขุกคิดแค้นแสนเสียดายเพียงวายวาง | กระดูกนางหนังเนื้อไม่เหลือเลย |
แม่ร่วมจิตติดตามเมื่อยามไร้ | มาบรรลัยตรงนี้เจ้าพี่เอ๋ย |
สุดจะคิดติดตามเจ้าทรามเชย | ทุกสิ่งเคยคํ่าเช้าจะเปล่าดาย |
แม้นดวงเนตรเจ้าประเวศทางทวีป | จะเร็วรีบตามติดเหมือนจิตหมาย |
ไปป่าช้าสุดจะตามเจ้างามตาย | ไม่พบสายสวาทแล้วต้องแคล้วกัน |
อย่าห่วงหลังกังวลจงพ้นทุกข์ | เสวยสุขในสถานวิมานสวรรค์ |
จนม้วยดินสิ้นฟ้าในสามัญ | ไม่พบขวัญเนตรแล้วแก้วกินรี |
เจ้ารักผัวตัวตายข้างฝ่ายผัว | จะบวชตัวตั้งถือเป็นฤๅษี |
รักษาสัตย์ตัดขาดแล้วชาตินี้ | ไม่ขอมีเมียแล้วแก้วกลอยใจ |
เจ้ามีคุณบุญพี่ที่ได้บวช | จะรํ่ากรวดนํ้าสนองให้ผ่องใส |
ในชาตินี้มีกรรมต้องจำไกล | จะเกิดไหนให้พบประสบกับ |
แต่รุ่นราวสาวหนุ่มได้ชุ่มชื่น | สำราญรื่นอยู่จนสิ้นดินสวรรค์ |
เสวยสุขทุกเวลาทิวาวัน | จนล่วงลับกัปกัลป์พุทธันดร |
สไบฉีกปีกขนที่หล่นอยู่ | จะไว้ดูต่างกายสายสมร |
พระครวญครํ่ารํ่าว่าด้วยอาวรณ์ | สะอื้นอ่อนอารมณ์ให้ตรมตรอม |
จนราตรีมิได้จากซึ่งซากศพ | กันแสงซบโศกรูปจนซูบผอม |
พระพักตร์เผือดเลือดสลดด้วยอดออม | จนมัวมอมหมองสิ้นทั้งอินทรีย์ |
สุดกำลังตั้งจิตอธิษฐาน | ขอพึ่งท่านเทวาทุกราศี |
ข้าจะใคร่ได้บุญเป็นมุนี | แต่ไม่มีหนังเหลืองเครื่องสิทธา |
เดชะตามทรามสวาทอย่าคลาดเคลื่อน | ให้สมเหมือนหมายมาดปรารถนา |
นึกนิยมลมจับวับวิญญาณ์ | ให้มืดหน้าแน่นิ่งไม่ติงองค์ |
เดชะสัตย์อธิษฐานการกุศล | เทพอยู่ต้นไทรใหญ่ไพรระหง |
เอาหนังเหลืองเครื่องที่ฤๅษีทรง | มาวางตรงพักตราในราตรี |
พระรู้สึกนึกสมอารมณ์หวัง | ทรงนุ่งหนังเสือถือเป็นฤๅษี |
ชฎากลีบจีบเกล้าเป็นเมาลี | เครื่องมุนนีครองครบอภิวันท์ |
ประนมนั่งหวังถวิลถือศีลห้า | ทรงสมาทานกรรมธรรมขันธ์ |
สำรวมจิตกิจกรมพรหมจรรย์ | จนตะวันส่องสว่างกระจ่างตา |
คิดตัดห่วงบ่วงใยของในโลก | ค่อยสร่างโศกด้วยสังวาสศาสนา |
แบ่งบุญบวชสวดศีลจินตนา | ส่งบุญไปให้สีกากินรี |
เจ้าสิ้นชาติอาตมาขอลาแล้ว | จงผ่องแผ้วพ้นทุกข์เป็นสุขี |
รูปจะไปให้ชนกชนนี | ทั้งอัยกีภิญโญโมทนา |
เสร็จธุระสันโดษเที่ยวโปรดสัตว์ | ตามบัญญัติโยคีมีสิกขา |
แล้วสวมย่ามตามกิจพระสิทธา | ใส่สาตราเครื่องทรงอลงการ |
ถือประคำอำลาสุรารักษ์ | ซึ่งสำนักเนินผาพฤกษาสาณฑ์ |
พระทักษิณจินตนาสมาทาน | สิทธาจารย์เคลื่อนคล้อยเหาะลอยไป |
สังเกตจำตำแหน่งคลางแคลงจิต | ตะลึงคิดพิศวงให้สงสัย |
ที่เมืองอยู่ดูแลไม่แน่ใจ | พระตรงไปหรดีวิถีทาง ฯ |
๏ จะกล่าวแก้วกินรีเมื่อปีศาจ | มันตีฟาดจับฟัดนางขัดขวาง |
เสือกสลบซบกายไม่วายวาง | มันจับขว้างลงในนํ้าที่ลำธาร |
กระแสส่งตรงโตรกกระโชกเชี่ยว | ไหลลดเลี้ยวลอยคว้างกลางละหาน |
แต่ปีกอยู่ชูองค์นางนงคราญ | ไปในธารธาราได้ห้าวัน |
ถึงหาดน้อยลอยเลยเข้าเกยตื้น | ยังชุ่มชื่นชีวาไม่อาสัญ |
แต่เอวองค์นงลักษณ์นั้นหักรัน | ให้หวาดหวั่นไหวติงแน่นิ่งนอน ฯ |
๏ จะกล่าวคุณมุนนีพระอิสิง[๔] | ทรงฌานยิ่งอยู่เวิ้งเชิงสิงขร |
สำเร็จกิจวิทยาใช้วานร | เที่ยวซอกซอนเสาะเสือกหาเผือกมัน |
นํ้าผึ้งรวงพวงหว้าผลาหาร | ล้วนอ้อยตาลตามแต่ได้มาให้ฉัน |
เป็นผาสุกทุกเวลาทิวาวัน | เมื่อวันนั้นนึกจะใคร่ไปจงกรม |
จึงห่มดองครองไตรถือไม้เท้า | ผู้เป็นเจ้าจากศาลาที่อาศรม |
ค่อยย่างเหยียบเลียบเดินเนินพนม | ปลงอารมณ์รํ่าภาวนาไป |
ครั้นเหนื่อยพักจักลงสรงสนาน | ไปสู่ธารริมเวิ้งเชิงไคล |
แลเห็นนางกลางหาดประหลาดใจ | หรือบรรลัยลอยมาตามสาคร |
ยืนป้องหน้าตาเขม้นอยู่เป็นครู่ | ยังสดอยู่ดูเห็นไม่เป็นหนอน |
มีปีกใส่ไม่เห็นหางอย่างกินร | นุ่งผ้าผ่อนเหมือนมนุษย์สุดสงกา |
จึงเล็งญาณฌานกิจแจ้งจิตจบ | นางสลบลูกยักษ์เชื้อปักษา |
พึ่งตั้งครรภ์วันเดียวเจียวสีกา | จะจำมามอดม้วยต้องช่วยไว้ |
จึงวักนํ้าพรำพรมประนมหัตถ์ | ช่วยโบกปัดเป่าพระเวทตามเพทไสย |
ที่หักรันนั้นก็ติดสนิทใน | นางทรามวัยพลิกฟื้นเหมือนตื่นนอน |
ลุกขึ้นนั่งตั้งตาเห็นดาบส | กราบประณตน้อมกายสายสมร |
พระสิทธาว่ากูช่วยไม่ม้วยมรณ์ | ไฉนนอนลอยมาในวารี ฯ |
๏ นางก้มเกล้าเล่าแถลงให้แจ้งเรื่อง | เมื่อจากเมืองมาในป่าพนาศรี |
หยุดนอนค้างนางยักษ์พาเอาข้านี้ | มาทุบตีชีวันถึงบรรลัย |
ได้พบปะพระคุณการุญช่วย | เมื่อมอดม้วยมิได้แจ้งตำแหน่งไหน |
ยังเมื่อยเจ็บเหน็บช้ำระกำใจ | ขออาศัยพระสิทธารักษากาย ฯ |
๏ พระอิสิงนิ่งฟังนึกสังเกต | ก็แจ้งเหตุหนหลังสิ้นทั้งหลาย |
นางมีกรรมจำเพาะคราวเคราะห์ร้าย | ต้องพลัดพรายเพราะโทโสกับโลกีย์ |
กูเข็ดรักหนักหนาสีกาเอ๋ย | จึงละเลยเลิกถือเป็นฤๅษี |
จะอาศัยไปหยุดอยู่กุฎี | ก็ตามทีเถิดหนูตามกูไป |
แล้วนำมาอาศรมพนมมาศ | อนุญาตศาลาให้อาศัย |
ใข้วานรคอนขนผลไม้ | มาแบ่งให้กันอยู่ช่วยดูแล |
ทั้งเย็นเช้าดาวบส[๕]ช่วยรดนํ้า | ที่ชอกช้ำทำยาให้ทาแผล |
นางเจ็บไข้ใจคอยังท้อแท้ | กับทั้งแพ้อุทรอ่อนวิญญาณ์ ฯ |
[๑] หมูสี คือ ชื่อมะพร้าวพันธุ์หนึ่ง
[๒] สมเคราะห์ = สงเคราะห์
[๓] รางควาน = รังควาน แปลว่า ผีร้าย
[๔] อิสิง = อิสิ แปลว่า ฤๅษี
[๕] ดาวบส = ดาบส