๏ จะกลับกล่าวถึงท้าวจัตุพักตร์ |
พญายักษ์ปราบสิ้นดินสวรรค์ |
ได้ครอบครองนัคราชื่อมารัน |
พลกุมภัณฑ์นับแสนแน่นนคร |
มีโฉมยงองค์เอกมเหสี |
ชื่อมณฑาวดีดวงสมร |
อเนกแน่นแสนสุรางค์นางนิกร |
ดังดวงเทพอัปสรอันโสภา |
อันโอรสบุตรีหามีไม่ |
ท้าวเธอได้นางเกิดในบุปผา |
เลี้ยงเป็นบุตรสุดสวาทดังดวงตา |
ให้ชื่อนางสร้อยสุดาวิลาวัณย์ |
ถนอมไว้ในเขตนิเวศน์สถาน |
จัดทหารล้อมกำแพงแข็งขยัน |
ให้ล้อมปราสาทเพชรไว้เจ็ดชั้น |
ช่วยป้องกันพระธิดายุพาพาล ฯ |
๏ ฝ่ายโฉมยงองค์สร้อยสุดาสมร |
อยู่ถาวรในปราสาทราชฐาน |
สถิตเหนือแท่นรัตน์ชัชวาล |
แสนสำราญราคีไม่บีฑา |
สู้เสงี่ยมเจียมองค์ดำรงศักดิ์ |
จนนงลักษณ์ได้สิบสี่พระชันษา |
ละเลิงหลงทรงเล่นตุ๊กตา |
กับบรรดาสาวสรรค์กำนัลใน |
พอคู่สร้างนางมาถึงประเทศ |
ให้อาเพศครวญคิดพิสมัย |
จนลืมเล่นตุ๊กตาไม่อาลัย |
รัญจวนใจจนจิตพระธิดา |
จึงให้นางพนักงานอ่านอิเหนา |
ระเด่นเข้าห้องสุวรรณกันจะหนา |
บรรทมฟังวังเวงในวิญญาณ์ |
จนนิทราเคลิ้มหลับระงับไป |
จวนสว่างนางทรงนิมิตฝัน |
ว่าพระจันทร์แจ่มแจ้งจำรัสไข |
เสด็จจากฟากฟ้าสุราลัย |
มาเนาในแท่นสุวรรณอันบวร |
รัศมีสีสว่างกระจ่างห้อง |
เข้าเลียมลองลูบกายสายสมร |
นางเบือนบิดปิดปัดสลัดกร |
พอจะค้อนมาฟื้นตื่นพระองค์ |
รู้ว่าฝันขวัญหายนึกอายจิต |
นางนิ่งคิดนึกคะนึงตะลึงหลง |
จนรุ่งรางสว่างแสงพระสุริยง |
พระจันทร์ลงลับฟ้ายิ่งอาลัย |
จึงเรียกเหล่าเถ้าแก่มาแก้ฝัน |
นางรำพันบอกแจ้งแถลงไข |
เจ้าขรัวยายทายทูลให้ถูกใจ |
แม่จะได้ลาภล้นคณนา |
เป็นของดีที่ยิ่งทุกสิ่งสรรพ์ |
งามเหมือนจันทร์ที่กระจ่างกลางเวหา |
เป็นวันเสาร์ยามสามตามตำรา |
ข่าวจะมาแจ้งความในสามวัน ฯ |
๏ นางฟังคำทำนายภิปรายเปรียบ |
เชิงประเทียบรู้เท่าทุกสิ่งสรรพ์ |
จึงตอบว่าถ้าได้ทรัพย์กับสุวรรณ |
จะแบ่งปันให้ทั่วทุกขรัวยาย |
แล้วแลดูสุริยาเวลาเฝ้า |
จึงชวนเหล่าสาวสรรค์สิ้นทั้งหลาย |
จากปราสาทสุวรรณพรรณราย |
ก็ผันผายขึ้นเฝ้าท้าวกุมภัณฑ์ ฯ |
๏ ปางพระองค์ทรงโลกโมลียักษ์ |
เห็นลูกรักเศร้าสร้อยเหมือนโศกศัลย์ |
ไม่แต่งองค์ทรงสำอางอย่างทุกวัน |
ทีจะรัญจวนใจไม่เสบย |
จึงดำรัสถามความไปตามซื่อ |
เจ้าเจ็บไข้ไปหรือนะลูกเอ๋ย |
หรือเคืองข้องหมองหมางอย่าพรางเลย |
แม่ทรามเชยเล่าแถลงให้แจ้งใจ |
นางบังคมก้มกราบพนาสูร |
สนองทูลกิจจาอัชฌาสัย |
เพราะพระคุณอุ่นเกศคุ้มเภทภัย |
ลูกมิได้ข้องขัดหัทยา ฯ |
๏ เจ้ากรุงมารฟังสารสายสวาท |
พจนารถน่ารักนั้นนักหนา |
เห็นเกรงใจไม่แจ้งซึ่งกิจจา |
แต่กิริยาไม่สบายข้างภายใน |
จำจะพาโฉมงามทรามสวาท |
ไปประพาสชมมัจฉาชลาไหล |
ถึงเกาะแก้วแนวเนินพนมไพร |
ให้ชื่นใจลูกน้อยสร้อยสุดา |
ดำริพลางทางตรัสกับนงลักษณ์ |
เจ้าดวงจักษุในเบื้องซ้ายขวา |
พ่อจะชวนเจ้าไปชมยมนา |
ห้องมหามหรณพเนินคีรี |
ดำรัสพลางทางเยี่ยมพระแกลรัตน์ |
โองการตรัสสั่งนนทยักษี |
จงตระเตรียมเภตราอย่าช้าที |
กูจะพาบุตรีไปชมชล ฯ |
๏ เสนารับอภิวาทกรุงกระษัตริย์ |
มาเรียกรัดเร่งรับอยู่สับสน |
จัดเภตราห้าร้อยบรรทุกพล |
ทั้งต้นหนล้าต้ามาประจำ |
สำเภาทรงธงทองทั้งท้ายหน้า |
ทำใบผ้าพื้นแดงดูงามขำ |
เรือดั้งกันนั้นล้วนใบดำ |
มาลอยลำแลสล้างกลางคงคา |
ครั้นเสร็จสรรพกลับเข้าไปกราบทูล |
พนาสูรแสนโสมนัสสา |
จึงตรัสชวนลูกน้อยสร้อยสุดา |
กับมณฑาวดีร่วมชีวัน |
ทั้งพระวงศ์พงศาบรรดายักษ์ |
กำนัลนักสนมนาฏนางสาวสรรค์ |
ออกจากวังคั่งคับนับหมื่นพัน |
ก็ตามกันลงไปในเภตรา |
แต่จอมวงศ์พงศ์กระษัตริย์จัตุพักตร์ |
กับเมียรักบุตรีเสน่หา |
ขึ้นนั่งบนบาหลีด้วยปรีดา |
ฝูงกำนัลกัลยาอยู่รายเรียง ฯ |
๏ ฝ่ายกุมภัณฑ์ขันกว้านบางจังกว้า |
ก็เฮฮาโห่ลั่นสนั่นเสียง |
ถอนสมอช่อใบขึ้นพร้อมเพรียง |
ออกแล่นเรียงรายมาในสาคร |
ออกทะเลน้ำลึกนึกอนาถ |
มัจฉาชาติใหญ่น้อยลอยสลอน |
คลื่นละลอกกลอกกลิ้งเป็นตอนตอน |
เรือขย้อนโยนพัดสะบัดใบ |
สร้อยสุดาเล็งแลกระแสสมุทร |
จิตมนุษย์นึกพรั่นประหวั่นไหว |
เข้าเคียงบาทพระบิดาประหม่าใจ |
ตกพระทัยทึกทักซบพักตรา ฯ |
๏ เจ้ากรุงมารรับขวัญรำพันปลอบ |
แม่อย่าหมอบนักเลยจงเงยหน้า |
ถึงสำเภาอับปางกลางคงคา |
พ่อจะพาเหาะไปมิให้ตาย |
แล้วแย้มสรวลชวนชมมัจฉาชาติ |
ขึ้นเกลื่อนกลาดกลางวนชลสาย |
ฝูงโลมามาเคียงกันเรียงราย |
ปลาวาฬว่ายเวียนหาฝูงปลาวาฬ |
ฉลามเลี้ยวเที่ยวตามฉลามคู่ |
ฉนากงูงวงฟาดฉะฉาดฉาน |
ปลาวาฬผุดพ่นนํ้าเท่าลำตาล |
กระโห้หาญหวงไข่ไล่กุมภา |
เป็นคู่คู่งูเงือกขึ้นเกลือกกลิ้ง |
มัติมิงคล์กอดกัดกินมัจฉา |
พระชี้บอกลูกน้อยสร้อยสุดา |
ให้ชมปลาทั้งสนมกรมใน |
แล้วร้องสั่งอสุราโยธาหาญ |
ให้หมู่มารลงเล่นชลาไหล |
จับปลาร้ายที่ในสายสมุทรไท |
เอามาให้ลูกกูจะดูมัน |
อสุรินยินเสียงพญายักษ์ |
ใจก็รักจะใคร่เล่นเกษมสันต์ |
กระโดดโถมโครมครามลงตามกัน |
เสียงสนั่นกึกก้องท้องทะเล |
บ้างไล่คว้าปลาฉลามตามฉนาก |
ฉุกกระชากชิงกันอยู่หันเห |
บ้างดำนํ้าคลำงมสมคะเน |
หนีบจระเข้ขึ้นมาได้อ้ายกะโต |
บ้างจับนาคปากกัดกระหวัดกอด |
มันเลยลอดลัดไปให้โมโห |
บ้างจับนางเงือกนํ้าทำเฉโก |
กระชากฉุดผุดโผล่ขึ้นกลางชล |
อันสัตว์ร้ายที่ในสายกระแสสินธุ์ |
อสุรินไล่จับอยู่สับสน |
ทั้งนายไพร่ได้ทุกกุมภัณฑ์พล |
แล้วต่างคนมาถวายอยู่รายเรียง ฯ |
๏ ฝ่ายจอมอสุรินทร์ปิ่นกระษัตริย์ |
ตบพระหัตถ์สรวลสันต์สนั่นเสียง |
ให้ลองแรงแข่งดูเป็นคู่เคียง |
ใครแพ้เพลี่ยงเย้ยเยาะหัวเราะกัน |
เสียงกึกก้องมาในท้องทะเลหลวง |
ทุกกระทรวงปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
พอถึงเกาะหว่างท่าหน้าอารัญ |
ปืนหลักลั่นตึงตามกันสามที |
ทอดสมอรอรั้งอยู่ทั้งหมด |
ต่างโทรมลดลงใบไว้กับที่ |
ท้าวกุมภัณฑ์บัญชาชวนบุตรี |
มเหสีสาวสนมกรมใน |
ลงสัดจองล่องเลยเข้าเกยหาด |
ขึ้นลีลาศเลียบเดินเนินไศล |
หอมตรลบกลบกลิ่นดอกไม้ไพร |
ระรื่นในหว่างเวิ้งเชิงคีรี |
ดูดาษดื่นพื้นพรรณล้วนบุปผา |
ย้อยระย้าสองข้างหว่างวิถี |
พญายักษ์หักกิ่งเก็บจำปี |
แล้วเลือกที่ใบติดให้ธิดา |
พระมารดากรีดเล็บเก็บนางแย้ม |
ให้โฉมยงทรงแซมซึ่งเกศา |
ฝูงกำนัลชวนกันเก็บจำปา |
ใส่ห่อผ้าแพรห่มแล้วชมเชย |
ที่เตี้ยค่อมน้อมกิ่งเก็บไม่ได้ |
ขอดอกไม้ลูกบ้างเถิดแม่เอ๋ย |
เขาวิ่งหนีน้อยใจกระไรเลย |
ต่างเยาะเย้ยก็ยิ่งอายซังตายเดิน ฯ |
๏ ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสมร |
บทจรเลียบดูภูเขาเขิน |
พญายักษ์นำหน้าพาดำเนิน |
นางเพลิดเพลินทางเก็บมาลา |
ถึงสถานศาลสรวงสุรารักษ์ |
พญายักษ์หยุดนั่งริมเนินผา |
อัคเรศดวงจิตกับธิดา |
ก็ตามมาหมอบเมียงอยู่เคียงองค์ |
นางสาวสรรค์บรรดาตามเสด็จ |
ที่เหนื่อยเหน็ดก็กระเจิงละเลิงหลง |
บ้านเดินเด็ดดอกไม้มาในดง |
ฝูงอนงค์ร้องเรียกกันเพรียกไป ฯ |
๏ ฝ่ายนกแก้วกายแปลงกำแหงหาญ |
อยู่บนศาลเขาเขตข้างเพศไสย |
สนิทหลับจับเจ่าเศร้าพระทัย |
สะดุ้งได้ยินเสียงสำเนียงดัง |
จึงโผโผนโจนจับกิ่งพฤกษา |
ทัศนาเห็นคนอยู่คับคั่ง |
มเหสีแสนสาวนางชาววัง |
ประณตนั่งอยู่กับหน้าพญามาร |
พลางเขม้นเห็นสร้อยสุดาสมร |
ละอออ่อนเอวองค์ทรงสัณฐาน |
พึ่งแรกรุ่นรูปโฉมประโลมลาญ |
เยาวมาลย์นั่งเลือกมาลากรอง |
ดังดวงจันทร์วันเพ็งเปล่งจำรัส |
เป็นนวลผัดผิวฉวีไม่มีหมอง |
พระเต้าตั้งดังดอกปทุมทอง |
ดูขาวผ่องครัดเคร่งเต่งอุรา |
เนตรขนงวงพักตร์ประไพพริ้ม |
เป็นยักยิ้มน่ารักนั้นนักหนา |
จะแลไหนก็วิไลละลานตา |
เสน่หารัญจวนปั่นป่วนใจ |
จะเป็นราชธิดาพนาสูร |
หรือประยูรญาติวงศ์ยังสงสัย |
จึงแฝงกายเกาะนิ่งกับกิ่งไทร |
จะฟังให้แจ้งจิตในกิจจา ฯ |
๏ ฝ่ายท่านท้าวจัตุพักตร์สำนักนั่ง |
เข้าเอนหลังเอกเขนกที่เนินผา |
จึงเรียกฝูงสาวสรรค์กัลยา |
มาพร้อมหน้าทั้งกำนัลพนักงาน |
พญายักษ์จึงประจักษ์ให้แจ้งเหตุ |
ว่าทรงเดชศักดิ์สิทธิ์สถิตศาล |
เป็นเหราฤทธิไกรดังไฟกาล |
บริวารนับแสนแน่นนที |
ทำศักดามาจากสะดือสมุทร |
ยักษ์มนุษย์แพ้พ่ายกระจายหนี |
เข้าอาศัยในเกาะแก้วโมลี |
แล้วทำทีเป็นเจ้าของคอยป้องกัน |
เทพบุตรครุฑาลงมาเล่น |
ก็กินเป็นภักษาให้อาสัญ |
พระเจ้าปู่ผู้ผ่านกรุงมารัน |
ให้กุมภัณฑ์เสนามาราวี |
พวกกุมภาฆ่าตายเสียหลายแสน |
จึงคั่งแค้นเคืองบาทบทศรี |
เสด็จยกพลมาจากธานี |
ผลาญชีวีสัตว์ร้ายจึงวายปราณ |
แต่ฝ่ายท้าวเหราศักดาเดช |
เป็นเทเวศศักดิ์สิทธิ์สถิตศาล |
พระลูกยาพาสนมบริวาร |
เยาวมาลย์ฟ้อนถวายเถิดสายใจ |
ให้คุ้มครองป้องปัดอุบัติเหตุ |
รำถวายเทเวศช้างเพศไสย |
คุ้มสิ่งสิ้นสารพัดกำจัดภัย |
แม่สายใจจะได้ชื่นทุกคืนวัน |
แล้วแต่งสรวงเสวยนมเนยพร้อม |
ทั้งเครื่องหอมสารพัดล้วนจัดสรร |
เป็ดไก่หมูสุราสารพัน |
จอกนํ้าจัณฑ์จัดถวายอยู่รายเรียง |
แล้วฆาตกลองประโคมเสียงโครมครีก |
มโหระทึกสังข์แตรเซ็งแซ่เสียง |
ปางพระนุชบุตรีกับพี่เลี้ยง |
อยู่พร้อมเพรียงสาวสรรค์กัลยา |
น้อมคำนับจับระบำแล้วรำฟ้อน |
บ้างทอดกรกรีดกรายทั้งซ้ายขวา |
รำนกบินกินรช้อนจินดา |
แล้วย้ายท่าสอดส่ายสังวาลวัลย์ |
ไว้จังหวะประปรายกรีดกรายหัตถ์ |
วาดกระหวัดวงเวียนดูเหียนหัน |
สาวสุรางค์นางห้ามรำตามกัน |
ดูเชิงชั้นเฉิดฉายชะม้ายเมียง |
นางโฉมยงทรงร้องบทบวงสรวง |
พวกช้าหลวงรับเพราะเสนาะเสียง |
พวกห้ามแหนแสนสุรางค์นางจำเรียง |
ส่งสำเนียงทุ้มเอกวิเวกใจ |
พระบิตุรงค์ทรงพระสรวลเสียงคักคัก |
เห็นลูกรักรำดีจะมีไหน |
กลัวจะเหนื่อยเมื่อยศออรไท |
จึงห้ามให้หยุดยั้งลงบังคม ฯ |
๏ นกแก้วแปลงแฝงพฤกษาตาชะม้อย |
เห็นนางสร้อยสุดารำนำสนม |
ประไพพักตร์ลักษณ์ลํ้าทั้งขำคม |
สมที่ห่มตาดปิดช่างบิดเบือน |
พระกรเกศเนตรขนงวงนลาฏ |
มารยาทยอดสตรีไม่มีเหมือน |
พระปรางทองผ่องพวงดังดวงเดือน |
เหมือนจะเยื้อนแย้มยิ้มให้ชิดเชย |
ยามชะม้ายชายเนตรก็น่ารัก |
วิไลลักษณ์เหลือดีเจ้าพี่เอ๋ย |
จะผ่อนผันฉันใดยังไม่เคย |
จะได้เชยชมนุชพระบุตรี |
มิเกรงฤทธิ์บิดาจะถาโถม |
อุ้มประโลมลักพาสุดาหนี |
ยิ่งครวญใคร่ในอารมณ์ไม่สมประดี |
หลงพาทีทักถามด้วยความรัก |
เจ้างามขำลํ้านางสำอางโฉม |
งามประโลมขำคมทั้งสมศักดิ์ |
รู้สึกตัวกลัวบิดาพญายักษ์ |
ร้องสาวรักสาวกอดฉะฉอดไป ฯ |
๏ สาวสุรางค์ต่างเขม้นเห็นนกแก้ว |
อยู่นี่แล้วมองเมียงส่งเสียงใส |
ทั้งพระนุชบุตรีดีพระทัย |
อยากจะได้สกุณาพูดจาดี |
ส่งสำเนียงเสียงแจ้วเจ้าแก้วจ๋า |
ลงมาหาน้องหน่อยอย่าถอยหนี |
จะพาแก้วแววตาไปธานี |
อยู่ริมที่นอนน้องประคองชม |
ทั้งส้มสูกลูกฝรั่งแลมังคุด |
อีกละมุดสีดาหาไว้ถม |
เจ้าแก้วเอ๋ยลงมาอย่าปรารมภ์ |
น้องจะชมเชยแก้วเจ้าแววตา ฯ |
๏ นกแก้วพลอดออดเสียงสำเนียงเสนาะ |
แม่ฉอเลาะเหลือเอกเหมือนเมขลา |
ฉันอยู่ด้วยฉวยโมโหจะโกรธา |
จะค่อนว่าทาระกำให้ชํ้าใจ |
จะผูกมัดตัดปีกฉวยฉีกแล้ว |
โอ้นกแก้วจะไม่มีที่อาศัย |
มีเจ้านายร้ายเหลือฉันเบื่อใจ |
จะลาไปอยู่ป่าพนาวัน |
ซึ่งส้มสูกลูกพฤกษาจะหาให้ |
ขอบพระทัยที่พระโอษฐ์โปรดหม่อมฉัน |
แม้นจริงจังดังว่าสารพัน |
ให้ลูกจันทน์ฉันนะจ๊ะพระธิดา ฯ |
๏ โอ้เจ้าแก้วแจ้วเสียงสำเนียงพลอด |
สาวจะกอดแก้วรักให้นักหนา |
นํ้าผึ้งเคล้าเข้าตอกใส่จอกมา |
จะป้อนแก้วแววตาอย่าอาดูร ฯ |
๏ นางห้ามแหนแหงนคอสอพลอพลอด |
สาวรักสาวจะกอดเจ้าแก้วกรุ่น |
ไปอยู่วังมั่งมีบริบูรณ์ |
จะเพิ่มพูนผลไม้ล้วนใส่พาน |
นกแก้วพลอดฉอดฉอเลาะหัวเราะมั่ง |
อุแม่เจ้าชาววังช่างปากหวาน |
ฉันพรั่นตัวกลัวนักล้วนยักษ์มาร |
จะล้างผลาญชีวันให้บรรลัย ฯ |
๏ ท้าวจัตุพักตร์ทักทายว่าอ้ายแก้ว |
ช่างพูดแจ้วเจ้าชู้เดิมอยู่ไหน |
พระลูกรักจักเลี้ยงไว้เวียงไชย |
จะจับไปบินโบยมาโดยดี |
แล้วสั่งให้ไพร่พร้อมเข้าล้อมนก |
เจ้าแก้วตกใจนักกลัวยักษี |
โถมถึงองค์นงนุชพระบุตรี |
ซบลงที่ทรวงนางไม่ห่างองค์ |
สร้อยสุดาว่าอย่าร้องประคองอุ้ม |
สไบหุ้มห่อชมสมประสงค์ |
นกแก้วแปลงแกล้งแอบแนบอนงค์ |
แม่โฉมยงช่วยฉันพ้นบรรลัย ฯ |
๏ นางฟังพลอดกอดประทับแล้วรับขวัญ |
ท่านไม่ฆ่าดอกอย่าพรั่นประหวั่นไหว |
นางห้ามแหนแสนสนมกรมใน |
ต่างชอบใจนกแก้วแจ้วเจรจา |
พอเย็นลงองค์ท้าวจัตุพักตร์ |
ชวนลูกรักนักสนมทั้งซ้ายขวา |
ลงสัดจองล่องทะเลขึ้นเภตรา |
แล่นกลับมานัคเรศนิเวศน์วัง ฯ |
๏ ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ |
ถึงปรางค์รัตน์ชื่นชมด้วยสมหวัง |
ให้นกจับกับสุวรรณที่บัลลังก์ |
จึงตรัสสั่งพวกนางช่างข้างใน |
เอาทองคำทำคอนให้นอนจับ |
ที่สำหรับรองของอันผ่องใส |
เลือกส้มสูกลูกฝรั่งทั้งลำไย |
นั่งปอกให้สกุณาไม่อาวรณ์ |
ทำสายสร้อยห้อยหกให้นกจับ |
อยู่ริมกับแท่นสุวรรณบรรจถรณ์ |
พอพลบคํ่ารํ่าพลอดฉอดชะอ้อน |
วันนี้นอนหนาวใจกระไรเลย |
ก็ไหนเล่าสาวรักสาวจะกอด |
หรือมาทอดทิ้งเล่าแม่เจ้าเอ๋ย |
ชื่อว่ารักจักเลี้ยงไว้เคียงเชย |
แล้วจะเลยล่อลวงให้ทรวงตรม ฯ |
๏ นางชอบชื่นยื่นกรให้คอนนก |
มาแอบอกอุ่นจิตสนิทสนม |
นกแก้วเอ๋ยเชยชื่นรื่นอารมณ์ |
เคียงบรรทมทำเหมือนนกปีกปกนาง |
พอเดือนคล้อยสร้อยสุดานิทราหลับ |
อัจกลับส่องแสงแจ้งกระจ่าง |
นกแก้วตื่นยืนยิ้มอยู่ริมคาง |
ค่อยเชยปรางหอมหวนรัญจวนใจ |
พระโอษฐ์เอี่ยมเทียมสีลิ้นจี่จิ้ม |
เหมือนจะยิ้มแย้มรับทั้งหลับใหล |
บรรทมงามทรามสมรอ่อนละไม |
แลวิไลลักขณาวิลาวัณย์ |
จำจะกลายกายเป็นเช่นมนุษย์ |
ประโลมสุดสวาทน้องประคองขวัญ |
ยิ่งเชยชื่นกลืนกลํ้ากลิ่นอำพัน |
สุดจะกลั้นกลืนรักหนักอุรา |
คาบขวดแก้วแล้วออกไปนอกห้อง |
ค่อยบินล่องไปสู่เนินภูผา |
ลงตักนํ้าสำหรับกลับกายา |
แล้วรีบมาปรางค์ทองเข้าห้องใน |
จึงดื่มนํ้ากลํ้ากลืนค่อยชื่นชุ่ม |
กลับเป็นหนุ่มนวลละอองผุดผ่องใส |
ทรงเครื่องพราหมณ์งามประโลมโฉมวิไล |
เข้านั่งใกล้กลอยสวาทบนอาสน์ทอง |
โคมแอร่มแจ่มสว่างกระจ่างพักตร์ |
วิไลลักษณ์ลํ้าสตรีไม่มีสอง |
เข้าเอนแอบแนบนอนกรประคอง |
ถนอมน้องเนื้ออุ่นละมุนละไม ฯ |
๏ พระนุชน้อยสร้อยสุดาผวาหวาด |
เห็นหน่อนาถนึกพรั่นประหวั่นไหว |
นางพลิกผลักหักพระหัตถ์สะบัดสไบ |
พระหน่อไทยุดนางไม่วางกร |
นางเบือนบิดปิดไว้หน่อไทขวาง |
มิให้ห่างจากสุวรรณบรรจถรณ์ |
นางหลีกเลี่ยงเหวี่ยงว้ายชะม้ายค้อน |
พระว่าวอนแล้วประโลมนางโฉมยง |
พี่อุตส่าห์พยายามมาตามน้อง |
ถึงแท่นทองที่บรรทมสมประสงค์ |
ได้เชยชิมนิ่มนุ่มได้อุ้มองค์ |
ถึงปลิดปลงชีวาไม่อาลัย |
ขอเล่าความตามจิตพิศวาส |
ด้วยหมายมาดมอบชีวิตพิสมัย |
ถึงม้วยดินสิ้นฟ้าสุราลัย |
ไม่จากไกลกลอยสวาทแล้วชาตินี้ |
แม่เนื้อหอมจอมนางสำอางโฉม |
ปลื้มประโลมใจชายไม่หน่ายหนี |
แม้นน้องแก้วแววตาไม่ปรานี |
จะฆ่าตีเสียก็ตามเถิดทรามวัย |
จะสู้ตายวายวางในปรางค์รัตน์ |
ไม่วางหัตถ์โฉมยงอย่าสงสัย |
จะกอดนุชสุดสวาทจนขาดใจ |
จึงจะได้ละวางให้ห่างกาย ฯ |
๏ นางฟังคำซํ้ารักให้หนักแน่น |
ที่เคืองแค้นดาลเดือดค่อยเหือดหาย |
เห็นคมขำลํ้าเลิศประเสริฐชาย |
ผิดผู้ร้ายหรือกระษัตริย์ขัตติยา |
เห็นท่วงทีมีฤทธิ์อิทธิเวท |
กำบังเนตรพลนิกายทั้งซ้ายขวา |
มาลอบชมสมเพชเวทนา |
จึงว่าน่าแค้นสุดอย่ายุดมือ |
เมื่ออยู่อยู่จู่มาทำสาหัส |
หรือใครนัดแนะใครเมื่อไรหรือ |
เชิญถอยไปให้ห่างจงวางมือ |
อย่าดึงดื้อนะจะได้ขัดใจกัน |
เป็นเทวามนุษย์หรือครุฑยักษ์ |
มอบลอบลักรักใคร่ช่างไม่ขัน |
ไม่ขอสู่ดูเหมือนนางกลางอารัญ |
จะหมายมั่นเช่นชู้แล้วสู้ตาย |
แม้นสู่ขอต่อองค์พระทรงเดช |
ถ้าโปรดเกศก็จะได้ดังใจหมาย |
มาเลียมลองต้องจับให้อับอาย |
เธอเป็นชายชาติเชื้อเนื้อนามใด ฯ |
๏ พระว่าพี่นี้เป็นพราหมณ์รามราช |
รักษาชาติตามเวทข้างเพศไสย |
มิควรรักศักดิ์ตํ่าแต่นํ้าใจ |
จะใคร่ได้พระธิดาเจ้าธานี |
เป็นคู่เคียงเรียงชมภิรมย์รัก |
ได้เกื้อพักตร์ผ่องพาเป็นราศี |
เหมือนได้เม็ดเพชรรัตน์สวัสดี |
อันตัวพี่ขอเป็นทองไว้รองเรือน |
ไม่ละเมินเหินห่างเห็นนางอื่น |
สักสิบหมื่นสิบแสนไม่แม้นเหมือน |
เป็นความจริงมิ่งมิตรอย่าบิดเบือน |
ช่วยแย้มเยื้อนพักตรามาพาที |
ตัวพี่หรือชื่อสิงหไกรภพ |
ได้เรียนจบไตรเพทวิเศษศรี |
หรือบุญน้อยสร้อยสุดามิปรานี |
ก็ตามทีเถิดจะลายุพาพาล |
ทำถอยไปให้ห่างเห็นนางนิ่ง |
กลับอ้อยอิ่งวิงวอนด้วยอ่อนหวาน |
แม่เนื้อหอมย่อมรู้เรื่องบูราณ |
ในนิทานท้าวพระยาทั้งสากล |
แม้นบุตรีมีมาณพมาสบเนตร |
ก็สังเกตเป็นคู่ด้วยกุศล |
ขอสู้ตายชายใดมิให้ปน |
ถึงสิ้นชนม์ไว้ชื่อให้ลือชา |
นี่พี่ได้ใกล้น้องประคองถนอม |
กลิ่นยังหอมรื่นรื่นชื่นนาสา |
แม่ตัดสวาทขาดเด็ดไม่เมตตา |
เจียวหรือจ๋าดวงใจได้ปรานี |
พลางอิงแอบแนบชิดจุมพิตพักตร์ |
นางข่วนหักข้อพระหัตถ์น่าบัดสี |
มาจ้วงจาบหยาบช้าให้ราคี |
นางเทวีวอนว่าสารพัน |
แม้นมีชู้รู้ถึงองค์พระทรงเดช |
บิตุเรศก็จะฆ่าให้อาสัญ |
มิขออยู่สู้ตายวายชีวัน |
นางก้มกันแสงสะอื้นกลืนนํ้าตา |
พระสวมสอดกอดแอบแนบถนอม |
แม่เนื้อหอมจอมมนุษย์สุดจะหา |
มิให้น้องต้องพระราชอาญา |
จะอุ้มพาเหาะไปเสียไพรวัน |
เที่ยวชมถํ้าลำเนาภูเขาสูง |
มีทั้งฝูงหงส์เหมเกษมสันต์ |
เก็บดอกไม้ในป่าสารพัน |
มิให้ขวัญนัยนาเจ้าอาวรณ์ |
อย่าลืมเลยเคยคู่เป็นกุศล |
บันดาลดลได้ชมสมสมร |
นางเบือนบิดปิดปัดสลัดกร |
ชำเลืองค้อนขวยเขินสะเทิ้นที |
แล้วว่าน้อยหรือคำที่รํ่ารัก |
จะลอบลักเสน่หาแล้วพาหนี |
จะให้ละพระชนกชนนี |
เหมือนไม่มีกตัญญูรู้พระคุณ |
ถึงฆ่าตีชีวิตให้ปลิดปลด |
ไม่คิดคดลดเลี้ยวทำเฉียวฉุน |
เมื่อหมองมัวชั่วช้าไม่การุญ |
ก็ตามบุญเถิดไม่คลาดบาทบงสุ์ ฯ |
๏ พระว่าพี่นี้มิตายถึงวายวอด |
จะสู้กอดทรามสงวนนวลหง |
พลางคลึงเคล้าเล้าโลมนางโฉมยง |
ประคององค์อุ้มแอบแนบนิทรา |
ตระกองกรช้อนชมภิรมย์รื่น |
ถนอมชื่นเชยชิดขนิษฐา |
ปทุมมาลย์บานแย้มแกมผกา |
ภุมราร่อนเคล้าเสาวคนธ์ |
สุนีบาตฟาดเปรี้ยงเสียงสนั่น |
พิลึกลั่นโลกาโกลาหล |
พอฟ้าแลบแปลบสว่างกลางอัมพน |
เป็นสายฝนฟุ้งฟ้าสุธานอง |
เมื่อแรกเริ่มเดิมรักประจักษ์รส |
เห็นโสฬสลิบลิบกระซิบสนอง |
นางนบนอบชอบเชิงละเลิงลอง |
กรประคองชื่นชิดสนิทใน |
นางรู้สึกนึกวิตกเอ๊ะนกแก้ว |
หายเสียแล้วแลไม่เห็นเป็นไฉน |
พระว่าพี่นี้แล้วแก้วกลอยใจ |
นางซักไซ้ซํ้าถามตามสงกา |
พระชี้แจงแจ้งจิตสนิทสนอม |
ไม่หายหอมห่างเหเสน่หา |
จวนจะแจ้งแปลงกายกลายกายา |
เป็นปักษาขึ้นจับอยู่กับคอน |
ครั้นคํ่าแล้วแก้วกลายเป็นชายชื่น |
สำราญรื่นร่วมสุวรรณบรรจถรณ์ |
ข้าหลวงเหล่าสาวสุรางค์ที่นั่งนอน |
ผู้ใดห่อนเห็นเล่ห์เสน่ห์ใน ฯ |