ใกล้อวสาน

ชายชราทอดสายตาออกไปทางช่องลูกกรง มองดูความหม่นหมองโรยราของเช้าวันนั้น อากาศอบอุ่นไปด้วยเมฆฝนมืดคลุ้มคลุมเครือไปทั้งสิบแปดทิศ ไม่มีลม ไม่มีเสียงนก เสียงกาอะไรทั้งนั้น นอกจากเสียงไอลึกๆ ของภรรยาและเสียงลูกร้องไห้ กุหลาบในกระถางกำลังหล่นลงมาทีละกลีบสองกลีบ เหลือติดดอกอยู่เพียง ๓ กลีบเท่านั้น มันเป็นความโรยราของทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ชีวิตและสังขารของมนุษย์เราที่จะต้องสู้กับโลกก็จะต้องสึกกร่อนไปด้วยกาลเวลาเช่นเดียวกัน

ถูกละ! ชีวิตคือการต่อสู้ แต่ก็อ้ายเจ้าความชรานี่แหละ มันทำให้สมองหรือกล้ามเนื้อของเขามันหย่อนคลายจากความกระเหี้ยนกระหือลงไป ชีวิตเต็มไปด้วยความหมาย แต่สำหรับตัวเขาเท่านั้น สำหรับคนอื่นไม่มีคุณค่าอะไร ชีวิตที่ปราศจากทฤษฎีมีแต่ความชำนาญ มันก็ไม่ผิดอะไรกับมีแต่มือที่ปราศจากอาวุธในทางหาเงิน เขาเดินเข้าไปลูบหน้าผากเมียของเขาที่เนื้อหนังกำลังจะจากไปแล้ว ยังอยู่แต่ว่ากระดูกจะเรียกร้องอิสรภาพ ผลักหนังกำพร้าออกมาภายนอกเท่านั้น นี่คือชีวิต ๕๐ ปลายของนักเขียนที่มีชื่อเสียงรุ่งโรจน์มาเมื่อ ๓๐ ปีก่อน

เขาค่อยๆ พยุงร่างอันสูงโปร่ง หลังค่อมเล็กน้อย แววแห่งนักกีฬาของเขาในวัยรุ่นและวัยหนุ่มไม่ได้เหลือไว้ให้ปรากฏในกายของเขาแม้แต่เงาของมัน หัวเข่าที่เคยเหยียดตรงในเวลาหนุ่มเหมือนนักเต้นรำที่สมาร์ท บัดนี้ก็ค่อนข้างเอนและตุปัดตุเป๋ ในบางครั้งเขาก็ร้องเรียกหามัจจุราช ทำไมไม่ลากคอเขาไปลงหลุมเสียสักที แต่แล้วเขาก็คิดได้ว่า ถ้าหากเขาตายไปเสียแล้ว เมียและลูกของเขาล่ะ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ก็ยังเป็นประโยชน์แก่ลูกเมีย อย่างน้อย, ก็ช่วยกันทนทุกข์เวทนา

“ค่ารถมีไหมล่ะ?”

“นี่แหละ! มีอยู่เท่านี้แหละ! -”

“ถ้าอย่างงั้นก็ต้องเดิน - - -”

“อย่าเดินเลยพี่ - -” หล่อนค้านออกมาด้วยเสียงแหบๆ

“ฉันอดได้ - - ขอแต่เหลือค่ายาไว้ให้ฉันสัก ๒ - ๓ ห่อเท่านั้น - - -”

เขามองดูกระดาษห่อยาระงับปวดห่อละสลึงที่ฉีกไว้เกลื่อนรอบที่นอนของหล่อน แล้วก็ถอนหายใจ หล่อนติดยาพวกนี้เสียเหมือนติดฝิ่น

“เธออาจอดได้ แต่อ้ายลูกนี่แหละ! เอาเถอะ! ฉันเดินไป ยุติธรรมที่สุด...”

เครื่องแต่งตัวของเขาไม่ถึงปะชุน แต่ทว่ามันอ่อนความสะอาดไปเล็กน้อย เสื้อสีขาวและกางเกงผ้าลายสองสีขาวเหมือนกัน แต่บัดนี้เจ้าสีไข่ไก่กำลังจะแทรกแซงเข้ามาทำให้มันเปลี่ยนสีไป รองเท้าที่ข้างบนยังบอกทีท่าว่าจะเป็นรองเท้าชั้นแนวหน้า แต่พื้นของมันรองไว้ด้วยกระดาษแข็ง ถ้าไม่มีกระดาษแข็งรองแน่นอนทีเดียวเท้าของเขาจะต้องเปรอะโคลน หรือไม่ก็เหยียบก้นบุหรี่

“อ้ายโรงพิมพ์แรกที่ฉันจะไปนี่น่ะ - -” เขาเอ่ยขึ้นในขณะที่นั่งลงใส่รองเท้า

“ทำไมพี่?-” หล่อนถามด้วยความสงสัย

“ก็ไม่มีร้านค้าขายอะไรเลยน่ะซีจ๊ะ! มีแต่ถนนต้นไม้แล้วก็รถรางสายเดียวเท่านั้น”

“แล้วทำไมล่ะคะพี่?-” หล่อนถามต่อไปอีก

“ถ้ามีร้านขายของเราก็จะได้แวะดูโน่นดูนี่ทำเป็นว่าเที่ยวเดินหาซื้ออะไรต่ออะไรไปตามเรื่องของคนมีสตางค์ อ้ายที่เราต้องเดินไปเรื่อยๆ เพื่อนฝูงมันนั่งรถแท็กซี่หรือส่วนตัวมองมาเห็นเข้าก็จะแย่ - มันก็จะพูดกันต่อๆ ไปว่า อ้ายกฤษณ์แย่เสียแล้ว เห็นมันเดินย่ำอยู่ที่โน่นที่นี่ - -”

“ก็พี่ขึ้นรถรางซีคะ ซ่อนหน้าของเราไว้ให้ดี - -”

“เวลามีเราก็ขึ้นแท็กซี่เสียจนเคยตัว - -” เขาบ่นพึมพำ

“ต้นฉบับพี่เอาไปแล้วหรือ?” หล่อนถามด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม

“ต้นฉบับอยู่ที่เขาแล้ว - เขานัดไปฟังวันนี้ -”

เขาออกจากบ้านและถอนหายใจเฮือกออกมาด้วยความหนักอก เขาเดินเรื่อยๆ ไปตามถนนที่คับคั่งอบอุ่นไปด้วยชุมชนและห้างร้านตู้โชว์สินค้า เมื่อเห็นว่าไม่ดีอาจพบคนนั้นคนนี้เข้า เขาก็จะแวะเข้าไปที่ตู้โชว์แล้วมองดูสินค้าเสียอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตลอดจนราคาของมัน โดยไม่มีความหมายอะไรเลยแม้แต่น้อยเดียว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีเงินหรือมีเงินเต็มกระเป๋าก็ตาม ที่เหลือคือชีวิต - ชีวิตที่ต้องต่อสู้ขับเคี่ยวเคี้ยวฟันกันไปตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง แม้แต่ในเวลาหลับก็ยังฝันถึงการต่อสู้เสียอีก เขาถอนหายใจเฮือกออกมาในขณะที่เพื่อนฝูงรุ่นหนุ่มยกมือโบกให้เขาอย่างจริงใจขณะที่เขานั่งรถยนต์ผ่านมา ในขณะที่เขาเห็นแล้วออกมาจากตู้โชว์สินค้า อย่างน้อยหมอนั่นคงคิดว่าเขาเข้าไปซื้อของ ไม่ใช่เดินทางไกลอย่างลูกเสือแล้วเลยแรมคืนเสียตามข้างถนน

อุกฤษณ์พยายามหอบหิ้วสังขารอันผอมโซของเขามาถึงโรงพิมพ์จนได้ ด้วยการแอบขึ้นรถรางอย่างเงียบๆ และซุกตัวของเขาลงไปข้างๆ ยายซิ้มที่มีเข่งใหญ่ๆ วางไว้บนตักของแก กำลังส่งเสียงโขมงอยู่ด้วยกันกับเพื่อนซิ้มของแก เขานั่งไปสักพักก็เก้กังลงไปทางท้ายรถและก้าวลงมาเมื่อรถหยุด เขายืนคิดถึงปมด้อยต่างๆ ในตัวของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็กลั้นใจเดินเข้าไป โดยข่มเอาความประหม่าให้หมดสิ้นไปเสีย เมื่อเขาขึ้นไปบนสำนักงานก็แลเห็นผู้คนบนกองบรรณาธิการช่างมากมายหลายคนเสียงจริงๆ ทุกคนนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับงานของเขาอย่างคร่ำเคร่ง ในสำนักงานเงียบเหมือนคนตาย ปมด้อยของเขาน่ะหรือมันก็ไม่มีอะไรมาก - นอกจากความชราของเขาเท่านั้นเอง สิ่งที่จะปลอบใจเขาได้ก็คือสิ่งเดียวเท่านั้น เมื่อนึกถึงปมต้อยของเขา นั่นคือชอว์นักประพันธ์เอกมีอายุอยู่ได้ถึง ๙๔ ปีจึงตาย แต่นี่เขายังไม่ถึง ๖๐ ปีเขาจะต้องไปกลัวอะไร ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่งซึ่งมองด้วยนัยน์ตาเปล่าไม่เห็นได้ก็ตาม เขาเริ่มปลอบใจตัวเองหนักยิ่งขึ้นไปอีกในขณะที่เดินผ่านนักหนังสือพิมพ์อันมีชื่อเสียงลือลั่นเหล่านั้น เขานึกถึงนักประพันธ์ใหญ่ทั้งหลายของโลกที่โดยมากเกิดมาอย่างยากจน เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำเค็ญและแร้นแค้น ในชีวิตเต็มไปด้วยความผิดหวังเสมอมา และความผิดหวังเหล่านั้นเป็นโรคประจำตัวที่บังคับให้เขาดิ้นรนต่อสู้กับมันอย่างไม่กลัวตาย เขาคิดฟุ้งซ่านอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งมายืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะบรรณาธิการรูปหล่อร่างสมาร์ท อายุอยู่ในราว ๒๕ ปีปลาย

“นั่งซีครับ คุณกฤษณ์ - - -” เขาเชิญและชี้เก้าอี้ให้ สายตาของเขายังจับอยู่ตัวหนังสือในกระดาษด้วยความรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

“มาฟังเรื่อง - เรื่องสั้นของคุณใช่ไหม?”

“ใช่ครับ! คุณนัดให้ผมมาวันนี้ - -”

เขาเหลือกนัยน์ตาขึ้นมองดูหัวคิ้วของเขาเล็กน้อย แล้วก็เอี้ยวตัวไปชักลิ้นชักบนสุดทางขวามือหยิบเอาต้นฉบับของเขาออกมา

“เรื่องสินในกระดาษใช่ไหมครับ?”

“ถูกละครับ นั่นคือเรื่องของผมเอง - -” กฤษณ์ตอบ

“ขอโทษ อายุได้เท่าไหร่แล้วครับ - -” เขาถามต่อไปอีก

“ผมไม่ค่อยได้เอาใจใส่เรื่องอายุนักหรอกครับ” เขาตอบ

“มันจะทำให้คนเราแก่เร็ว - ผมเองก็จวนจะเข้า ๖๐ อยู่แล้ว...”

“๖๐ - บา” เขาร้องและยิ้มด้วยความขบขัน

“เรื่องของคุณถึงได้ไม่มีโรแมนติกเอาเสียเลย - จริงครับ! - -”

“ผมไม่ได้คิดที่จะเขียนอย่างนั้น - -” เขาตอบ

“บรรยากาศก็ไม่มี - -” เขาพูดพึมพำแต่ค่อนข้างดังมาก

เลือดขึ้นหน้าเขาจนร้อนผ่าว แต่แล้วก็พยายามข่มมันเสีย

“ไม่มีบรรยากาศมันจะเป็นเรื่องนิยายออกมายังไงได้ครับ?” เขาค้านเสียงอ่อนน้อม

“เมื่อคืนนี้ผมอ่านอยู่จนดึก - -” เขาเลื่อนต้นฉบับมาไว้ตรงหน้ากฤษณ์

“ไม่ได้ขนาดคุณ - อ้า ทำไมคุณไม่เขียนอย่าง...”

เขาจาระไนนักเขียนทั้งบุรุษและสตรีมาให้ฟังหลายชื่อด้วยกัน แล้วก็ชะโงกหน้าเข้ามาถามอย่างจะให้เป็นกันเองที่สุด

“คุณรู้ไหมครับคุณกฤษณ์ว่าชื่อเสียงของคุณกำลังตกลงไป - -”

“ครับ มันก็เหมือนกับน้ำในเหยือกที่เขาดื่มมันเข้าไปจนเกือบจะหมดแล้วไม่ค่อยได้เติมมัน - -”

“เติมมันซีคุณ! อ่านมันเข้าไปเลียนแบบมันเข้าไป ลอกมันเอามาทั้งกระบิๆ ไม่เห็นมีใครเขาจะมาว่าอะไรเรา ตลาดหนังสือเมืองไทยเป็นแต่เพียงจุดเล็กๆ ที่ไม่มีใครเอาใจใส่ จะลอกคิดเอามาทั้งเล่มก็ไม่มีใครเขาว่ากระไร เมื่อเร็วๆ นี้เจ้าของสำนักพิมพ์ในเมืองไทยต้องการพิมพ์หนังสือทางศาสนาเล่มหนึ่งออกจำหน่าย เจ้าของลิขสิทธิ์คิดค่าลิขสิทธิ์ของเขาแต่เพียงพระพุทธรูป ๑ องค์ กับผ้าพันคอชนิดที่ทำในเมืองไทยมีรูปช้างเผือกกับเนกไทชนิดเดียวกันอย่างละ ๑ ผืนเท่านั้นเอง - อย่ามัวคิดเอาเองอยู่เลยคุณ - -”

“แต่ว่าขอโทษเถอะครับ!” กฤษณ์ตอบออกไปด้วยเสียงอันเศร้าๆ

“ในกระท่อมของพ่อของผม มีอาคาร เคหาสน์ มีปรัชญา อภิปรัชญา มาไว้ให้พร้อมแล้ว สุดแต่ว่าผมจะตักตวงเอาตามชอบใจ”

“เอาละ แปลว่าคุณต้องการพรจากผู้ให้กำเนิดหรือพรสวรรค์อะไรก็ตามใจของคุณ” เขาพูดต่อไปอีก มือก็ลูบไล้กันไปมาอยู่ตลอดเวลา

“เมื่อคืนนี้ผมอ่านเรื่องของคุณอยู่จนดึก เราจะได้พูดกันถึงเรื่องไคลแมกซ์ของมันต่อไป เรื่องของคุณนอกจากจะไม่มีบรรยากาศแล้ว ผมยังมองหาไม่พบว่าไคลแมกซ์มันอยู่ที่ไหนกัน พระเอกของคุณเป็นนักดนตรีไทย หลงรักนางเอกเสียจนบรรยายความรัก ความโศกเศร้า ความสูญเสียและหมดหวังลงไปในเสียงซอได้ เสียงซอที่พระเอกสีมีอิทธิพลพอที่จะทำให้ใบไม้พลิกใบและทำให้แมลงหยุดเสียงฮัมของมันเพื่อจะออกจากรัง หรือหยุดชะงักเมื่อถึงเกสรดอกไม้ มันเป็นที่น่าเสียดายอะไรเช่นนั้นที่คุณไปอ้างถึงบูรพาจารย์ที่มนุษย์ปุถุชนส่วนมากคนอ่านเขาไม่รู้จัก เช่น ครูหนู ครูมีแขก ในต้นรัชกาลที่ ๒ - -”

“เพราะครูหนูและครูมีแขกแต่งเพลงอมตะไว้มาก” กฤษณ์ตอบออกไปด้วยเสียงเศร้าๆ ภาพของเมียยอดที่รักฉายปราดเข้ามาในความคำนึงของเขา ผ่ายผอมเหยเกอะไรเช่นนั้น

“พญาโศก ทยอยนอก เชิดจีน ทยอยใน หรือสารถีเชิดนอก -- ฯลฯ เพลงเหล่านี้เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ตายยังเล่นกันอยู่ และจะเล่นไปจนคนไทยกลายชาติเป็นฝรั่งไปหมด”

“ในความหมายของคุณอาจเยาะเย้ยคนอ่านมากเกินไป -” เขาร้องออกมาด้วยความเดือดดาล

“คุณอาจรักดนตรีไทย รักคนไทย และประเพณี แต่อย่าลืมว่านวนิยายนะคุณ คุณแปลให้ดีว่า “นว” แปลว่า ใหม่”

“ครับผมรู้จัก” เขาพูดหน้าเศร้าๆ

“กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้บัญญัติศัพท์ขึ้นพร้อมๆ กับคำที่ใช้ว่า “สันทัดกรณี - -”

“ก็ถ้าเช่นนั้นทำไมคุณถึงได้ไปหลงอ้างอยู่แต่ครูหนู ครูมีแขก จางวางสอน จางวางถั่ว หรือพระยาเสนาะ พระยาประสาน ทำไมคุณจึงไม่อ้างถึงบีโทเฟน ไชคอฟสกี ชูแบร์ท โชแบ่ง บาค หรือโยฮันน์ สเตราซ์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นที่เชิดชูหัวใจของคนอ่าน เมื่อเอ่ยชื่อถึงปุบเขาก็จะยกไหล่ปับขึ้นมาทันทีว่าเขาชอบเพลงของท่านพวกนี้ - -”

“ถูกละครับ มันกล่อมคนฟังไม่เป็นให้หลับดีนัก -” เขายิ้มออกมาได้อย่างแท้จริง แต่แล้วก็กลับหน้าแห้งและเหยเกไปตามเดิม

“นักดนตรีในเรื่องของคุณ - คุณอย่าคิดนะครับว่าผมจะไม่อ่านเรื่องของคุณโดยละเอียดและถี่ถ้วน ผมเป็นบรรณาธิการ อายุของผมก็เพียง ๒๕ ปีเท่านั้น ผมจะป้อนเรื่องไปสู่ประชาชน ผมจะต้องอ่านและพินิจพิจารณาโดยรอบคอบเสมอ พระเอกของคุณได้รับความกระทบกระเทือนในอาชีพ เพราะเครื่องขยายเสียงและวิทยุ เพราะรัฐบาลสนับสนุนเพลงสากล พระเอกของคุณต้องไปรับจ้างสีซอให้แก่นักแต่งเพลงไทยสากลเดือนละ ๓๐๐ บาท พูดให้ถูกคือวันละ ๑๐ บาท ได้อาหารกลางวัน ๑ มื้อ นักแต่งเพลงสั่งเครื่องดื่มให้บ้างตามสมควรในเวลาที่เขากินกลางวันกัน และได้เหล้าในเวลาเย็น แล้วไปยืนฟังจานเสียงเก่าๆ ที่ได้เคยเดี่ยวเอาไว้ นั่นคืออะไร?”

“นั่นผมแสดงให้คุณเห็นว่า - - นักดนตรีไทยถูกเขาเหยียบย่ำลงไปเพียงใด? เขาเอานักดนตรีไทยไปสีซอให้เขาฟังเพลงแล้วเพลงเล่า เพลงอะไรก็ได้ จิปาถะ พอถูกหูเขาเข้า เขาจะบอกให้หยุดทันที แล้วบอกให้สีเพลงนั้น ตอนนั้นใหม่ - - แล้วเขาเอาอ้ายตรงนั้นแหละไปอะเรนจ์เอาเป็นเพลงสากลไปเสียอย่างง่ายดาย- -”

“ถ้าจะมีสิ่งน่าชมอยู่บ้าง ผมก็จะต้องขอชมนางเอก - ” บรรณาธิการพูดต่อไปอีก

“ผมเห็นนางเอกเท่านั้นที่ฉลาด และเล็งผลเลิศ ถ้าเขาหลงรักนายพระเอกเพลงไทยคนนั้นไม่หันไปรักนายวงดนตรีแจ๊สเสียเขาต้องแย่ เขาก็จะต้องอดตายเพราะนายนักดนตรีไทยคนนั้น แล้วต่อไปอย่างไรล่ะ? อ้อ! นึกออกละ นายนักดนตรีไทยเลยช้ำใจตายด้วยพิษสุรา เพราะเพลงที่เขาสีส่งๆ ให้นักดนตรีสากลฟัง มันดันไปได้รับรางวัลการประกวดเพลงครั้งใหญ่ที่กรมศิลปากร และเมื่อตายไปแล้วนางเอกที่ได้ถูกทอดทิ้งก็เลยคลั่งเพลงๆ นั้น เพราะรู้ดีว่าเป็นเพลงที่ยอดชายของหล่อนแต่ง ไม่ใช่นายวงดนตรีสามีของหล่อนแต่ง - หล่อนเลยร้องเพลงๆ นั้นจนหล่อนเจ็บหนัก - ผมยังมองไม่เห็นว่าคนเจ็บหนักจะมีกะใจพึมพำฮัมเพลงนั้นออกมาได้อย่างไร?”

เก้าอี้อันบอบบางที่เขานั่งถูกปัดให้เลื่อนออกไปข้างหลังด้วยกำลังแรง ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เขายืนขึ้นบนขาของเขาเอง หน้าร้อนผ่าวเหมือนคนดื่มเหล้าครั้งแรกในชีวิต ไหล่ของเขายกขึ้นอีกน้อยๆ ผายออก นัยน์ตาแดงเข้มและจ้องจับไปยังบรรณาธิการหนุ่มน้อยนั้น เขากระชากต้นฉบับกลับมาจากบนโต๊ะ

“ที่จริงถ้าคุณจะบอกผมว่า คุณไม่ต้องการเรื่องของผม - ผมก็จะได้ไปยังสำนักอื่นอีกต่อไป” เขาพูดออกมาด้วยเสียงอันเครือ

“ผมแก่แล้ว - จริงอย่างคุณว่า อายุของผมก็เกือบจะ ๖๐ ปีแล้วเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ที่ได้รับสัญญาณมรณะมากับพายุหรือสายน้ำ ผมเกิดมาในโลกหนังสือได้ก็เพราะเพื่อน - แต่นั่นแหละครับ! ถ้าเรื่องของเราเลว เพื่อนเขาก็ช่วยไม่ไหวเหมือนกัน - -”

“คุณไปเขียนมาใหม่ครับ! ผมยินดีเสมอ! ขอให้เอาบรรยากาศแห่งสังคมสูงๆ ยิ่งดี ภูมิประเทศ เหตุผล บุคคล เวลาเอาชนิดที่ยังเป็นๆ อยู่ และดนตรีก็จะต้องใหม่เอี่ยมมาจากอเมริกาหรือยุโรป ไม่ใช่ครูหนู ครูมีแขก อย่างที่คุณว่า พญาโศกก็ไม่ใช่ท็อปฮิต คนอ่านต้องการแมมโบ คุณไปเอาเพลงเร็วของไทยมาเปรียบกันไม่ได้ คนอ่านต้องการผลไม้สด คุณไปเอาผลไม้กวนมาให้เขารับประทานก็แย่ - - คุณเขียนมาซี - เขียนมาใหม่ - เขียนแบบเรื่องสั้นที่ผมแปลงไปเมื่อเร็วๆ นี้ เขียนแบบนั่นแหละ! แล้วผมจะโฆษณาให้ ผมโฆษณาอย่างไร? คุณรู้ดีแล้ว นักเขียนกี่คนแล้วที่มีชื่อเสียงขึ้นมาได้ เพราะการโฆษณาของผม - -”

เขาเดินเซซังกลับมาบ้าน เขาได้ยินเสียงตวาดอย่างหยาบคายที่สุดดังมาจากรถราง ในเมื่อเขาต้องหมุนห้ามล้อเสียจนตัวงอ เขาไม่ได้ยินกระดิ่งระฆังรถ เขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงแตรไฟฟ้าจากรถยนต์ อุกฤษณ์หรือลุงกฤษณ์ผู้เป็นไม้ใกล้ฝั่งตายไปครึ่งตัว เมื่อเขาหวนคิดไปถึงเมียผู้เจ็บกระเสาะกระแสะ และลูกที่ไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะเครื่องแต่งตัวไม่มีและหนังสือไม่ครบ ครูเร่งค่าเทอมมาไม่รู้ว่ากี่ครั้งกี่หน

เมื่อเขากลับเข้าไปในบ้าน และปิดประตูตามหลังเข้าไป กฤษณ์ยืนงันงกตกตะลึง เมียของเขาคว่ำหน้าอยู่ ลูกนั่งร้องไห้ข้างๆ อยู่ ๒ คน เจ้าคนใหญ่หายหัวออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า เขารีบพรวดเข้าไปหาร่างของเมียของเขาอย่างงกเงิ่น แล้วเงยหน้าขึ้นมองดูเพดานในขณะที่คลำดูชีพจรของเมีย

“ยังไม่ตาย -” เขากระซิบบอกตัวเอง แต่ลูกๆ ก็ดูเหมือนจะได้ยินด้วย

เขารีบค้นหายาห่อละสลึง เป็นคราวเคราะห์ดีที่ยังมีเหลืออยู่อีกห่อหนึ่ง เขารีบง้างขากรรไกรเมียของเขาออกและเทยาห่อนั้นลงไป หยิบขันอะลูมิเนียมเทน้ำเข้าไปในปาก คนเจ็บครางเล็กน้อยและลืมตาขึ้น หล่อนลืมตาโพลงขึ้นมองดูเขา

“สำเร็จไหมพี่?” เป็นเสียงถามที่เขาได้ยินเป็นครั้งแรก

“เขาไม่อยู่ -” นี่เป็นคำตอบที่เขามีไว้เสมอสำหรับจะปลอบโยนเมียของเขา

“ประเดี๋ยวพี่ก็ต้องออกไปอีก - - แวะมาดูเธอเสียก่อน....”

“เป็นลมไป --” หล่อนตอบช้าๆ แล้วก็ทิ้งศีรษะลงบนหมอน

เขายืนนิ่งตัวแข็งและเย็นซีดเหมือนหินอ่อน

“นี่วาระสุดท้ายจะมาถึงอาตมาเสียแล้วหรือ? ไม่มีพระเจ้าหรือเทวดาองค์ไหนยื่นมือเข้ามาช่วยชายชราผู้ร่างกายอ่อนเปลี้ยและสมองเหนื่อยล้าอย่างอาตมานี้บ้างเลยทีเดียวหรือ?”

เขามองดูเพดานที่โหว่ มองดูแล้วมองดูอีก

“กูไม่เคยตายเลยนี่หว่า - -” เขาร้องบอกตัวเองออกมาอย่างดุดัน

ยังไม่ทันขาดคำของเขาที่คิดในใจ บานประตูห้องก็ถูกทุบดังๆ ๒ - ๓ ครั้ง

“คุณอุกฤษณ์อยู่หรือเปล่า?” เขานิ่งหน้าขาวเหมือนกระดาษ พาร่างอันเหมือนไม่มีวิญญาณเดินเข้าไปหาประตูและเปิดออก

“ค่าอะไรครับ?-” เขาถามออกไปดื้อๆ

“ถึงแม้ว่าหนี้ที่จะต้องใช้ให้กันด้วยชีวิต ผมก็จะยอมเสียชีวิต - ผมจะชำระหนี้ใครไม่ได้ทั้งนั้นในเวลานี้ ชำระไม่ได้จริงๆ, - โน่น คุณดูโน่นเมียผม - เมียผมกำลังนอนแบบ กำลังยืนคิดอยู่เดี๋ยวนี้ครับ - ว่าผมจะได้ยาบำรุงหัวใจที่ไหนสักเข็มหนึ่ง เขาเคยหาย...”

“ภรรยาของคุณ?”

“ครับถูกแล้ว -” เขาตอบ

“ขอโทษคุณมาจากรายไหน?”

“คุณอุกฤษณ์ -” เขาหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

“ผมไม่ได้มาทวงหนี้คุณ – คุณกำลังจะเข้าใจผิดเสียแล้ว ผมติดตามคุณมาจากโรงพิมพ์ กวดคุณติดๆ มา เอ๊ะ! พอผมเอารถออกคุณขึ้นรถอะไรไม่รู้ ผมเลยขับเดาสุ่มมองตามรถรางบ้างรถเมล์บ้างไม่พบคุณ ผมเลยแวะไปถามเจ้ายอดเพื่อนของคุณ ผมเลยตามมาที่นี่ - นี่แน่ะ! คุณจัดการเรื่องยาบำรุงหัวใจเสียก่อนเถอะ! นี่เงิน - - -”

เขาตกตะลึงพรึงเพริด เขาร้องเรียกหาเทวดาและพระช่วยเหลือเขาจนได้ เขารีบส่งเงินให้ลูกเพื่อซื้อยาห่อละสลึงมาโดยเร็ว

“กินยานี่ประทังไว้ก่อนครับ” เขาตอบเมื่อซายหนุ่มผู้นั้นถามขึ้น

“พูดธุระของคุณเสียก่อน”

“บุหรี่ซีครับ” เขาเปิดซองบุหรี่ทองคำและยื่นให้อุกฤษณ์ ตัวเขาเองจุดสูบมวนหนึ่ง

“ผมชื่อบรรจงไงครับ เป็นผู้จัดการหนังสือพิมพ์สุขสันติที่คุณเอาเรื่องไปขายเมื่อสักครู่นี้ -”

“ขอโทษ คุณจะให้ผมช่วยอะไรได้บ้าง?” เขาถามขึ้นอีก

“ครับ เรื่องผมมันก็คงจะเก่าคร่ำเกินไป - เหมือนตัวผมน่ะแหละ!”

“ขอโทษนะครับ คุณกฤษณ์ต้องการชื่อเสียง หรือเงิน?”

“ผมต้องการทั้งสองอย่าง - -”

“แต่อย่างแรกคุณมีแล้ว” เขาพูดและหัวเราะ

“คุณจะต้องการมันไปทำอะไรอีก”

“แต่มันกำลังจะตก - -” เขาพูดช้าๆ

“แต่อ้ายเรื่องชื่อเสียงผมเบื่อหน่ายเหมือนกัน พูดกันง่ายๆ ก็คือ มันกินเข้าไปไม่ได้ มันรักษาโรคไม่ได้ และมันไม่อาจบันดาลอะไรทั้งสิ้น - - -”

“คุณกฤษณ์ -” เขาเรียกชื่อกฤษณ์อย่างกระดากๆ

“คุณเป็นผู้แก้ปัญหาชีวิตให้แก่ผมสักทีได้ไหม? ผมเป็นคนที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรกับใครเขาเลย แต่ในเรื่องเงินผมพอมีจากงานของผมบ้าง จากมรดกบ้าง ผมเป็นผู้จัดการก็จริง แต่ผมมีหุ้นส่วนในหนังสือฉบับนั้นเกือบ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เงินพันเงินหมื่นผมพอหยิบฉวย - แล้วทีนี้ผมมันบ้า - ผมมันไม่เจียมตัว ผมเสือกไปรักเอานักเขียนที่มีชื่อเสียงเข้า หล่อนเป็นนักเขียนคนเดียวที่ขึ้นหน้าขึ้นตาอยู่ในเวลานี้ และเป็นที่น่าอิจฉาริษยาแก่นักเขียนอื่นทั่วไป ผมรักเธอ ผมรักอย่างยอดบูชา ถ้าในโลกนี้ผมมีอะไรที่จะสละให้เธอได้ ผมจะสละให้แก่เธอทั้งหมด เพื่อบูชาความรักของเธอ - - -”

“เธอรู้อยู่แล้วหรือยังว่าคุณรักเธอ?”

“ก็อาจรู้อยู่บ้าง” เขาตอบแบ่งรับแบ่งสู้

“แต่เธอเป็นคนมีอุดมคติสูง - เธอเป็นของอุดมคติ ถ้าเธอรักใคร คนเช่นนี้ย่อมเป็นแม่พระของคนๆ นั้น ผมจึงรักเธอ แต่อุปสรรคที่เป็นกำแพงกั้นหน้าผมไว้ มันไม่ใช่ฐานะหรือเงินทอง มันคือศิลปะของเธอ หรือศิลปินอย่างเธอ แล้วผมไม่ได้รับพรอะไรเลย ผมจะเป็นอย่างเธอกระไรได้ - ผมพยายามนะครับ ผมเขียนแล้วเขียนเล่า เขาแนะนำมาว่า จะเป็นนักเขียนก็ต้องอ่านให้มาก ผมก็อ่านมากครับ อ่านจนหนังสือมันอ่านผมจนหลับไป แล้วผมก็เริ่มเขียน - แต่ก็ทำไปไม่ได้สำเร็จ จะขึ้นต้นยังไงผมยังไม่รู้เลย แม้จะนึกชื่อตัวละครก็นึกไม่ออก จะเขียนจดหมายไปสารภาพกับเธอก็ไม่กล้า เพราะเธอเป็นนักประพันธ์ เดี๋ยวอ่านจดหมายของผมเข้าเธอรากแตกตาย - - -”

“ผมช่วยอะไรได้บ้างก็โปรดเถอะนะครับ” เขาพูดออกมาด้วยความจริงใจ

“สิ่งที่คุณจะช่วยผมได้ก็คือว่า คุณขายต้นฉบับของคุณให้แก่ผม --.” ”

“ก็บรรณาธิการท่านไม่รับแล้วนี่ครับ - -”

“มิได้ครับ! นั่นคนละเรื่อง” เขาพูดแล้วเกยข้อศอกลงกับเข่าของเขา

“ผมจะซื้อเรื่องของคุณกฤษณ์ กี่เรื่องๆ ผมซื้อหมดถ้าคุณจะยอมขายให้ผม ใช้ชื่อของผมเองเป็นผู้เขียน เรื่องนั้นผมจะเอาลงในสุขสันติเสียก่อน และเมื่อผมออกหนังสือพิมพ์เป็นส่วนตัวของผมเอง ผมก็จะเอาลงเป็นประจำเลยทีเดียว - คุณมีชื่อเสียงแล้ว คุณบากบั่นมาด้วยยากผมรู้ - แต่ถ้าคุณจะช่วยเหลือผมบ้าง - ความรักของผมอาจมีหวัง - ในเมื่อเธอเห็นว่า - ผมมีอุดมคติเท่าเทียมเธอ - -”

เขาหัวเราะ! หัวเราะออกมาอย่างขบขันแล้วก็หยิบต้นฉบับยื่นให้เขาโดยเร็ว

“ชื่อเสียงของผมมีแล้ว เดี๋ยวนี้ผมต้องการเงิน - ผมยอมเป็นมวยล้มเพื่อคุณ -”

“เพื่อให้ผมขึ้นเวทีอุดมคติ - และสู้กับเธอต่อไป -”

“คุณให้ผมมากเกินไป - เกินราคาของที่นั่น - -” กฤษณ์นับเงินดูแล้วจะส่งคืน

“ผมคิดว่านี่ยังน้อยไปเสียอีก - เพราะว่าความดีจากเรื่องนี้มันจะเป็นของผมไม่ใช่เป็นของคุณ” เขาพูดแล้วคลี่ต้นฉบับออกดู

“สินในกระดาษ - คุณช่วยเปลี่ยนให้ผมที เปลี่ยนชื่อ ส่วนนามปากกาผมจะใช้ชื่อจริงของผม - บรรจง ธรรมชาติ - คุณเขียนไว้ให้ผมอีก ลาละครับ! อีก ๒ วันผมจะมา -”

แสงสว่างสาดโครมเข้ามาในห้องอันมืดทึบ ความหม่นหมองโรยราเริ่มหายไปพร้อมด้วยความมืดและอับแสง เขาพุ่งสายตาออกไปทางลูกกรง กลีบกุหลาบหล่นร่วงลงไปจากดอกสิ้นแล้ว เหลือแต่เกสรอันดำคล้ำเหมือนยาเส้น ทันทีนั้นเองเขาก็พบดอกใหม่ที่กำลังตูม ชูดอกบังใบอยู่อีกดอกหนึ่ง ในเวลา ๒ หรือ ๓ วันข้างหน้ามันก็คงจะบาน เครื่องแต่งตัวถูกไถ่ถอนออกมาจากโรงจำนำ พร้อมด้วยสร้อยของเมียเขา เด็กๆ หน้าตาเปล่งปลั่งและได้ไปโรงเรียนกันตามปกติ

เขาเริ่มเขียน - เขียน - เขียน - แล้วก็เขียน และเมื่อบรรจง ธรรมชาติ มาหาเขา เขาก็จะได้รับเงิน พร้อมทั้งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่ลงเรื่องของเขา แต่มีชื่อผู้เขียนว่า บรรจง ธรรมชาติ เขาได้โต๊ะใหม่ตัวงาม ๓ ลิ้นชัก ได้เก้าอี้รับแขก ได้สิ่งที่เขายังไม่เคยมีอีกหลายอย่าง

“เธอนึกถึงพระเจ้ากับเทวดาองค์ไหน?” เมียของเขาถามขึ้นและเขย่ายาห่อละสลึงเข้าไปในปาก

“ฉันไม่ได้เจาะจงว่าเป็นพระเจ้าองค์ไหน หรือเทวดาองค์ไหน” เขาตอบ

“ฉันเพียงแต่บ่นเท่านั้นแหละ บ่นว่าท่านช่างไม่ช่วยคนแก่อายุ ๖๐ อย่างฉันเสียบ้างเลย”

“ฉันจะนึกบ้างละนะ!”

พอขาดคำพูดของหล่อน เสียงบานประตูก็ถูกเคาะหนักๆ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเขา บรรจง ธรรมชาติ เขายืนยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ที่หน้าประตู และยื่นบัตรเชิญในงานวิวาห์ให้แก่อุกฤษณ์

“ผมจะไม่ยอมลืมคุณอุกฤษณ์เป็นอันขาด” เขาพูดละล่ำละลัก

“เธอยอมรับความรักของคุณหรือครับ?” เขาถามเสียงอ่อยๆ

“ครับ” เขาตอบ

“แต่เธอเอาคำมั่นสัญญากับผมว่า - ถ้าแต่งงานกับผมแล้วขอให้ผมเลิกเป็นนักประพันธ์ - และตัวเธอเองก็จะเลิกเหมือนกัน...”

หน้าอันเหี่ยวย่นของชายชราอายุ ๖๐ ปีขาวลงไปทันทีทันใด หันไปมองดูหน้าเมียของเขาเหมือนคนจะร้องไห้ ซึ่งเมียของกฤษณ์เองก็ตกตะลึงพรึงเพริดเช่นเดียวกัน

“แต่อย่าเพิ่งตกใจ...” บรรจงพูดต่อไปอีก

“ผมมีงานฝ่ายจัดการให้คุณทำ”

“โอ! พระคุณช่วย!...” ภรรยาของเขาร้องออกมาทั้งน้ำตา

ในวันแต่งงาน ชายชราอายุ ๖๐ ปี กับภรรยาอายุ ๕๘ ของเขาก้าวขึ้นบนรถเก๋งคันใหญ่ด้วยท่าทางอันกระฉับกระเฉง สั่งคนขับรถให้ออกรถได้ เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบและส่งให้เมียมวนหนึ่ง หล่อนยกขาไขว่ห้างยิ้มน้อยๆ และมองดูสามีพลางนับนิ้วมือของหล่อนช้าๆ “๕ ปีแล้วนะคุณ! ๕ ปีทีเดียวนะ! ที่เราได้ออกนอกบ้านพร้อมกัน” ○

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ