กากมนุษยธรรม
เกียรติยศ - อ้าฮา ท่านเอ๋ย มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ชายเราเพียงใด เกียรติยศมันคือ น้ำตาเท่านั้นที่จะบอกความเจ็บปวดของลูกผู้ชายเรา เปล่าหามิได้ มันไม่ได้มีเฉพาะในวงสังคมอันสูงส่งของลูกผู้ชายชนิดวิสกี้โซดาเท่านั้น ทุกหัวระแหงทุกมุมโลกแม้ในวงกัญชามหาละลาย เกียรติยศก็มีความหมายอยู่ในตัวของมันเองเท่าเทียมกัน
แม้มันจะเป็นเวลานานปีมาแล้ว แต่ก็ยากที่จะลืมมันเสียได้ ตั้งแต่ภูมิประเทศ บุคคล แม้จนกระทั่งกาลเวลาที่ได้ค่อยๆ ล่วงเลยไปวันแล้ววันเล่า ข้าพเจ้ายังจำถนนสายยะลา - เบตงได้ แม้ในเวลานั้นยังไม่มีโจรจีนหรือโจรเรียกค่าไถ่ ยังไม่มีสงครามอันดุร้ายแห่งเอเชียบูรพา นอกจากไข้ป่าและตัวทากที่เที่ยวไต่ต้วมเตี้ยมอยู่ทั่วไป ข้าพเจ้ายังไม่ลืมน้ำตกบาดตะมง นกยูงขาวและกบป่าตัวเท่าเด็กอายุ ๓ เดือน หรือจงโคร่งที่ส่งเสียงร้องเป็นดนตรีบรรเลงป่าอยู่ตลอดคืน เสียงซึงของพวกแม่ฮ่องสอนที่เขาส่งมาอยู่ “ทัณฑนิคม” ที่ไอร์เยอร์กระดง ตลอดจนที่ตั้งกองบัญชาการเรือนจำที่อยู่ในป่าลึกห่างจากยะลาถึง ๙๐ กิโลเมตร เต็มๆ มันเป็นภูมิภาพที่เต็มไปด้วยความน่าเบื่อน่าอิดหนาระอาใจสำหรับคนไข้ เหล่าทัณฑกรรมกรนอนขดตัวหนาวสั่น นอนครางฮือเหมือนกิ้งกือ นัยน์ตาลึกปากซีด สั่นแล้วสั่นเล่าสั่นไปจนกว่าจะหาย หรือไม่ก็ทำงานบนสวรรค์หรือในนรกอเวจี ชีวิตหนึ่งชีวิตก็คือนิยายหนึ่งเรื่องเท่านั้นเอง ข้าพเจ้าได้พบชีวิตหลายทัณฑชีวิตในนิคมแห่งนี้
ชีวิตของเจ้าพรคนรับใช้ที่ดีที่สุดของข้าพเจ้าได้สำเร็จเสร็จสิ้นกันไปแล้ว ด้วยการที่ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งให้ “จับตาย” สำหรับเขา ข้าพเจ้าถูกบังคับให้ฆ่าคนที่ข้าพเจ้ารักที่สุด แต่มันเป็นคราวเคราะห์ดีของข้าพเจ้าที่ไม่ต้องฝืนความรู้สึกของตัวเอง ข้าพเจ้าไล่ติดตามเขาไป แล้วในที่สุดไข้ป่าอันทารุณก็ได้สังหารเขาเสียแทนลูกปืนของข้าพเจ้า นั่นมันเป็นเรื่องแล้วไปแล้วเหมือนลอบเก่าไม่มีใครอยากกู้ขึ้นมาอีก ปล่อยให้มันผุพังอยู่ในน้ำชั่วนาตาปี ข้าพเจ้าประกอบอาชีพของข้าพเจ้าโดยสุจริตและตั้งใจจริง ข้าพเจ้าไม่นำพาต่อคำของเหล่ากรรมกรที่ฉลาดๆ เขามักจะลั่นวาจาออกมาอย่างภาคภูมิใจว่า ถ้าพวกเขาไม่มีใครทำผิดมาติดคุกติดตะราง ข้าพเจ้าก็คงปราศจากอาชีพ เป็นอันว่าพวกเขามีบุญคุณต่อข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้ามักจะหัวเราะเฉยเสีย มันเป็นความจริงเช่นนั้น ถ้าไม่มีใครทิ้งจดหมายติดต่อกันเลย บุรุษไปรษณีย์ก็คงหางานทำไม่ได้ ถ้าทุกคนไม่ขึ้นสามล้อ คนขี่สามล้อก็คงต้องพักงาน ในตอนที่ข้าพเจ้ามาจากกองป่า ข้าพเจ้าก็ถูกส่งให้อยู่ในร้านสหกรณ์ขายของให้แก่กรรมกรตามราคาในบัตรของกองบัญชาการ
ข้าพเจ้ามองดูมนุษย์นัยน์ตากลวงเหล่านั้น เข้ามาซื้อสินค้าด้วยความเศร้าสลดใจ สิ่งใดที่จะอนุโลมขายให้เขาไปได้ด้วยการขาดเงินเพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้าก็มักจะจัดการให้เขาได้รับเสมอไป บางคนไข้จับและกำลังสั่นคลานเข้ามาหาข้าพเจ้าทำทีเหมือนว่าถ้าไม่ได้กินนมข้นสักกระป๋องหนึ่งเขาคงจะต้องขาดใจตายทันที แต่เขามีสตางค์น้อยไป ๗ - ๘ สตางค์ ทั้งๆ ที่ราคานมข้นในสมัยนั้นกระป๋องละ ๓๕ สตางค์เท่านั้น ข้าพเจ้ารีบหยิบส่งไปให้เขาทันทีโดยไม่ปริปากอะไรเลย ด้วยริมฝีปากอันแห้งผาก นัยน์ตาโหลลึกเช่นเดียวกัน เขามาขอซื้อเนื้อเค็มเราเพียง ๓ สตางค์เท่านั้น ซึ่งเราขายไม่ได้ ถ้าเราขายขาดทุนเพราะไม่รู้จะตัดให้เขาเท่าไร อย่างมากก็ ๑ ตารางนิ้ว คนของข้าพเจ้าไม่ยอมขายให้เขา แต่ด้วยเนื้ออันเหลือง ท่าทางผ่ายผอมและโซเซ เหมือนนักมวยที่กำลังจะถูกน็อก ข้าพเจ้าก็สั่งให้เขาขายไปโดยไม่รับสตางค์จากเขาไว้เลย มันเป็นเรื่องน่าทุเรศ มันเป็นเรื่องน่าเศร้า ข้าพเจ้าไม่เคยนึกว่าสนุกหรือน่าขันเลย แต่บางคนก็ร้าย - ร้ายที่สุด คนพวกนั้นเราไม่ค่อยจะนึกเวทนา เผลอไม่ได้ เผลอหยิบทีเดียวไม่ว่าอะไรทั้งนั้นถ้าพวกเขามีโอกาสที่จะขโมยได้ ทั้งๆ ที่เขาเอาไปนั้น บางทีเขาก็มีกันอยู่แล้วอย่างเพียงพอ ความจริงนักโทษเหล่านี้เขาได้เลือกสรรมาแล้วทั้งนั้น แต่ละคนล้วนแต่มีโทษชนิดมหันตโทษ โทษลักเล็กขโมยน้อยไม่มีเลย แต่ความจำเป็นนั่นแหละมันทำให้เขาลืมนึกถึงศีลธรรม มันทำให้เขาต้องหันเข้าหาความทุจริตเพื่อพยุงชีวิตของเขาให้ดำรงอยู่ต่อไปอีก แม้ว่าเขาจะอยู่ในนรกก็ดี ทั้งเรือนพยาบาล เรือนขัง โรงครัว และกองบัญชาการ ตลอดจนสถานที่ต่างๆ อันก่อสร้างขึ้นนั้นยังไม่ถาวร หลังคาสังกะสีบ้าง หลังคาใบหวายบ้าง ฝาก็เช่นเดียวกันใช้ใบหวายกระหนาบด้วยไม้บ้าง ใช้ไม้ไผ่ขัดแตะบ้าง ล้วนแต่ว่าไม่แข็งแรงพอที่จะคุ้มภัยจากคนที่มีนิสัยลักเล็กขโมยน้อยนัก แต่รัศมีปืนของเราก็กว้างขวางพอที่จะคุ้มครองได้เท่ากับฝาอันถาวรเหมือนกัน การที่ต้องระวังคุ้มครองสินค้ากันอย่างหนักมือ ก็เพราะว่าเหล่ากรรมกรหรือที่เรียกกันอยู่ในพวกเรานี้ว่า “ลูกยักษ์” นี้ก็เพราะพวกเขาอยู่กันโดยอิสรเสรี ไม่ต้องถูกกักกุมคุมขัง จะมีโรงขังที่ทำไว้ไม่ค่อยแข็งแรงนักอยู่โรงหนึ่ง ก็มีไว้ใช้สำหรับเมื่อพวกเขาทำผิด ที่เรียกเขาว่า “ลูกยักษ์” ก็เพราะว่าเขากินได้ทั้งนั้น ไม่ว่า นก หนู ลิง ค่าง จนกระทั่งถึงด้วงและจิ้งหรีด เขาเคี้ยวมันเอร็ดอร่อยเหมือนขนมปังกรอบ เขาปลูกกระท่อมของเขาอยู่กันตามไหล่เขา ตามหุบ แลเห็นหลังคาดารดาษเป็นสีทองตัดกับใบกล้วยป่า ที่ขึ้นเป็นพืชเขียวชอุ่มทั่วขุนเขา กลุ่มหมอกอากาศตกจัด ฝนตกไม่รู้เวลา กระท่อมหนึ่งๆ อยู่กัน ๒ คนบ้าง ๓ คนบ้าง ตามแต่ความสมัครใจของเขา ถึงเวลาก็มารับข้าวจากโรงครัว แล้วไปทำงานตามสังกัดของตัว เลื่อยไม้ โค่นต้นไม้ ลากซุง ฯลฯ ตามแต่สังกัดของตัว ใครจับไข้ - นอน
ในหมู่กรรมกรข้าพเจ้าคบไว้ใกล้ชิดมีหลายคนด้วยกันทุกๆคนดีต่อข้าพเจ้า ไม่ผิดกับเจ้าพรที่ได้ตายไปเสียแล้ว แต่ในหมู่คนใกล้ชิดด้วยกันนี้มีอยู่คนหนึ่งชื่อเจ้าชัย คนสำคัญที่ข้าพเจ้าจำได้ไม่รู้ลืม หากจะหลับตาลงแล้วคิดถึงเขา ข้าพเจ้าบอกได้ทีเดียวว่า ลักษณะใบหน้าท่าทางของเขาเป็นอย่างไร บอกได้แม้แต่ว่าแผลเป็นที่ริมแก้ม ที่ทำให้ใบหน้าของเขาเก๋ขึ้น รูปร่างสูงใหญ่อกกว้างผิวคล้ำ นัยน์ตาดำขลับแต่แข็ง แฝงไว้ด้วยความซื่อสัตย์ตลอดเวลา ข้าพเจ้าได้อาศัยใช้สอยเขาต้มน้ำให้อาบในเวลาเย็น หากับข้าวทำกับข้าว และบางทีเย็นๆ รู้สึกตะครั่นตะครอ เขาจะเป็นหมอนวดอย่างดี
“อีก ๓ เดือนเท่านั้นแหละครับ ที่ผมต้องไปจากนาย”
จริงทีเดียวข้าพเจ้าลืมไป มานึกออกเมื่อเขาบอกแก่ข้าพเจ้าในคืนวันหนึ่ง เขาได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำบางขวางมาเกือบ ๗ ปีแล้ว และสมัครมาอยู่ที่ทัณฑนิคมร่วม ๒ ปี รวมทั้งลดด้วยเขาก็คงพ้นโทษ เพราะเขาได้รับคำพิพากษาให้จำคุกไว้เพียง ๑๒ ปีเท่านั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว ชีวิต ๑ ชีวิตก็คือนิยาย ๑ เรื่อง แต่นิยายชีวิตของชัยก็ไม่โลดโผนเกินไปนัก เขาจวนจะแต่งงานกับหญิงที่เขารักอยู่แล้ว จวนที่จะได้เข้าร่วมหอลงโรง ในเวลาที่กระชั้นชิดเพียงอีก ๕ - ๖ วันเท่านั้น เขาก็ตามไปฆ่าคนเสียคนหนึ่ง เพราะคนๆ นั้นได้ทำร้ายมิตรของหญิงที่เขารัก เรื่องนี้ได้เกิดทำร้ายกันขึ้นมาก็เพราะเรื่องแย่งน้ำเข้านากัน เขารับสารภาพตลอด เขาไม่เคยต้องโทษ ดังนั้นจึงได้รับความปรานี
“พ่อของผู้หญิงเขาก็ดีหรอกครับ” เขาบอกกับข้าพเจ้าเมื่อเขาเล่าเรื่องเก่าๆ ของเขาให้ฟัง “เขาตอบแทนความดีของผมก็คือส่งเสียผมตลอดเวลาเมื่ออยู่บางขวาง ถึงเมื่อผมสมัครจะมาอยู่ที่นี่ เขาก็ห้ามไม่ให้มา เพราะหนทางไกลส่งเสียยาก และยิ่งกว่านั้น...” เขาเล่าต่อไปอีก “ในระหว่างที่ผมมาติดนี่ เขาก็ไม่ยอมยกลูกสาวให้ใครเลย ยังแถมบังคับให้ลูกเขาคอยผม ในเวลา ๑๒ ปี มันไม่ใช่เวลาน้อยๆ เลย และการคอยเช่นนี้มันก็ไม่ใช่การคอยอย่างมีความหวังดิบดีอะไร คอยนักโทษที่จะหลุดจากคุก พาเอาความขี้คุกขี้ตะรางไปฝากหญิงที่เรารัก ผมเลยบอกแก่เขาไปว่าอย่าได้มีห่วงแก่ตัวผมเลย ถ้าเห็นที่ชอบที่ควรแล้ว พ่อจัดการไปเถอะ ผมรักพยอม ทำไมจะต้องปล่อยให้เขาคอยอย่างหมดหวัง”
ข้าพเจ้าเปิดซองบุหรี่ให้เขา “แล้วไงต่อไป?”
“แล้วเขาก็คอยน่ะซีครับ ถึงเดี๋ยวนี้เขาก็ยังคอยผมอยู่” เขาจุดบุหรี่สูบอย่างภาคภูมิใจ “พยอมก็พอดูได้หรอกครับ อย่างผู้หญิงบ้านนอก แต่ว่าจะให้สวยอย่างคนในกรุงก็เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่รู้การแต่งตัว ป่านนี้...” เขานับนิ้วมือช้าๆ และทำปากขมุบขมิบ “อ้าฮา ป่านนี้มิตกเข้า ๒๘ แล้วหรือ?เมื่อจะแต่งงานเขาเพิ่ง ๑๘ เท่านั้น”
“ยังไม่แก่หรอก กำลังสมบูรณ์” ข้าพเจ้าปลอบเขา
เขาเป็นคนสมุทรสงครามเลือดทะเล ทำให้เขามีความองอาจอยู่ในที พูดจาก็ห้าวหาญสมเป็นนักเลง แม่ของเขายังอยู่ แต่บิดาของเขาได้เสียไปเสียแล้ว เรือกสวนของเขาก็มีอยู่พอที่จะเลี้ยงดูกันไป ๒ คนแม่ลูก ถ้าหากว่าเขาทำมาหากินไปโดยสุจริต ไม่ริเล่นการพนันขันต่อ ข้าพเจ้ายังภาคภูมิใจในตัวเขา ในเรื่องความรักของเขา เขาชอบร้องเพลงง่ายๆ ช้าๆ แต่มันโศกๆ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเพลงนี้อัดจานเสียงขายเมื่อกว่า ๑๕ ปีมานี้ เขามักร้องอยู่เนืองนิตย์
“สิบแปดปีมีแต่ทุกข์ติดคุกขัง ถ้าลูกยังยืนยงคงเป็นสาว เมียข้างหน้าป่านฉะนี้ดีหรือคาว ไม่ได้ข่าวขาดหายตายหรือเป็น ขอพระผู้เป็นใหญ่ในพิภพ ความดีทบท่วมหัวมัวไม่เห็น สัตว์ผู้ยากตรากตรำต้องลำเค็ญ จะวิ่งเต้นป่ายปีนสิ้นฝีมือ”
ถ้าแม้ว่าเพลงนี้จะไม่ตรงกับนิยายของเขานัก แต่ว่ามันมีบางคำบางกลอน หรือลีลาของมันใกล้เคียงกับตัวเขา ในตอนความรักเขาจึงชอบร้องถึง เมื่อเขาพูดกับข้าพเจ้าว่า อีก ๓ เดือนเขาจะต้องจากข้าพเจ้าไป น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยดนตรี ข้าพเจ้าก็พลอยยินดีไปกับเขาด้วย
“อั๊วจะต้องหาของอะไรให้ลื้อไปบ้าง?” ข้าพเจ้าถาม
“ไม่ต้องหรอกครับ นายช่วยผมเวลานี้ก็ดีอยู่แล้ว”
เหตุการณ์ได้ล่วงเลยมาอีก ยิ่งใกล้วันพ้นโทษของเขา เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าวันเวลาเหล่านั้นมันยิ่งช้าแสนช้า เหมือนในนรกอเวจี สำหรับข้าพเจ้าก็คงปฏิบัติงานของข้าพเจ้าไปเรื่อยๆ แต่มีงานกลางคืนเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งก็คือ การระวังขโมย บุหรี่หาย นมกระป๋องหาย ปลากรอบหาย ฯลฯ เราไม่ค่อยได้หลับได้นอนกันนัก พอเสียง “แกรก” ดังขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงแมวหรือเสียงหนูวิ่ง ข้าพเจ้าต้องลุกขึ้นฉวยปืนและไฟฟ้าเดินทาง แต่แล้วเมื่อไม่เห็นใครข้าพเจ้าก็ล้มตัวลงนอน ได้แต่สบถสาบาน ถ้าหากว่าข้าพเจ้าเห็นแม้แต่เงาตะคุ่ม ข้าพเจ้าจะยิงให้คว่ำให้ได้ เพราะพวกมือไวเหล่านี้มันรบกวนความสุขเสียเหลือเกิน
วันนั้นข้าพเจ้าจำได้ดี เช้ามืดฝนตกหนัก แต่ในตอนสายท้องฟ้าโปร่ง แดดส่องกราดจับหุบเขาอยู่ทั่วไป เสียงลิงค่างบ่างชะนีร้องกันระงมอยู่บนยอดเขา ชัยวิ่งเข้ามาหาข้าพเจ้าด้วยกิริยาท่าทางอันกระหืดกระหอบ ในมือของเขาถือกระดาษแผ่นหนึ่งมาด้วย
“นายครับ” เขาเรียกข้าพเจ้าด้วยเสียงสั่นๆ แต่แจ่มใส
“นายครับ แม่ผมจะมารับ แล้วก้อ - อ้า พยอมเขาก็มาด้วย นี่หนังสือ นายอ่านดูซีครับ ผมผ่านมาทางกองบัญชาการ เขาให้ผมมาเดี๋ยวนี้เอง”
ข้าพเจ้ารับจดหมายของเขามาอ่านดังๆ เพื่อให้เขาได้ยินอีกครั้งหนึ่ง เพราะข้าพเจ้ารู้ดีว่ามันเหมือนยาทิพย์ที่ชโลมหัวใจเขา
หนังสือจากแม่ช้อย
ถึงนายชัย
หนังสือที่ส่งมาให้นั้น ผู้ใหญ่แบนเขาเอามาให้อีกต่อหนึ่ง เขาว่าเอ็งจะพ้นกำหนดโทษ ผู้ใหญ่แบนเขาก็ดีใจ เพราะว่าเอ็งก็มีคุณอยู่แก่เขานั้น พยอมเล่าก็เกินกำหนดมีเรือนคอยเอ็งมา ทั้งเงินของผู้ใหญ่ด้วย ของข้าด้วยผสมกันก็พอดีมีค่ารถมารับเอ็งได้ ปีนี้สวนค่อยยังชั่วก็พอจะมารับเอ็งได้ทั้งแม่และพยอม ครูกลิ่นก็บอกระยะทางให้แล้วว่า เขาจะมาขึ้นรถที่ราชบุรีไกลนัก ลงเรือไปเมืองเพชร ขึ้นที่สถานีเพชรลงถ่ายที่หาดใหญ่อีกทีหนึ่งแล้วก็ขึ้นรถต่อไปนิบง แต่ว่านิบงนี้แหละไม่รู้จัก ขอให้มารับแม่กับพยอมด้วย ถ้าไม่มารับก็จะลำบากเพราะไม่เคยขึ้นรถไปค้างคืนค้างวันเลย ผู้ใหญ่เขาฝากเสื้อกางเกงมาให้ด้วย ไม่รู้ว่าเอ็งจะอ้วนหรือผอม ไว้พบกันแล้วค่อยลองดู
จากแม่ช้อย
เขาเอื้อมมือมารับจดหมายของเขากลับคืนไปด้วยความหวงแหนและทะนุถนอม ข้าพเจ้าพลอยตื่นเต้นและดีใจกับเขาด้วย เอื้อมมือไปตบไหล่เขาเบาๆ แล้วก็พูดกับเขาด้วยเสียงปรกติ
“ให้พักเสียที่ห้องอั๊วก็แล้วกัน มันมีเตียงมีที่นอนมีมุ้งเสร็จ และก็มาเอาข้าวและกับข้าวไปจากร้านจดบัญชีอั๊วไว้”
เขายกมือขึ้นไหว้ข้าพเจ้า สีหน้าของเขาบ่มสายเลือดแห่งความปลาบปลื้ม นัยน์ตาทั้งคู่ฉายแสงแห่งความสุขอย่างเยี่ยมยอด
“แต่ผมยังมาหนักอยู่อย่างหนึ่ง” เขาพูดขึ้นด้วยความเกรงใจ “ยังหนักใจอยู่แต่ว่าผมจะออกไปรับพยอมและแม่ที่นิบงได้อย่างไร?”
“ไม่ต้องตกใจ” ข้าพเจ้าตบหลังเขา “อีกไม่กี่วันลื้อก็พ้นโทษแล้ว อั๊วจะฝากรถบรรทุกไม้เขาให้ ไว้ธุระอั๊วเอง จะไปด้วยก็ไม่มีใครดูร้าน ไปเถอะ ไปเตรียมปัดกวาดห้องอั๊วไว้ให้ดี นี่แน่ะลูกกุญแจ”
เขารับลูกกุญแจจากข้าพเจ้าแล้วเดินขึ้นเขา บ้านพักน้อยๆ ของข้าพเจ้าตั้งอยู่บนเนินเตี้ยๆ เต็มไปด้วยกล้วยป่าและกระดาดใบโตๆ ที่ขึ้นซอกซอนอยู่ตามชะง่อนหิน แท้ที่จริงบ้านในสถานที่เช่นนั้นไม่ต้องไปปลูกให้มันดิบดีนัก เพียงแต่กระท่อมสับปะรังเคธรรมชาติก็จัดสรรให้มันแลดูงามไปเอง เมื่อเขาขึ้นเขา ข้าพเจ้ายังแลเห็นหลังเขาที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลไหม้ มันช่างตัดกับสีเขียวของใบกระดาดเสียจริงๆ ข้าพเจ้าอิจฉาความสุขของชัยหรือ? เปล่าหามิได้ ข้าพเจ้ากลับพลอยนิยมชมชื่นกับชีวิตของเขาไปด้วย และฝันถึงว่า ถ้าเป็นข้าพเจ้า โอ! ถ้าเป็นข้าพเจ้าบ้าง มันจะเป็นความสุขเพียงไหน?
ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่ไม่วาย สงสัยเสียจริงๆ ว่า ยังจะมีผู้หญิงคนไหนที่มีใจคอเด็ดเดี่ยวเหมือนพยอม ที่อุตส่าห์แขวนชีวิตของหล่อนไว้กับการคอยที่ปราศจากราคาค่างวด นอกจากความรักที่ไม่ค่อยจะศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้หญิงสวยๆ แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยได้เห็นหน้าพยอม ยังไม่เห็นว่าหล่อนมีความสวยสดงดงามแค่ไหน แต่ในความรู้สึกนึกคิดของข้าพเจ้า ผู้หญิงอย่างนี้เป็นต้องสวยแน่ สำหรับคนที่เขารักหล่อนและเห็นใจหล่อน ข้าพเจ้างดความสนใจจากชัยหรือพยอมเสียชั่วคราว หันมารับงานของข้าพเจ้า มันจะมีอะไรนอกจากมารับงานกันแล้วก็กลับไปด้วยกันอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ส่วนข้าพเจ้าก็ต้องต่อสู้กับนัยน์ตาลึกๆ เสียงครางฮือด้วยความหนาวเหน็บ แล้วก็เสียงซึงที่เฝ้าแต่ดีดแล้วดีดเล่าและชอบลุกขึ้นมาดีดเวลาตี ๒ เวลาที่เงียบสงัดปราศจากศัพท์สำเนียงใด นอกจากเสียง “โจงโคร่ง...โจงโคร่ง...” ร้องรับกันเป็นจังหวะจะโคน
ความสนใจของข้าพเจ้าได้ผุดขึ้นอีก ในเรื่องความสวยงามของพยอม ข้าพเจ้าคิดถึงชัยบ้าง และไม่ได้คิดถึงเขาบ้าง เหมือนคนนอนหลับๆ ตื่นๆ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีรถบรรทุกไดมอนด์ทีสีแดงมาหยุดกึกลงที่หน้าร้าน ชัยกระโดดลงมาจากตอนหลังของรถและวิ่งร่ามาหาข้าพเจ้า
“นายครับ แม่ผมมาแล้ว” เขาร้องบอกด้วยเสียงสั้นๆ
ข้าพเจ้าจับสายตาอยู่กับรถแล้ว ดังนั้นเมื่อมองไปอีกครั้งหนึ่งก็แลเห็นหญิงสาวร่างท้วมคนหนึ่งก้าวลงจากรถ หญิงชราร่างอวบอ้วนก้าวตามลงมา
ทันทีนั้นเอง ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าการเดาของข้าพเจ้าผิดไปถนัดทีเดียว พยอมในรูปทรงแห่งร่างกายของหล่อนไม่ได้งามด้อยไปกว่าจิตใจอันดีงามของหล่อนเลย เป็นโชคของชัย ข้าพเจ้าคิด ข้าพเจ้าไหว้ตอบอย่างงงๆ หญิงชราทรุดนั่งลงกับพื้น แต่ข้าพเจ้าได้เชิญมานั่งเสียบนม้านั่ง แกก็ปรับทุกข์ถึงเรื่องลูกชายของแก แต่ว่าแทนที่จะฝากฝังแกกลับจะมาพาเอาลูกชายของแกไป
“ขอบใจละจ้ะที่ได้เมตตาต่อเขา ฉันก็มีอยู่คนเดียวเท่านั้น”
“ก็ไม่ได้เมตตาอะไรหรอกคุณป้า อยู่กันไปตามมีตามเกิดเท่านั้นเอง” ข้าพเจ้าหัวเราะและคิดว่าหัวเราะอย่างมีความสุขเหลือเกิน “ชัยพาไปพักผ่อนเสียซี ระวังนะ กินยาไว้เรื่อยๆ ไม่เป็นก็ต้องให้กิน”
ข้าพเจ้ามองพยอมที่เดินตามชัยไปอย่างต้วมเตี้ยม ช่างสมกันจริงๆ เมื่อเขาผ่านทางขึ้นเนินเขา มองเห็นได้ทางช่องเล็กๆ ผ้าโจงกระเบนสีม่วงเม็ดมะปรางอ่อนๆ เสื้อแพรสีไข่ไก่และผ้าสไบเฉียงแพรเยื่อไม้นั้น มันช่างตัดกับกอกระดาดและท้องฟ้าสีมัวๆเสียจริงๆ เสียงถกเถียงกันถึงเรื่องเมียของชัยดังไปลั่นร้าน บางคนเศร้าๆ บางคนก็นับวันเวลาที่ตัวจะได้กลับไปบ้าน อะไรจะหวานเท่าบ้านพื้นสับฟากฝามุงแฝก ชีวิตหนึ่งนิยายหนึ่งโลดแล่นกันไป ข้าพเจ้าไม่ได้ไปเยี่ยมเขาในคืนวันนั้น ตั้งใจว่าจะไปในวันรุ่งขึ้น คืนนี้จะเป็นคืนแห่งความสุข สนทนาพาทีกันในระหว่างแม่ๆ ลูกๆ ผัวๆ เมียๆ ชีวิตมนุษย์จะมีอะไรมาก ข้าพเจ้าคิด แต่คืนวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าก็ต้องทอดสะท้อนถอนใจเกิดความสังเวชขึ้นมาทันที ข้าพเจ้าหยุดยืนนิ่ง
ท่ามกลางแสงเดือน ข้าพเจ้าเห็นชัยนั่งห้อยขาอยู่บนชะง่อนหินข้างกอกระดาด น้ำในลำธารพลิ้วน้อยๆ ไหลรินไปข้างใต้ชะง่อนหิน มือของเขากุมมือของพยอมไว้ข้างต่อข้าง นิ่งนานไม่เคลื่อนไหว ไม่มีอะไรจะพูด นอกจากทุกๆ ปรมาณูของลมหายใจจะผ่าวไปด้วยความรัก อบอุ่นไปด้วยชีวิตและความรู้สึก ข้าพเจ้าได้ยินเสียงกระซิบแผ่วๆ เสียงหัวเราะของพยอม ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าอยากจะมีปีกแล้วบินหนีไปเสียจากเจ้าป่าทึบอันโหดร้ายนี้เสียเหลือเกิน ข้าพเจ้าจะไปหาคนรักของข้าพเจ้าแล้วกุมมือของหล่อนบ้างเท่านั้น พระจันทร์คืนนี้สุกสกาว ถึงแม้พระจันทร์ที่กราดแหลมตาซีถูกดงมะพร้าวและป่าสนตลอดจนฝูงแกะและกระโจมไฟ มันก็ยังไม่งามเท่ากระท่อมน้อยๆ ของข้าพเจ้าในเวลานี้ นี่หรือคือความรัก และนี่หรือคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรจะพึงมี แต่ข้าพเจ้าไม่มี นอกจากจะคอยสบนัยน์ตาอันลึก นัยน์ตาขาวกลายเป็นเหลืองและนัยน์ตาดำกลายเป็นสีน้ำตาลไหม้ ทำไมมนุษย์เราจึงต้องรนไปหาอาชีพหาอาหารเข้าสู่ท้องถิ่นที่มนุษย์อื่นเข้าไปทรมานตัวกัน ข้าพเจ้าเกือบจะด่าอาชีพอันมีคุณของข้าพเจ้า แล้วก็หัวเราะเหมือนคนบ้า มองไปยังเจ้าของภาพทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ถอยหลังกลับอย่างเงียบๆ ข้าพเจ้ากำลังเป็นบ้าไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าด่าตัวเองอย่างเดือดดาล
นับเป็นคืนที่สองแล้ว คืนแรกเพื่อความสุขของชัย ผู้จงรักภักดีต่อข้าพเจ้า คืนหลังข้าพเจ้าไม่อยากจะขัดความสุขของชัยที่ข้าพเจ้ารัก กรรมกรขายของ ๒ คนปิดร้านแล้ว
“คุณไพศาลหรือครับ?” เขาถามข้าพเจ้าเมื่อเคาะประตู
“ใช่” ข้าพเจ้าตอบ
ข้าพเจ้าล้มตัวนอนบนแคร่หน้าห้องเล็กของข้าพเจ้า ในห้องเล็กนั้นเป็นห้องนอนของข้าพเจ้า มีเซฟเก็บเงินและเอกสาร ข้าพเจ้างีบหลับไปนานเท่าไรไม่รู้สึก มาตกใจตื่นขึ้นเมื่อมีคนเข้ามาเรียกเสียงแผ่วๆ เพื่อขอซื้อของ
“มืดค่ำดึกดื่นแล้วไม่เปิด” ข้าพเจ้าตวาด
ข้าพเจ้าบ่นพึมพำด้วยความหัวเสีย บางทีก็มาขอซื้อข้าวขาวไปต้ม บางทีก็มาขอซื้อถั่วเขียว บุหรี่ มันช่างไม่มีขันติธรรมเสียบ้างเลย แต่ทว่าบางทีมนุษย์เราเจ็บไข้ได้ป่วย ความมีธรรมแห่งความอดทนก็ถูกคนไข้เผาผลาญให้หมดไป ดึกมากแล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงซึงดีด มองดูนาฬิกาเห็นตี ๒ พอดี ตาบางดีดซึงตอนตี ๒ เสมอ อากาศเย็นจัดข้าพเจ้าดึงผ้าห่มขึ้นห่ม
“แตรง...แตรง...แตรง...” พี่ขี่หงส์หินบินมาวันนี้ มาปะดอกสร้อยในดง ฯลฯ เอาอีกแล้ว! ข้าพเจ้ารีบหลับขืนฟังเข้ามันยิ่งหนาวจัดเข้าทุกที ทำไมหนอเขาจึงว่า “พี่ขี่หงส์หินบินมาวันนี้” จะว่าเสียว่า “พี่เดินมาบนภูเขาวันนี้” ไม่ได้หรือ? ข้าพเจ้าหลับต่อไปอีกสักครู่แล้วก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกด้วยความขัดใจ มีเสียงแกรกๆ เกิดขึ้น เอาละ! เจ้าคนมือไววันนี้ จงเอาไปสักแผลหนึ่งเถอะ ข้าพเจ้าแกล้งทำกรนเพื่อกระชากปืนส่องไฟไปยังเสียง ทันทีนั้นเองปืนในมือของข้าพเจ้าก็ระเบิดเปรี้ยงออกไป
ไม่ได้ยินเสียงร้อง แต่มีเสียงฝีเท้าวิ่งหนีไป ข้าพเจ้ากระโจนพรวดเดียวถึงที่ อ๋อ! มันแหกข้างฝาแล้วล้วงมาที่กระสอบน้ำตาลทราย กรรมกรขายของ ๒ คนตื่นขึ้นเปิดประตูออกไปยังข้างฝาที่นั่นมีรอยเลือดหยดอยู่
“ฉันไปตามเอง” ข้าพเจ้าสั่ง “แกอยู่บ้าน”
ข้าพเจ้าส่องไฟฉายไปตามรอยเลือดเหมือนนายพรานเดินตามรอยสัตว์ที่ถูกเจ็บ มันคงจะถูกยิงไปไม่ฉกรรจ์นัก ถูกที่ไม่สำคัญ บางทีก็มีรอยเลือดสลัดไปทางซ้าย แสดงว่ามันคงเอามือกุมแผลไว้แล้วสลัดออกไปข้างๆ ข้าพเจ้าสลดใจทันทีเมื่อคิดถึงว่าเจ้าคนที่ถูกยิงอาจกำลังเจ็บไข้อย่างแรง ไม่มีบัตรซื้ออาหารหิวโหยเหลือกำลัง ข้าพเจ้าได้เห็นภาพชีวิตและความรักมาเมื่อหัวค่ำ แต่ตกดึกต้องมาดูเลือดสดๆ ของพวกมนุษย์นัยน์ตาลึก มือของข้าพเจ้าชักสั่นๆ เลือดมีไปเรื่อยๆ บางทีก็มาก บางทีก็น้อย หยดไปเหมือนงูเลื้อย แสดงว่าคงเดินโซเซหรือเป็นคนเมาบ้านเจ้าสด
ในที่สุดรอยเลือดก็หายไป ข้าพเจ้าเพียรหาเท่าไรๆ ก็ไม่พบ ข้าพเจ้าเวียนหาอยู่จนหัวเสีย หาอยู่คนเดียวเงียบๆ ข้างซ้ายของข้าพเจ้ามีลำธาร ลำธารคือถนนของคนเดินป่า น้ำไหลเชี่ยวจัด แต่อาศัยเดินตามริมฝั่งจึงไม่ต้องบุกอยู่นานนัก ข้าพเจ้าแลเห็นแสงไฟในกระท่อมเล็กของกรรมกร จึงรีบปิดไฟเพื่อไม่ให้เขารู้ว่ามีคนเดินไป เลี้ยวทางขวาผ่านดงหนามหวายและต้องไต่ไปตามต้นไม้ล้มเมื่อเกิดพายุคราวที่แล้ว ในไม่ช้านักข้าพเจ้าก็ใกล้กระท่อมนั้นเข้าไป ข้าพเจ้าค่อยๆ ย่องไปในความมืด ซึ่งบัดนี้ข้าพเจ้าได้กลับเป็นนักย่องเบาหรือแมวขโมยไปแล้ว ข้าพเจ้าถึงเสาหัวกระท่อมก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริด
ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคนร้องไห้ เป็นความจริงเช่นนั้น มีคนร้องไห้อยู่ในกระท่อม เป็นเสียงของผู้ชายด้วยซ้ำไป ความอยากรู้ทำให้ข้าพเจ้ายืนขึ้น กระท่อมไม่สูงนัก ข้าพเจ้าแอบดูทางช่องโหว่ ทันทีนั้นเองข้าพเจ้าหงายหลังออกมาหน้ามืดแทบจะเป็นลม มันจะเป็นไปได้หรือ? เพราะภาพที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นคือชัยกำลังร้องไห้ เขาร้องไห้อย่างเด็กๆ
มือซ้ายของเขากุมมือขวาไว้แน่น เลือดยังไหลปรี่อยู่ ข้าพเจ้าบีบปืนและไฟฟ้าเดินทางแน่น ข้าพเจ้ายิงชัย มือของเพื่อนที่ยิงเพื่อน เขาซูมือของเขาร่อนๆ ต่อหน้าแสงไฟ
“เปล่งเอ๋ย” เขาร้องคร่ำครวญ “วันนี้เป็นวันสุดท้ายของกูแล้ว ชีวิตกูสิ้นสุดกันเสียที พรุ่งนี้เขาคงโจษกันเซ็งแซ่เรื่องนายไพศาลยิงขโมย เขาตามหาตัวกูไม่พบก็คงจะประชุมพวกเราแล้วตรวจบาดแผล กูจะต้องได้รับความอายถึงตายแล้วเกิดใหม่ก็ไม่มีวันหาย แต่ตัวกูเองอายนั้นไม่เท่าไหร่หรอก กูกลับระยำพาแม่พาเมียให้อายเขา แต่เกิดมาพอจำความได้กูไม่เคยร้องไห้เหมือนครั้งนึ้ ตั้งแต่หนุ่มมาเพื่อนชวนลักเล่นเห็นสนุก ไก่ตัว เหล้าไห กูไม่เคยต้อง แต่คราวนี้ก็มีกรรมถึงถูกตราหน้า เพื่อนเอ๋ย กูขอลามึง ที่แวะมาหามึงเพราะจะสั่งความไปถึงแม่ว่าขอลาไปก่อน ชาติหน้าจึงค่อยพบกัน และบอกเมียกูว่า บุญเราไม่ได้สร้างสมไว้ จึงทำให้พลัดพรากกันอีกถึง ๒ ครั้ง”
“โธ่ ชัยเอ๋ย กูก็ไม่รู้ว่าจะช่วยมึงอย่างไรได้” เพื่อนของเขาพูดเสียงเครือ และจับมือเพื่อนไปดู “ทำไมหรือเอ็งจะต้องไปขโมยเขา ทั้งเงินทองหรือ ข้าก็เห็นเอ็งมีติดมืออยู่ไม่ขาด”
“อ้ายเงินทองนั้นกูก็มี” ชัยพูดพลางร้องไห้พลาง “แต่ความที่กูรักนายแก กูไม่กล้าปลุก เพราะกูรู้ใจว่าลงนอนแล้วไม่อยากให้ใครกวน กูคิดจะรีบเอาน้ำตาลไปต้มถั่วเขียวให้แม่กินเสียก่อน แล้วพรุ่งนี้กูจะบอก แต่เผอิญกรรมเวรกูถูกยิง อ้ายเปล่งมึงบอกกับเมียกูว่า กูไม่ต้องการกลับบ้านแล้ว และว่ากูรักเมียของกู กูจะอยู่แถบในป่านี้อีกต่อไป ขอให้แม่พาเมียกูกลับบ้านเถอะ และเดี๋ยวนี้กูจะไปละ เพราะจวนสว่างแล้ว”
“จะไปไหนชัย”
“ทุกหนทุกแห่งจนกว่าจะ...”
“กูจะยิงนิ้วกูให้สักนิ้วหนึ่ง” เจ้าเปล่งพูดเสียงหนักแน่น “แล้วกูจะบอกว่ากูเองเป็นคนขโมย มึงว่ามึงทำปืนลั่น กูจะไปขอยืมปืนอ้ายวัน”
“ขอบใจแล้วเพื่อน” เขาร้อง “อย่าเลย กูเห็นใจมึงแล้ว”
ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะทำให้ข้าพเจ้ายืนฟังอยู่อีกได้ มือของเพื่อนที่ยิงเพื่อน กับมือของเพื่อนที่จะยิงให้เพื่อน ข้าพเจ้าเผ่นพรวดเดียวถึงประตูกระท่อมอันง่อนแง่น กระชากมันออก ข้าพเจ้ายืนนิ่งดูหน้าอันขาวซีดของชัย หน้าของเขาซีดจริงๆ เหมือนคนตาย
“นายยิงผมที่นี่เถอะครับ อย่าจับผมไปเลย” เขาร้อง
ข้าพเจ้าจับข้อมือของเขาไว้ ค้นหาผ้าเช็ดหน้าของข้าพเจ้าแล้วพันไว้แน่น ข้าพเจ้ายังไม่ลืมภาพเหล่านี้เลย
“นายอย่าเอาผมไปนะครับ”
ข้าพเจ้าเอื้อมมือไปตบไหล่ “อั๊วได้ยินลื้อพูดหมดแล้ว” ข้าพเจ้าพูดขึ้น “มือของอั๊วที่ยิงลื้อเป็นมือที่เลว แต่มือของอั๊วทำไปโดยหน้าที่ อั๊วจะทำให้เรื่องนี้เงียบหายไป ลื้อเอาปืนนี้ขึ้นไปลั่นบนบ้านอั๊ว ๑ นัด แล้วว่าปืนลั่น”
ชัยมองหน้าข้าพเจ้านัยน์ตาเหลือก “นี่นายยังจะช่วยผมอีกหรือ?”
“ช่วยเสมอ” ข้าพเจ้าบอก “แต่นี่แน่ะเปล่งลื้อช่วยเอาไฟฟ้านี่ไปลบรอยเลือดเสียให้หมดที มาไปกับอั๋ว ชัยลื้อรีบกลับบ้านได้แล้ว”
เขาร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง และไหว้ข้าพเจ้าด้วยความรู้สึกคารวะ ข้าพเจ้าไปปกปิดรอยเลือดสองคนกับเจ้าเปล่ง ในไม่ช้านักเราก็ได้ยินเสียงปืนลั่นนัดหนึ่งที่กระท่อมน้อยของข้าพเจ้าบนชะง่อนหิน
“เรียบร้อยแล้วครับ” เปล่งร้องออกมาด้วยความโล่งอก
เขารีบลบรอยเลือดต่อไปอีกด้วยความเต็มใจ
ชัยจากข้าพเจ้า จากทัณฑนิคมในป่าดิบ จากเปล่งสหายแสนดีของเขา ไปพร้อมกับแม่และพยอม ข้าพเจ้าสั่งคนของข้าพเจ้าไม่ให้พูดเรื่องเราได้เห็นรอยเลือด นอกจากข้าพเจ้าจะร้องคำรามแต่เพียงว่า คนตัวเบ้อเร่อยังยิงผิดได้เรื่องก็หมดกันไป ข้าพเจ้าได้รับจดหมายของชัย เขาเขียนมาถึงข้าพเจ้ายกบุญคุณเสียยืดยาวแล้วก็ลงท้ายประโยคว่า
“...นายครับ แผลผมยังไม่หายดี เพราะมันเป็นหนอง ผมคิดอยู่เสมอว่าจะขอร้องนายอย่างหนึ่ง ถ้าผมตายก็ขอให้ตายอย่างนักโทษฆ่าคนตายเถิด อย่าให้ตายอย่างนักโทษลักทรัพย์เลย และถึงผมจะกลับมาอยู่อีก ก็ขอให้นายเข้าใจอย่างนี้เหมือนกัน” ○