ละครนอกบท

ความโกลาหลอลหม่านได้เกิดขึ้นในวัด ก็เมื่อพระคุณเจ้าถึงกาลมรณภาพลงไป พระคุณเจ้าสมภารวัดไผ่ล้อมเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยศิษย์หาทั่วทั้งเมือง นอกจากจะมีฝีมือทางปั้นแกะสลักเสลาและช่างเขียนลายไทยอันบรรเจิดแล้ว เมื่ออยู่ในเพศฆราวาสยังเก่งกาจคงแก่เรียนในทางดนตรีไทย ชำนิชำนาญยิ่ง เป็นตั้งแต่ฆ้องใหญ่ ฆ้องเล็ก ระนาดทุ้มเอก ทั้งปี่นอก ปี่ใน ปี่ชวา เป่าได้ประเสริฐเลิศคน ก็เมื่อพระคุณเจ้ามาถึงกาลมรณภาพลงดังนั้นแล้ว พวกลูกศิษย์ลูกหาก็จำจะต้องจัดการจัดงานให้ครึกครื้นเป็นทำนองประกวดประขันกัน

พวกศิษย์ปี่พาทย์ก็นำเอาเครื่องปี่พาทย์มาช่วยงานเป็นเครื่องใหญ่ มีระนาดแก้วระนาดเหล็กครบครัน แต่พวกศิษย์ก็หาได้มีอยู่แต่เฉพาะวงเดียวไม่ ยังจะมีศิษย์อื่นๆ อีกที่มีวงพิณพาทย์ของตัวอยู่เหมือนกัน กำนันผู้จัดงานปลงศพท่านสมภารได้ออกความเห็นว่าเราควรจะรวมวงกันเสีย ไม่ควรจะประกวดประขันหรือประชันกัน เพราะถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์ครูเดียวกันก็เหมือนพี่น้องกันก็ว่าได้ แต่เจ้าของปี่พาทย์ทั้งสองวงไม่ยินยอมจะแข่งขันประชันกันให้ได้ วงครูอุ่นแม่นเพลงดีแต่หามือเดี่ยวยาก แต่วงครูกริบเดี่ยวดีไหวดีว่าสะเด็ดนัก แต่เพลงมีน้อยเพราะทระนงในมือเดี่ยวของลูกวงตัว

ประดาศิษย์หาที่คุมคณะลิเกและเป็นตั๋วโผก็เอาลิเกมาช่วยแสดงโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ถือเสียว่าพระคุณท่านได้ครอบหัวให้ตัวเป็นครั้งแรกนั้นเป็นมงคลแก่ตัวไปชั่วชีวิต ทั้งยังได้สาลิกาลิ้นทองลงฟันสักลิ้นให้เสียอีก จะร้องจะดันหรือจะเจรจาเสน่ห์ปากเสน่ห์คำก็พราวพริ้งจับใจคนดู กำนันเห็นว่ายี่เกก็มีอยู่ ๒ โรงด้วยกัน ควรที่จะรวมกันเสีย โรงยี่เกจะได้ปลูกแต่เพียงโรงเดียว ค่าใช้จ่ายในเงินกองกลางของพระคุณจะได้เหลือพอทำบุญสุนทานให้ท่านได้อีก แต่ตั๋วโผยี่เกทั้งสองคณะก็ไม่ยอมรวมกัน จะขอแสดงคนละโรงให้จงได้

“เมื่อสมัครใจจะประชันก็สุดแต่ใจ...” กำนันต้องยอมตาม

ทีนี้มาถึงหนังตะลุงอันเป็นมหรสพประจำงานวัดขึ้นมาอีก หนังตะลุงเป็นศิษย์หาต้นกุฏิของพระคุณเจ้า ท่านได้ช่วยเขียนช่วยวาดลวดลายให้อย่างวิจิตรพิสดาร ทั้งแนะนำสั่งสอนศิลปวิชาการ ทั้งกระบวนเชิดและกระบวนกลอน แสดงที่ไหนแล้วคนก็ติดหนังงอมแงม เจ้าของหนังตะลุงเกิดกำแหงขึ้นมาบ้าง บอกคณะกรรมการจัดงานว่าจะขอประชันกับหนังกลางแปลง ถ้าเขาสู้หนังกลางแปลงซึ่งมีคนพากย์ไม่ได้ เขาก็จะไม่ริอ่านหากินทางฉายหนังตะลุงอีกต่อไป

วงดนตรีไทยก็แบ่งออกเป็นสองพวก พวกหนึ่งเป็นของพวกชาวบ้านร่วมวงกันเล่น อีกพวกหนึ่งเป็นพวกข้าราชการอำเภอกับตำรวจ นายวงก็ไม่ยอมรวมวงเดียวกันอีกเหมือนกัน โดยให้เหตุผลว่าเครื่องสายมโหรีมากนักก็แซ่ไปเสียหมด พวกจำอวดพวกเพลงฉ่อยและลำตัดล้วนแต่ว่าประกวดประขันประชันกันทั้งนั้น กรับที่ใช้ตีให้จังหวะอันหนึ่งๆ ใหญ่เท่าดุ้นฟืน เป็นอาวุธไปในตัวไว้ตีกันในเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งรวน

พวกพ่อค้าคหบดีที่ในเมืองเมื่อนึกถึงพระคุณเจ้าก็พากันช่วยเงินเป็นจำนวนมาก พวกที่อัตคัดขัดสนก็เอากำลังของตัวเข้าช่วยปลูกโรงหนังโรงละครไปตามเรื่อง ได้เงินเป็นกองกลางสำหรับงานศพไว้เป็นเงินก้อนใหญ่ ที่จะทำงานศพให้งามสมหน้าสมตาท่านสมภารผู้เต็มไปด้วยความเมตตาอารีต่อคนทั่วไป และในจำนวนเงินก้อนนี้ ยังมีมากพอที่จะช่วยให้งานครึกครื้นขึ้น โดยซื้อถ้วยรางวัลให้แก่ผู้ชนะโดยทั่วไปไม่ว่าจะเป็นหนัง ละคร หรือลิเก พวกอ้ายหนุ่มวัยเหลนก็กระเย้อกระแหย่งหาเสื้อผ้าชนิดลายพร้อยเหมือนงูเหลือมเตรียมไว้สำหรับรำวง พวกนักร้องก็โดดลงน้ำในลำประโดงหัดเขย่าอกเขย่าปอดจะได้เกิดเสียงครวญคราง ถ้าคว้าเอาถ้วยประกวดร้องเพลงมาได้ก็แสดงว่าอนาคตเห็นจะไปได้ไกลขนาดแพท บูน เอาทีเดียว บ้างก็จะร้องเพลงของทูล ทองใจ บ้างก็จะร้องเพลงของสุเทพ, ชรินทร์ หรือสมยศ เสียงร้องโอ้กอ้ากดังลั่นอยู่หลายต่อหลายบ้าน พร้อมทั้งเสียงด่าทออุบอิบของพวกบ้านใกล้เรือนเคียง

พวกยี่เกวงยายเป้ามีผู้หญิงแสดงมาก เป็นยี่เกท้องนาหาญเข้าไปประชันกับยี่เกเมืองอันมีพ่อเชื้อเป็นตัวเอก ก็ถือเสียว่าตัวมีฝ่ายหญิงพอเชิดหน้าชูตา คนคงดูมากกว่ายี่เกที่มีแต่ผู้ชาย แต่อันยี่เกหานั้น การแต่งเนื้อแต่งตัวก็ไม่สู้สลักสำคัญนัก แต่นี่มันเป็นยี่เกช่วยก็จำจะต้องให้แวววาวพราวพรายไปด้วยทองหยองให้เต็มเนื้อเต็มตัว บรรดาศิลปินยี่เกทั้งหลายต่างออกหยิบยืมหาสร้อยหากำไลหาแหวนใส่กันให้แดงครืดไปหมด ที่หยิบยืมเขาได้ก็พอรอดตัว แต่พวกที่ไม่มีที่หยิบยืมก็จำต้องขอเช่าเขา สร้อยคอก็เช่า แหวนก็เช่า และกำไลก็เช่า นาฬิกาสายทองก็เช่ากันเสียจนกลบข้อมือ ล้วนแต่ทองนพคุณทั้งสิ้น มิให้มีทองเหลือง หรือทองวิทยาศาสตร์เข้าไปปะปนเลย

“ขอเช่าสร้อยคอร้อยหวายเส้นนั้นให้ข้าเถอะ” เจ้าเกษรนางเอกพูดกับนายนุ่ม

“อีหนูมันก็จะใส่ไปเที่ยวงานของมันเหมือนกัน”

“งั้นเอาอีขัดมันอ้ายเส้นสามบาทนั้นก็ได้...”

“เจ้าจะให้ข้าเท่าไร?”

“เสร็จงานแล้วจะให้สัก ๑๐ บาท...”

“ฮะ! ไม่ได้หรอก! ทองถึง ๓ บาท ข้าเอา ๒๐ เอ็งจะเอาหรือไม่เอาตามใจเอ็ง” ท้ายที่สุดนางเอกยี่เกก็จำต้องยอมรับเอา

ก่อนวันงานคืนหนึ่ง แสงไฟก็สว่างพรึบไปหมดแล้วทั่วงานวัด บรรดาชาวร้านย่านตลาดตั้งแผงขายของขนูกขนมสารพัดอย่าง ตั้งเรียงรายกันไปเป็นแถว พวกหนุ่มๆ ทีนเอจเดินชะลอคลอเคียงตามเจ้าสาววัยรุ่นที่เดินแกว่งตะโพกที่ซ่อนอยู่ภายในกางเกงสู้วัวอันตึงเปรียะ และยิ่งส่ายมากเข้าไปอีกเมื่อเห็นคนมองกันเป็นตาเดียว ทุกๆ คนหมายตาเอาไว้ว่าเวทีประกวดรำวงอยู่ตรงไหน และเวทีประกวดร้องเพลงอยู่ตรงไหน? นักร้องมีชื่อของเมืองไทยหลายคน เกิดมาจากการประกวดร้องเพลงตามวัดก็มีถมเถไป บนกุฏิศาลาการเปรียญ พวกยี่เกและพวกศิษย์หาที่อยู่ต่างตำบลอันห่างไกล เริ่มมาพักหลับนอนกันแล้วเป็นทิวแถว โดยไม่ต้องกางมุ้งกันเลย พวกรถขายยาสำเร็จรูปโก่งคอร้องเพลงออกอากาศอยู่ตามวัด ไม่ว่าจะเป็นบนบกหรือไนแม่น้ำซึ่งมีเรือขายยาตะโกนโหวกๆ อยู่เช่นเดียวกัน ตามที่ว่างในลานวัดมีการแสดงสิ่งของประหลาดทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ละครลิงกายกรรมไทยและจำพวกม้าเวียน และชิงช้าสวรรค์ กระเช้าสวรรค์ดูครึกครื้นยิ่งนัก รถประจำทางทุกเที่ยวจากนอกเมืองบรรทุกคนเพียบแปล้จนยางแทบจะระเบิดออกไปทีเดียว

ครั้นแล้ววันงานก็มาถึง!

พอเริ่มงานตอนเช้าคนก็แออัดยัดเยียด พระอาทิตย์ปลายมีนาคมร้อนจัดเป็นบ้าเป็นหลัง ทั้งยี่เกละครเริ่มลงโรงทำให้ผู้คนเบียดเสียดกันเข้าไปดูจนเหงื่อไหลไคลย้อย พวกที่หิวโหยโรยแรงก็จะหันเข้าปะรำโรงทานที่ตั้งไว้แจกอาหารปะทะปะทังความหิวเข้าไว้ในเวลากลางวัน พวกที่ร้อนจัดก็จะหันมาหาน้ำยาอุทัย แล้วเข้าไปแต่งตัวหวีผมผัดหน้าส่องกระจกที่ตั้งไว้เป็นแถวภายในปะรำอันยาวเหยียด เครื่องขยายเสียงของกรรมการจัดงานก็รายงานเรื่องคนมาช่วยงาน คนนั้นเท่านั้นคนนี้เท่านี้อยู่ตลอดเวลา ถ้าใครช่วยเงินมากก็ย้ำแล้วย้ำเล่าบอกกล่าวชื่อผู้ใจบุญคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

พอตกเวลากลางคืน ลานวัดอันกว้างขวางใหญ่โตไม่มีวัดใดเทียบเท่า ก็ดูเหมือนจะเล็กไปเหมือนเมล็ดข้าวที่เข้าไปอัดกันอยู่ในทะนานใบเล็ก ทำให้ลานวัดดูคับแคบไปในทันทีทันใด คืนวันแรกตามหมายกำหนดการให้ประกวดวงดนตรีเครื่องสายไทยเสียก่อน วงข้าราชการแสดงก่อนแล้วผลัดกับวงชาวบ้านเรื่อยไปคนละเพลง พวกข้าราชการคิดการที่จะเอาชนะเต็มที่ สั่งเอานักดนตรีไทยมีชื่อไปจากกรุงเพื่ออวดฝีมือ พวกเครื่องสายชาวบ้านเห็นการจะไม่ยุติธรรมนักและเล่นโกงกันเห็นๆ - พี่แกก็กระโดดเข้าไปในวงพิณพาทย์อันเคยสนิทชิดชอบกันมา จับไม้ตีกลองทัดขึ้นแล้วก็ลงมือรัวกลองขนาดตีกลองศึก หรือโซโลกลองกันเป็นการใหญ่ กลบเสียงเดี่ยวไวโอลิน เดี่ยวขิม และเดี่ยวขลุ่ย อู้ด้วง ออร์แกนเสียจนสิ้นเชิง

พวกข้าราชการก็นิ่งเฉยเสีย พอวงพวกชาวบ้าน - เดี่ยวบ้าง ข้าราชการชั้นผู้น้อยคนหนึ่งยกแก้วเหล้าขึ้นซดแล้ววิ่งไปที่หอฉัน เขารัวระฆังเสียงเหง่งหง่างขึ้นมาบ้าง กลบเสียงเดี่ยวเสียหมด คราทีนี้วงเครื่องสายทั้งสองวงก็ยืนขึ้นพร้อมกัน ทำท่าว่าจะเข้าเชือดเนื้อเถือหนังและท้าทายกันอย่างดุร้าย ทำให้กรรมการต้องวิ่งเข้าระงับเหตุ พวกนักดนตรีไทยเลยไม่ได้แสดงฝีมือกันในวันนั้น

ฝ่ายปี่พาทย์วงนายกริบกับวงนายอุ่นหรือครูอุ่นสัญญากันไว้ว่าจะเล่นคนละเพลงไม่ซ้ำกัน ถ้าใครเล่นทับเพลงก็หมายความว่าแพ้ วงครูกริบเกิดมันมือขึ้นมาแล้วไม่ยอมหยุด ออกสองชั้นสามชั้นออกทรงเครื่องเหมือนจะเล่นเสียคนเดียว วงครูอุ่นเกิดขัดใจเลยขึ้นเพลงเสมอแล้วเชิดเลย เสียงพิณพาทย์สองวงตีพร้อมกันจนระเบ็งเซ็งแซ่ไปหมด ทั้งกุฎิพระสงฆ์องค์เจ้าตลอดจนแขกเหรื่อที่มาช่วยงานพูดกันฟังไม่รู้เรื่อง ในเวลาไม่ช้านักไม้ตีกลองทัดของวงครูอุ่นก็ปลิวมาโดนหน้าผากคนตีระนาดเอกแตกเลือดไหลริน ฉาบวงครูกริบจึงร่อนมาโดนคนเป่าปี่เป็นบาดแผลฉกรรจ์เลือดโซมหน้า วงพิณพาทย์ทั้งสองตรงเข้าตะลุมบอนกันเป็นสิงคลี ร้อนถึงกรรมการจัดงานตลอดจนกำนันต้องวิ่งเข้ามาห้ามกันยกใหญ่ และส่งคนเจ็บไปยังโรงพยาบาล

ทางด้านหนังตะลุง ตั๋วโผเสกมนตร์ดลจิตวิทยา แล้วโบกธงแดงเบื้องบนจอเงินเล็กๆ กลองก็ตีรัวเอาฤกษ์เอาชัย ฤาษีตาแดงออกมายืนสงบนิ่งอยู่บนหยวกกล้วย คนเชิดร้องไหว้ครูจบบทหนึ่ง กลองก็รัวขึ้นครั้งหนึ่ง เสียงโห่เอาชัยขึ้น ๓ ลาแล้วลิงหัวค่ำก็ออก ผู้คนที่กำลังดูหนังกลางแปลงก็วิ่งพรูกันเข้ามาดูหนังตะลุงกันเสียหมด คนพากย์หนังจะพากย์เท่าไรๆ ก็ไม่มีคนไปดูเลย นอกจากเด็กๆ ที่นอนดูกันอยู่หลังจอ ๗ - ๘ คน

พอหนังฝรั่งจัดเอาหนังคาวบอยเด็ดๆ ออกมาฉายคนก็ฮือกันไปทางหนังฝรั่ง แต่พอหนังตะลุงปล่อยตัวตลกออกมาอีก ๒ - ๓ ตัว คนก็ฮือมาทางหนังตะลุง เวียนแพ้เวียนชนะและคู่คี่กันมาตลอดเวลา

น่าสงสารแต่ยี่เกวงแม่เกษร ที่ตั้งโรงแสดงอยู่ข้างหอระฆัง ยายเป้าตบอกผางแล้วร้องขึ้น

“ตั้งแต่กูหากินแถวนี้มาตั้งแต่สาวจนแก่ก็เพิ่งจะมาเคยที่งานนี้แหละที่ไม่มีคนดู”

อีกโรงหนึ่งคือที่โรงของพ่อเชื้อ คนดูเบียดเสียดยัดเยียดจนแทบจะเหยียบกันตาย แต่โรงยายเป้ามีคนดูอยู่ ๗ - ๘ คน เท่านั้นเอง มีคนดูยี่เกยายเป้ามาใหม่ ๔ คนในขณะนั้น พร้อมด้วยเจ้าหนุ่มวัยฉกรรจ์เลยทีนเอจแล้วอีก ๑ คน พอเห็นโรงยี่เกยายเป้ามีคนดูอยู่ ๗ - ๘ คน น้ำใจอันบังเกิดความสงสารเห็นใจและเข้าข้างฝ่ายที่พ่ายแพ้ก็บังเกิดขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดล้อเลียนไม่ได้ เฒ่าหนูไปยืนอีกฟากหนึ่งของโรงยี่เกที่ปราศจากคนดู

เขายกมือขึ้นโบกอยู่ไปมา

“เฮ้! อ้ายเหมือน - กลับบ้านเรียกกูด้วยนะโว้ย!...”

“ทำไมล่ะหนู?” เฒ่าเหมือนถาม

“ประเดี๋ยวจะหลงกัน - คนมันมากเกินไป...”

ยายเป้าตั๋วโผยี่เกอยากจะร้องไห้โฮออกมาในเวลานั้น

“ทั้งเยาะทั้งเย้ยเทียวนะพ่อคุณนะ! เห็นล้มแล้วกลับซ้ำเติม...”

“โธ่! พี่เอ๋ย - ฉันไม่มีนิสัยยังงี้หรอก พี่ล้อเล่นเห็นเป็นสนุกอย่าได้ถือสาเลย..” เฒ่าเหมือนเอ่ยขึ้น “ฉันจะเรียกคนให้ได้ ถ้าแม่จะหาอ้ายน้ำพรรค์อย่างนั้นออกมากินกันบ้าง...”

“อ๋อได้ - ฉันเต็มใจทีเดียวพ่อคุณ...”

ครั้นแล้วยี่เกนอกโรงก็ได้อุบัติขึ้น เฒ่าเหมือนกับเฒ่าหนู ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายท้าทาย เฒ่าไปล่กับเฒ่าโพล้งรับคำท้า

“ฮะฮ้า! มึงนักเลงจริง มามึงเข้ามา...”

“ฮ่า! ท้ารึเกลอ เกลอท้ากันรึ...”

“ท้าซีวะ! อ้ายบัดซบ...” เฒ่าหนูร้องขึ้นและตบมืออยู่ฉาดฉาน “มา - มาลองกันเดี๋ยวนี้ให้มันรู้กันไป มาเข้ามา! อย่างขาวสะอาด หรือจะให้ไปตีกันบนหลังคาบ้านมึงก็ได้...”

เจ้าชัยหนุ่มน้อยวัยทีนเอจก็ถ่างปากร้องตะโกนลั่น

“ขอเสียทีเถอะ ขอเสียที - เรามาเที่ยวงานนะ!...”

โฆษกชัยหรือพิธีกรชัยวิ่งเข้าไปทางโรงยี่เกพ่อเชื้อที่มีคนดูแน่นทึบราวกับจะเหยียบกันแบน แล้วร้องตะโกนลั่น

“ยี่เกโรงโน้นคนตีกัน...”

“อย่าไปดู เขากำลังจะฆ่ากัน” เขาร้องสำทับ

“เด็กๆ อย่าเข้าไปเป็นอันขาด - กำลังฟันกันนัว...”

พอได้ยินคำพูดของชัย บรรดาคนดูทั้งหลายก็เหลียวข้ามไหล่ไปดูยังโรงโน้น ภาพของบรรดาคนดูยังโรงโน้น ภาพของคนทั้งสองที่กำลังถือดาบไม้ของยี่เกที่กำลังกวัดแกว่งอยู่ไปมา ชายเลยวัยกลางคน ๔ คนเดินกำเข้าหากัน อีกคนหนึ่งฟันอีกคนหนึ่งล้มลงไปชักดิ้นพราดๆ แลเห็นแก่ตา เหตุจูงใจเหล่านี้ทำให้เด็กๆ วิ่งแตกฮือนำหน้ากันมาก่อน แล้วคนใหญ่ก็ออกวิ่งตาม

“ตีกันโว้ย! ตีกัน...”

“ยี่เกโรงโน้นฟันกันชักกลางวง”

เฒ่าเหมือนผู้ล้มชักดิ้นซักงออย่างสนิทสนมและสมจริงเปิดเปลือกตามองดูไปรอบๆ เห็นคนมุงเข้ามามากพอดูก็พยักหน้ากับเจ้าชัย

พอได้หางตาเฒ่าเหมือน กำลังของเจ้าชัยก็เกิดมีขึ้น เขาวิ่งเข้าไปในฉากยี่เกแล้วก็สอดส่ายสายตาหาเกษร หล่อนกำลังอยู่ในเครื่องต้นเครื่องทรงอันงามสง่า มือซ้ายของเขาตวัดคอของเกษร และรองรับแผ่นหลังไว้ด้วยมือขวา ช้อนใต้ขาพับตรงหัวเข่ายกขึ้นอุ้มออกมานอกฉาก ทำให้เกษรตกตะลึงพรึงเพริดอยู่เป็นครู่ พอรู้สึกตัวได้สติหล่อนใช้สองขาถีบอากาศและดิ้นรนสุดแรงเกิด เขาพาวกออกข้างโรงแหวกคนดูไปทางหลังโรงอย่างรวดเร็ว แล้วยี่เกนอกโรงก็หยุดยืนหอบฮักประทับจมูกลงไปที่แก้มของหล่อน และปากของเขาก็ประทับลงไปที่ตรงมุมปากของเกษร เจ้าชัยเลยวัยเหลนครางออกมาเหมือนคนเพ้อ

“ฉันรักเกษรมานานแล้ว รักปานหัวใจ...”

แต่พออ้ายหนุ่มยี่เกนอกโรงจะก้มลงจูบอีก ผู้คนก็รุมล้อมกันเข้ามาแน่นขนัดเสียแล้ว ทำให้เขาต้องอุ้มหล่อนวิ่งต่อไปอีก เลี้ยวไปเข้าทางด้านข้างของโรงอีกด้านหนึ่งแล้วก็วางหล่อนลง

ข้อมือของเขาถูกจับไว้มั่นด้วยมือของกำนัน ตำรวจรักษางานสองคนวิ่งเข้ามาพร้อมด้วยอาวุธ เขาควักกุญแจมือออกมาจากกระเป๋า และเตรียมที่จะสับมันลงไปบนข้อมือของเขา

“เดี๋ยวก่อนครับหมู่” เขาพูดหอบๆ “ฟังผมพูดก่อน”

“ไม่ต้องฟังละ! ฉันเห็นแก่ตาทีเดียวว่าเราอุ้มเขาออกไป”

“ผมทำเพื่อโฆษณานะครับหมู่”

ทั้งเฒ่าเหมือนเฒ่าหนูแหวกคนเข้ามา

“ไม่ใช่เรื่องจริง” เฒ่าเหมือนพูดขึ้น “อาชญนิยายครับ”

“อาชญนิยาย...” กำนันทวนคำ

“ผมเตี๊ยมขึ้นเอง...” เฒ่าหนูพูด

“เพื่อเรียกคนให้มาดูยี่เกโรงนี้ -” เฒ่าโพล้งบอก

“บ้า! อะไรกันอย่างนี้...” กำนันร้องขึ้น

“ตั๋วโผยี่เกอยู่ที่ไหน?”

“อีฉันอยู่นี่เจ้าค่ะ - “ นางตอบ

“เขาจะอุ้มนางเอกเราไปใช่หรือไม่ใช่?”

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ! เขาจะโพนทะนาให้คนมาดูเท่านั้นเอง”

“เขาบอกเราแล้วหรือ?”

“บอกแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าเขาจะแสดงอาชญนิยายหรือนิยายอาชญากรรมให้ดู” นางตอบ “และเดี๋ยวนี้คนก็มาดูแล้วละค่ะ! หมู่ไปเสียเถอะเดี๋ยวคนกลับไปเสียหมด...”

ยี่เกเริ่มออกตัวแล้ว เกษรออกมาพูดจ้อถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น หล่อนว่าหล่อนเป็นผู้หญิง เมื่อไม่มีคนนิยม ต่อไปนี้จะได้เปลี่ยนเป็นอาชญนิยายลึกลับและตื่นเต้น ดังที่ได้แสดงตัวอย่างให้ดูแล้วเมื่อสักครู่นี้ จะเป็นยี่เกแหวกแนวเล่นได้เท่าของจริงทีเดียว เค้าโครงเรื่องก็จะไม่ให้แพ้เรื่องเชอร์ล็อก โฮล์มส์ หรืออาร์แซน ลูแปง และเรื่องของการ์ดเนอร์ก็ยังได้ ครั้นแล้วยี่เกก็เริ่มแสดงและเดินเรื่องเร็วทันใจพระเดชพระคุณเหลือเกิน

กรรมการร้องเพลงเริ่มประกวดเพลงไทยสากลเข้าให้แล้ว จิ้งเหลนตัวแรกเดินฝ่าไปในเสียงตบมืออันเกรียวกราว ถ้ามีเครื่องวัด มันอาจขึ้นไปถึง ๙๐ เต็มปรี่ทีเดียว

“ชื่ออะไร?” กรรมการถามขึ้น

“ชื่อชูศักดิ์...” เขาตอบ

“จะร้องเพลงอะไร?”

“เพลงโปรดเถิดดวงใจ”

อีกคนหนึ่งก้าวขึ้นมาสมัครอีก

“ชื่ออะไร?”

“ชื่อชูเกียรติครับ” จิ้งเหลนใหม่ตอบ

“จะร้องเพลงอะไร?”

“เพลงโปรดเถิดดวงใจ”

“ก็ซ้ำกันน่ะซี” กรรมการบอก

“ผมชำนาญอยู่เพลงเดียว”

ทีนเอจหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในกางเกงสู้วัวรัดตึงเปรียะ

“คุณชื่ออะไร?” กรรมการถาม

“ชื่อชูศรีค่ะ...”

“ชูทั้งนั้น” กรรมการร้องขึ้น “จะร้องเพลงอะไร?*

“เอาโปรดเถิดดวงใจแล้วก็เสียงดุเหว่าแว่ว แล้วก็น้ำตาในสายฝนค่ะ”

“ร้องได้เพลงเดียว”

“งั้นเอาเสียงดุเหว่าแว่วก็แล้วกันค่ะ!...”

ครั้นแล้วเสียงอันโหยหวนก็ได้เริ่มขึ้น ทั้งเสียงสูงเสียงต่ำ เสียงเทเนอร์ บาริโทน โก่งคอร้องกันยกใหญ่ ผลของการประกวดจะได้ตัดสินในวันสุดท้าย บางคนเสียงกลมดิกเหมือนไม้กระบอก บางคนเสียงแตกเหมือนกระดาษทราย บางคนเสียงแบนเหมือนเสียงวัวเหยียบ - และบางคนเสียงเหมือนจานเสียงที่เสื่อมคุณภาพมาแล้วในราว ๓ ปี

การจัดระเบียบใหม่ได้เริ่มขึ้นในวันที่ ๒ ของงาน วงเครื่องสายแยกย้ายกันไปอยู่ไกลๆ พิณพาทย์แยกไปกันคนละกุฏิ แยกหนังตะลุงออกไปจากหนังฝรั่ง...แยกวงประกวดร้องเพลงออกไปเสียจากเวทีรำวง เหตุการณ์ได้ดำเนินไปโดยเรียบร้อยจนกระทั่งวันสุดท้าย

รุ่งอรุณแห่งวันใหม่ปรากฏขึ้นแล้ว พระอาทิตย์อุทัยไก่วัดไก่บ้านขันรับกันเป็นทอดๆ เกษรนางเอกผวาตื่นขึ้นในย่ำรุ่ง หล่อนกรีดร้องขึ้นจนสุดเสียง ทั้งสร้อยคอสร้อยข้อมือและแหวนหายไปจากตัวจนเกลี้ยงเกลา เสียงร้องของหล่อนปลุกคนอื่นๆ ให้ตื่นขึ้น และคนอื่นๆ ก็กรีดร้องประสานเสียงขึ้นมาพร้อมๆ กันอีกเหมือนกัน เพราะเครื่องทองรูปพรรณที่ยืมมาบ้างเช่าเขามาบ้าง ได้ถูกขโมยถอดเอาไปเสียจนหมดตัวในเวลาหลับจากการแสดงที่อ่อนเพลียมาหลายวัน

“ตายแล้ว อกแตกตายกันคราวนี้เอง...” เกษรร้องขึ้น “จะเอาที่ไหนไปใช้เขาไหว”

เสียงร้องไห้โฮของยายเป้าดังขัดจังหวะขึ้น

“ฉิบหายแล้วกู - เข็มขัดนากเช่าเขามาหายไปด้วยเหมือนกัน”

“หลับสนิทเหมือนตายโหง” แม่สาวคนหนึ่งร้องไห้พลางพูดพลาง “ฉันเชื่อเหลือเกินว่ามันจะต้องแอบเอายาเบื่อให้หลับมาใส่ลงในข้าวและกับข้าวที่เรากินเมื่อเย็นวาน”

ทุกๆ คนร้องไห้และเต็มไปด้วยความวิปโยคโศกเศร้า เกษรดูเหมือนจะคลุ้มคลั่งมากกว่าคนอื่นๆ หล่อนรีบล้างหน้าแต่งตัวแล้วเผ่นพรวดลงไปจากกุฏิ เดินออกไปนอกวัดโดยปราศจากความมุ่งหมาย มันก็เผอิญเหลือเกินที่พบชัยคอยอยู่แล้ว

“จะไปไหนเกษร” เขาถามขึ้น

“ไปมันทั้งนั้น...ไปมันส่งเดช” เกษรพูดพลางร้องไห้พลาง หล่อนเล่าเรื่องให้เขาฟังจนหมดสิ้น แล้วก็จบลงประโยคที่ว่า “ฉันจะกลับไปบ้านได้อย่างไรนี่ ฉันจะไปหาเงินที่ไหนมาใช้เขาไหว”

“อย่าไปโดยปราศจากจุดหมายเกษร...ไปกับพี่ดีกว่า”

“ดียังไง?” หล่อนถามขึ้น

“ไปกับพี่ยังจะมีความหวังบ้าง...พี่มีเงินอยู่เกือบ ๒๐๐ นั่นแน่ะ...และวันนี้เขามีนัดไฮโล...เจ้ามือมาจากกรุง - ถ้าพี่รวยละก็เป็นซื้อให้เขาจนครบ”

“แล้วถ้าพี่ไม่รวยล่ะ?”

“เราก็จะกอดคอกันหามันต่อไปอีก...หามันจนกว่าจะได้...”

หล่อนยืนนิ่งคิดอยู่สักครู่หนึ่งแล้วก็ตกลงใจ

“ไปก็ไปพี่ - ตั้งใจแทงให้มันดีๆ ทีเดียวนะ ฉันจะรักพี่จนวันตาย!” ○

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ