เหน็บปีก

ข้าพเจ้ายังไม่ลืม “ซาเก๊าะ” วัวชนที่เจ้าของเอาไปผูกแพ้วไว้ในสวนยางให้ยุงกัด ให้อดข้าว ๓ วัน ยืนแช่น้ำเฉอะแฉะเพื่อจะ “ล้ม” หรือให้มันแพ้ แต่ทั้งๆ หญ้าไม่ได้ตกถึงท้องเลยแม้แต่ต้นเดียวเป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน เวลาชนมันก็ทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ คือชนให้เจ้าของของมันอย่างบ้าเลือด มันชนะ แต่เจ้าของของมันฉิบหาย สิ้นเนื้อประดาตัว ข้าพเจ้ายังไม่ลืมมวยล้มครั้งหนึ่ง ซึ่งฝ่ายที่จะต้องแพ้กลับใจ เพราะเห็นผู้หญิงคนรักของตนไปอยู่ด้วย ตะบันฝ่ายตรงข้าม ๒ - ๓ ทีล่อง มวยล้มคู่นี้พลิกกระเป๋านักพนันเสียจนฉิบหายขายตัว นักมวยคนแพ้ร้องไห้ ร้องเพราะความทุจริตความทรยศหักหลังของเพื่อนตัว

ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ยังจำเจ้าปลากัดสีสวยสด เป็นสีน้ำเงินเข้มคู่หนึ่งได้ มันกัดกันหลายวันจนครีบกระโดงของมันสูญสิ้นไปเหลือแต่ตัวเท่านั้น แต่มันก็ยังคงสู้กันไป สู้ สู้ กันไป ปากต่อปากมันก็บิด - บิดกันไป ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงลุงฝ้ายซึ่งมีนัยน์ตาอันฝ้าฟางตามอายุอันชราของแก นัยน์ตาที่มองอะไรไม่ใคร่จะเห็น แต่ทว่าเวลาเจ้าปลาเข็มมันกัดกันชุลมุนรวดเร็วไม่ผิดฟ้าแลบแกก็ยังดู ยังจำเจ้าปลาเข็มของแกได้ว่า ตัวนั้นเป็นของแก ตัวนั้นเป็นของเขา ทั้งๆ ที่ปลาเข็มคู่นั้นมันเหมือนกันราวกับลูกแกะเหมือนแม่แกะ

ข้าพเจ้ายังจำลุงฉาบได้ดี ลุงฉาบผู้ถือว่าแกมีปริญญาบัตรทางเลี้ยงไก่ ไม่ว่าลุงจัน ลุงฉาบ หรือลุงฝ้าย ลุงเสือ ทุกๆ คนมีนิสัยเหมือนกันในเรื่องที่ว่าตัวเองนั้นเลี้ยงไก่เก่งที่สุด คนอื่นต้องสู้ไม่ได้เสมอไป

“เรื่องไก่ชนละก็อย่าเสียเลย ไม่มีใครสู้ผมหรอก”

เมื่อตาฉาบโอ่ตัวขึ้นมาว่าแกเองเป็นมือเยี่ยม และคำพูดเหล่านั้นไปเข้าหูลุงฝ้ายเข้า ลุงฝ้ายก็จะตบเข่าหัวเราะอย่างขบขันสิ้นดี

“พุทโธ่ - อ้ายฉาบ” ลุงฝ้ายว่า “ถ้าไก่ใครดีๆ ให้อ้ายฉาบไปถูกต้องเข้าแล้ว เหี้ยต้องเข้ากระเป๋า” แล้วแกก็หัวเราะอย่างขบขัน ตกว่าทุกๆ คนมีวิชาเลี้ยงไก่ประเสริฐสุดหาผู้ใดเสมอเหมือนตัวมิได้ ทั้งให้น้ำไก่ทั้งเปรียบไก่ก็พยายามที่จะเอาเปรียบ แม้แต่ขนเส้นหนึ่งก็ไม่ให้มีเปรียบกว่าไก่ของตัวไปได้ เมื่อครั้งเปลี่ยนปกครองสมัยหนึ่งบ่อนไก่โรยราลงไป เพราะทางการห้ามขาดไม่ให้พนันขันต่อ โดยถือว่าเป็นเรื่องทรมานสัตว์ ลุงฉาบตีปีกปับๆ อย่างไก่แล้วก็ร้องออกมาว่า

“หน็อย - ทีไก่ละว่าว่าทรมานสัตว์ ก็ทีอ้ายคนขึ้นไปชกกันจนเลือดโชกเลือดโชนนั้นไม่ทรมานสัตว์หรือ?”

แต่เมื่อบ่อนไก่เปิดขึ้นได้อีก บรรดานักเลงที่แขวนผ้าให้น้ำแล้วก็กลับคึกคักขึ้นมาอีก มือที่เคยเปรอะขมิ้นเป็นสีทองและหมดสีขมิ้นไปแล้ว บัดนี้ก็เหลืองอร่ามขึ้นมาอีก แต่ก่อนนี้เมื่อไก่ฝรั่งยังเฟื่องฟู ไก่ชนก็จ๋อง นักเลงไก่เห็นแล้วสะอิดสะเอียนเหมือนเห็นอีแร้ง แต่บัดนี้ไก่ชนดูเหมือน “หงส์” อันมีค่ายิ่ง ทุ่งสุพรรณทั้งทุ่งเต็มไปด้วยนักเลงไก่ เที่ยวกว้านซื้อหากันด้วยราคาสูง เพราะเจ้าของไก่ “เหล่า” ดีๆ ไม่ยอมทิ้งไก่ดีๆ ของเขา แม้รัฐนิยมจะได้เข้าครอบงำอยู่ก็ตาม นอกจากสุพรรณแล้วก็ยังมีไก่ปทุมธานี ไก่พระประแดงที่ซุ่มซ่อนเลี้ยงไว้เงียบๆ ด้วยความอาลัยในเหล่าของมันที่ตีไม่เคยแพ้ใคร แต่เพชรบุรีนั้นไก่เหล่าดีๆ มีน้อยนัก ก็ต้องเที่ยวหาซื้อไก่ “เหล่า” จากที่อื่นมาด้วยราคาแพง แต่ที่อยู่ต่ำจากเพชรบุรีลงไปก็ต้องมาหาไก่แถบเพชรบุรีอีกต่อหนึ่ง ทั้งไก่ปล้ำไก่ต่อล่อไก่ชนจึงอุดมสมบูรณ์ และการคัดเลือกไก่หรือก็เก่งกาจ มีตั้งแต่แพรหางเขียว หรือเขียวหางขาว เหลืองหางขาว ประดู่หางขาว เหลือง ๓ สี เหลืองกด และบัวใต้ปีก เลือกล้วนแต่ว่าเหล่าดีเกล็ด ๒ แถว ๓ แถวตามเหล่าของมัน

วันนั้นอากาศดีนัก ท้องฟ้าโปร่งและแจ่มใส เจ้าชัยหนุ่มน้อยมีไก่ดีก็เปิดไก่ออกจากสุ่ม เป็นไก่รุ่นเดือยปุ่มสีบัวใต้ปีก ประจงวางข้างหน้าตักแล้วก็อาบน้ำ ใช้ผ้าขนหนูผืนน้อยชุบน้ำให้ชุ่มเข้าไปถึงผิวหนัง แหวกขนดูเนื้อสีแดงเข้มเหมือนสีตำลึงสุกแล้วก็บีบน้ำลงไป ปากก็คุยโขมงอยู่กับนักเลงไก่หลายคน ทั้งลุงฉาบ ลุงจั่น ลุงเสือ และน้าวัน

“หากไก่เหล่าทุ่งสาลีเมืองสุพรรณด้วยกันแล้วก็ตายมันทั้งนั้นแน่ลุงเอ๋ย น้าเอ๋ย เดี๋ยวข้าจะล่อให้ดู”

อ้ายบัวใต้ปีกตระกูลดีดิ้นรนเล็กน้อย ขณะที่เจ้าของของมันเช็ดหน้าเช็ดตาให้

“ขมิ้นน่ะเบาๆ เสียก็ได้วะอ้ายชัย” ลุงฉาบสั่งสอน “ขมิ้นมากนักมันก็ตึงตัวมันเปล่าๆ ไก่น่ะมันดีละ เสียแต่ว่าเอ็งเลี้ยงมันยังไม่ดี”

“นัดหน้าวันเสาร์นี่แหละลุงฉาบ ดีหรือไม่ดีก็คงจะได้รู้กัน”

เจ้าบัวใต้ปีกถูกปล่อยเดินก๋าออกไปกลางลานดินตีปีกขันจ้าไปด้วยความคึกคะนอง

“พ่อของมันตัวนี้ตีกับใครไม่เกิน ๒ อัน ลำพังไข่ของนางตัวเมียแม่เล้าของมันเท่านั้น เมื่อครั้งเงินยังมีราคาก็ขายใบละ ๕ บาท แต่มาตอนหลังพ่อของมันถูกน้ำกรดตาบอด”

“อ้าวทำไมถึงเซ่ออย่างงั้นล่ะ?” ลุงฉาบร้อง

“ก็อีตอนให้น้ำนั่นแหละเสียทีเขา คว้าผ้ามาให้น้ำ ไม่รู้ว่าน้ำกรดมันเข้าไปอยู่ในผ้าในน้ำได้อย่างไรกัน พอปล่อยไปก็มอดหมด”

“นั่นเป็นไร” ลุงฉาบร้อง “มันต้องระวังให้ดี”

“เฮอ! ตาฉาบเอ๋ยแกอย่าพูดเลยวะ” ลุงเสือร้องขึ้น “ก็อ้ายของแกอย่างไรล่ะเสือกเอายางน่องทาเดือย ให้น้ำไปให้น้ำมา ยางน่องที่เดือยของไก่แกมันก็ฆ่าไก่แกเอง ทำให้ข้าพลอยฉิบหายไปด้วย”

ลุงฉาบหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า “เวลานั้นกูกำลังลืมนึกไปว่าหน้าไก่เรามันเป็นแผลอยู่ - แต่ว่าตอนหลังกูก็แก้ได้ด้วยกระเพาะเยี่ยวเสือปลา”

“เฮ้อ! อ้ายพวกโกงอย่างนี้น่ะมันไม่ค่อยเจริญหรอกตาฉาบเอ๋ย กระเพาะเยี่ยวเสือปลาก็สู้ดีมันไม่ได้ ทาหัวปีกเข้าแล้วพอซุกหัวได้กลิ่น ก็ตกใจกระโดดหนีออกจากสังเวียนแทบไม่ทัน”

เจ้าชัยดีดมือ ๒ - ๓ ที อ้ายบัวใต้ปีกก็กรีดเข้ามาแล้วก็จิกเอาๆ ท่าทางที่มันเดินนั้นงามจริงไม่ผิดหงส์ นักเลงเก่ามองดูแล้วน้ำลายแทบจะไหล เพราะไก่รูปนี้หาคู่ง่าย ไม่เล็กไม่ใหญ่กำลังงาม ทั้งลุงฉาบ ลุงจั่น ลุงเสือ และน้าวัน ก็ช่วยกันประคับประคองอ้ายไก่ล่อออกมาให้มันออกกำลังกระโดดตีอยู่เป็นพัลวัน คล้ายนักมวยที่กำลังฟิตตัวให้แข็งแกร่งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทั้งข้าวเปลือก ผักปลา ล้างน้ำสะอาดมาปรนนิบัติ ตกกลางวันกินกล้วยสุกวันละใบแล้วครอบสุ่มมืดให้มันนอนพักผ่อน อาศัยนักเลงเก่าชำนาญไก่มานานนักช่วยดูแล ไก่เจ้าชัยก็มีคนขอเดิมพันไว้ตั้งค่อนตัวเจ้าของเองไม่ได้กี่ร้อยเพราะมันมีแต่ไก่ เงินไม่ค่อยมี และเจ้าชัยนั้นมันเป็นหนุ่มฉกรรจ์ เติบกล้าแล้วต้องการแต่จะได้เงินเดิมพันไปแต่งเมียคือเจ้ายี่สุ่นลูกของลุง ซึ่งอย่างฐานปรานีเขาก็เรียกเอาถึงพัน พันห้า ข้อนี้แหละที่ทำให้มันกระอักกระอ่วนอยู่เต็มทน

“เอ็งไม่ต้องตกใจหรอวะอ้ายชัย” ลุงฉาบบอก “ตากูก็พอมีแววอยู่ในเรื่องไก่ เอ็งก็รู้อยู่แล้วว่ากูไม่เคยกลัวใคร อุตส่าห์เลี้ยงให้ดี หาคู่ให้ได้เปรียบ ๒ - ๓ คราวเท่านั้นมึงก็จะได้แต่งเมีย”

เจ้าชัยถอนหายใจยาวด้วยความหนักอก “แต่เรื่องการพนันขันต่อมันก็ไม่แน่นักหรอก...ลุงเอ๋ย มันก็มีได้บ้างเสียบ้างเป็นธรรมดา เมื่อไหร่มันถึงจะพอกันสักที”

“เอาเถอะน่า - เอ็งอย่าไปตีตนตายไปหน่อยเลย” แกรับรองด้วยความมั่นใจ “ก็อ้ายที่กูได้เมียอยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า มันก็ไม่ใช่เพราะไก่ของกูหรอกหรือ? กูดูรูปไก่และรับว่าสู้เขาได้ มึงก็นอนใจเสียเถอะ”

ครั้นวันนัดมาถึง บ่อนที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่กี่นัดก็คับคั่งอยู่ด้วยผู้คน ไก่รองบ่อนและไก่ที่จะเอาไปขันครอบสุ่มวางอยู่เป็นทิว แถวขันเสียงเซ็งแซ่ไปทั้งบริเวณ ถึงจะเป็นบ่อนเล็กไม่ใหญ่เท่าบ่อนตาแดงโรงเลี้ยงเด็ก แต่ก็มีรั้วรอบขอบชิดไว้กันนักเลงแพ้แล้วหลบหนีออกไปอย่างเงียบๆ เจ้าชัยครอบสุ่มไก่ของตัวเข้าแล้วก็กวาดตามองหาคู่คะเนไว้เมื่อเวลาเปรียบจะได้เลือกได้โดยสบาย แต่สีสันท่าทางไก่ของมันเป็นไก่สีบัวใต้ปีก สีแปลกกว่าตัวอื่นๆ ที่ในบ่อน คนก็เข้ามาล้อมวงดูทีอันสง่าที่มันขยับย่างเยื้องกราย ตาฉาบก็เฝ้าแต่ทำการคุยโขมงฐานเป็นนักเลงอาวุโส ทำให้ลุงฝ้ายเกิดหมั่นไส้เต้นก๋าเข้ามาขัดคอ

“ไงฉาบเอ็งต้องอาศัยหากินกับเด็กแล้วหรือ?”

“หนอยแน่อ้ายฝ้าย” ลุงฉาบตีปีกเต้นก๋าออกมาข้างหน้า “วันนี้แหละฝ้ายเอ๋ย อ้ายแพรหางเขียวหางของเอ็งนั่นแหละมันจะแพ้ไก่เด็ก”

ลุงฉาบลุงฝ้ายล้วนเป็นเพื่อนเกลอกันมาแต่หนุ่มแน่น เดี๋ยวนี้อายุล่วงเลย ๖๐ ด้วยกันทั้งคู่ เมื่อมาพูดเล่นพูดหัวกันต่อหน้าเด็กก็ทำความขบขันให้แก่คนอื่น มันเป็นเรื่องบังเอิญที่สุดที่อ้ายแพรหางเขียวของลุงฝ้ายรูปร่างพอเปรียบกันได้ เมื่อถูกคะยั้นคะยอล้อเลียนท้าทายกันในเชิงนักเลงสักพัก ทั้งสองไก่ก็นำมาเปรียบกันในทันที ทั้งส่วนยาว ส่วนสูง ตลอดจนกระทั่งเดือยก็พอฟัดพอเหวี่ยง แต่ลำหักลำโค่นนั้นประเดี๋ยวก็จะได้ดูกัน

“ว่าไงฝ้าย เอ็งเห็นเป็นไง”

“เอ็งท้าข้าหรืออ้ายฉาบ” ลุงฝ้ายถามพลางยื่นมือออกมาข้างหน้าเหมือนจะถามเดิมพัน

“อ้าว ก็เอ็งว่าข้าหากินกะเด็ก เด็กมันก็ท้าเอ็งด้วย แต่นั่นแหละเกลอเอ๋ย ควรหนีได้ก็หนีเสียดีกว่า”

“อ๊ะ! อ้ายฉาบ ถ้ากูหนีกูจะยื่นมือออกมาทำไม” ลุงฝ้ายลุกขึ้นเต้นและมือกุมกระเป๋าใหญ่ที่เหน็บไว้ที่หลัง “ตีเท่าไหร่เอ็งว่ามา”

พวกนักเลงทั้งหลายก็ห้อมล้อมกันเข้ามาขอเดิมพัน ทั้งทางเจ้าชัยลุงฉาบ กับทั้งทางลุงฝ้าย เสียงเซ็งแซ่ไม่ได้ศัพท์ ตีกัน ๑,๐๐๐ บาท แต่เจ้าชัยเอาเพียง ๔๐๐ เท่านั้น นอกนั้นก็เป็นของลุงฉาบ ลุงจั่น ลุงเสือ น้าวัน คนอื่นอีกคนละ ๕๐ - ๕๐ สุดแต่จะพอใจเล่น ในไม่ช้านักก็ได้เวลาปล่อยไก่ เจ้าของบ่อนเข้านั่งอันจมวางออกแล้วก็ปล่อยไก่ ทั้งอ้ายบัวใต้ปีกและอ้ายแพรหางเขียวไก่เอกของลุงฝ้ายเข้าสู่สังเวียน ลุงฉาบปล่อยไก่เจ้าชัย ลุงฝ้ายปล่อยไอ้แพรไก่ดี พอได้เห็นทีเหมาะนักเลงแก่มือเก่าทั้งสองคนก็พุ่งไก่เข้าหากันตามความเข้าใจซึ่งตัวคิดว่าจะเอาเปรียบให้มากที่สุดได้ เสียผัวะแรกลั่นขึ้นเป็นประเดิม อ้ายแพรก็ถูกแทงเข้าอย่างจังถึงทรุด พอโผนเข้าใส่ก็ถูกอ้ายบัวใต้ปีกจับได้อีกด้วยปากถนัดถนี่เสียงสนั่น ลุงฉาบก็กระโจนขึ้นตบมือประจวบกับเสียงฮาครืนของผู้เล่นข้างได้เปรียบ

“นี่แน่ะไก่เด็ก นี่แน่ะไก่เด็ก” ลุงฉาบร้องแล้วท้าพนันไปรอบๆ วง เพราะแกเห็นแล้วว่าลำมันหนักเกินไก่หนุ่มนัก

“เออ! ประเดี๋ยวเถอะอ้ายฉาบ...” ลุงฝ้ายเสียงชักอ่อนลง

“ทำไมฝ้าย ทำไม” ลุงฉาบตะโกนลั่น

เจ้าแพรของลุงฝ้ายเห็นเสียท่าเข้าซุกปีกพัลวัน ไอ้บัวใต้ปีกก็ถอยออกมาแล้วตีสูง ทันทีนั้นเสียงฮาครืนก็ดังขึ้น ลุงฝ้ายตกใจแทบจะหงายหลังเมื่อเสียงตะโกนดังลั่นขึ้นว่า

“ปากหัก ปากหักเสียแล้ว”

“ปากหักแล้ว”

ยังไม่ทันขาดเสียงร้อง ไก่เอกของลุงฝ้ายก็ทำท่าเหมือนตื่นคนเดินเตร่ออกห่างกระพือปีก และทันทีนั้นขนบนหัวอ้ายแพรหางเขียวก็ลุกชัน อ้ายบัวใต้ปีกวิ่งเข้าใส่ อ้ายแพรของลุงฝ้ายก็เลยหนี เสียงอลหม่านกึกก้องก็ดังขึ้น ลุงฝ้ายนิ่งเงียบเสียงเหมือนไม่มีปาก ควักกระเป๋าใบใหญ่ออกมานับเงินแล้วมองดูไก่ของตัวด้วยความน้อยใจ เสียงลุงฉาบกระแอมกระไอออกมาเป็นเชิงเย้ย ลุงฝ้ายก็ไขหูเสียไม่ยอมโต้ตอบ วันนั้นไก่เจ้าชัยครอบสุ่มไว้คนดูเนืองแน่น เพราะเป็นไก่พิสดารตีไก่ลุงฝ้ายชนะไม่ถึงอัน พวกปักษ์ใต้เตร่เข้ามาหาแล้วซื้อด้วยราคาสูง พอที่จะทำให้เจ้าชัยเบิกนัยน์ตาโตเข้าไปหาลุงฉาบแล้วพูดกระซิบ “พวกปักษ์ใต้เขาขอซื้อ ๕๐๐”

“ฮะ อ้ายชัยเอ็งบ้าไปแล้วหรือ? ถึงจะทุบหม้อข้าวเสีย ไก่ตัวนี้แหละจะทำเงินให้มึง”

“ฉันคิดว่าจะขอเขาสักพันหนึ่งผสมผเสกับที่มีอยู่ลงมือแต่งงานแต่งการมันเสียให้เสร็จเรื่อง” เจ้าชัยพูดพลางหวนไปคิดถึงคู่รักหน้าอ่อนของตัว

“เอาเถอะน่า วันนี้เอ็งได้ไปสี่ร้อยแล้ว อุตสาห์เก็บไว้อีก ๒ คราวก็พอการ”

เจ้าชัยเมื่อเห็นลุงฉาบไม่เห็นด้วยก็ยอมตาม อุ้มไก่กลับบ้าน ไม่ยอมขายให้ใคร วันนั้นมันกระหยิ่มใจนักครอบไก่เรียบร้อยแล้วก็ไปหายี่สุ่นด้วยกิริยายิ้มย่องผ่องใส เพราะจะได้ไว้ในอกอีกไม่นานนักเพราะมันได้ไก่ดี

ถึงนัดอื่นต่อมาอ้ายบัวใต้ปีกก็หาคู่ยาก เรื่องเท่ากันแล้วไม่มีใครประเพราะอ้ายแพรไก่ลุงฝ้ายนั้นคนเห็นแล้วว่าได้ “เหล่า” ยังแพ้ไก่เจ้าชัยไม่ถึงอันจม ต่ออีกนัดหนึ่งถึงได้ตี มันก็เข้าทำนองเดิมอีกไม่ถึงอัน อ้ายเหลืองหางขาวไก่ปากทะเลตระกูลดีก็ล่องอ้ายบัวใต้ปีกในอันเดียว เพราะมันลำหนักบินสูง ตีแม่น อีกพักหนึ่งต่อมาชนะไก่สวนเมืองสมุทรเข้าอีก คนก็เลยลือ เดี๋ยวนี้ไก่เจ้าชัยเลยขึ้นคานคอยตีแต่ไก่จรมาต่างถิ่น แต่ไก่พื้นเดียวกันนั้นไม่มีใครหาญจะตีกับมัน เจ้าชัยถือว่าตัวมีไก่ดีและหาคล่องๆ โดยอาศัยสังเวียน ก็จับจ่ายหาเงินปรนเปรอพรรคพวกเป็นที่สนุกสนานนอกจากนั้นก็เหลือไว้พอเป็นทุน

จวนจะถึงเวลาไก่ผลัดขนแล้ว บ่อนก็ปิดเพราะไก่ถ่ายขน เมื่อปิดบ่อนแล้วที่ไม่ถ่ายก็ตีกันตามบ้าน เหตุการณ์ทางด้านยี่สุ่นนั้นก็เกิดแปรผันไป เพราะทางพ่อแม่ไม่ค่อยจะวางใจด้วยมันริเป็นนักเลงไก่ เจ้ายี่สุ่นนั้นงามเหลืออยู่แล้วยังมีหลักฐานมั่นคง นาหรือก็มีทำ ใครเลยเล่าจะไม่ปรารถนา พอได้สดับข่าวเกี่ยวแก่ยี่สุ่นมีคนมาหาสู่ เจ้าชัยก็อกไหม้ไส้ขมหัวใจไม่อยู่กับตัว พอว่างคนเจ้าชัยจึงแอบถามเจ้ายี่สุ่นว่า “เอ็งคิดอย่างไร ที่เขามาขอ”

“ก็พี่ชัยเล่าจะว่าอย่างไร?” เจ้ายี่สุ่นย้อนถาม “พ่อน่ะเกลียดนักเลงนัก” ยี่สุ่นพูดอย่างท้อแท้ใจ

“แต่เอ๊ะ รู้ได้อย่างไรว่าพี่เป็นนักเลง”

“ก็ไก่พี่ชัยนั้นแหละมันทำให้ชื่อเสีย ใครๆ ก็ไก่พี่ชัย ทำไมแกจะไม่รู้”

“ฮื่อ! มันก็ยากอยู่” เจ้าหนุ่มพึมพำ “แต่ไก่นี่แหละมันกู้พี่ให้ได้เงินมาแต่งงาน พี่จะเอามันตีหนเดียวนาไร่ขายมันเสียบ้าง ครั้งนี้ได้เงินแล้วเลิกเลยไม่ขอคิดเป็นนักเลง”

มันกล่าวลาผลุนผลันออกมาจากบ้านเจ้ายี่สุ่นดด้วยความกลุ้มใจ รีบตรงไปหาลุงฉาบซึ่งพลอยรวยมาด้วยกันเพราะอ้ายบัวใต้ปีก ลุงฉาบง่วนอยู่กับไก่ของแกจนลืมกินข้าวกินปลา พอเห็นเจ้าชัยเข้าไปในเขตรั้วบ้าน ลุงฉาบก็ทักทายขึ้น “ไปไหนวะชัย หายเงียบไป ๒ วัน”

“มันมีเรื่องน่ะซี เรื่องที่ฉันเคยบอกน่ะแหละ”

“ว่าไงเขามาขอแล้วหรือ?”

“ยัง เขาเพียงแต่มาทาบทาม แต่ยี่สุ่นว่าเขาเกลียดฉันเพราะฉันเล่นการพนัน ฉันมาหาลุงก็เพื่อจะปรึกษาเรื่องเจ้าบัวใต้ปีก ถ้าหาคู่ไม่ได้ก็คิดว่าจะขายมันเสีย ถ้าหาคู่ได้ก็จะขายนามาเล่นเสียทีเดียว”

“นั้นน่ะซี มันไก่หาคู่ยากเหลือเกินคนมันเข็ดกันหมด ครั้นจะขายมันเสียก็เสียดาย เผื่อมันเอาไปทำพ่อไก่ผสมไว้เล่นกับเรา ผลร้ายก็จะเกิดต่อภายหลัง ถ้าไม่รีบหาคู่เสียให้ได้บ่อนเขาก็จะปิดอีก ๒ นัดข้างหน้าเพราะไก่ถ่ายขน อ้ายไก่เราน่ะมันเพิ่งขนเดียวยังไม่ถ่ายหรอก” ลุงฉาบพูดพลางคิดอยู่สักครู่หนึ่งก็ตบเข่าหัวเราะออกมาด้วยความลิงโลด “ได้การแล้วอ้ายชัย กูเห็นช่องแล้วเงินก็ได้ไก่ของเอ็งก็ไม่เสียอะไร ถึงมึงจะขายนาก็ไม่เห็นน่าจะเสียใจ กูเห็นสมควร”

“ทำอย่างไรลุงฉาบ ทำอย่างไร?”

“ก็ให้ไอ้ตัวของเรามันแพ้เสียซี”

“ว้า เราเสียชื่อแย่ซิลุง” เจ้าชัยร้องครวญ

“อ้าวก็ไหนเอ็งว่าจะเลิกเลย” ลุงฉาบหัวเราะ “แต่ถึงแพ้ไก่เราก็จะไม่เสียอะไร”

“ทำอย่างไรล่ะ?”

“ก็เข็มหมุดซีวะเหน็บหัวปีกมันเข้าให้ทั้งสองข้าง ไก่เรามันก็เสียวตีเขาไม่ได้ประเดี๋ยวเดียวก็แพ้”

“อ้าฮะ! ดีจริง แล้วเราก็ไปเล่นทางโน้น”

“ข้างโน้นมันก็ต้องเอาพวกของเรา เอาเถอะ ข้าจะต้องขึ้นไปบางช้าง ไปบอกอ้ายหลานชายให้มันเอาไก่มาตี เลือกไก่ดูให้มันเป็นต่อกว่าเรานิดหน่อย เราอยู่เดิมพันกับมันสำหรับไก่เราใครจะเล่นก็ตามใจ”

“วิเศษจริง...” เจ้าชัยร้อง “ความคิดของลุงวิเศษแท้แล้ว เมื่อไรลุงจะขึ้นไปบางช้างแล้วถึงขึ้นก็คงจะนานวัน”

“เดี๋ยวก่อน” ลุงฉาบพูดเป็นเชิงตรึกตรอง “ถ้าจะเอาเร็วกันจริงๆ ก็ต้องเล่นกับคนแถวนี้ อ้ายฝ้ายกับกูก็กินนัยกันอยู่ ถ้าปรึกษาอ้ายฝ้ายดูบางทีก็ไม่ต้องไปไกล ไก่อ้ายฝ้ายได้มาจากสุพรรณอีกตัวหนึ่งขนาดพอดีกับของเรา ไป ไปหาอ้ายฝ้ายด้วยกัน”

ทั้งสองตรงไปยังบ้านลุงฝ้ายคู่ปรับคนสำคัญของลุงฉาบ

เสียงไก่ขันแซ่มาจากในบ้านลุงฝ้าย ลุงฉาบเข้าไปยืนเท้าสะเอวอยู่ใกล้ๆ ลุงฝ้ายซึ่งกำลังใช้ขนไก่ล้วงคออยู่เป็นพัลวัน

“มันจะไปสู้ใครได้วะฝ้าย ขายเจ๊กไปดีกว่า”

พอเหลียวมาเห็นลุงฉาบ ลุงฝ้ายก็สะดุ้งจนแว่นตาแทบจะแตก

“อ๊ะ อ้ายฉาบเข้ามาในบ้านกูทำไม อย่าเอาหยูกยามาโรยไว้นะ กูเอาตายทีเดียว”

“ไงโว้ยฝ้าย บ่อนเขาจะปิดอยู่แล้ว” ลุงฉาบพูดพลางชะโงกหน้าไปกระซิบ “เหน็บปีกไอ้บัวให้มันเจ๊งไปเสีย”

“เข้าทีดี” ลุงฝ้ายพึมพำ

“แล้วตีกับไก่เอ็ง เดิมพันแบ่งคนละครึ่งต้มมันให้หมดกระเป๋า”

“ได้การเอ็งกับข้าต้องทำขัดใจกันรุนแรง”

ครั้นนัดหน้าผ่านมาถึงบรรดานักเลงทั้งหลายก็รู้กันทั่วว่า อ้ายบัวสามสีจะเข้าชนเพราะลุงฉาบกับลุงฝ้ายนักเลงเก่าลายครามเกิดท้าทายกัน คนจึงมารวมกันอยู่แน่น ทั้งๆ ที่ค่าผ่านประตูถึง ๒ บาท แต่คนเล่นคนเข้าดูก็ไม่มีที่จะให้นั่ง ลุงฉาบลุงฝ้ายครอบสุ่มไก่ของตัวอยู่คนละทิศไม่มองหน้ากัน เพื่อให้สมจริงว่าเจ้าของวิวาทกัน ยังไม่ทันจะตีอ้ายบัวใต้ปีกก็เป็นต่อไอ้เขียวหางยาวของลุงฝ้ายถึง ๒ ต่อ ๑ แล้วค่อยๆ เขยิบขึ้นจนถึง ๓ ต่อ ๑ คนเข้าไปล้อมดูไก่เหมือนดูละคร บ้างชมตัวโน้นชอบตัวนี้ วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา พอถึงเวลาอ้ายบัวใต้ปีกกับอ้ายเขียวหางยาวเข้าชนกันคนก็ลุกฮือเข้าล้อมสังเวียนจนต้องไล่กันเพราะตื่นเต้นเดิมพันที่พนันกันไว้เป็นจำนวนเงินหลายหมื่น แต่พวกลุงฉาบกับพวกเจ้าชัยนั้นส่งพวกเข้าเล่นทางอ้ายเขียวหางขาวของลุงฝ้ายเสียจนหมดตัว ทั้งเงินขายไร่ขายนารองอ้ายเขียว สีหน้าจึงกระหยิ่มอิ่มเอิบเพราะอีกไม่กี่วันก็จะร่ำรวยเงินทอง

ลุงฉาบปล่อยไก่เลวมากในวันนั้น เหมือนจะตั้งใจให้ไก่ตัวถูกเขาแทงตาย เสียงฮาครืนดังขึ้นแล้วก็เงียบกริบ ไก่บัวใต้ปีกเป็นอะไรไปเสียแล้ว ปากจับเขาได้ก็โดดตีหย็องแหย็ง ไม่ค่อยผัวะเลยแม้แต่ผัวะเดียว มันเวียนตีเวียนซุกจับกันอยู่รวดเร็วเหมือนงู ยังดูไม่ออกว่าตัวไหนเป็นต่อเป็นรองกัน

“นี่มันไก่อะไรตีกันโว้ย” เสียงหนึ่งร้องขึ้น

อ้ายบัวใต้ปีกแม้จะเสียวหัวปีกแต่วิสัยนักสู้เพื่อนก็ยังสู้ดีเสมอ ปากจับได้ก็แข้งฟาดไปตามบุญตามกรรม แต่เสียปีกแล้วแข้งมันยังแม่นอยู่ตามเดิม แข้งแล้วแข้งอีกซ้ำแล้วซ้ำอีกจนไอ้เขียวชักยืนงงให้เขาตี เสียงที่สนับสนุนไอ้เขียวยังคงคึกคัก แต่เสียงด้านอ้ายบัวก็ยิ่งดังกว่า เพราะอ้ายเขียวเต้นหย็องแหย็งไม่กล้าบิน ปล่อยให้อ้ายบัวเตะด้วยแข้งทีแล้วทีเล่าไม่สร่างซาจวนจะหมดอันอยู่แล้ว อ้ายเขียวหางยาวก็ชักเร่ถูกอ้ายบัวเตะซ้ำอีกก็เลยบินขึ้นไปเกาะบนขอบสังเวียน ลุงฝ้ายทำเป็นตกใจ สั่งเขาจับอ้ายเขียวส่งลงไปอีก คราวนี้มันชักขนหย็องเดินหนีเข้าหาคน

อ้ายบัวใต้ปีกชนะ แต่นั่นหมายถึงความหายนะความสิ้นเนื้อประดาตัวของลุงฉาบกับเจ้าชัย นักเลงหนุ่มทรุดลงซบหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างอันตรธานไปแล้ว เงินทองไร่นา ตลอดจนเจ้ายี่สุ่นผู้เป็นยอดชีวิตจิตใจ ลุงฉาบขายนาจำนำบ้าน แกเรอออกมาครั้งเดียวแล้วก็เป็นลมไป

“อ้ายฝ้ายฆ่ากูเสียแล้ว” แกร้องพึมพำ

ลุงฝ้ายกับลุงจั่นเท่านั้นที่รวย รวยหลายพันจนกระเป๋าโป่ง บ้างก็พลอยเล่นตามลุงจั่นด้วย ในโรงเหล้าน้าวันกระซิบถามด้วยเสียงอันสดชื่น

“อาฝ้ายทำอย่างไรกัน”

“อ้ายเซ่อ” ลุงฝ้ายหัวเราะ “มันเหน็บปีก - กูเหน็บอุ้งตีน”

บ่อนไก่ปิดไปแล้ว ไก่เริ่มผลัดขนคอยเวลาแห่งการต่อสู้ของมันในนัดหน้าต่อไป อ้ายบัวใต้ปีกยังคงคึกคะนองอยู่ในสุ่ม คอยเวลาที่แผลหัวปีกของมันจะหายและไม่เสียวไม่เจ็บอีกต่อไป ○

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ