กำแพงน้ำคร่ำ

เสียงกริ่งจากในห้องหัวหน้ากอง ทำให้ชายเลยวัยกลางคนเดินหลังค่อมน้อยๆ ผลักบังตาประตูเข้าไปอย่างพินอบพิเทาที่สุด ๓ วันแล้วที่เขาเข้ามาเป็นนักการอยู่ที่กรมนี้ ท่านหัวหน้ากองยังไม่เคยเรียกเขาเข้าไปใช้เลยสักครั้งเดียว นอกจากงานประจำเฝ้าหน้าห้องดูแลปัดโต๊ะ เช็ดโต๊ะ ทำความสะอาดปัดกวาด ปิด - เปิดประตูห้อง เทกระโถน ซื้อกาแฟ บุหรี่แล้ว เขาก็นั่งเฝ้าหน้าห้องคอยรับแขกที่จะมาพบท่านที่เป็นหน้าที่ของเขาทั้งนั้น แต่ก็ยังไม่เห็นท่านเรียกใช้เลย บุหรี่กาแฟก็ไม่เห็นใช้ซื้อ โดยมากท่านมีติดตัวของท่านมา

“ชื่ออะไร?” เขาได้ยินท่านถามเป็นคำแรก

“ชื่อต่วนขอรับ” เขาตอบ “ต่วน ปรีชา”

“แกคงจะมีปรีชาแท้” ท่านหัวหน้าว่า แล้วก็ยิ้มอย่างอารมณ์เย็นก่อนที่จะพูดต่อไปอีก “แกคงจะรู้จักถนนพหลโยธินดีซีนะ?”

“อ๋อ! ครับผม - ผมเกิดที่นั่นเลยขอรับ!” เขารีบตอบ

“แกอยู่ที่ไหน?” ท่านหัวหน้ากองถาม

“นครสวรรค์ครับ!” บ้านผมติดกับถนนพหลโยธินเลย...” เขาตอบอย่างภาคภูมิใจ

“แต่นี่บ้านอยู่ตรงนี้เอง - ซานกรุงนี่แหละ! ซอยสายลม...”

“รู้จักครับ ผมอยู่ใกล้ๆ นั่นเอง...”

“แกเดินเข้าไปในซอยแล้วดูเข้าไปข้างซ้ายมือรั้วไม้สีเขียวเบอร์บ้าน...แกเอาจดหมายฉบับนี้พร้อมด้วยเงินพันบาทไปให้แก่ผู้หญิงสาวคนหนึ่ง ชื่อวรนารถ ไปตอนเลิกงานวันนี้ - นี่จดหมาย นี่เงิน แล้วก็นี่ค่ารถค่ากาแฟบุหรี่ของแก...”

“ครับผม” เขาเอื้อมมือไปรับเอาซองจดหมายและเงินจำนวนนั้นมา

เขาได้ยินเสียงขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ของเก้าอี้ เสียงฝีเท้าของท่านที่เคยเดินปังๆ กำลังจะผ่านเขาไป เขาเปิดบังตาให้ท่านแล้วก็เดินออกมาหน้าห้องในเวลาไล่ๆ กัน

ต่วน ปรีชา มองดูเงินในมือของเขา ๑,๐๐๐ บาท มันเป็นเงินจำนวนซึ่งเขาไม่เคยจับต้องมันมาก่อนเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาขายนาไป และได้จับมันอยู่หน่อยหนึ่ง เจ้าหนี้ก็มาลากคอเอาไปเสียหมด เขารีบหากระดาษมาห่อมันไว้ และมัดแล้วมัดอีกเสียอย่างแน่นหนา ใส่ในกระเป๋าเสื้อเวสต์พอยต์สีน้ำตาลด้านซ้ายมือ ตลอดเวลาเขารู้สึกร้อนรุ่มกลุ้มใจไม่ค่อยจะมีความสุข เขาไม่กลัวอะไรเกินไปกว่าจะทำเงินก้อนนั้นหายไป และมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถ้าเงินจำนวนนี้เกิดมามีอันเป็นหายไปด้วยการกระทำของเขา ท่านหัวหน้ากองคงจะเล่นงานเขาแย่ และงานที่เขาได้บรรจุเข้ามาทำได้เพียง ๓ วันเท่านั้น ก็จะหลุดลอยไปจากเขา ๕ ปีทีเดียวนะที่เขาออกหางานมา มันเพิ่งจะมาได้ที่นี่แหละ และพอได้งานก็ผจญกับงานใหญ่และน่าหนักใจขึ้นมาทันที

เขากลับบ้านในเย็นวันนั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อนเหมือนกับต้องทำงานหนักมาตลอดตทั้งวัน หัวใจห่อเหี่ยว เรื่องที่จะทำให้เขาอ่อนเพลียละเหี่ยใจมากเกินไปก็คือว่า เขาไปหาบ้านที่หัวหน้ากองสั่งให้ไปหา และพบบ้านนั้นโดยไม่ลำบากยากเย็นแต่อย่างใดเลย แต่เมื่อเขาขอพบผู้หญิงชื่อวรนารถ หล่อนเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปเสียแล้ว อีกสามวันจึงจะกลับมา ดังนั้นเขาจึงเต็มไปด้วยความปริวิตก เพราะเขาจะต้องเก็บเงินจำนวนนั้นไว้ต่อไปอีก

เขาจ้องมองดูเมียปากจัดของเขาด้วยอาการอันซบเซาซึมกะทือ

“เหนื่อยหรือคะคุณพี่” เมียของเขาร้องถามด้วยถ้อยคำอันเย้ยหยันและประชดประชัน “ทำงานเข้า ๓ วันเท่านั้นเหนื่อย พ่อขุนนาง ทีอีนี่มันเลี้ยงดูมา ๕ ปีไม่รู้จักเหนื่อย”

เขาไม่พูดอะไรมากนอกจากเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว สิ่งเดียวที่เขาทะนุถนอมเป็นพิเศษ ก็คือเสื้อตัวนั้น เขาค่อยๆ ประคองมันจนทำให้เมียของเขารู้สึกได้ด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลมของหล่อน ว่ามันคงจะต้องมีสิ่งสำคัญอยู่ภายในนั้น เขาจุดบุหรี่สูบและไม่ค่อยจะละสายตาไปเสียจากเสื้อตัวนั้นได้เลย ไม่ว่าเขาจะเคลื่อนที่ไปในทางหนึ่งทางใดก็ตาม

“รู้ไหมว่าใครเลี้ยงแกมา ๕ ปี” เมียของเขาพูดขึ้นอีก “มันไปได้งานที่ห้างแห่งหนึ่ง เขาให้เงินเดือนมันทุกเดือน มันเอาไปเลี้ยงเพื่อนฝูงกันหมด ซื้อเหล้าซื้อยากินกันตามสบาย แล้วมาบอกเมียว่ายังไม่ได้รับเงินเดือน ห้างเขาให้เป็นคนฝึกหัดไปก่อน อ้ายกูก็หลงเชื่อ หาได้เล็กได้น้อยก็จ่ายให้ผัวไป ฝึกหัดงานมาถึง ๕ ปี”

เขานิ่ง การต่อสู้กับเมียปากกระโถนของเขาไม่มีอะไรดีกว่าการเมินเฉยเสีย

“กินเหล้าไหมล่ะคุณพี่?” หล่อนถามแล้วกระแทกถ้วยชามดังเปรี้ยง

“มุมบ้านของหญิงปากร้าย...” เขาพูดพึมพำออกมา “ก็คือ...”

“คืออะไรล่ะพ่อกามนิต...” หล่อนตะเบ็งเสียงถาม

เขาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวแล้วก็อาบน้ำอาบท่าเอนกายลงนอน เขายังคิดถึงแต่หัวหน้ากอง คิดแล้วคิดอีก คุณวรนารถนี่อาจเป็นเมียน้อย เมียลับ อาจเป็นแฟนหรืออาจเป็นญาติห่างๆ ของท่านก็ได้ ถ้าคุณวรนารถอยู่บ้านเสีย และถ้าเขาให้เงินก้อนนี้แก่หล่อนไปเสีย เขาก็จะเบาใจลงไปเหมือนกับยกภูเขาเคลื่อนออกไปเสียจากอก เขากลัวเมียของเขา กลัวหล่อนจะมาเห็นเข้า ถ้าหล่อนเห็น แน่นอนทีเดียวหล่อนก็คงจะใช้อุปเท่ห์เล่ห์กลหยิบเอาไปเสียบ้างไม่มากก็น้อย และยามที่เศรษฐกิจซบเซาหาเงินยากแทบจะเลือดตากระเด็นเช่นนี้ เมียของเขาหรือจะยอมยกให้ เขาจะต้องปกปิด เขาจะต้องยืนยันเด็ดขาดในเรื่องเงินจำนวนนี้ เพราะว่ามันเกี่ยวแก่เกียรติยศเกียรติศักดิ์ของเขาเพียงใด

ต่วน ปรีชา จะนอนหลับไปสักกี่อึดใจเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน พอลืมนัยน์ตาขึ้นมาก่อนที่จะทำอย่างอื่นหมด เขาก็รีบเอื้อมมือไปรับเสื้อของเขาเลื่อนเข้ามาใกล้ตัวคลำดูกระเป๋า เขาเห็นมัดธนบัตรที่เขาห่อกระดาษมัดไว้เสียอย่างแน่นหนานี้อยู่เรียบร้อยดี เขาก็ถอนหายใจยาวออกมาอย่างโล่งอก ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงเมียปากกระโถนของเขาร้องขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง เหมือนกับจะให้เพื่อนบ้านที่ปลูกกระท่อมห้องเล็กห้องน้อยอยู่ระกะติดต่อใกล้ชิดติดเคียงกันนั้นมีส่วนที่จะได้รู้เห็นและได้ฟังด้วย

“นี่แน่ะแม่เอ๊ยพ่อเอ๊ย มาดูยิวบึ้งที่บ้านนี้แน่ะ ยิวบึ้ง ยิวยิ้ม ยิวกระดูกหมามีให้ดูพร้อม ทีของเมียมันเอา - ปล่อยให้เมียเลี้ยงดูมันมาถึง ๕ ปี แต่มันบ้างพอมีเงินขึ้นมา มันทนดูเมียของมันลูกของมันอดอยากอยู่ได้อย่างใจเย็นเหมือนน้ำค้างกลางหาว...”

เขาสะดุ้งน้อยๆ ด้วยความตกใจ แม้กระนั้นเมื่อเขานอนหลับไปงีบหนึ่งเมื่อสักครู่นี้ แม่เมียปากมากของเขาก็คงจะได้มาเห็นเงินจำนวนมากมายก่ายกองนี้เข้าไปแล้ว มันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ในชีวิตของหล่อนอาจไม่เคยพบหรือไม่เคยจับมาเลยก็ได้ แล้วก็เมื่อหล่อนแอบมาดูเงินในกระเป๋าของเขา หล่อนอาจหยิบฉวยยักยอกเอาไปเสียบ้างก็ได้ เขารีบฉวยเสื้อตัวนั้นเข้าไปในห้องและปิดประตูใส่กลอนแล้วลองนับเงิน เขาค่อยโล่งใจเล็กน้อยที่เงินยังอยู่ครบบริบูรณ์ หัวใจของเขาเท่านั้นที่ยังเต้นแรงอยู่ ลมหายใจก็หนักและเร็วผิดธรรมดา เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเมียของเขาเดินลงจากเรือนหลังคาจากขนาดเล็กที่เขาอาศัยอยู่ แล้วตรงไปยังกระท่อมเล็กที่อยู่ข้างเคียง เขาได้ยินเมียของเขาพูดแต่สิ่งที่น่าทุเรศออกมา

“นี่แกงอะไรกินนั่นน่ะ...” หล่อนถามเพื่อนบ้านร่างผอมกะหร่องของหล่อน

“พุทโธ่! แม่หนอมจ๊ะ ฉันจะเอาไรมาแกง - น้ำปลาก็ดีถมไปแล้วบ้านเมืองเวลานี้”

“มันเป็นยังไงจ๊ะบ้านเมืองเวลานี้...”

“ฉันก็ไม่รู้ เห็นเขาว่าอะไร...กิจ - ก็ไม่รู้ มันตกต่ำซบเซาลงไป...”

หล่อนแกล้งทำเสียงให้ดังขึ้นกว่าเก่า

“มีข้าวบ้างไหม ขอยืมหุงสัก ๒ กระป๋อง เงินเดือนขุนนางออกฉันจะให้”

“พุทโธ่! แม่หนอม - นี่พรุ่งนี้เช้า ฉันยังไม่มีหุงเลย...”

เขาได้ยินเมียของเขาเดินไปยังบ้านอื่นอีก แล้วแผดเสียงออกไปเหมือนเสียงฟ้าผ่า

“ต๊ายตาย แม่เมี้ยน มานั่งกินข้าวกับปูเค็มอยู่ได้...” เสียงของหล่อนดังมาถึงเขาอย่างถนัดชัดเจนทีเดียว “ถ้าเป็นฉันจะไปซื้อเป็ดย่างมากินสักตัวหนึ่ง เอาให้น้ำมันเยิ้มทีเดียวนะ เยาวยื่นหรือที่ขี่จั่นก็ได้ ให้ฉันดิ้นตาย...”

“อ๋อ” แม่เมี้ยนร้องขึ้น “ฉันไม่ได้มีผัวขุนนางอย่างแม่หนอมนี่...”

“นั่นซีนะ อ้ายฉันน่ะมันได้ผัวขุนนาง เช้าแต่งตัวโก้ไปทำงาน เย็นกลับมาบ้านก็ไม่ค่อยจะกินข้าว เพราะมันอิ่มเหล้ามา เวลามันจะไปทำงาน มันมาขูดกระดูกขอดขี้คอขอเอาไป ทำท่าเสมหะหางวัวมันตีขึ้นเสียจนนัยน์ตากลับ พอมันกลับมาจากท้างาน มันได้เงินมามันกลับซุกกลับซ่อน กลัวเมียจะรู้ว่ามีเงิน ฮะฮ้า! ดีไหมล่ะได้ผัวขุนนาง...”

เขาถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่

“นี่แน่ะ มีเงินมั่งไหมล่ะ กู้สัก ๕ บาทเถอะ!...” เขาได้ยินหล่อนตะโกนกับเพื่อนบ้านต่อไปอีก “นี่แหละ! ผัวขุนนางละ ต้องปล่อยให้เมียทุเรศ ต้องมาหยิบยืมเงินเขา...”

“พุทโธ่ แม่หนอม! ฉันยอมให้ค้นได้เลย ถ้าฉันมีถึงสองสลึงก็อย่าเรียกว่าอีเมี้ยนเลย หมดตัวจริงๆ”

หล่อนไปที่บ้านอื่นอีก ไปทุกบ้านที่พอจะแผดเสียงมาให้เขาได้ยิน ต่วนลุกขึ้นเดินงุ่นง่าน เขานึกออกว่าหัวหน้ากองได้ให้ค่ารถเขามาด้วย เขาจึงหยิบเงินค่ารถออกมาแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน เมื่อแม่หนอมของเขากลับขึ้นมา เขาจึงส่งเงินจำนวนนั้นให้ หล่อนหยุดชะงักเล็กน้อยในขณะที่รับเงินจำนวนนั้นไปดู เขานิ่งคอยดูลักษณาการของหล่อน พอหล่อนรู้ว่ามันเป็นจำนวนเงินเพียงเล็กน้อย แม่หนอมปากลำโพงก็หัวเราะออกมาเสียงดังกระหึ่มครืนครางไปทั้งบ้าน บางทีก็เป็นเสียงแหลมเล็กฟังดูน่ากลัว หล่อนขว้างธนบัตรใส่หน้าเขา แต่ไม่ถูก

“ฮะฮ้า! ยิวมันแกะตึดออกมาแล้วเจ้าข้า! ดูซี มันให้เงินฉัน”

หล่อนร้องซ้ำๆ ซากๆ อยู่เพียงเท่านั้น ทำให้เขาเกิดอารมณ์ร้ายขึ้นมาทันที เขานึกว่าเขาควรจะขยี้หล่อนให้แหลกลงไปเป็นผงเสียในเดี๋ยวนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรอีกเหมือนกันที่ทำให้เขาหักห้ามใจไว้ได้ รูปร่างอันอรชรอ้อนแอ้นของแม่หนอมมันเปราะกว่ามืออันกำยำลำสันของเขามากมายนัก ผลที่สุดวิธีที่ดีที่สุดก็คือการสู้หล่อนด้วยการนิ่ง ทำให้โมโหโทสะของหล่อนเกิดเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาอีก

“อย่าแดกเลยข้าวเย็นวันนี้ - ตะเกียงกูก็ไม่จุด ไม่มีน้ำมัน....”

ความมืดขมุกขมัวค่อยๆ คลานเข้ามา ไฟในเตาก็ยังไม่ได้จุด และข้าวก็ยังไม่ได้หุง เขาลุกเข้าไปในครัวมองดูลงไปในเข่งถ่าน - ถ่านไม่มีแม้แต่ก้อนเดียว เขาขยับลุกขึ้นและแต่งตัว ต่วนตั้งใจว่าจะออกไปซื้ออาหารกินที่นอกบ้าน สำหรับเขาก็ดูจะไม่ลำบากลำบนอะไรมากนัก ข้าวราดแกงสักจานสองจานก็คงจะอิ่ม และขากลับเขาก็จะซื้อข้าวหน้าหมูแดง หรือข้าวผัดมาฝากหล่อนด้วย สำหรับลูกก็ยังกินอะไรไม่ได้นอกจากจะกินนมมแม่ เขาเดินช้าๆ ออกไปภายนอกบ้านที่เต็มไปด้วยความเฉอะแฉะ กำแพงน้ำครำอันเป็นสีดำมะเมื่อมอยู่ภายใต้สะพานไม้สองแผ่นผุบ้างหักบ้าง เดินพะเยิบพะยาบอยู่ตลอดเวลา และเปียกชื้นแฉะไปด้วยการตักน้ำของชาวบ้านหาบแล้วหาบเล่า ต่วนรีบบรรจุข้าวราดแกงที่หน้าปากตรอกเข้าไปสองจาน และซื้อบุหรี่เสีย ๒ มวน จุดมวนหนึ่ง อีกมวนหนึ่งใส่กระเป๋าเสื้อ เขายกมือขึ้นลูบคลำเงิน ๑,๐๐๐ บาทในกระเป๋าเสื้อ ถ้ามันเป็นเงินของเขาเองเขาจะมีความสุขสักเพียงใด เขาคงจะได้พาเมียของเขาออกไปนอกบ้าน ขึ้น ๓ ล้อให้มันเย็นใจ แล้วไปนั่งกินอะไรดีๆ ที่ร้านกุ๊กช็อปที่ ๔ แยก มันมีสตูลิ้นวัว แล้วยังแถมมีแฮ่กึ๊นเสียอีกด้วย เป็นเวลานานนับปีทีเดียวที่เขาไม่เคยกินอาหารจำพวกนี้เลย เล่นแต่น้ำพริกผักต้มและแกงส้มน้ำใสๆ อยู่เรื่อยมา

เขารีบเดินเข้าไปในร้านขายอาหารขนาด ๓ ชั้น แล้วซื้อข้าวผัด ๑ ห่อ ขนมหม้อแกงของโปรดของเมียอันหนึ่ง เดินสูบบุหรี่พ่นควันหยาบๆ ของมันให้ปลิวไปตามสายลม เขาพบกับเพื่อนกรรมกรผู้ตกงานหลายคนที่เข้ามาซักไซ้ไต่ถามเขาถึงเรื่องงานอาชีพและทุกข์สุข

“ไงสหายโชคดีไม่ใช่หรือ?” เพื่อนตกงานถามขึ้น

“ก็ยังงั้นแหละ!...” เขาตอบแล้วพยักหน้า “เปิดปิดห้องทำความสะอาด....” เขาบอก “บางทีเจ้านายก็ใช้วิ่งไปซื้อโน่นซื้อนี่ บุหรี่แหละเป็นพื้น”

“เกลอล่ะ?”

“ฉันน่ะ! ฉันหนีไม่พ้นแผ่นดินหรอก! อ้ายโภคกิจมันเกิดจากพื้นดิน ก็เลยหากินกับดินอยู่เรื่อยมา เวลานี้ก็ไปหาบดินแบกดินกันหลังโกงไป”

“ดีแล้ว” เขาพยักหน้าช้าๆ “มีงานทำ แต่หนัก ก็ยังดีกว่าไม่มีงานทำเสียเลย”

เขาออกเดินต่อไปอีก พบแต่เพื่อนเกลอที่หาเช้ากินค่ำทั้งสิ้น บางคนไปทำช่างไม้ บางคนไปทำปูนก่อตึก บางคนไปถางหญ้า และบางคนก็ทำรั้วและซ่อมบ้าน อันที่จริงทุกคนไม่ใช่คนเกียจคร้าน แต่อ้ายงานนั้นแหละมันไม่ค่อยจะมีใครจ้างไปทำ เขาห่วงหม้อข้าวของเขามากที่สุดในเวลานี้ ไม่ควรจะทำอะไรก็ยังไม่ทำกันทั้งนั้น เขาเดินคิดมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเท้าพาตัวเขาเข้าไปตามไม้กระดานสะพาน ๒ แผ่นไปเองด้วยความเคยชิน เขาแปลกใจเล็กน้อยในเมื่อบ้านของเขามืดทึบดำสนิทเหมือนกับเวลาเที่ยงคืน ทั้งๆ เวลานี้ก็ยังหัวค่ำอยู่

“หนอม - หนอม!” เขาเรียกด้วยเสียงนุ่มนวล “รับห่อข้าวผัดทีซี...”

แต่เขาไม่ได้ยินเสียงตอบ ไม่ได้ยินเสียงกุกกักเกิดขึ้นภายในบ้านหลังเล็กๆ ของเขาเลย เขายังคงเรียกอีกและเพิ่มเสียงให้ดังหนักขึ้น

“หนอม - หนอม เปิดประตูที...”

“หนอมที่ไหนกันอีกล่ะ!” แม่เมี้ยนชะโงกหน้าออกมาจากกระท่อมน้อยของหล่อน “เขาไปแล้วละ! เขาโกรธเรารู้ไหมล่ะ?”

“โกรธฉันเรื่องอะไรล่ะ?”

“ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจดีแล้วนี่นะ เห็นแม่หนอมเขาว่านายต่วนมีเงินตั้งสองปีก คะเนว่าสักพันสองพันเห็นจะได้ แต่แล้วนิ่งเงียบไม่ให้เขามั่ง เขาลำเลิกว่าเขาเลี้ยงพ่อต่วนมาได้ถึง ๕ ปี แต่ทีพ่อต่วนมีเงินขึ้นมาบ้างกลับลืมเขา - เป็นใครบ้างใครก็โกรธเรื่องพรรค์นี้...”

เขาระบายลมหายใจแรงและยาวออกมาเหมือนวัวกรน

“มันบ้าเหลือเกิน...” เขาพูดด้วยเสียงคำราม “ก็มันเงินของฉันเมื่อไรเมื่อไรเล่า!”

“พ่อต่วนก็น่าจะบอกเขา...”

“ก็เขาไม่บอกนี่ว่าเขาดอดมาเห็นมันเข้า”

“เขาว่า เขาหยิบเสื้อนายต่วนมาดูเวลาหลับ เขาจะหยิบออกมาใช้สักร้อยสองร้อย ก็พอดีนายต่วนพลิกตัวเสียก่อน”

“ดีซี! ขืนเอาไปฉันก็ตะรางเท่านั้นเอง เงินของเจ้านายเขา”

“ก็ทำไมนายต่วนไม่บอกเขาเล่า ว่ามันเป็นเงินของเจ้านาย”

“ฉันไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ถึงบอกมัน มันก็ไม่เชื่อหรอกว่าเงินของเจ้านายหรือเงินหลวง ตกลงอย่าบอกเสียดีกว่า - นี่เขาไปซื้อข้าวกินข้างนอกหรือไปเลย”

“น่าจะไปเลย” แม่เมี้ยนบอก

เขาสะดุ้งเล็กน้อยในเมื่อได้ยินคำว่า ไปเลย เขวรู้นิสัยเมียของเขาได้ดี เมื่อครั้งที่หล่อนจะทิ้งผัวคนที่ ๒ ของหล่อนมากับเขา หล่อนก็เก็บข้าวเก็บของเดินลงจากเรือนมาเฉยๆ ทั้งๆ ที่ผัวของหล่อนก็นั่งมองนัยน์ตาปริบๆ อยู่นั่นเอง เมื่อคิดว่าจะต้องอยู่คนเดียวกับเรือนที่อ้างว้างและน้ำครำสีดำสนิทที่ใต้ถุนบ้าน ต่วนก็ก้าวเท้าคอตกขึ้นบันได ๓ ขั้นเข้าสู่เรือนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันเคยชินมาชั่วนาตาปี เขาล้มตัวลงนอน แต่ก็นอนไม่ลงอีก เสื้อชั้นในตัวเดียวของเขาน่ะเองมันทำพิษ เขาต้องซักเสื้อและผึ่งมันไว้ พอเช้าขึ้นก็ขอยืมเตารีดเขารีด พอได้ใส่ทำงานให้มันหายเหนอะหนะเหนียวตัว

เขารู้สึกโล่งอกเมื่อได้ไปทำงาน ในวันรุ่งขึ้นเขารีบเอาเงินนั้นไปคืนหัวหน้ากอง และรายงานว่า ผู้ที่รับเงินไม่อยู่ แต่ท่านหัวหน้ากองก็บอกให้เขาเอาเงินเก็บไว้ และเอาให้คุณวรนารถให้ได้ในเวลาที่หล่อนกลับมา เขาต้องครองความทุกข์ร้อนและหนักใจต่อไปอีก เขาจะต้องรักษาเงินจำนวนนี้เหมือนระวังลูกอ่อนของเขาคนหนึ่งก็ไม่ปาน เขาจะต้องนอนทั้งกางเกงฝรั่ง เขาจะต้องใช้มือของเขาคอยลูบคลำมันอยู่เสมอ มันเป็นความทุกข์ เขาไม่มีความสุขเลยจนนิดเดียว

ในวันที่ ๓ เขารีบไปพบคุณวรนารถอีก เขาได้พบหล่อนอย่างง่ายดาย เพราะยูนิฟอร์มนักการของเขา - เขารีบหยิบเงินออกให้หล่อนพร้อมด้วยจดหมาย แต่เขาต้องผิดหวังอีก เพราะว่าหล่อนไม่ยอมรับเงินจำนวนนั้น แม้เขาจะพูดอย่างไรๆ หล่อนก็ไม่ยอมรับอยู่นั่นเอง

“ไปบอกหัวหน้ากองเถอะ! บอกว่าขอบพระคุณมาก...” หล่อนว่า “แต่ทว่ามันสายเสียแล้ว ฉันไปจัดการของฉันมาเรียบร้อยแล้ว...”

“ทานโทษ! คุณจะตอบจดหมายท่านไหมครับ?”

“ไม่มีอะไรจะต้องตอบ...” หล่อนพูดกระชากๆ “นี่ค่ารถ - ของเรา...”

เขาเอื้อมมือไปรับค่ารถจากหล่อน ซึ่งได้รับมากกว่าที่หัวหน้ากองให้ เขาต้องนำเงินก้อนนั้นติดตัวมาอีก มันช่างเป็นเวรเป็นกรรมของเขาเสียจริงๆ เขาใช้เงินค่ารถที่คุณวรนารถให้ซื้ออาหารรับประทานจนอิ่มหนำสำราญดี ซื้อบุหรี่ ๒ มวน แล้วก็กลับเข้าบ้าน เขาต้องนอนกอดเงินจำนวนนั้นอยู่แนบข้างไม่ห่างกาย ในกำแพงน้ำครำนั้นเป็นที่อาศัยของบุคคลหลายชนิด ที่มีอาชีพก็มี ที่ไม่มีอาชีพมานานนับปีก็มี ที่สุจริตก็มีและทุจริตก็มีอยู่มาก เขาไม่ไว้วางใจใครทั้งนั้นในโลกนี้นอกจากตัวของเขาเองคนเดียวเท่านั้น

รุ่งขึ้นเช้า เขารีบไปทำงานแต่เช้าก่อนที่จะทำอย่างอื่นทั้งหมด เขารีบเดินผลีผลามเข้าไปเปิดห้องเพื่อคอยหัวหน้ากอง เขาทำงานประจำวันจนเสร็จหมดแล้วก็ออกมานั่งที่หน้าประตู เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ และสายหนักขึ้น เขาถามเพื่อนๆ ร่วมงานด้วยกันและพวกเสมียน คำตอบที่เขาได้รับก็คือ

“หัวหน้ากองไปประชุม....”

เขานั่งคอยต่อไปอีกจนเวลาเที่ยงมาถึงจนกระทั่งบ่ายโมงและสองโมง หัวหน้ากองก็ยังไม่มา เขารีบเดินไปที่เสมียนคนหนึ่งแล้วก็ถามขึ้น

“หัวหน้ากองท่านไปประชุมที่ไหนครับคุณ?”

“โน่น - อินเดีย - แล้วเลยไปดูงานที่ยุโรป ขากลับผ่านอเมริกา”

เขายืนตัวแข็งชาอยู่สักครู่หนึ่ง นั่นหมายถึงท่านหัวหน้ากองของเขาจะต้องไปเป็นเดือนๆ และเขาจะต้องรักษาอ้ายเงินจำนวนนี้ไว้ชนิดแตะต้องไม่ได้และซื่อสัตย์ จะต้องระวังรักษาไม่ให้มันหายหกตกหล่น ระแวดระวังเหมือนกับมันเป็นพ่อของเขาทีเดียว เมื่อเขาย่องขึ้นไปบนเรือนเขาก็เจอะแต่ความมืดและเปล่าเปลี่ยวไม่ได้ยินเสียงเมีย ไม่ได้ยินเสียงลูกร้อง ไม่มีแสงสว่างจากตะเกียงกระป๋อง เขาพยายามอดออมแม้แต่เงินที่จะซื้อน้ำมันตะเกียง ยิ่งนานวันเข้าเขาก็ยิ่งคิดแค้นแน่นใจเมียของเขา เขามีวิธีที่จะลงโทษเมียของเขาบ้าง ถ้าเมียของเขากลับมา เขาจะไปเสียบ้างให้เมียของเขารู้รสว่า การอยู่ในบ้านคนเดียวนั้นมันเป็นเรื่องของความทรมานมากน้อยเพียงใด?

คืนวันหนึ่งเขาได้ยินเสียงเด็กร้องอยู่ที่หน้าบันได เขาได้ยินเสียงเรียกชื่อเขา เขารู้ดีว่าภรรยาของเขากลับมา ความแค้นใจพลุ่งขึ้นมาในสายเลือดของเขา เขารีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แล้วก็เดินออกมาเปิดประตู พอประตูเปิดเขาก็ก้าวลงมาจากเรือน และสวนกับเมียของเขาที่ตรงบันได เขารีบเดินแน่วโดยไม่เหลียวหลังมาดูเมียรักกับลูกน้อยของเขาเลย มันเป็นการแก้แค้นซึ่งเขาเข้าใจว่าจะสาสมและสาใจเมียของเขาเป็นอย่างยิ่ง

ต่วน ปรีชา ออกเที่ยวเตร็ดเตร่ไปโดยปราศจากความหมาย พอดึกเข้าเขาก็ชักง่วงและชักหิว เงินส่วนตัวของเขาก็ไม่มีเสียแล้ว

“หัวหน้ากองครับ ผมขอยืมใช้ก่อนสัก ๒๐ บาท”

เขาพูดแล้วก็ล้วงเอามัดธนบัตรออกมา และหยิบมันออกมา ๒๐ บาท เขารู้สึกหนาวเย็นเข้าไปในกระดูกและสายเลือด เขารีบแวะเข้าไปในร้านซอมซ่อ เอามือเกาะเคาน์เตอร์บอกยายซิ้มด้วยเสียงค่อยๆ พร้อมกับชูนิ้ว ๒ นิ้ว

“ขาวๆ สอง!”

เขาดื่มมันรวดเดียวหมด บรรยากาศชักแจ่มใสขึ้น หัวเราะเยาะเมียของเขา และหัวเราะเยาะโลก เงินเดือนของเขาก็ยังมีอยู่ ถึงจะใช้เงินของท่านเข้าไปก็อย่าให้เกินเงินเดือนก็แล้วกัน เขาเดินไปพบเพื่อนตกงานเข้าคนหนึ่ง เขาดีใจแล้วก็กระโดดเข้าจับไม้จับมือ

“เราจะต้องฉลอง - เราจะต้องฉลอง”

เขารีบสั่งเหล้าและปีกไก่ตอนมากินทีเดียวละ เนื้ออบ ไข่เยี่ยวม้าและอื่นๆ - ไม่ได้ทีเดียว เพื่อนคนนี้สำคัญนัก เคยมีบุญคุณกับเขาในเวลาตกยาก ๒ หน ๑ ขวดกำลังสบาย

“สามล้อ...” เพื่อนของเขาป้องปาก

“อ๋าย - อย่า แท็กซี่เลยดีกว่า...”

เขารู้สึกว่าเขานั่งแท็กซี่แล้วลมมันโกรกเขาเสียจนเย็นชุ่มฉ่ำ เขางีบไปเล็กน้อยแวะลงที่ร้านอีก เขาฉลองมันเข้าไปอีก คราวนี้เขารู้สึกว่าในรถมีผู้หญิง ‘บาร์โฮสเตส’ นั่งไปด้วยข้างๆ เขาจำได้ว่า เขากอดหล่อนและจูบหล่อน กลิ่นมันหอมพิลึกพิลั่นเหลือเกิน ผิดกว่านังกำแพงน้ำครำที่บ้านเป็นไหนๆ เขาได้ยินเสียงอันไพเราะเจื้อยแจ้ว เขาได้ยินเสียงหล่อนพูดซ้ำๆ แต่ว่าไปบางแสน เขารู้สึกว่าในรถมีแต่เงาๆ ที่ประหลาดเหมือนฝันไปไม่เห็นอะไรได้ชัดแจ้ง แล้วเขาก็ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นเหมือนเขาตายไปจากโลกนี้

เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เขารู้สึกว่าเขานอนอยู่บนเตียงอันสะอาดสะอ้าน ผ้าปูที่นอนเรียบและตึง ข้างๆ เขามีหนอมนั่งอยู่ด้วย จ้องมองดูเขาด้วยความวิตก

“พี่เป็นอย่างไรบ้าง?” หล่อนถามเขา

“นี่ที่ไหนกัน?” เขาถาม “โรงพยาบาลไหน?”

“โรงพยาบาลตำรวจ...” เมียของเขาบอก “พี่ถูกทำร้ายนอนสลบเหมือดอยู่ที่สำโรง”

“เงิน - เงิน...” เขาพยายามจะพลิกตัว

“เงินมีเหลืออยู่อีก ๒ - ๓ บาท...” หล่อนบอก

“เงินของหัวหน้ากอง - เงินของท่าน...”

“ฉันรู้แล้ว พี่ไม่บอกฉันนี่ว่าเงินของใคร? ถ้าพี่บอกฉันเสียสักคำว่าเงินนั้นน่ะมันเป็นของหัวหน้ากอง ฉันจะไปโกรธพี่ทำไม? ใครจะหนีพี่ไปได้ บ้านของเราแท้ๆ ที่ไหนๆ ก็ไม่สู้บ้านเรา ลืมมันเสียเถอะพี่ - อ้ายเรื่องเงินของหัวหน้ากอง...”

เขาถอนใจเฮือก เหมือนสัตว์ป่าที่ถูกหอกของนายพราน แล้วก็หลับตาลงไปอีก เขารู้สึกหนักที่ศีรษะเหลือกำลัง แสดงว่าเขาถูกตีที่ศีรษะก่อนแล้วจึงถูกถีบลงมา

“หัวหน้ากอง - หัวหน้ากอง...” เขาพูดพึมพำก่อนที่จะหลับนัยน์ตาลงไป ○

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ