ยิ้มอาชีพ
ยิ้ม กินตัว เดินเรื่อยเปื่อยตามถนนสายยาวเหยียด เขาแวะเข้าร้านเหล้าเก่าแก่แคบเหมือนรูหนูมืดเหมือนในถ้ำ แต่สินค้าในนั้นต่างหากมันสว่าง และทำให้ลูกค้าสว่างอารมณ์ เขายกนิ้วขึ้น ๒ นิ้วรู้กัน ยิ้ม กินตัว พูดด้วยเสียงที่แหบแห้งเหมือนกระดาษทราย
“เอายาธาตุ - วันนี้ท้องไม่สู้ดี”
นัยน์ตาของเขาวันนี้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์ บางทีแจ่มใสเหมือนท้องฟ้าสีครามในเวลานั้น บางทีก็เหมือนน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อม แต่แล้วบางทีอารมณ์อันว้าวุ่นทำให้นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยยาพิษอันขมขื่น ชะๆ – ถุย! คนอย่างอ้ายหมอนี่ไม่มีเงิน ๑๐ บาท ดูกระไรอยู่ เดือนหนึ่งมันหาได้ตั้ง ๔ - ๕ พัน หน็อยแน่!
ยิ้มหยุดซะงักในเมื่อเขาเห็นบุรุษนายหนึ่งเดินวูบวาบเข้าไปในร้านขายอาหารชั้น ๑ เขารีบวิ่งก้าวโหย่งๆ เข้าไปข้างหลังและสะกิด/*98*/เบาๆ ชายผู้นั้นสะดุ้งเหมือนถูกยิงด้วยปืน
“ยิ้ม” เขาร้องขึ้นและหัวเราะ
“เอามา ๑๐ - ” เขาบอก “อย่าร่ำไร - เดี๋ยวข้าไม่เอาเอ็งจะลำบาก”
สุภาพบุรุษผู้นั้นควักซองหนังออกมา
“อ้ายห่ะ! วานซืนก็เอาไปทีหนึ่งแล้ว...”
“พุทโธ่เกลอเอ๋ย! เขาพูดเสียงครวญคราง อ่อนเหมือนสำลี “อ้ายเงินสิบบาทมันก็เท่ากับเงินสิบบาท เงิน ๑ บาทก็เท่ากับเงิน ๑ บาท มันหมดทั้งนั้นไม่ว่าเงินร้อนเงินเย็น ไม่ว่าสุจริตหรือทุจริต ไม่ว่าจะได้จากหวยเบอร์หรือทำงานเหมือนหมา”
“ทำงานยังไงวะเหมือนหมา” เขาถาม
“อ้าว! ก็ทำงานทั้งกลางคืนกลางวันไงล่ะเกลอ!”
เขาหัวเราะแต่หน้าไม่ค่อยยอมหัวเราะด้วย
“เอ้า! เอาไป”
“ขอบใจนะเพื่อนนะ ให้มันอย่างนี้ซีน่า ขอให้เกลอชี่คาดิลแลค มีเหล้าดีๆ กิน มีผู้หญิงดีๆ กอดอีกสักโหลหนึ่ง กันไปละนะ! -”
“ไม่เอาเหล้าสักแก้วหรือยิ้ม”
ยิ้มชะงักเหมือนถูกสาป
“ก็ดีเหมือนกันแฮะ” เขาพูดพึมพำ
“อย่าแดกเลย มันยังไม่เที่ยง - เที่ยงวันเขาถึงจะกินกัน....”
“อือจริง!”
ยิ้มเดินออกมานอกร้าน แสงแดดวันนั้นอาจเข้มเกินไป ทำให้นัยน์ตาออกจะพร่ากว่าจะเห็นเจ้าฟอร์ดคอนซูลคันนั้น รถก็/*99*/กำลังจะเคลื่อนออกจากที่ไปเสียแล้ว เขารู้ดีว่าใครเป็นเจ้าของ ใครขับมันและเบอร์ของมันด้วย เขารีบควบเบนซ์ ๒ เท้าของเขาออกไล่ตามทันทีทีเดียว
“เฮ้! ยุทธ - ยุทธ - หยุดก่อน”
รถกำลังจะเปลี่ยนเป็นเกียร์ ๒ ทำให้เขาต้องเพิ่มฝีเท้าขึ้นอีก
“เฮ้ ยุทธ - ยุทธ -” เขาร้องพลางและโบกมือไปพลาง
จากกระจกหน้ารถ ผู้ขับแลเห็นคนวิ่งโบกไม้โบกมือ เขารีบจอดรถลงอีกครั้งหนึ่ง
“ยุทธ -” เขาเรียกและหอบเหมือนแอคคอร์เดียน
“อะไรวะยิ้ม”
ยิ้มเอาหนังสือพิมพ์ที่ถืออยู่ในมือพัดโบกให้ตัวเองตลอดเวลา
“เรารุ่นเดียวกันนะยุทธนะ! -” เขาพูดค่อยดีขึ้นบ้าง
“เออ รู้ละ...”
“ยี่สิบซีนานๆ พบกันที - สวัสดีกันเสียหน่อย”
สุภาพบุรุษผู้นั้นหัวเราะ เขาล้วงของหนังออกมาถือไว้แต่ยังไม่เปิดมันออก ทำให้นัยน์ตาของยิ้มตื่นตัวแจ่มใสเหมือนดาวประจำเมือง
“ก็ไหนเขาว่าเอ็งเป็นผู้สื่อข่าว”
“พุทโธ่! ยุทธ หนังสือล้มไปตั้ง ๒๐ ปีแล้ว - ลื้อทำราชการเป็นทหารลื้อออกก็ได้เบี้ยบำนาญกินด้วย ไอ้อั๊วพอหนังสือเจ๊งก็แปลว่าตายเท่านั้นเอง”
“ก็ทำไมลื้อไม่หาทำฉบับอื่น”
/*100*/“ใครเขาจะมาเอาล่ะ! ลื้อไปดูซี! นักข่าวเดี๋ยวนี้ไวเหมือนลิง นัยน์ตายังกะเหยี่ยว - ใช้แฟลชวันตั้งโหล ไปไหนก็รถยนต์ทั้งนั้น สมัยอั๊วแท็กซี่ชั่วโมงละ ๖ สลึง ยังไม่มีปัญญานั่ง ต้องโขยกรถรางกันไป บางทีไม่มีตั๋วฟรีก็ต้องใช้หน้าเป็นตั๋ว นายตรวจจำหน้าได้”
“เดี๋ยวนี้อายุเท่าไรแล้ววะยิ้ม” นายพันเอกยุทธถาม
“ก็เข้า ๖๒ แล้ว – แต่ว่าอั๋วไม่ค่อยเอาใจใส่เรื่องอายุหรอก มันทำให้เราแก่ลงไปอีกมาก เมื่ออายุ ๒๐ อั๊วเป็นไง เดี๋ยวนี้อั๊วก็เป็นอย่างนั้น เมียอั๋วอ่อนกว่าอั๋วถึง ๑๒ ปี หนอย! ดันตายไปเสียก่อนได้ ปล่อยให้เราทัศนาจรโลกอยู่แต่เดียวดาย แต่ความตายมันก็คือความตายนั่นแหละ! ผู้หญิงเขาไม่รักก็เรียกว่าตายหัวใจมันตาย ๒๐ นะยุทธนะ! -”
“เออน่า! บอกว่าให้เป็นให้” เขาหัวเราะเสียงดังเหมือนรัวกลองเล็ก “แล้วลูกเต้าไม่มีหรอกหรือ?”
“อย่าไปพูดถึงมันเลย เรามันอกแม่ไก่ - พอลูกโตหน่อยเข้าใกล้แม่ตีจิกปีกเลย”
เขาหัวเราะอีกแล้วเปิดกระเป๋าปัดเศษมาให้ทั้งหมด
ครั้นแล้ว - ฟอร์ดคอนซูลคันนั้นก็ติดเครื่องแล่นออกจากที่ไป ปล่อยให้ยิ้มยืนตะลึงอยู่นั่นเอง เกินความคาดหมายไปเสีย เขารีบนับเงินดูมันเป็นจำนวนถึง ๔๕ บาท ซึ่งเขาขอแต่เพียง ๒๐ บาทเท่านั้น เขาคิดถึงมนุษย์ ถึงเพื่อนลูกหนังข้างเดียวกันก็เป็นเพื่อนกันอย่างนั้นหรือ? ชะช้า! อ้ายบัดซบ! ขอเงิน ๑๐ บาท บอกไม่มีได้
แสงแดดอันเหลืองอร่ามส่องต้องกระดาษปนไหมสีเขียว/*101*/อ่อนและแดงเรื่อๆ ใบละ ๕ สีซีดๆ แต่ก็มีอิทธิพลไปตามวงจรของมัน เมื่อตะกี้ได้มา ๑๐ เงินเก่าที่ได้มาเมื่อวานสมทบกันเข้าแล้ว อ๊ะ! หวิดร้อยไปทีเดียว พอกันที เขาคิด - เสือลงกินอิ่มแล้วไม่กินอีก ธรรมดาของสัตว์ที่มีความโลภก็เห็นจะไม่มีมากมายนัก แต่คนเราอิ่มแล้วก็ยังกินได้ ไม่ใช่อาหาร แต่มันเป็นเงิน
“กลับบ้านเสียเถอะไปหาช้อยมัน” เขาบอกตัวเอง “ถ้าไปเอาเสียวันนี้หมดแล้วพรุ่งนี้จะเอาที่ไหน? แล้วเผื่อไม่พบใครเลยจะว่าอย่างไร?”
เขารีบกระเย้อกระแหย่งขึ้นไปโหนรถเมล์ เด็กนักเรียนตัวน้อยๆ คนหนึ่งลุกขึ้นให้เขานั่ง ยิ้มหาว่าดูถูกเขา มองเด็กคนนั้นด้วยสายตาอันเยาะเย้ยและถากถาง เขาแก่หรือ? ๖๒ ปีแก่หรือ? จึงจะมาลุกให้เขานั่ง เขาโบกมือปฏิเสธและขอบใจอย่างเสียไม่ได้ เขาลงจากรถเมล์แล้วเข้าตรอกก็ถึงบ้านขนาดบังกะโลน้อยๆ ของเขาที่อยู่ในแดนน้ำคร่ำ ไม่จำเป็นนักที่จะต้องกล่าวชื่อถึงตำบลนั้น เขายืนหันรีหันขวางอยู่ที่ปากตรอกเหมือนกับจะแลหาใครสักคนหนึ่ง ช้อยนั่นแหละเขากำลังดูอยู่ว่าหล่อนจะอยู่ที่ตรงไหน? ในที่สุดเขาก็เห็นช้อยหญิงสาวเชปงามร่างอวบอัดเอวกลม - อกตั้งงามสำหรับเขาเหมือนกับว่าหล่อนจะหล่นลงมาจากสวรรค์ เช่นเดียวกับที่เขาผุดขึ้นมาจากนรกเหมือนกัน
“ลุง - ลุงยิ้ม...” หล่อนเรียกเขาเสียงเพราะเหมือนดนตรี
เขารีบเดินจ้ำเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“อย่าเรียกลุง -” เขาห้าม “เรียกแต่เพียงอาก็ดีถมไป”
“แก่กว่าพ่อฉันอีก” หล่อนพึมพำแล้วแหงนหน้าขึ้นมองดูเขา “ได้ไหมล่ะอ้ายนั้นน่ะ - ผ้าตัดเสื้อกะทำปลอกหมอน...”
/*102*/“ไปดูเอาเองเถอะ! ไปด้วยกัน” เขาตอบอย่างอ่อนใจ “เหนื่อยเหลือทน”
“กินลาบไหมลุง?” หล่อนถาม ช้อยเป็นแม่ค้าขายลาบเลือด
เขาตอบออกไปอย่างว่องไว
“ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน - เอ๊ะ! ช้อยนี่ ฉันบอกให้เรียกอา” เขาร้องออกมา
“ขอโทษ - ขอโทษนะจ๊ะคุณอาโรงจำนำ” หล่อนอยิ้มน้อย
“ทานเนื้อสะเต๊ะไหมจ๊ะ! คุณพี่” แม่ค้าขายเนื้อสะเต็ะผิวหมึกร้องถาม
“ไว้ถูกลอตเตอรี่เสียก่อน”
“อุ๊ยตาย! จะกินเนื้อสะเต๊ะก็ต้องคอยหวยเบอร์”
เขารีบหันกลับมาทางช้อยโดยด่วน
“จะไปด้วยกันก็ไปจะซื้อให้ - ลาบมันก็เหลืออีกนิดเดียวเท่านั้นแหละ เอาไปกินกะข้าวเสียก็แล้วกัน - เดี๋ยวจะพาไปกินอะไรด้วย”
“เอา - ไปก็ไป” ช้อยรีบตกลงในใจทันทีแล้วหล่อนก็พาหาบใส่บ่าเดินเข้าตรอกไป ทั้งสองคนเดินชะลอคลอคู่กันไปตามถนน กรรมกรโรงงานอะไรไม่รู้ถามเขา
“นั่นลูกหรือ?”
ยิ้มไม่ค่อยพอใจเลย เขาตอบออกไปแต่เพียงว่า
“หลานนะเกลอ!”
“วันนี้จะไปลงหนองไหน?”
“นกยางกินเหล้าเป็นหรือ?” แล้วยิ้มก็ยิ้มออกมาอย่างขบขัน เขาพาหล่อนไปซื้อผ้าเมตรละ ๖ บาทได้เมตรครึ่ง ผ้าทำ/*103*/ปลอกหมอนอีก ๑ เมตร ขากลับเขาพาหล่อนเข้าร้านข้าวต้มบรรดาศักดิ์สั่งไส้หมูมากิน สั่งขาหมู สั่งปลาต้มผักกาด และฟักต้มกับหมูสับ กำลังร้อนโฉ่อยู่บนเตา เขาสั่งเหล้ามาอีก ๒ ก๊ง เอา - กินกันให้เปรมเสียที
“อาไม่ต้องการอะไรมากหรอก” เขาพูดเสียงออดเหมือนขลุ่ยโหย “อาต้องการแต่เพียงถูกเนื้อต้องตัวหนูเท่านั้น อาขออะไรหนูสักอย่างจะได้ไหม?”
“อ๋อ ถ้าหนูมีหนูต้องให้...” หล่อนตอบ เขายกเหล้าขึ้นจิบ
“หนูต้องมีแน่นอน - สิ่งที่อาขอ”
“อาจะขออะไร?”
“ขอความรัก -” เขาตอบหน้าเฉยแต่นัยน์ตาเต็มไปด้วยความจริงจัง
หล่อนหัวเราะเหมือนกับได้ดูจำอวดที่ไม่ตลกเอาเสียเลย
“อย่ามาขอหนูเลย แฟนหนูมี - หนูจะบอกอะไรให้ ป้านั่นแน่ะ แกรักอา...แกบูชาอาว่าหากินคล่อง ป้ารักอาจริงๆ ถึงเดี๋ยวนี้ป้าก็ยังคิดว่าอาไปติดพันแก - ป้าชื่นที่น่ารักของหนู”
ยิ้มนึกถึงหญิงอ้วนวัยสาวแห่งความชราที่จวนจะมาถึง หล่อนมีอาชีพในทางรับจ้างเลี้ยงเด็กของพวกเสมียนที่ไปทำงานออฟฟิศ เดือนๆ ก็ได้เงินมาพอกินพอใช้ แต่เขาดูหมิ่นว่าหากินแพ้เขาอย่างหลุดลุ่ย - เขาส่ายหน้าช้าๆ และยิงฟันแต่ไม่หัวเราะ
“แล้วอาจะไปหาเงินไหนมาเป็นค่ายาของแก”
“ชะช้า!” ช้อยร้องขึ้น “อ่อนกว่าอาอีก”
เขานิ่ง ดูเหมือนจะเป็นความจริงเช่นนั้น มานึกอีกทีหนึ่งก็อยากจะสมนาคุณ แต่จะต้องลองดูทางแม่สาวแรกรุ่นดรุณีผู้นี้เสีย/*104*/ก่อนจนสุดความสามารถจนกว่าจะแพ้ จนกว่าจะหมดหวังหรือตายสำหรับความรักแน่แล้วจึงจะหันไปทางป้าชื่น
“สำหรับคุณนายฉวีน่ะอา ก็อย่าไปหลงรักเขาเลย เสียเวลาเปล่าๆ เขาแกล้งทำตาเล็กตาน้อยก็เพื่อจะหลอกให้เราไปติดต่อโน่นเสียค่าอ้ายนี่ อาก็อย่ามัวงมโง่นักชาวบ้านเขาจะหัวเราะเยาะเอา สำหรับฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรพวกชาวบ้านก็ยังคิดว่าอารักฉันอย่างลูกอย่างหลาน ไปไหนด้วยฉันก็ไม่รังเกียจ แต่อ้ายเรื่องถูกเนื้อต้องตัวน่ะขอเสียที”
“รักอย่างลูกอย่างหลานก็ต้องจูบ” เขาจิบเหล้าช้าๆ เหมือนจิบเหล้าองุ่นทีเดียว “เฮ้! อีก ๒ - ๒ นะ! ต้องให้เต็มๆ หน่อย”
“ยังมีอีกคนหนึ่งคือแม่อัมพรผัวเขาทิ้งไป ก็เลยหากินทางแม่สื่อแม่ชัก เขาไปคุยกับคุณนายฉวีเสมอแล้วแอบหัวเราะกัน ความจริงแม่อัมพรก็อยากได้อาเพราะเห็นว่าหาเงินคล่อง เข้าโรงพิมพ์ไหนคนรู้จักหมด อย่างที่คุณอาพูดว่าอาเคยทำมาแล้วทุกแห่งตั้งแต่คนสืบข่าว คนหาแจ้งความ เขียนด่าเรื่องถังขยะ เป็นผู้จัดการ เป็นบรรณาธิการ เป็นไม่ได้อยู่อย่างเดียวก็คือเจ้าของหรือผู้อำนวยการ ในเวลาเมาอาพูดอย่างนี้เสมอ เขาก็เกิดอยากได้อา อาเลี้ยงเขาไหวหรือ? เขามีลูกเล็กๆ ถึง ๓ คน – อาจะทำอย่างไร? นี่คอยดูเถอะ พออากลับเข้าไปบ้านก็จะต้องโดนยืมอีก”
เขาระบายลมหายใจออกมาอย่างยาวแรง ควักปึกธนบัตรออกมาบี้ลูบคลำแล้วก็ชำระเงินให้เจ๊กไป เขาเดินช้าๆ แอ๊กต์นิดหน่อยให้เหมือนพวกหนุ่มๆ ที่อยู่ในตรอก ไม่ว่าจะเป็นเพรสลีย์หรือแพท บูน อะไรก็ตาม เขาได้ยินเสียงกระแอมกระไอจากเจ้าหนุ่มพวกนั้น ก็ได้แต่คิดในใจอย่างหยาบคายว่า สันรองเท้า/*105*/เข้าไปติดคออยู่หรืออย่างไร? แต่เขาไม่กล้าพูดออกไปดังๆ หรอก ถ้าขืนพูดก็ลำบากแก่ตัว
เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมาถึงบังกะโลหลังคามวนบุหรี่ของเขา และแม่อัมพรวิ่งเข้ามา
“คุณนายฉวีถามถึงนั่นแน่ะ - คืนวันนี้มีธุระให้ไปหาหน่อย”
“ฉันไม่สบาย” เขาร้องออกมาเหมือนม้ากระทืบโรง
“แกก็คงจะคิดถึงน่ะซีน้า”
“บอกเถอะ ว่าอ่อนเพลีย” เขาส่ายหน้าดิก “บอกว่าอย่าให้ฉันหลงบรรเลงเพลงรักเก่าอยู่เลย ฉันรู้แล้วว่าฉันฉลาดพอตัว แต่ฉลาดอย่างโง่ที่สุด”
“นั้นแน่! น้านี่เจ้าบทเจ้ากลอนเสียด้วย โปรดเถิดดวงใจ อีแตนไม่มีสตางค์ซื้อข้าวกินแล้ว ขอยืมอีก ๓ เป็น ๑๘ ถ้วนๆ - ไม่คดโกง”
เขารีบควักซองธนบัตรอันเก่าคร่ำออกมาถือไว้ แต่ยังไม่เปิดมันออก มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ลูกลิงก็ย่อมจะต้องเหมือนแม่ลิง
“คุณพจน์เมื่อไรจะกลับมา”
“มันจะกลับมาอะไรล่ะน้าเอ๋ย มันไปได้เมียใหม่อยู่ทางสีลม รวยเสียด้วย เลิกเด็ดขาดกันไปแล้ว เพราะฉันขุดมันขึ้นมาจากนรกแล้วด่ามันลงอเวจีไปเลย - ขอยืม ๕ นะน้านะ เป็น ๒๐ เสียก็แล้วกัน เวลานี้ฉันตัดได้แล้วเหมือนเด็กตัดผมเปีย ใครเลี้ยงฉันได้ฉันเอาทั้งนั้น ให้ฉันรากทีลงทีให้ฉันธรณี...”
“พอแล้ว - พอแล้ว -” เขารีบยกมือขึ้นโบกห้าม “ก็เมื่อตะกี้จะเอาเพียง ๓ แต่เดี๋ยวนี้จะกลับกลายเป็น ๕...”
/*106*/เขารีบนับธนบัตรปลีก ๓ บาทส่งให้หล่อนไป เขายิ้มน้อยๆ แล้วก็ท่องสูตรคูณไปเรื่อย ๑ บาทก็เท่ากับ ๑ บาท ๑๐๐ บาทก็เท่ากับ ๑๐๐ บาท หมุนไปตามวิถีวงจรของมันอยู่เรื่อยๆ ไป หมดแล้วก็เกิดขึ้นใหม่ ครั้นเกิดขึ้นมาแล้วก็สลายตัวของมันไป เขายิ้มอย่างมีความสุขในการที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นและผู้อื่นก็คงจะเป็นสุขในการที่ได้ช่วยเหลือเขา เขาถามหล่อนขึ้นด้วยเสียงกระซิบ
“คืนวันนี้นอนด้วยคนได้ไหม?” เขาว่า
หล่อนมองดูเขาด้วยนัยน์ตาที่แฝงไว้ด้วยประกายหลายชนิด ไม่ยอมกะพริบตาเหมือนนัยน์ตาปลาที่ไม่ยอมหลับตลอดชีวิต หล่อนได้แต่ร้อง
“ไม่ได้หรอก - ไม่ได้ - อ้ายหลงมันจะมาวันนี้ มันเห็นเข้าจะป่นปี้หมดทีเดียว”
“แล้วถ้าอ้ายหลงมันไม่มาล่ะ?” เขาถาม
“ขอให้ฉันคิดดูก่อน - มันไม่ใช่เรื่องเล็ก”
เขาก้าวเดินเข้าไปในบ้านของเขาอย่างเชื่องช้า เขาได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของช้อยกำลังครางเพลงอยู่ทีเดียว “ฮื้อฮือ...ฮื้อฮือ”
เสียงนั้นทำให้เขารู้สึกตะครั่นตะครอตัวเหมือนกับจะเป็นไข้ เขาเฝ้าแต่คิด ได้ข่าวอยู่แว่วๆ เหมือนกันว่า ช้อยมีแฟนเป็นสิบโทหนุ่ม แต่จะเป็นทหารเหล่าไหนเขาไม่รู้ วิธีที่ดีที่สุดของเขาในเวลานี้ก็คือ แต่งงานเสียกับป้าชื่น แล้วเขาก็จะได้ไปอยู่กับป้าชื่น แล้วเขาจะได้อยู่ใกล้ชิดกับช้อยในครัวเรือนเดียวกัน แม้จะไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวหล่อนได้อยู่ใกล้ได้กลิ่นอายก็ยังจะดีถมไป อย่างน้อยเดินสวนกันแตะต้องกันบ้างเล็กน้อย วาบหวามใจดีกว่าอยู่คนเดียวที่เต็มไปด้วยความว้าเหว่หัวใจและกาย เขารีบอาบน้ำอาบท่าแต่งตัว/*107*/ให้เรียบร้อยแล้วก็ไปบ้านช้อย ป้าชื่นประแป้งรำกลิ่นหอบตลบ พวกเสมียนกลับจากทำงานและมาเอาลูกของเขาคืนไปหมดแล้ว แกจึงมีเวลาพักผ่อน เสียง “ฮื้อฮือ - ฮื้อฮือ” จากช้อยหายไปเสียแล้ว หล่อนลงจากเรือนและหายไปในความมืด - หล่อนไปกับแฟนของหล่อน - ไปเลย
ป้าชื่นของช้อยร้องไห้พร้อมกับหัวเราะ
“ปกติฉันไม่เคยร้องไห้เลย - ร้องกับใครเขาไม่เป็น” นางกล่าวขึ้นก่อน
“แต่มาทำไมคราวนี้ถึงได้ร้องไห้?” เขาถามขึ้น
“ก็ตามคำคนมันลือกันนั่นแหละ - มันลือกันว่าฉันกับพี่ยิ้มรักกัน”
ยิ้มยิ้มน้อยๆ อยู่ภายในหัวใจของเขา
“ก็แล้วมันจริงตามที่เขาลือกันหรือเปล่าล่ะ?” เขาถามและกระเถิบเข้าไปใกล้
นางเลยฉวยโอกาสนั้นโผผวาเข้าไปหาเขา นางกล่าวถึงเพื่อนร่วมชีวิต นางกล่าวถึงชีวิตอันจะต้องเผชิญในภายหน้าหรืออนาคต นางพูดถึงยามเจ็บไข้ได้ป่วยจะพึ่งพาอาศัยกัน ยามยากก็จะได้ช่วยกันแก้ทุกข์ ยามสุขก็จะได้รับความหวานครั้งสุดท้ายแห่งชีวิตร่วมกัน แล้วลงท้ายด้วยประโยคที่ว่า
“รักฉันนะ! พูดออกมาซีพี่ยิ้มว่ารักฉัน”
“ฉันรัก -” เขาพูดแล้วก็จูบนาง นางก็จูบตอบเหมือนกัน
คืนวันนั้นเขาก็เลยนอนค้างอยู่ที่นั่นด้วยความผาสุก แต่จนรุ่งสางสว่างแสงท้องฟ้าสว่างไปด้วยแสงแดด ช้อยของเขาก็ยังไม่กลับมา หล่อนไปเสียแล้ว - ไปกับสิบโททหารคนรักของหล่อน
/*108*/“เราจะต้องฉลองเสียหน่อยนะพี่นะ พอเป็นพิธีเพื่อประกาศให้ชาวบ้านเขารู้ว่า เราได้เสียเป็นเมียเป็นผัวกันแล้ว”
“อ๋อแน่” เขาตอบ “เชิญหมดทุกบ้าน”
“เชิญแต่พวกผู้ชายที่ชอบกับพี่ก็แล้วกัน เลี้ยงเหล้าสัก ๔ - ๕ ขวด กับข้าวสัก ๒ - ๓ อย่าง”
เขารีบแต่งตัวแล้วออกเดินไปตามบ้าน ออกการ์ดเชิญด้วยปากอันแบบบางของเขา ไม่ว่าจะเป็นบ้านตำรวจ ทหารพลเรือน เสมียนพนักงาน หรือกรรมกรที่เคยทักทายกับเขา เขากำหนดวันในระยะอันกระชั่นชิดมาก เพราะเชื่อมือตัวเองเหลือเกินว่าจะต้องหาเงินได้ เขาไม่เคยกลัวอะไรเลยในชีวิต
ยิ้มเฝ้าแต่คลุกคลีตีโมงอยู่ในบ้านไม่ยอมห่างจากแม่ชื่นของเขาเลย พอถึงวันกำหนดนัดเขาก็รีบแต่งตัวออกจากบ้าน แวะเติมเสีย ๒ ก๊ง แล้วออกเดินช้าๆ เหมือนพวกข้าราชการบำนาญออกเดินเล่นในเวลาเช้า เบื้องบนท้องฟ้าเหยี่ยวหลายตัวกำลังร่อนกันอยู่เป็นวงกลม เจ้าตัวหนึ่งจิกหัวดำดิ่งลงไปในคลองเหมือนเครื่องบินดำลงมาทิ้งระเบิด พอมันถลาขึ้นจากคลองก็ปรากฏว่าที่ตีนทั้งสองของมันคว้าเหยื่ออะไรมาไม่ได้เลย - เขาร้องเอ๊ะ โชคเห็นจะไม่ค่อยดีเสียแล้วกระมัง?
เหยื่อคนแรกของเขาสั่นศีรษะแล้วตอบเขาว่า ช่วยกันบ่อยนักก็ไม่ไหวการค้าของเขาเต็มที เหยื่อคนที่ ๒ เป็นนักหนังสือพิมพ์มือดีตอบเขาว่า วันนี้ไม่ใช่วันจ่าย ขอให้มาเอามะรืนนี้ เหยื่อคนที่ ๓ ของเขาบอกว่า เขาเองเมียกำลังคลอดลูกจะไปเอาที่ไหนมาให้ไหว เหยื่อคนที่ ๔ บอกว่า เขาเองกำลังออกวิ่งหาเงินใช้อยู่เหมือนกัน เหงื่อเม็ดโป้งๆ ค่อยๆ ซึมลงมาจากหน้าผากของเขา /*109*/แล้วค่อยๆ ไต่ลงมาตามแก้มอันเต็มไปด้วยกระดูก ตะวันก็บ่ายชายคล้อยลงไปแล้วทุกขณะ เขานึกถึงพันเอกยุทธขึ้นมาในทันที อย่างน้อยได้รายนี้รายเดียวก็คงจะพอซื้อเหล้าเลี้ยงพวกแขกที่เขาเชิญไว้ เขารีบขึ้นไปโหนรถเมล์เดินทางตรงไปยังบ้านสหายผู้มีเกียรติของเขาในทันที
แต่เขาก็ต้องหงายหลังอีกครั้งหนึ่ง ในเมื่อได้รับคำตอบจากทหารในบ้านว่า
“ผู้การไปนอก”
เขาถอนหายใจยาวราวสัก ๑๐ ไมล์ ออกเดินโซชัดโซเซต่อไปอีก จะหาหน้าคนรู้จักสักคนก็ไม่มี โลกนี้มันช่างกว้างขวางอะไรเช่นนั้น กว้างจนหาคนรู้จักทำยายากเสียเหลือเกิน เขาเหลือบสายตามองนาฬิกาในร้านเจ๊กตกเข้าไป ๔ โมงกว่าแล้ว เขาเชิญแขกไว้ ๔ โมงตรง เขาอยากจะอาเจียนออกมาเป็นโลหิตให้มันตายไปเสีย ความจริงเขาตายไปแล้วและกำลังตายอยู่ ตายสำหรับเงิน ตายสำหรับเกียรติยศ เขาแวะเข้าไปในร้านเหล้าชั้น ๔ เป็นห้องเล็กๆ อันมืดทึบ เขาหาทางออกให้ตัวเองอีก ๔ ก๊ง – ทีละ ๒ ติดต่อกันไป เขาคิดว่าจะไม่กลับบ้าน ถ้ากลับไปแล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? เชิญเขามาในงานวิวาห์แต่ไม่มีอะไรเลี้ยงเขา แม้เพียงเหล้าหยดเดียว
เขานั่งจมอยู่ในร้านเหล้า ความมืดก็ค่อยๆ คลานเข้ามา อีกสักประเดี๋ยวก็จะเย็นและค่ำลง ไฟฟ้าก็จะเปิด คนพวกนั้นคงจะพากันกลับไปด้วยความดูหมิ่น นายยิ้ม กินตัว เล่นตลกอย่างบัดซบ ตลกมาจากนรก - แต่แล้วในที่สุดเขาก็กัดฟัน ลองแอบไปดูเสียหน่อยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างทางบ้าน เขาขึ้นรถเมล์/*110*/ไปพร้อมกับกลิ่นของแม่เทพธิดาสีขาว ๒๘ ดีกรี และเมื่อถึงบ้านก็พอดีไฟเปิด
ยิ้ม กินตัว ก้าวลงจากรถเขารีบพุ่งตัวเข้าสู่เงามืดที่ปากตรอกเพื่อกำบังตัวไม่ให้ใครเห็น แต่ก็ยังมีสายตาคู่หนึ่งเห็นเขาเข้าจนได้
“อา - อายิ้ม”
เขารีบหันขวับไปมองดู - ‘ฮื้อฮือ’ - กลับมาอีกแล้ว
“ไปไหนมา?” เขาถามอย่างโกรธ
“ฉันพาพี่มาสมาป้า” หล่อนตอบ “รีบเข้าไปเถอะป้าคอยอยู่ - ป้าจะร้องไห้เสียให้ได้ เชิญแขกเขามาแล้ว เจ้าภาพกลับมาหายไป - เข้าไปเร็วๆ ซี!”
“แต่ - อาทำเงินหายหมด”
“ไม่เป็นไรหรอก” หล่อนยิ้มน้อยๆ “ฉันออกไปให้ก่อน - ไปซีเขากำลังกินเลี้ยงกันอยู่ทีเดียว”
ยิ้มจัดกลีบกางเกงให้เข้ารูปเช็ดหน้าให้หมดสนิมเหงื่อและสนิมเหล้า เขาเดินองอาจเข้าไปในตรอก ครั้นแล้วเสียงเซ็งแซ่จากพวกแขกเหรื่อก็ดังประสานขึ้นมาพร้อมกัน เขาเลี้ยงกันอยู่จนดึก เจ้าบ่าวยิ้ม กินตัว ผู้มียิ้มเป็นอาชีพรู้สึกเป็นสุขที่สุดในชีวิตของเขา
“โย้! โย้ - ขอให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวจงมีความสุขความเจริญ - ไชโย้” ○