พ่อครู

ถึงแม้กาลเวลาจะได้ลอยเลื่อนเคลื่อนคล้อยมาได้เกือบ ๔๐ ปีเต็มแล้ว แต่คนเก่าๆ ชราภาพอายุ ๕๐ ปีขึ้นไปก็ยังคงจะจำได้ดี ถึงสำเภาอ้ายตัวโกงมหาประลัยในบทของนาฏดนตรีมีชื่อถูกจำคุกตั้งแต่ในวัยยังหนุ่มแน่นฐานฆ่าภรรยาของเขาตาย

เขาโกงจริงๆ หน้ากล้อ ผมหยิก นัยน์ตาแหลมเล็ก - เล็กเหมือนตาปลา ทุกสิ่งทุกอย่างบนใบหน้าดูเหมือนจะช่วยกันประกอบให้ลักษณะโกงและทุจริตของเขาเด่นชัดมาจนได้รับความเกลียดชังจากคนดูโดยทั่วไป จนแม้กระทั่งแม่ค้าหาบข้าวราดแกงที่หน้าวิกไม่ยอมที่จะขายข้าวแกงให้เขา

สำเภาร้องอุทานด้วยเสียงอันโหยหวน

“โธ่ป้า! ฉันไม่มีสตางค์ให้ป้าหรืออย่างไร”

“อย่ากินเลย - แกมีสตางค์แกก็ไปกินที่อื่น - แกมันโกงนัก อย่ากินเลย”

“โธ่ป้า ฉันก็เล่นไปตามบทนี่นะ แล้วอ้ายเชื้อตัวพระเอกน่ะมันโกงยิ่งกว่าฉันเสียอีก - โกงค่าตัว โกงค่าเครื่อง โกงสารพัด ทำไมป้าจึงยกย่องมัน”

“ก็เขาไม่โกงอย่างแกนี่”

แต่ทว่า - ยี่เกจะขาดสำเภาเสียไม่ได้ - ขาดไม่ได้ทีเดียวละ ถ้าขาดก็จะหาตัวโกงไม่ได้เอาเสียเลย

บรรดานาฏศิลปินอื่นๆ เขาโก้ มีผู้หญิงมาหาถึงหลังวิก บางทีลิเกเลิกแม่ก็นั่งกันอยู่เฉยๆ คนอื่นลุกไปก็ช่าง นั่งอยู่อย่างนั้นแหละจนกว่าจะได้พบกับพ่อยอดเสน่หายาใจของตัว ชีวิตเต้นกินรำกินในเวลานั้นกำลังเฟื่อง ใครดีมีฝีมือก็ได้เข้าสู่ราชสำนักของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เป็นข้าราชสำนักในกรมมหรสพ ได้เลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์เป็นพระเป็นพระยากันออกกลุ้มไป ดอกดิน เสือสง่า เป็นยี่เกเฟื่อง ขึ้นชื่อลือชาที่สุด เพราะเก่งทั้งร้องทั้งรำ และเก่งทั้งเจรจา ยังมีสาลิกา นายเพิ่ม นายปั่น นายแป๊ะ ฯลฯ เหล่านี้คนติดกันกรอทีเดียว ยามเมื่อออกเล่นตามหัวเมืองคนก็แน่นวิก แต่ดาราเหล่านี้ก็จบชีวิตของเขาในแบบแปลกๆ เหมือนกัน ดอกดิน เสือสง่า ยอดยี่เกถูกฟันตายในขณะที่ขึ้นแสดงอยู่บนเวที กุหลาบ โกสุม หรือพระราชวรินทร์ถูกลอบยิงตาย แต่ทว่าศิลปินเหล่านี้ไม่ได้ตายเพราะโกงบนเวที เขาอาจตายเพราะเจ้าชู้เกินไป หรืออะไรทำนองนั้นแหละ

ไม่ใช่แต่เพียงคนดูเท่านั้น ที่เกลียดสำเภาเกลียดอาชีพตัวโกงของเขา แม้ในหมู่คณะบรรดาตัวยี่เกผู้หญิงซึ่งเริ่มมีขึ้นบ้างแล้วประปรายในสมัยนั้นก็เกลียดเขาเหมือนกัน บทบาทบนเวทีเป็นการแสดงออกของอุปนิสัยแน่หรือ? เขาโกงไปตามบทบาทแต่มันอาจมีปีศาจร้ายของการแสดงเข้าไปสิงอยู่ภายในชีวิตนอกเวทีของเขาก็ได้ ผู้หญิงก็มักจะคิดไปเสียเช่นนั้น แต่สภาพของความเป็นจริงในชีวิต เหล้าสักหยดเดียวเขาก็ไม่ดื่ม การพนันก็ไม่เอา ขึ้นชื่อว่าอบายมุขเขาเป็นไม่เอาทั้งนั้น นอกจากการฝักใฝ่อยู่กับการแสดง เขามีหัวฤาษีป่าอยู่หัวหนึ่ง เป็นสมบัติดั้งเดิมที่พ่อของเขาทิ้งมรดกตกทอดไว้ให้ หัวฤๅษีหัวเดียวจริงๆ เป็นสมบัติที่เขาจะไม่ทิ้งขว้างห่างเหินไปจากตัวเลย

ในเรื่องของความรัก เขาก็ไม่ใช่ว่าจะอาภัพอัปภาคย์ไปเสียทีเดียว ยังมีผู้หญิงเห็นความดีนอกเวทีของเขาอยู่เหมือนกัน หล่อนชื่อยี่สุ่นเป็นยี่เกหัดใหม่ที่โต้โผลิเกของเขาไปได้มาจากตำบลหนึ่ง ซึ่งหล่อนได้รับการฝึกหัดอบรมท่ารำและการร้องมาแล้วเป็นอย่างดี ยี่สุ่นเห็นใจเขาและเข้าใจตัวเขาพอว่า เขาเป็นตัวโกงแต่ในบทของยี่เกเท่านั้น ดังนั้นแทนที่เขาจะอยู่ตัวคนเดียวในโลก มีสมบัติอยู่แต่หัวฤๅษีป่าหัวเดียว เขาจึงได้ตกลงร่วมหอลงโรงกับยี่สุ่นซึ่งใครๆ ต่างก็พากันอเนจอนาถใจไปตามๆ กัน โดยเฉพาะในหมู่คนดูแฟนยี่เกที่พากันปลงอนิจจังว่า พุทโธ่เอ๋ย! ผู้ชายมีออกถมไปไหงไปรักอ้ายเวรสำเภาโกงอย่างฉิบหายวายวอด? แต่ทว่ายี่สุ่นก็รักเขา - เขาเป็นที่เกลียดชังของแฟนยี่เกก็เฉพาะบนเวทีเท่านั้น ส่วนนอกเวทีเขาเป็นผู้ชายที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีรอยด่างพร้อยในอดีตหรือปัจจุบันอย่างใดเลย

สิ่งที่สำเภากระทำอยู่เป็นกิจวัตรของเขาก็คือการเซ่นวักหัวฤๅษี เขาจะมีจานเชิงเล็กๆ ใส่ข้าวกับและมีถ้วยตะไลเล็กๆ ใส่เหล้าเซ่น แบบเดียวกับพ่อของเขาที่ได้เคยเซ่นมาแต่ก่อน ยามเมื่อจะออกจากบ้าน ยามเมื่อจะออกแสดง หรือยามเมื่อจะประกอบกิจการงาน ตลอดจนย้ายวิกก็จะต้องเซ่นวักบวงสรวงกันเป็นการใหญ่ ขอให้หัวฤาษีจงได้ช่วยคุ้มครองรักษาและให้ความสำเร็จและปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งหลาย

เขาค่อยๆ สถาปนาหัวฤาษีนั้นขึ้นมาเรื่อยๆ หัวป่าถูกปรุงแต่งลงรักปิดทองหนาเทอะทะเจริญขึ้นมาเรื่อยๆ ได้เงินมาเท่าใด แม้จะได้มากได้น้อยก็จะต้องช่วยกันปรุงแต่งหัวฤาษีหรือที่เรียกกันว่า ‘พ่อครู’ ให้งามขึ้นทุกที การเซ่นสรวงก็ดีขึ้น เป็ดไก่ อาหารดีมีรส เขาได้รับประทานอย่างไร ‘พ่อครู’ ก็จะต้องได้เสพอย่างนั้น วันทั้งวัน เดือนทั้งเดือน จนกระทั่งในเวลาต่อมาเมียของเขาได้แย้มให้เขารู้ว่า มีคนมาติดพันหล่อนคนหนึ่งในบรรดาหลายคนด้วยกันและคนนี้เป็นเศรษฐีเก่า เขาสัญญาว่าเขาจะให้แหวนเพชรหล่อน ๑ วง ราคาหลายพัน ซึ่งเงินพันในเวลานั้นยากนักยากหนาที่พวกยี่เกหรือใครๆ จะได้จับต้องกัน แล้วนี่มันหลายพันเสียด้วย

“พี่อย่าหึงสุ่นเลยนะ”

“ไม่หึง -” เขาทวนคำ

“จ้ะพี่ - อย่าหึงอย่าหวงอะไรเลย ฉันได้มาฉันก็ไม่เอาไปข้างไหนหรอก เอามาก่อร่างสร้างตัวเป็นโต้โผยี่เกกะเขาบ้าง โต้โผคนนี้ยิวซะมัดแล้วก็เห็นแก่ตัวด้วย สูบเลือดสูบเนื้อสูบเอาหยาดเหงื่อของเราไป เพราะจู่ๆ ก็มาเป็นโต้โผโดยไม่ได้เคยเป็นยี่เกมาก่อน เขาจึงไม่เห็นอกเห็นใจพวกเรา - ฉันไม่รักเขาหรอก”

“แต่ก็ได้ข่าวว่าเขาสวยไม่ใช่หรือ?”

“สวยกินเข้าไปได้หรือพี่จ๋า ถ้าฉันรักคนสวยหรือหลงรูป ฉันจะมารักพี่เป็นเมียพี่ทำไม ที่ฉันบอกพี่นี่น่ะก็เพราะไม่ได้รักเขาจริง ถ้ารักจริงแล้วก็ขอให้รู้ไว้เถอะ เรื่องผู้หญิงแล้วไม่มีบอกใครอุบเงียบไว้ในใจ”

“อ้ายเรามันหากินเป็นตัวโกงเขาอยู่นะยี่สุ่น ขอให้โกงแต่บนเวทีเถอะ ข้างนอกเวทีเราอย่าไปโกงเขาเลยยี่สุ่น เรื่องโต้โผก็อย่าไปหวังให้มากนัก เงินไม่สำคัญเท่าไรหรอก มันสำคัญที่การคุมคนไม่ให้แตกสามัคคีกัน ฉันเตือนยี่สุ่นเท่านี้แหละ เพราะว่าฉันเป็นตัวโกง เมื่อเกิดเหตุเพทพาลอย่างใดขึ้น เขาจะต้องลงโทษฉันว่าเพราะฉันมันเป็นตัวโกงจึงได้สั่งสอนแนะนำเมียให้ไปตุ๋นเขา - เจ้าเศรษฐีคนนั้น”

หล่อนได้แหวนเพชรมาหรือเปล่า? เขาไม่เอาใจใส่ กลางคืนนอนดึกก็ใช้เวลากลางวันนอนแทน ยี่สุ่นจะไปพบไปเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าคนรักคนใหม่เขาก็ไม่ยุ่งด้วย การหึงหวงก็คือการไม่ไว้ใจเมียของตัว หรือพูดง่ายๆ ก็คือดูถูกภรรยาของตัวเอง ยี่สุ่นเป็นคนดีอยู่อย่างหนึ่ง หล่อนไม่ละเลยเขา ปรนนิบัติเขาอยู่อย่างไรก็คงอยู่อย่างนั้นเป็นกิจวัตร แม้ว่าหล่อนจะได้แหวนเพชรที่มีค่า แต่หล่อนก็หาได้เอามาประดับกายไม่ คงใช้แต่สร้อยข้อมือและแหวนทองหัวทับทิมที่สำเภาซื้อให้เมื่อได้กันใหม่ๆ และเจ้าสร้อยข้อมือเอี้ยวกับแหวนทองหัวทับทิมนี้เอง จะเป็นเรื่องสำคัญไปในวันข้างหน้า

เหตุการณ์ต่อมาเป็นเหตุการณ์ที่เขาเองไม่ได้นึกฝัน และแม้แต่แฟนยี่เกทั่วไปก็ไม่ได้นึกไม่ได้ฝันว่าจะเป็นไปได้เช่นเดียวกัน เพราะยี่สุ่นหายไป

“ยี่สุ่นไปไหน?”

“ยี่สุ่นกลับบ้านหรือเปล่าเมื่อคืนก่อน”

“ยี่สุ่นไปกับใคร?”

“ยี่สุ่นทะเลาะกับแกหรือเปล่า?”

“ยี่สุ่นกลับบ้านหรือเปล่าเมื่อคืนก่อน?”

สำเภาตอบคำถามเหล่านั้นไม่ได้เลยสักประโยคเดียว เขาจำได้แต่ว่าเมื่อยี่เกเลิกราว ๒ ยาม เขาเดินกลับบ้านไปกับหล่อนสองคนด้วยกัน แวะซื้อก๋วยเตี๋ยวผัดไทยใส่ไข่คนละห่อ และขนมเชื่อม จำได้ว่าเป็นลูกตาลเชื่อมกับสาเกเชื่อมแล้วก็พากันกลับบ้าน ยี่สุ่นหยิบเอาเหล้าหวานออกมา ๑ ขวด เป็นเหล้าเอ้หมึงซูฮ็อกต๋องขวดเล็กขวดละ ๔๐ สตางค์เท่านั้น สมัยเมื่อกว่า ๔๐ ปีก่อน แต่มันก็มากพอดูในเวลานั้น หล่อนอ้างเหตุผลต่างๆ เช่นจะซื้อเครื่องลิเกให้เช่า จะซื้อบ้านเล็กๆ จะซื้อปี่พาทย์เครื่องห้า เขาพลอยเคลิบเคลิ้มไปด้วย – ในที่สุดก็ดื่มเหล้าเอ้หมึงหวานๆ นั้นเข้าไปถึง ๓ แก้ว เขาเมามากแล้วก็หลับไป และเมื่อตื่นขึ้นมาในเวลาสาย เขาเดินออกไปหาอะไรกินแล้วก็ไปวิกเพื่อฟังว่าเขาจะเตี้ยมเรื่องอะไรในคืนต่อไป พอเขาไปถึงวิกก็พบเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยอยู่แล้ว

“ไปด้วยกัน”

“ไปไหนครับ?” สำเภาถามงงๆ

“ไปโรงพักน่ะซี”

“ผมมีความผิดอะไร?”

“ฆ่าคนตายโดยเจตนา”

“ผมยังไม่รู้เลยครับ เป็นความสัตย์จริงว่าผมฆ่าใครตาย”

“แกอย่ามาทำไก๋เลยน่า - ไปเจรจาบทตัวโกงของแกบนโรงพักเถอะ”

เขาถูกกุญแจมือสวมฉับเข้าให้ที่ข้อมือ สำเภาถูกลากถูลู่ถูกังไปยังโรงพัก มีศพผู้หญิงคนหนึ่งนอนตายอยู่ในกอหญ้า หน้าถูกฟันเละเทะจนจำไม่ได้ แต่ทว่าผ้านุ่งและเสื้อเป็นของยี่สุ่น สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เป็นหลักฐานสำคัญในคดีนี้ที่ใครๆ จำได้ว่าเป็นยี่สุ่นก็เพราะสร้อยเอี้ยวที่ข้อมือและแหวนทองหัวทับทิม

พยานโจทก์คือพวกยี่เกด้วยกันคนหนึ่งกับคนขายก๋วยเตี๋ยวพร้อมด้วยเด็กอายุราว ๑๒ แลเห็นตัวเขากับยี่สุ่นเดินมาด้วยกันและแวะซื้อเหล้าเอ้หมึง ๑ ขวด และก๋วยเตี๋ยวผัด ๒ ห่อ แล้วเดินกลับบ้านด้วยกันเท่านั้นเอง เจ้าแม่แห่งความยุติธรรมทิ้งเขาไปเสียแล้ว ศาลตัดสินให้จำคุกเขาไว้ ๑๕ ปี โดยยกประโยชน์ต่างๆ ให้ เช่นไม่เคยกระทำความผิด และยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยด้วย มาน้ำตาตกในขณะที่ถูกลากเข้าคุก ไม่มีใครเวทนาหรือปรานีเขาเลย มีแต่จะยกมือท่วมหัวสาปแซ่งเขาซ้ำเติมส่งเดชไปเสียอีก แต่ทว่าการผลัดแผ่นดินใหม่ได้ช่วยเขา การปฏิวัติได้ช่วยเขา - เขาติดคุกอยู่ในราว ๑๐ ปี ก็ได้รับอิสระในฐานะที่ประพฤติตัวดีในคุกมาตลอดเวลา - เมื่อเขาเข้าไปติดคุก เขาขออนุญาตทางเรือนจำเอาหัวฤาษีเข้าไปด้วย แต่ถูกเพื่อนนักโทษด้วยกันล้อเลียนและคิดทำร้ายหัวฤาษีหรือพ่อครูของเขา เขาจำต้องฝากไว้ที่วัดกับพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งเคยเป็นสหายกันมา แม้จะอยู่ในคุกเขาก็ยังเซ่นสรวงไปตามมีตามเกิด กับข้าวในเรือนจำมีอยู่อย่างไร เขาก็เซ่นไปตามอย่างนั้น แต่ว่าเหล้านั้นแหละเขารู้สึกออกจะหายาก แต่ถ้าเขาหาได้ เขาก็เซ่นท่านทุกครั้งไป ขอให้พ่อครูช่วยเขาอย่าให้ได้รับความลำบากมากนัก และพ่อครูก็ช่วยเขาในที่สุด - เขาได้เข้าไปแสดงยี่เกกับนักโทษอื่นๆ แสดงยี่เกในวันอาทิตย์ให้พวกนักโทษชม เขาไม่ต้องทำงานหนักแต่อย่างใด มีแต่เสรีภาพของความเป็นมนุษย์ แต่ปราศจากอิสรภาพที่จะล่วงล้ำเขตแดนของคุกออกมา

เมื่อเขาก้าวพ้นออกมาจากประตูคุก สำเภาก็รู้สึกว้าเหว่ขึ้นมาทันที ว้าเหว่ทั้งหลังคาที่จะคลุมหัว ว้าเหว่เพราะอาหาร ๓ มือ ตลอดจนเปล่าเปลี่ยวหัวใจ เพราะมีแต่ตัวเองคนเดียวในโลกอันกว้างขวางนี้ เขาไปตามโรงยี่เกและคณะยี่เกต่างๆ ก็เลือกล้วนแต่ว่าเป็นพวกยี่เกหน้าใหม่ทั้งสิ้น เมื่อไปมัครยี่เกที่ไหนคนก็เรียกลุงเสียหมดแล้ว

“ลุงฆ่าเมียตายใช่ไหม?” พระเอกยี่เกคนหนึ่งถาม

“ไม่ได้ฆ่า - ฉันรักเมียของฉันเสมอ”

“ไม่ฆ่าทำไมติดตะราง”

“ไม่ทราบ - พรรค์นี้ก็สุดแท้แต่ดวง”

“มันก็ยังงี้แหละ! สำหรับผู้ทำผิดติดตะรางก็มักจะตอบว่าเขาหาทั้งสิ้น”

“แต่นี่เป็นความจริง!” เขายืนยัน

“ก็ให้ผีสางเทวดาเชื่อเถอะ คนน่ะเขาไม่เชื่อกันหรอก” เขาตอบ “ยี่เกเดี๋ยวนี้เป็นยี่เกทันสมัย ไม่ใช่ตัวโกงแบบเก่าแล้ว ตัวพ่อก็มีเสียแล้ว และหน้าลุงมันน่าเกลียดแล้วแก่ด้วย แสดงกับเขาไม่ได้หรอก”

“ขนเครื่องได้ไหม? ฉันจำกลอนของเก่าได้มาก”

เขาส่ายหน้าอีกตามเคย

ได้ข่าวแสดงยี่เกที่ไหนเขาก็ไปที่นั่น แต่ด้วยความชราของเขานี่แหละ! ทำให้เขาหางานไม่ได้เลยแม้แต่แห่งเดียว มีบางแห่งจ้างเขาเป็นเสนา แต่คนเราก็เป็นอย่างงี้แหละ เกือบจะทุกวงการอาชีพเคยเป็นพระภูมีมาแล้วจะให้เปลี่ยนไปเป็นเสนา ใครๆ ก็ทำไม่ได้ มันก็เพราะด้วยความรักศักดิ์ศรีของตัว ยอมอดตายเสียดีกว่าที่นายสำเภายอดแห่งตัวโกงจะมาเป็นเสนา

วันคืนยิ่งผ่านไป เงินทองที่มีติดตัวมาบ้างจากในคุกก็เริ่มร่อยหรอลงไป จนกระทั่งเหลืออยู่บาทสุดท้ายแล้ว

เขารีบคุกเข่าลงที่หน้าพ่อครู และกราบแล้วกราบเล่า

“วันนี้ลูกเหลือเงินบาทสุดท้ายแล้ว ถ้าพ่อครูไม่ช่วยลูก - ลูกก็ไม่มีอะไรจะเซ่นพ่อครู ลูกอดก็หมายถึง ‘พ่อครู’ จะต้องอดด้วย”

เขากราบงามสามทีแล้วก็ออกเดินแสวงหางานอีกต่อไป เขาพบหน้าคนรู้จักคนหนึ่งซึ่งเคยแสดงเป็นตัวประกอบในสมัยที่เขายังรุ่งเรืองในฐานะตัวโกงอันมีชื่อ คนผู้นั้นชื่ออังกาบ เดี๋ยวนี้เป็นโต้โผยี่เกวิทยุชื่อดังคนหนึ่ง

“ออกมาแล้วหรือครู” อังกาบเรียก “ได้ข่าวว่าเข้าไปอยู่ในโน้น”

เขาพยักหน้าช้าๆ “มีงานอะไรให้ทำบ้างไหมล่ะ?”

“งาน?”เขาทวนคำ “มันมีหรอก แต่มันก็ได้น้อยเหลือเกิน ไม่พอยาไส้ สปอนเซ่อร์หายากเหลือเกิน”

แม้ว่าสปอนเซ่อร์จะเป็นคำใหม่ แต่ทว่าเขาก็ไม่กล้าซักถามอย่างไร

“น้อยมากอะไรก็เอาละ? พอประทังไปที จะให้ฉันเป็นตัวโกงหรือตัวพ่อก็ได้”

“ยากจริงๆ ฉันดีใจนะที่ได้พบครูซึ่งเป็นยี่เกเก่า แต่นั่นแหละ ยี่เกเดี๋ยวนี้เล่นยาก เขาไม่เหมือนสมัยก่อนหรอก บทด้นๆเสีย ๓ วัน ไม่ยักกะลงสักที - อยู่ที่ไหนล่ะ? อีก ๒ อาทิตย์รายการฉันถึงจะเข้า - เข้าครั้งหนึ่งๆ ก็แบ่งเฉลี่ยกันไป”

“๒ อาทิตย์” เขาร้องออกมาด้วยความตกใจ “๒ อาทิตย์”

เขาเดินคอตก - พ่อครูอดแล้ว เขาคำรามอยู่ในหัวใจ พ่อครูไม่ช่วยลูก พ่อครูก็ต้องอด นั่นเป็นของธรรมดา แต่พ่อครูต้องไม่อด วันหนึ่งพ่อครูต้องช่วยลูก เขาเข้าไปในร้านขายอาหารแบบข้าวต้มกุ๊ย ทำเป็นดูกับข้าวแล้วก็ขโมยปลามาได้ชิ้นหนึ่งใส่ในกระเป๋า ทำเป็นเปิดหม้อข้าวดูแล้วหยิบเอาข้าวมาฟายมือหนึ่ง เขากลับมาบ้าน และเริ่มลงมือเซ่นวัก

“ดูเถอะ! พ่อครู” เขาพึมพำเหมือนสวดมนต์ “แม้ลูกจะอดอยากปากแห้ง ตัวของลูกจะอดไม่ได้กินแต่ลูกก็ยังอุตส่าห์ไปขโมยเขามาเซ่นพ่อครู ถ้าพ่อครูไม่ช่วยคราวนี้พ่อครูก็เห็นจะต้องอดอย่างแน่นอน - อด - ได้ยินไหม - อด - อด - อด”

เขาเซ่นพ่อครูเรียบร้อยแล้ว ก็ดื่มน้ำ ดื่มให้อิ่มแล้วก็เข้านอน โรคขาดอาหารทำให้เขาง่วงนอนได้เหมือนกัน เขาหลับอย่างสนิทและฝันว่าได้เป็นโต้โผลิเกโรงเบ้อเร่อทีเดียว

เช้าแล้ว - แสงแดดอันเจิดจ้าทอดลำพุ่งเข้ามาทางช่องลมของศาลาวัด เขาขดตัวนอนอยู่ใต้ถุนศาลา ไหว้พ่อครูเสร็จแล้วก็เอาหัวพ่อครูไปฝากไว้ที่พระอันเป็นกิจวัตรประจำวัน เขาเดินออกหางานแสดงไปเรื่อยๆ แต่ก็ผิดหวังตามเคย เพราะมีความชราเป็นต้นเหตุ ไม่มีเทวดาองค์ใดเลยทีเดียวหรือที่จะยื่นมือลงมาช่วยเหลือเขาบ้าง พ่อครูก็หมดปัญญาที่จะช่วยเหลือเสียแล้ว อาหารมื้อเช้ายังไม่ตกถึงท้อง พอเที่ยงก็ได้แต่น้ำ - น้ำ – น้ำ เท่านั้น จนกระทั่งบ่ายเขาก็ยังไม่มีหวัง

“พ่อครู - พ่อครู” เขาร้องและทิ้งตัวลงนั่งพิงผนังตึกเพราะอ่อนระโหยโรยแรง “พ่อครูอย่าอยู่เลยนะ พ่อครูไม่ได้ช่วยเหลืออะไรลูกเลย”

ความหิว ความเหนื่อย ความแค้นประดังกันเข้ามาในอกของเขา มันร้อนรุมเหมือนกับถูกเพลิงผลาญ เขาลุกขึ้นอย่างเดือดดาล รู้สึกว่ามีกำลังเพิ่มขึ้น พ่อครูเป็นหัวฤาษีป่า เดิมทีเขาสานขึ้นด้วยไม้ไผ่ เขาเองประดิดประดอยนำมาลงรักปิดทองจนเป็นหัวฤาษีชั้นดียอดทองหนาเตอะตะ เขาโง่อยู่นานแล้ว - เขาโง่เง่า - ทำไมเขาไม่เอาหัวพ่อครูไปขาย ถ้าไปขายในเวลานี้เขาก็คงจะได้ออกหางานไปได้เป็นเวลานาน และไม่ทนหิวโหยวิปโยคโศกเศร้าอยู่เหมือนในเวลานี้

เขารีบขึ้นไปบนกุฎิพระ และเรียกเอาหัวพ่อครูมาเปิดฝากระป๋องออก พ่อครูหน้ายิ้มแลเห็นฟันหน้าสองซี่ แพรวพราวไปด้วยทองเต็มหน้า

ขาย - ขาย - ขายเสียเถอะ ขายให้นาฏศิลปินหรือใครๆ เขาก็เอาทั้งนั้น - ในด้านของเก่าวัตถุโบราณก็ไปได้ ในด้านหัวครูก็ไปได้ เขาปิดฝากระป๋อง

“โธ่ พ่อครู - พ่อครูนะ ลูกอุตส่าห์เซ่นทุกวัน ลูกไม่มีเงินลูกยังขโมยเขามาเซ่น ถ้าเขาจับได้ลูกจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่กลับเข้าไปหาผู้คุมหน้าเลือดในนั้นอีก”

หน้าของเขามืดไปหมดแล้ว มืดจริงๆ เพราะความหิวโหย เขาเปิดฝากระป๋องเห็นหัวพ่อครู หยิบเอาหัวพ่อครูออกมาแล้วชูขึ้นเบื้องสูง

“อย่าอยู่เลยพ่อครู อย่าอยู่เลย”

พอพูดขาดคำเขาก็ทุ่มหัวฤาษีอันมีค่าลงกับพื้นดิน

มีวัตถุ ๒ - ๓ ชิ้นหล่นลงมาจากหัวพ่อครู หัวพ่อครูหงายและยิ้มแหงแก๋แลเห็นฟันเขยินอยู่อย่างนั้น เขาก้มลงเก็บห่อกระดาษนั้นออกมา ๓ ห่อเล็ก และแก้ห่อกระดาษออก ในทันใดนั้นเองเขาก็เซถอยหลังไป ๒ - ๓ ก้าว

“เพชร! - เพชร!” เขาร้องออกมาเหมือนเสียงตะโกน “เพชร!”

ในมือของเขามีแหวนเพชร ๑ วง มีสร้อยเพชร ๒ เส้น ส่งประกายงามวาววับ แหวนเพชรกว่า ๑๑ กระรัต สร้อยเพชรเส้นหนึ่งมีลวดลาย อีกเส้นเป็นเพชรเม็ดๆ ไม่มีลวดลายแต่หุ้มไว้ด้วยทองขาว พอเขาหายจากตกตะลึงพรึงเพริดก่อนที่จะทำอย่างอื่น เขาวิ่งเข้าไปหยิบหัวพ่อครูที่ทองร้าวแตกสะบั้น หัวข้างในไม่แตกเพราะเป็นไม้สาน เขาปูผ้าลงกราบพ่อครู

“ลูกขอขมาลาโทษ ลูกผิดไปแล้ว พ่อครูช่วยลูกแล้ว”

เขาหิ้วหัวพ่อครูเดินออกจากวัดตัวเบาเหมือนกับจะเหาะได้ตามอภินิหารของพ่อครู ก่อนอื่นเขาเอาพ่อครูไปซ่อม แล้วล้วงมือในกระเป๋า เครื่องเพชรทั้งสามชิ้นยังอยู่เรียบร้อยยังอยู่ดี แต่เขาจะเข้าไปขายเพชรได้อย่างไร? ในเมื่อเขาแต่งตัวอย่างนี้ เขาต้องไปยืมเสื้อผ้าของนายอังกาบเพื่อนยี่เกเก่า แล้วเพชรทั้ง ๓ ชิ้นนั้นก็ถูกจำหน่ายออกไป

ด้วยอภินิหารของพ่อครู นาฏดนตรีวงนายสำเภาก็เกิดขึ้น - เสียงเคาะฆ้อง เสียงตะโพน เครื่องยี่เกใหม่เอี่ยม แล้วก็เริ่มเปิดวิกแสดงเป็นปฐมฤกษ์ คณะสำเภาตัวโกงยี่เกเก่าเริ่มเปิดแสดงแล้ว

ยายแก่คนหนึ่งบอกว่า “อ้ายยี่เกตัวโกงเป็นโต้โผ มันก็เอาตัวโกงเป็นพระเอกน่ะแหละ”

“มันโกงเขาจนได้เป็นโต้โผยี่เก” อีกคนหนึ่งว่า

ไม่ว่าเรื่องไหนเรื่องนั้นปรากฏออกมา ประชาชนก็ต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งทุกเรื่องไป มีอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งเขาเอาชีวิตของเขาเองออกมาแฉโพยให้ชื่อเรื่องว่า ‘ยี่สุ่นโสภา’ ประกาศเสียด้วยว่าเป็นยี่เกอัตชีวประวัติ คนก็แน่นจนโรงแทบแตก

เสร็จการแสดงแล้ว หญิงเลยวัยกลางคนแล้วยังนั่งร้องไห้อยู่ - คนเดียวแท้ๆ ในวิก อังกาบเข้าไปซักไซ้ไต่ถามก็ปรากฏว่าหล่อนคือยี่สุ่นนั่นเอง

สำเภาตกใจเหมือนถูกยิงด้วยปืน ขณะเมื่ออังกาบผู้จัดการของเขามาบอก

“ยี่สุ่น - ยี่สุ่น - หล่อนตายไปแล้ว”

“ยัง - ไม่เชื่อครูไปดูซี...” อังกาบยืนยัน

หล่อนโผเข้ากอดเท้าเขาไว้ทั้งสองข้าง

“เมียผิดไปแล้ว - พ่อคุณ - พ่อทูนหัวของเมีย”

หล่อนเล่าถึงเศรษฐีคนนั้น - เป็นเศรษฐีจอมปลอม ขโมยเพชรจากแม่มาบำเรอหล่อน เขาถูกไล่ออกจากบ้านหลังจากได้กับหล่อน และคบเพื่อนหัวขโมย เขาถูกยิงตายเมื่อเข้าปล้นบ้านหลังหนึ่ง แล้วชีวิตของหล่อนก็ร่อนเร่เรื่อยไปตามยถากรรมโดยเป็นแม่เล้าหญิงโสเภณี

“ศพใครล่ะที่ตายอยู่แทนเธอ” เขาถามขึ้น

“เป็นแผนของเขา” ยี่สุ่นบอก “พอสุ่นมอมเหล้าคุณหลับไปแล้ว เขาก็มารับสุ่น เราหนีไปด้วยกัน - แต่เขากลัวพี่จะติดตามสุ่น ก็พอดีเราพบศพคนตาย ใครเอามาทิ้งไว้ไม่รู้ หน้าตาแหลกเหลว เขาเลยวางแผนเอาเสื้อผ้าของสุ่นให้ศพใส่ เอาทองของสุ่นให้ศพแต่ง – เสื้อผ้าชุดเดิมของศพเขาเอาฝังไว้ห่างจากศพหลายเส้น เรื่องมันก็เท่านั้นเอง”

“แต่ฉันต้องเสวยเคราะห์อยู่ในตะราง”

“พี่ได้จดหมายลาของฉันหรือเปล่า?”

เขาสั่นหน้าช้าๆ

“ฉันยัดไว้ในหัวฤาษีพร้อมทั้งเครื่องเพชร”

“อนิจจา” เขาพึมพำ “ฉันหลงด่าหนูเสียแทบตาย - คิดว่าหนูมันคาบกระดาษเข้าไปทำรังในหัวฤาษี”

ทั้งสองจูงมือกันเข้าไปในฉาก แล้วกราบหัวพ่อฤาษีด้วยกันเหมือนเมื่อกาลก่อน ○

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ