คนตายาว

ยิ่งนานวันขึ้นเท่าใด ความคลุ้มคลั่งของภราดรก็ดูเหมือนจะมีมากขึ้นเท่านั้น เขาเฝ้าแต่ขบปัญหานี้มานานแล้ว ว่าผู้หญิงสาวสวยหยาดเยิ้มปานจะหยดที่โผล่หน้าปรากฏกายอยู่ที่ช่องหน้าต่างตึกแถวสองชั้นร้านของตาเฒ่าบานเย็นนั้นเป็นใครกัน

หล่อนงามอย่างสุดซึ้ง แม้นางฟ้าในเทพนิยายเมื่อนำมาเปรียบเทียบกันเข้าแล้วก็ดูเหมือนจะไม่ได้ครึ่งหนึ่งของหล่อน เขาให้ชื่อหล่อนว่า ‘นิทรา’ หล่อนจะออกมายืนอยู่ที่หน้าต่างมองดูเขาอย่างหวนละห้อย และเมื่อเขาออกไปยืนที่หน้าต่างจับสายตาของเขาพุ่งตรงไปยังหล่อนบ้าง หล่อนก็หลบวูบวาบไป ‘นิทรา’ - เขาตั้งชื่อหล่อนเช่นนั้นก็เพื่อจะได้มีความหมายว่า หล่อนคือนางในฝันของเขา

ร้านตาเฒ่าบานเย็นเป็นตึกสองชั้น สร้างมานมนานแล้วตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองหยุดลงใหม่ๆ ลำพังลำแข้งของตาบานเย็นก็คงไม่มีหวังที่จะได้มาทำการค้าอยู่ที่นั่น เมียของแกต่างหากที่ได้เซ้งตึกนี่ไว้ทำการค้า แต่นางอายุสั้นเกินไปได้ด่วนถึงแก่กรรมไปเสียก่อน ทิ้งตาเฒ่าบานเย็นไว้กับลูกชายอายุ ๘ ขวบ ชื่อเจ้าย้อช ทำท่าทำทางเหมือนกับจะเป็นเด็กฝรั่งแถวถนนเกษรอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวนี้เจ้าย้อชอายุ ๑๓ ปีแล้วกำลังมันและคึกคะนองอยู่ในชีวิตของเด็กที่เรียนหนังสือได้เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง

ร้านของตาบานเย็นก็ไม่ได้โอ่โถงอะไรนัก มีขวดเหล้าตั้งอยู่โกร๋นแกร๋นเหมือนต้นไม้ในฤดูร้อน ตรงกลางร้านตั้งตู้ลวดใส่กับข้าวฝรั่งไว้หลายชนิด มีโต๊ะหินกลมๆ อยู่สองตัว เก้าอี้มีพนักเก่าแก่ ๘ ตัว รวมเป็นสองหมู่ ตู้ประจำห้องก็ตกเข้าสู่วัยเสื่อม น้ำมันที่ทาไว้ก็หายไป กระจกแตกไปหลายแผ่นแล้ว ว่าจะไปเรียกเจ๊กมาใส่ให้ก็ไม่มีเวลาทุกที เท่าที่ตาบานเย็นประคองตัวและการค้าไว้ได้ก็เพราะกับข้าวอันโอชาของแกเท่านั้น มีสเต๊กและสตูกระดูกหมู พวกยายแหม่มแวะมาจอดรถซื้อกลับบ้านเรื่อยไป แกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ทว่าฟังรู้เรื่อง เวลาจะตอบก็ได้ยินแต่เสียง “เย่ - เย่” เท่านั้นเป็นพอ แกรู้ละเอียดว่ายายแหม่มคนนั้นสั่งอะไรไว้บ้าง ตาบานเย็นเป็นกุ๊กฝรั่งอยู่นาน พอสมครามเกิดแกก็ออกเพราะเมียต้องการให้มาหากินโดยอิสระ นี่เป็นประวัติแห่งชีวิตของแก

ภราดรปรากฏตัวเข้ามาในร้านของตาบานเย็น ในเวลานั้นพระสุริยันตะวันรอนโพล้เพล้ใกล้ค่ำย่ำสนธยา เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง พวกช่างฟิตเนื้อตัวมอมแมมนั่งล้อมโต๊ะกันอยู่ ๔ – ๕ คนคุยกันเรื่องลอตเตอรี่ แล้วก็วนไปหาเรื่องหวยใต้ดิน และเลี้ยวไปทางบ้านยายมณีแม่เล้าใหญ่ อยู่บ้าน ๗๗ แถวๆ นั้น เขาเรียกเจ้าย้อชเข้ามาหาและสั่งวิสกี้ไทยสองเป๊ก โซดาหนึ่งและไส้กรอกเวียนนาที่เย็นเฉียบออกมาจากตู้เย็น

“ทอดไหมครับ?” เจ้าย้อชถาม

เขาสั่นหน้าช้าๆ

“ไม่ต้องหรอก แกมานั่งนี่ดีกว่า ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น”

เจ้าย้อชทำตามเขาอย่างว่าง่าย แต่ไม่ยอมนั่ง เขายืนอยู่อย่างนั้นเอง

“พี่น้องแกมีอยู่กี่คน”

“ไม่มีหรอกครับ พ่อว่าผมเป็นลูกโทน”

“แกไม่มีพี่สาวหรอกหรือ?”

“ถ้ามีผมยกให้คุณเลย”

“ไม่ต้องตลก” เขาว่า “แกอยู่ด้วยกันกี่คน?”

“ก็อยู่ด้วยกันสองคนเท่านั้นแหละครับ - ญาติทางพ่อจะมาอยู่ด้วยพ่อไม่เอาครับคุณภราดร แกว่าพวกนั้นมันขี้ขโมย”

“แต่ว่า - -” เขาพูดได้เพียงเท่านั้นแล้วเสียงก็ถูกกลืนหายลงไปในลำคอ

เขาเรียกข้าวและสั่งกับข้าวมาเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ตามด้วยน้ำอัดลมอีกหนึ่งขวด ภราดรจับรถไปบ้านสหายของเขาในทันที

“มาทำไมวะอ้ายแว่น?” เพื่อนของเขาถามขึ้น

“มันมีเรื่องว่ะ!” เขาตอบ “เรื่องสำคัญเสียด้วยซี”

“จะออกไปนอกโลกกับเขาบ้างหรือ?”

“อย่าตลกน่า - กันกำลังกลุ้มเหมือนหัวจะแตก อ้ายยาพิษกี่ร้อยชนิด มันก็ยังไม่ขมขื่นทรมานใจเท่าเรื่องของกันเลย”

“ว่าเข้าให้นั่น - เอ้าว่าไป”

“จากบ้านของกันมีบ้านหลังเล็กๆ คันอยู่สองหลัง ถ้ากันขึ้นไปอยู่ชั้นบนกันก็จะแลเห็นหน้าต่างหลังชั้นบนของร้านตาบานเย็นหรือตาเย็นได้อย่างสบาย และที่หน้าต่างบ้านนั้นแหละ กันได้เห็นหน้าแม่เทพธิดานัยน์ตาสีฟ้าดำกลมโตงามอย่างหาตำหนิไม่ได้เลย กันหลงรักหล่อน ถ้ากันได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นเมีย ทุกสิ่งทุกอย่างที่กันมีกันยอมเสียสละได้หมด”

“แม้แต่ชีวิต”

“อ๊ะ! ไม่ได้ซี ถ้าสละชีวิตเสียแล้วกันจะได้หล่อนมาเป็นเมียได้อย่างไร? หล่อนออกมามองดูกันอยู่ทุกวัน - วันละ ๒ – ๓ ครั้ง พอกันมองเอาบ้างหล่อนก็หลบวูบเข้าไปเสียจากหน้าต่าง เป็นอย่างนี้มาเรื่อย โสภณแกก็รู้ดีอยู่แล้วว่าการเห็นผู้หญิงอย่างจำเจน่ะ มันไม่เกิดความซาบซึ้งหรือเร้าใจในความรักเท่าไรนัก อ้ายเห็นวับๆ แวมๆ ลับๆ ล่อๆ นี่แหละมันทำให้กันใหลหลงเสียจนจะเข้ากระดูกดำ หล่อนดูเหมือนจะเป็นครึ่งชาติเสียด้วยซี”

“เฮ้! ภราดร อ้ายลื้อน่ะมันนัยน์ตาสั้นนะ”

“ถูกละ! แต่กันใส่แว่นนี่ - แว่นของกันวัดมาอย่างละเอียดลออที่สุด แลเห็นได้อย่างถนัดชัดเจน เรื่องนี้มันเป็นเรื่องลึกลับมืดมนเอาการอยู่ เมื่อก่อนกันจะมาหาลื้อนี่เอง กันได้ไปนั่งกินข้าวอยู่ในร้านตาเย็น เรียกเจ้าย้อชลูกชายของแกมาถาม มันบอกว่ามันไม่มีพี่น้อง พ่อแม่มีลูกโทนคือมันคนเดียว แม่ตายไปตั้งแต่มันอายุได้ ๕ ขวบ มันอยู่กับพ่อ ๒ คนเท่านั้น ปัญหาอยู่ที่ว่าผู้หญิงที่กันเห็นนั้นคือใคร”

“ก็คือไม่มีใคร”

“แต่กันเห็นด้วยนัยน์ตาของกันเอง เป็นความจริงเหมือนกับแกและกันนั่งพูดกันอยู่ที่นี่”

โสภณหัวเราะ แต่ก็รู้สึกว่าเขาออกจะสนเท่ห์อยู่เหมือนกัน ภราดรพูดต่อไปอีก

“ตาบานเย็นไม่แก่เฒ่านัก อาจดอดไปล่อลวงผู้หญิงสาวคนนี้มาซ่อนไว้ นี่ก็เป็นได้ ผู้หญิงอาจหลบหนีใครมาแล้วมาอาศัยตาบานเย็นอยู่นี่ก็เป็นได้ อีกอย่างหนึ่งหล่อนคืออาชญากรหลบซ่อนหนีเงื้อมมือตำรวจ ยังมีอีกมากมายนักถ้าจะสันนิษฐานกันไป เวลาที่หล่อนเยี่ยมหน้าต่างกันแลเห็นหัวตาบานเย็นก้มๆ เงยๆ อยู่แถวนั้นด้วยเหมือนกัน ตาบานเย็นคงจะเข้าไปคุยหรือไม่ก็สนทนาเพื่อเกี้ยวพาราสีหล่อน”

“ฮือ! อ้ายเรื่องนี้กันยังเชื่อไม่ได้ก่อน นอกจากกันจะต้องแลเห็นหล่อนด้วยนัยน์ตาของกันเอง แกสายตาสั้น สายตาของแกอาจฝาดไปก็ได้”

“ถ้างั้นก็เรี่ยมไปเลย พรุ่งนี้แกไปบ้านกันพร้อมด้วยกล้องดูม้าของแกและเจ้าไลก้าของแกด้วย กันอยากได้ภาพของหล่อน - หล่อนชื่อนิทรา”

“แกรู้จักชื่อหล่อนด้วย”

“กันตั้งให้เองแหละ หล่อนเป็นนางในฝันของกัน”

เขากลับจากบ้านโสภณเป็นเวลาเกือบ ๔ ทุ่ม ไฟในห้องชั้นบนของตาบานเย็นยังเปิดอยู่สว่างไสว เขารีบขึ้นไปชั้นบนและเปิดหน้าต่างออก เขารู้สึกชาและปั่นป่วนไปหมดในความรู้สึกนัยน์ตาของเขาแม้แต่จะสั้น แต่ภาพของหล่อนที่หน้าต่างใสแจ๋วชัดเจนอะไรเช่นนั้น ลมบางกลุ่มพัดกระโชกเข้าไปทางหน้าต่าง ทำให้เส้นผมของ ‘นิทรา’ ปลิวน้อยๆ พอตาบานเย็นปรากฏตัวเข้ามาใกล้ๆ หล่อน ‘นิทรา’ ก็หลบไปเสียข้างใน ภาพที่เขาเห็นจึงหายวับไปกับสายตา พาเอาความรักความฝันของเขาหายวับไปด้วย เขาแหงนหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยหมู่ดาวที่กำลังกะพริบแสง แล้วก็ถอนหายใจยาวออกมา เขารู้ดีเสียแล้วว่าความรักที่แท้จริงนั้นมันมีลักษณะอย่างไร ครึ่งสุขครึ่งทุกข์ กึ่งหัวเราะกึ่งร้องไห้ ขมขื่นสดชื่นแล้วก็ทรมานหัวใจ เขานอนไม่ค่อยหลับในคืนวันนั้น ภราดรอยู่คนเดียวในโลก แม้คนใช้ก็ไม่มี หลักฐานบ้านช่องของเขาอยู่บ้านนอก ครัวของเขาก็อยู่ในกระเป๋าสตางค์ เสื้อผ้าก็อยู่ในร้านซักรีด ไม่เจ็บไม่ไข้ก็นับว่าสบายตามอัตภาพ แต่อ้ายเรื่องเมียนี่แหละมันเป็นสัญชาตญาณของลูกผู้ชาย เห็นผู้หญิงปุบก็นึกถึงเมียปับขึ้นมาทันที

รุ่งเช้า โสภณมาตามนัด เขาสะพายเอาไลก้าน้อยๆ ของเขามาด้วย ภราดรพาเขาไปยังร้านตาบานเย็นทันที เพื่ออาหารเช้าและน้ำชากาแฟ

“วันนี้มีอะไรกินบ้าง?”

“ก็มีสลัดมายองเนส - ปูไข่”

“อ้ายปูนี่มันไข่ตลอดปีทีเดียวหรือ?” โสภณถามขึ้น

“ครับ มีตลอดปี ถ้าปูมันไม่ไข่เราก็ทำไข่ให้มัน - ไม่เห็นมันจะลำบากยากเย็นที่ตรงไหน ผมต้มฝรั่งสุกมาหลายคนแล้ว”

“ทำไงลุง?” โสภณถามต่อไป

“ผมจะไปบอกได้ยังไงล่ะครับ! มันอาชีพของผม แต่ถ้าคุณอยากรู้จริงๆ ผมจะบอกให้ก็ได้ ผมได้ความรู้มาจากกุ๊กจีน มันก็จะมีอะไรมาก แป้งเราดีๆ นี่แหละครับ คลุกกับไข่เค็มเข้ายัดใส่กระดองปูให้เหมือนไข่ปูเลยทีเดียว แล้วเอาไปนึ่งเข้า แต่แป้งอะไรผมไม่บอกคุณหรอก”

“ลุงเย็นอยู่กันสองคนกับลูกเท่านั้นแหละหรือ?”

“ครับ! เมียเขาตายไปได้ ๕ ปีแล้ว ผมก็อยู่กับอ้ายลูกชายคนนี้เรื่อยมา เรื่องลูกเรื่องเมียนี้ใครตายจากไปเสียก็เป็นทุกข์ - ถ้าจากไปทั้งเป็นๆ ก็เจ็บหัวใจ แต่คนนี้ผมรักของผมมาก ข้าวของของเขาทั้งหมดผมไม่เคยเคลื่อนที่เลย อยู่ยังไงก็ยังงั้น”

“ความรักของลุงเย็นเป็นความรักที่ยั่งยืน แม้จะตายไปแล้วก็ยังรัก”

“ครับ ผมถึงไม่คิดจะมีเมีย”

ภราดรหยิบธนบัตรร้อยส่งให้ ตาเฒ่าบานเย็นเดินกระฉับกระเฉงขึ้นไปชั้นบน หายไปสักครู่ก็กลับมาพร้อมด้วยเงินทอน

ทั้งสองเกลอพากันกลับมาบ้าน ภราดรหิ้วเบียร์มาด้วย ๓ ขวด พร้อมอาหารว่าง โสภณทิ้งตัวของเขาเองบนเตียงนอนและคว้าเอาหนังสือพิมพ์รายวันขึ้นมาอ่าน ภราดรเดินกลับไปกลับมาอยู่ที่หน้าต่าง

“แกควรจะตั้งกล้องไว้เสียให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นระยะหรือแสง ‘นิทรา’ ไม่มีเวลาที่จะมายืนให้แกถ่ายนานนัก”

“เอาเถอะน่า - มือชั้นนี้แล้ว”

“เร็วโสภณ” เขาร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น และดีใจระคนกัน

โสภณรีบเปิดหน้ากล้อง เขาแลเห็นผู้หญิงสาวสวยยืนอยู่ที่หน้าต่าง หล่อนใส่เสื้อสีกุหลาบ แต่ทว่าซีดและร่วงโรยจนเกือบจะกลายเป็นสีขาว พอเขาถ่ายเสร็จภาพของหล่อนก็หายเข้าไปทางข้างหน้าต่าง

“ไชโย” ภราดรร้องออกมาเหมือนคนเสียสติ “กันได้ภาพ ‘นิทรา’ แล้ว และจะได้เห็นหน้าของหล่อนทั้งคืนทั้งวัน แทนที่จะได้เห็นเธอวันหนึ่งเพียงไม่กี่ครั้ง กันจะเอาไปให้เจ๊กล้างและขยายเดี๋ยวนี้ กันอยากจะได้เห็นภาพของเธอ กันจะใส่กรอบตั้งไว้บนโต๊ะหน้าเตียง เห็นหรือยังล่ะโสภณ – เห็นหรือยังว่าเธอสวยเพียงใด? งามเพียงใด? เปล่งปลั่งหยดย้อยขนาดไหน? กันว่าแล้วความงามของนางฟ้าในเทพนิยายก็ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งในความงามของเธอ”

“หยุดทีเถอะกวี แกเป็นโรคนวนิยายขึ้นสมองเสียแล้ว กันรับว่าเธองามจริง แต่ทว่าหล่อนอาจเป็นผีหรือคนก็ได้ในเมื่อเจ้าย้อชก็ไม่ยอมรับว่ามีใครอยู่ในบ้านนั้นนอกจากตัวมันกับพ่อของมัน ตาเฒ่าบานเย็นเองก็รับว่าอยู่กับลูกชายเพียง ๒ คนเท่านั้น แกเคยเชื่อเรื่องวิญญาณหรือเปล่า!”

“แกอย่าบ้าไปหน่อยเลยนะ” ภราดรร้องขึ้น “ผีบ้าผีบออะไรกันมันจะหลอกคนทีเดียว ๒ คน เธอเป็นคนเราดีๆ นี่แหละ แต่ปราศจากเสรีภาพ เธอถูกกักขัง เธอถูกตาบานเย็นข่มขืนน้ำใจ กันเห็นเธอแสดงความเกลียดชังตาบานเย็น ถ้าตาบานเย็นเข้ามาใกล้ เธอก็จะต้องออกมายืนเสียที่หน้าต่างทุกครั้งไป กันจะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือหล่อน แสดงวีรกรรมให้เธอเห็นว่า กันก็คือลูกผู้ชายใจนักเลงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือโดยไม่ประหวั่นพรั่นพรึงอะไรทั้งสิ้น กันจะหาหนทางปีนเข้าไปทางหน้าต่างตึกชั้นสองให้จงได้ และนำหล่อนลงมาทางบันไดด้านหน้า ใช้ปืนจี้ตาบานเย็นให้เปิดประตู แต่กันคิดว่ากันจะทำในเวลาเช้าเมื่อเวลาตาบานเย็นไปจ่ายตลาด เหลืออยู่แต่อ้ายเด็กตัวเท่าขี้ปะติ๋ว กันอาจดีดมันออกไปด้วยเท้าเพียงข้างเดียวเท่านั้น”

“นั่นแหละคือตะรางละ เป็นการบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของเขา”

“เรื่องคุกตะรางไว้พูดกันทีหลัง” เขาร้องขึ้นอย่างจริงจัง

“คืนวันนี้กันจะลงมือ กันซื้อบันไดไม้ไผ่ไว้แล้วจากคนที่แบกบันไดขายตามตรอกตามซอย พอขึ้นบันไดแล้วกันจะกระโดดจากขั้นสุด - เกาะกรอบหน้าต่างไว้ให้ได้ - เท่านั้นเอง” เขาพูดจบแล้วก็แบมือออกมาข้างหน้าทั้งสองข้าง

“เอาก็เอา ดีเหมือนกัน - จะคอยดู”

“ดีแล้วโสภณ - แม้แกจะคอยดูก็คงจะทำให้กันอบอุ่นใจไปได้บ้างเหมือนมีคู่คิด”

“ดูนะ - ดู - ไม่ใช่ร่วมมือกับแก”

“ก็เอาเถอะ ยังนับว่าแกไม่ทอดทิ้งเสียทีเดียว”

คืนวันนั้นพระเอกของเราก็แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดดำ ถ้าเขาไม่ได้สวมแว่นสายตาสั้นเสียสักหน่อย เขาก็จะเป็นพระเอกหนังผจญภัยได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องหาฤกษ์หายามมาแบกบันไดเดินเปะปะออกไปจากบ้าน แสงสลัวจากดวงดาวในขณะที่เดือนมืด สาดส่องมายังพื้นดินพอให้เห็นทางได้รางเลือน หัวใจของเขาเต้นแรงและเร็ว มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาจะต้องทำหน้าที่ของพระเอกโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เขาจะต้องพาดบันไดขึ้นไปและกระโดดเกาะหน้าต่างให้ได้ ตึกแถวนั้นไม่มีกันสาดหรือปีกนกข้างหลังเลย มีแต่ด้านข้าง ดังนั้นความสะดวกจึงเป็นของเขา โสภณเดินตามมาห่างๆ เพื่อคอยดูพฤติการณ์เพื่อนของเขา

เขาเห็นภราดรพาดบันไดไม้ไผ่เข้ากับผนังตึกด้านหลังด้วยความละเอียดถี่ถ้วน เขากดโคนบันไดให้จมลงไปในดินเล็กน้อยเพื่อกันเลื่อน ภราดรเห็นเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็รีบขึ้นบันไดไม้ไผ่ไปอย่างช้าๆ พอถึงขั้นสุดท้ายเขายืนหยัดให้สูงขึ้น เพื่อกระโดดเข้าเกาะขอบหน้าต่าง ทันใดนั้นเองอุปัทวเหตุก็ได้เกิดขึ้น แว่นตาของเขาหลุดออกจากใบหูข้างหนึ่ง เขารีบยกมือขึ้นตะปบและด้วยอาการตะครุบอย่างรีบเร่งของเขานั่นเอง ทำให้เขาเสียหลักและปราศจากที่เกาะ เขาหล่นตุ้บลงมายังพื้นดินแล้วก็นั่งอยู่นั่นเอง

“โสภณ...” เขาร้องขึ้นด้วยเสียงอ่อยๆ “โสภณ - ข้อ - ข้อเท้าของกันหักเสียแล้ว”

โสภณวิ่งเข้าไปประคองเขาด้วยความตกใจ เขาไม่ลืมที่จะผลักบันไดให้นอนราบลงไป โสภณหิ้วปีกของเขาพยุงตัวยืนขึ้น

“ข้างเดียวหรือสองข้าง”

“ข้างเดียว - ข้างขวา”

“เอามือขวากอดคอกันไว้”

“กันทำไม่ได้ ข้างซ้ายก็ยันไม่ถนัด”

“เอ้า ขี่คอกันไป”

โสภณจะเอาบันไดไปด้วย แต่ไม่ไหว เขาคิดว่าเมื่อถึงบ้านจะกลับมาเอา เขาพาภราดรเดินโซซัดโซเซมาสักครู่ผ่านบ้านเล็กๆสองหลังก็มาถึงบ้านของภราดร ส่งตัวขึ้นนอนบนเตียงแล้วก็ตรวจดูข้อเท้า

“ไม่หักหรอกเกลอ ข้อเท้าเคลื่อนเท่านั้น”

“แว่นตาของกัน - แว่น - แว่น”

“กันจะไปเอาให้เดี๋ยวนี้พร้อมทั้งบันไดด้วย”

โสภณหายไปนาน แล้วก็กลับมาพร้อมด้วยแว่นตาและบันได

“กันไปซื้อน้ำมันระกำมาด้วย - นวดเสียพักเดียวก็หาย”

“สวรรค์ช่วยกัน พระช่วยกัน และ ‘นิทรา’ ช่วยกัน”

“ช่วยยังไง?”

“ช่วยกันไม่ให้เจ็บมากไปกว่านี้ อ้ายแว่นตามันทำเหตุ ถ้ากันไม่มีแว่น กันก็ไม่เห็นอะไร กันจึงตะครุบมันด้วยความตกใจ -โสภณ สัก ๑๕ วันจะหายไหม?”

“กันกะไว้อย่างนั้น หรืออย่างมากก็ไม่เกิน ๓ อาทิตย์”

ภาพของ ‘นิทรา’ นางในฝันของเขา เมื่อได้ขยายให้เป็นภาพที่ใหญ่ขึ้น ทำให้เขาแลเห็นภาพหล่อนได้อย่างถนัดชัดเจน การตั้งหน้ากล้องและระยะ โสภณทำในเวลาเร็วเกินไป ทำให้เห็นภาพนั้นออกจะซอฟต์เกินไป แต่ถึงกระนั้นหน้าตาของหล่อนก็เลิศเลอกว่านางเอกภาพยนตร์เงินล้านเสียอีก ผมของหล่อนสีดำสนิทมีรอยดัดแต่ยืดและยาวลงมาประคอ แน่นอน หล่อนคงจะได้ถูกกักขังไว้ในตึกแถวชั้นบนของตาบานเย็นนานมาแล้ว ถ้าหล่อนมีเวลาได้เสริมสวย ผู้หญิงที่ไหนจะทาบเธอได้ติด

โสภณไปสั่งอาหารที่ร้านตาบานเย็นให้เขากินเป็นประจำ โดยเจ้าย้อชชื่อฝรั่งหน้าไทยเป็นคนนำมาส่ง เขานอนอยู่บนเตียงหลายวันจึงลุกขึ้นเดินกะเผลกได้ โสภณช่วยรีดน้ำมันให้บ้าง ตัวเขาเองรีดบ้างทั้งระกำและสะโต๊ก สิ้นเวลาไป ๒๐ วัน เขาก็เดินได้เกือบเป็นปกติ

“กันจะลงมือละโสภณ”

“แกวิ่งหนีเขาทันแล้วหรือ?”

“กันไม่หนีหรอกและจะไม่หนีเด็ดขาด”

“ตามใจแก”

ภราดรเลือกเอาเวลาเช้า เมื่อตาบานเย็นออกไปจ่ายของมาขาย เหลือแต่เจ้าย้อชคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ร้าน เขาสั่งกาแฟและไข่ลวก พอเจ้าย้อชเข้าไปยังที่ชงกาแฟซึ่งอยู่ด้านหลัง ภราดรก็ผลุนผลันวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบน เขาหายขึ้นไปอยู่บนนั้นสักครู่แล้วก็กลับลงมาในลักษณะสารรูปของคนตายที่เดินได้ เขาลงมายืนอยู่ตรงหน้าโสภณ ทำท่าเหมือนกับจะร้องไห้

“นิทรา - นิทรา - -”

“ภราดร - แกเป็นอะไรไป?”

“นิทรา - นิทรา -” เขายกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้า

ตาบานเย็นสะพายหูตะกร้าใหญ่เดินเข้ามาในร้านพอดี เขาหันมาประจันหน้าแก

“ฉันต้องขอโทษลุง -”

“ขอโทษเรื่องอะไรครับคุณภราดร”

*ฉันบังอาจเดินขึ้นไปดูข้างบน ฉันคิดว่าลุงจับผู้หญิงมากักขังไว้ ฉันคิดว่าหล่อนอาจถูกข่มขืนใจ ฉัน...”

ตาบานเย็นเหลือบนัยน์ตาขึ้นดูเพดาน แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างขบขัน

“เมียผมเขารักของเขาอย่างลูก เขาซื้อมาจากแหม่มช่างเสริมสวยที่จะกลับไปนอก เขารักของเขาจริงๆ แต่เดิมเมียผมเป็นช่างเสริมสวย ร้านนี้ก็เป็นร้านเสริมสวย แต่ผมจะไปเสริมสวยกับเขาที่ไหน? ผมก็เลยขายเหล้าขายอาหาร”

“เดี๋ยวก่อน” โสภณร้องขึ้นด้วยความไม่พอใจ “แกจะบอกกันก่อนได้ไหม? ว่า ‘นิทรา’ ของแกน่ะ เธอเป็นใครกัน?”

“โสภณ - หล่อนก็เป็นหุ่นโชว์เสื้อเต็มตัวสูงขนาดกลางของฝรั่ง ผมคนจริงๆ เท่านั้นเอง”

“บ้าจริงๆ” โสภณหัวเราะและหันมาทางตาบานเย็น “ทำไมหุ่นมันถึงได้เดินมาที่หน้าต่างได้”

ตาบานเย็นหัวเราะและยกผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ขึ้นซับหน้าผากของแก

“คือมันยังงื้นะครับ ธนบัตรใหญ่ผมทิ้งเอาไว้ข้างล่างไม่ได้ อ้ายย้อชมันหยิบเก่ง ผมเลยเอาขึ้นไปไว้ข้างบน หุ่นตัวนี้ตั้งอยู่หน้าตู้ เมื่อเมียผมตาย ผมก็ต้องเลื่อนหุ่นออกมาที่หน้าต่าง พอปิดตู้ใส่กุญแจเสร็จก็เลื่อนหุ่นเข้ามาไว้อย่างเก่าเท่านั้นเองแหละครับ”

“นิทรา - นิทรา” ภราดรครางออกมาเหมือนคนเจ็บหนักจวนจะสิ้นใจ ○

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ