แม่ยังไม่กลับมา
วันนั้นแม่นุ่งผ้าสีแสด ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้มช่างตัดกับสีผ้านุ่งของแม่เหลือเกิน แม่ใส่เสื้อสีขาวสะอาด และใช้เวลาแปรงผมเล็กน้อย พ่อได้นำรูปถ่ายของฝรั่งซึ่งเขียนถึงอาหารมื้อสุดท้ายให้ลูกๆ ดู พวกลูกๆ มองนัยน์ตากันอย่างแห้งแล้ง สักประเดี๋ยวพ่อขอน้ำดื่ม เราได้รีบรินน้ำไปให้พ่อดื่ม เรามองไปตามถนนสายยาวเหยียดสีขาวรับกับกระเบื้องสีแดง ท้องฟ้าสีคราม นานๆ ก็มีผู้หญิงนุ่งกระโปรงสีแสด ทำให้เรามองดูนัยน์ตากันเสียงหนึ่งเสียงใดในระหว่างน้องๆ ถามออกมาว่า
“แม่ใช่ไหม?”
เจ้าน้องคนเล็กบอกว่า “ไม่ใช่แม่” เขาพยายามจ้องดู ดูไปดูมาก็ไม่ใช่แม่อยู่นั่นเอง เที่ยงวันแล้วพระอาทิตย์กำลังแรงกล้า ข่าวลือก็มาถึงเราเรื่อยๆ ลมก็ไม่มีพัดเลย แม้แต่ต้นสนและต้นไผ่ก็ยืนนิ่งอยู่อย่างปราศจากวิญญาณ น้องคนเล็กร้องไห้เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งรถขายไอศกรีมผ่านมา มันช่างเต็มไปด้วยความหมาย เต็มไปด้วยบรรยากาศแลอนาคต เต็มไปด้วยความหวัง แต่เราก็มีเพียงเราสี่คนเท่านั้น เหลียวแลดูเพื่อนบ้านก็สุดที่จะพึ่งพากัน เพราะเขายิ่งลำบากกว่าเรา
“ลูกยายแป้นตายเสียแล้ว” เสียงเพื่อนบ้านคนหนึ่งได้ร้องตะโกนขึ้น
“มันไปแดกอะไรมา” ยายหวิงถาม
“ข้าก็ไม่รู้ เห็นมันไปเก็บมะม่วงเน่าๆ หลังบ้านนายตำรวจมากิน”
แต่ถึงอย่างไรแม่ก็ยังไม่กลับมา เสียงครางของพ่อเป็นเสียงครางที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย พ่อก็ร้องหาแม่เช่นเดียวกับพวกเราเหมือนกัน ความหิวโหย ความรัก ความโศกเศร้า สำหรับเวลานี้มันมารวมอยู่ในจุดเดียวกัน เราคิดถึงแม่ใจจะขาด ทั้งบ้านมีแต่เราสี่คนเท่านั้น แต่ไม่มีเงินเลยแม้แต่บาทเดียว มีแต่เราสี่คนจะให้พวกเราไปขโมยเขากินหรือ? “ลูกเอ๋ยอย่าขอเขากิน ถ้าเราขอเขากิน อาหารที่เขาให้เรากินก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่งเกินกว่าราคาของมัน”
น้องคนเล็กร้องเพราะไม่มีนมกิน พวกเราได้อุ้มน้องไปขอนมยายเป้ากิน เพราะว่ายายเป้ามีลูกอ่อน แต่ยายเป้าได้ตอบเราว่า “นมได้แห้งเสียแล้ว ถ้าฉันเอาไปให้แกกินแล้ว ลูกฉันจะกินอะไร”
ความรู้สึกของพวกเราได้นึกถึงนมตราแหม่มตราหมี ซึ่งมีกินกันอย่างอิ่มหมีพีมันเมื่อครั้งพ่อยังไม่ล้มเจ็บลง
พ่อได้ผุดลุกขึ้นนั่งทั้งๆ ที่ยังเจ็บอยู่ สายตาฝ้าฟาง มองพุ่งออกไปทางหน้าต่าง ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีเทาแก่ปนดำ
“ถ้าแม่ไม่กลับมา” พ่อร้องขึ้น “ก็มีหนทางเดียวเท่านั้นที่พ่อจะทำ”
ลูกๆ จึงเงยหน้าขึ้นมองพ่ออย่างเต็มไปด้วยความหวังและประหลาดใจ น้องคนที่สองจึงถามขึ้นว่า
“ถ้าแม่ไม่มาพ่อจะทำอย่างไร” พ่อได้ยกมือลูบเหงื่อที่หน้าผาก แล้วตอบพวกเราว่า “อาจจะมีแอ็กซิเดนต์” พ่อกล่าวด้วยเสียงสั้นๆ
“รถยนต์ที่แม่นั่งอาจจะไปชนกันเสียก็ได้”
ท้องฟ้าเวลานั้นสีมันช่างขุ่นมัวเสียเหลือเกิน ไม่มีสีฟ้าอยู่เลย นอกจากสีดำขมุกขมัวเท่านั้น พ่อมองออกไปทางหน้าต่าง เห็นแต่ต้นไผ่และต้นสนอยู่ตลอดเวลา พ่อค่อยๆ เคลื่อนตัวลงจากเตียงอย่างโซเซ มือทั้งสองของพ่อจับอยู่ที่กรอบหน้าต่าง มองดูไปตามถนนสายยาวเหยียดนั้นก็ยังไม่เห็นแม่กลับมาอยู่นั่นเอง รถชนกัน รถชนต้นไม้ อุบัติเหตุในกรุงเทพฯ มีอยู่ออกทั่วไป พ่อปล่อยมือออกจากขอบหน้าต่าง แล้วร้องขึ้นว่า
“เอ๊ะ นี่แม่อาจจะไปเป็นอะไรเสียแล้วกระมัง?”
พวกเรามองหน้าพ่อด้วยความตกใจ
น้องคนหนึ่งร้องขึ้นว่า
“เห็นจะไม่เป็นไรหรอกค่ะพ่อ แม่คงคอยเขาอยู่”
พ่อได้กลับล้มตัวลงนอนต่อไปอีก และยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก พ่อเริ่มหนาวและสั่น มันก็เป็นเช่นนั้นแหละสำหรับมาลาเรีย พ่อก็ได้แต่ครางฮือๆ อยู่ด้วยตลอดไป ความหนาวดูเหมือนจะจับหัวใจพ่อ พ่อต้องเรียกพวกเราเข้าไปนอนทับและเหยียบก็พอจะพบความอบอุ่นขึ้นบ้าง ผิวของพ่อเหลือง นัยน์ตาเบิกกว้าง ผมของพ่อมันค่อยๆ ร่วงหล่นไปตลอดเวลา ทำให้พวกลูกๆ คิดกันว่าสักวันหนึ่งพ่อคงจะไม่มีผม เรามองไปตามถนนสีขาวอันยาวเหยียดคดเคี้ยวเหมือนงูเลื้อย แต่แม่ก็ยังไม่กลับมา น้องคนที่สองได้วิ่งไปยังบ้านยายจำเนียร ขอยืมข้าวสารเขาสองกระป๋อง แต่เขาก็บอกว่าของเขาก็หมดเหมือนกัน มันทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าอนาถ คำว่าสวรรค์ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้เสียแล้ว มันมีแต่นรกอเวจี น้องคนเล็กได้ร้องจ้าขึ้นอีก เขาต้องการนม ไม่มีอะไรอีกแล้วที่เราจะทนทานได้ พ่อได้ลุกขึ้นจากเตียงนอนทั้งๆ ที่ยังสั่นไปทั้งตัว
“พ่อจะไปไหน?” ลูกคนใหญ่ได้ถามขึ้น
“พ่อไปทุกทางที่จะมีนมให้ต้อยกิน” พ่อตอบเสียงแหบๆ
“พ่ออย่าไป...พ่อ” ลูกคนที่สองกล่าวขึ้น “ผมจะออกไปเอง”
“เอ็งยังเล็กนักเปี๊ยก” พ่อบอก
“แต่พ่อก็ยังเจ็บอยู่” เขาตอบขัดขึ้นมา
ทันทีนั้นเอง เปี๊ยกก็เผ่นแผล็วออกจากห้องของเราไป
อีกสักครู่หนึ่งเสียงจากถนนก็ได้ดังอึงมี่ขึ้น พวกเราโผล่ออกไปดูที่หน้าต่าง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายวิ่งมาหยุดอยู่ที่บ้านเรา เสียงยายวิงยายเป้ายายปุยร้องกันให้ระเบ็งเซ็งแซ่ มีชายจีนอ้วนแต่แก่ชี้บอกแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายนั้นว่า “อั๊วเห็นอีเข้าไปในห้องนี้”
พ่อลุกขึ้นทั้งๆ ที่หนาวเหน็บเจ็บไปทั้งขั้วหัวใจ พ่อได้ชะโงกออกไปที่หน้าต่างแล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นๆ
“เกิดอะไรขึ้นครับ?” พ่อพูดมือก็เกาะขอบหน้าต่างไว้มั่น “เด็กบ้านนี้ไม่เคยขโมยใครกิน”
“ลูกลื้อๆ แน่นอน อั๊วจำได้ มันชื่ออ้ายเปี๊ยก เคยไปซื้อของร้านอั๊วอยู่เสมอ” พวกเราอยู่ในห้องได้ยินเสียงตะปูกับค้อนที่เจาะลงไปบนกระป๋องนม เวลานั้นต้อยร้อง - ร้องเสียสิ้นดี แต่เราก็หาน้ำร้อนไม่ได้ ครั้นจะเหลียวแลเข้าไปในครัว ถ่านก็ไม่มี
พ่อกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าอันซีดเชียว “ลูกผมไม่เคยขโมยใครกิน”
“ทำไมจะไม่ขโมย อีขโมยนมอั๊ว” เจ๊กอ้วนยังคงยืนยัน
เปี๊ยกเข้าไปขดตัวของเขาอยู่ที่มุมห้อง หลังตู้กระจกเก่าๆ ภายในห้องของเขา เหงื่อออกจนโซมตัว เขาหายใจท้องแขม่วและหายใจเร็วแรงเหมือนคนสูบรถ เจ๊กอ้วนได้วิ่งเข้ามาในห้องของเรา กำลังพี่คนใหญ่จะเจาะกระป๋องนมอีกรูหนึ่ง มืออันหยาบและกร้านเต็มไปด้วยขนเหมือนหนังหมูของมัน ได้เอื้อมเข้ามาที่กระป๋องนมอย่างรวดเร็ว คว้าเอากระป๋องนมไปจากพี่อู๊ดแล้วก็วิ่งออกไปหาตำรวจข้างนอก
“นี่ครับนาย - นี่นมที่มันขโมยมา...”
ตำรวจยิ้มน้อยๆ เขาพูดออกมาด้วยกิริยาสุภาพ
“เปี๊ยกออกมานี่ - ไปโรงพักด้วยกัน”
พ่อเดินโซเซออกไปที่ประตูห้องด้วยอาการอันสั่นเทา ซีดและหอบ
“ที่ร้านนี้ผมซื้อของเขาเป็นประจำ -” เขาพูดขึ้นด้วยเสียงที่เบาจวนจะไม่ได้ยิน “แต่เมียของผมกำลังไปรับเงินยังไม่กลับมา ถ้ากลับมาผมจะนำค่านมไปชำระให้...”
“แต่นี่มันเรื่องของขโมย...” เจ้าหน้าที่ตำรวจบอก “ไปเสียหน่อย สำหรับเด็กเขาไม่ขังหรอก เขาก็ให้นั่งอยู่ข้างนอกให้รู้จักเข็ดหลาบแล้วก็จะปล่อยกลับมา”
“เปี๊ยกหนี -” พวกเราบอกเขาด้วยเสียงกระซิบ
“หนีเถอะ หนีไปเสีย -”
“อย่าหนีลูกรัก” พ่อพูดน้ำตาคลอ “จงสู้ - สู้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่จะมาหาเรา”
เปี๊ยกผงกศีรษะ เขายกตัวขึ้นนั่งและยืดอก
“ออกมาหาเขาเสียดีๆ” พ่อพูดเสียงสั่นเหมือนเสียงร้องไห้ ซึ่งเราไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
“ออกมาอ้ายหนู...” เสียงตำรวจพูดขึ้นอีก
ทันทีนั้นเองเราได้ยินเสียงไม้กระดานพื้นลั่น เปี๊ยกยืนขึ้น คอของเขาตั้ง หน้าเชิด มองดูน้องคนเล็กที่กำลังร้องไห้ แล้วหันมาดูพ่ออีกเป็นครั้งสุดท้าย มองดูพวกเราด้วยแววตาอันประหลาด แล้วเขาก็เดินปังๆ ออกไปที่หน้าห้อง เราได้วิ่งตามเขาออกไปที่ประตู เห็นเขาเดินไปกับตำรวจโดยดุษณี แต่ศีรษะของเขาเท่านั้นที่ออกจะก้ม - ก้มมองดูปลายเท้าของเขาด้วยความอับอายขายหน้าเหลือประมาณ
ท้องฟ้ายังเป็นเงาดำทะมึนอยู่เช่นนั้น จะหาสีน้ำเงินอ่อนๆ อย่างที่เคยไม่มีหวังว่าจะได้พบเสียอีกแล้ว เมื่อท้องฟ้ามืดมัวลงไปก็ทำให้ถนนสีขาวโพลนนั้นพลอยเป็นสีหม่่นๆ ไปด้วย เราเฝ้าแต่มองแล้วมองอีก เฝ้ามองดูแต่กระโปรงสีแสดและเสื้อสีขาวของแม่ แต่เราพบสีอื่นทั้งนั้น กระโปรงเหล่านั้นเป็นสีน้ำเงินและสีดำ บางทีก็มาเป็นคู่ บางทีก็มาเดี่ยว ในมือของเขาหิ้วถุง ในถุงเหล่านั้นแน่ละ! มันคงจะเต็มไปด้วยผลไม้และขนมนมเนย หรือไม่ก็กับข้าวที่อร่อยๆ เนื้อสันหรือไม่ก็เนื้อหมูปนมัน และบางทีก็อาจจะเป็นหมูแดง เป็ดย่าง ตับเป็ด หรือเนื้ออบ พวกเราก็ได้แต่ถอนใจกันไปเท่านั้น
พ่อได้เรียกอู๊ดเข้าไปและกระซิบกระซาบ เราได้ยินแต่ชื่อคุณประสาน อู๊ดวิ่งหายออกไปจากห้องสักพักใหญ่ๆ ในระหว่างที่เขาออกไป น้องคนเล็กก็ยังคงร้องอยู่เช่นนั้น เราใช้น้ำเท่านั้นหยอดลงไปในปาก หยอดแล้วหยอดอีกจนท้องของน้องใหญ่เกินควร ในไม่ช้านักอู๊ดก็กลับมา เขาวิ่งเข้าไปหาพ่อ
“เขาว่าอย่างไร?” พ่อถามด้วยเสียงเศร้าๆ และลุกขึ้นนั่ง
“เขาบอกว่าเขาเองก็แย่เหมือนกัน”
พ่อคอตก กลับล้มตัวลงนอนต่อไปอีก ทันทีนั้นเองอู๊ดก็ทำท่าว่าจะออกไปข้างนอกอีก
“อู๊ด...” พ่อเรียกเขาด้วยเสียงค่อนข้างดัง “แกจะไปไหน?”
“ผมจะไปที่ร้านอ้ายจิว...” เขาตอบ
“ไปทำไม....” พ่อถามขึ้นอีก “แกควรจะไปดูน้องของแกที่โรงพักดีกว่า...”
“ผมไปดูมาแล้ว เห็นเขานั่งอยู่ที่ม้ายาว....”
“เขาไม่ได้เอาเข้าห้องขังไม่ใช่หรือ?” พ่อถามแล้วถอนหายใจโล่งอก “แต่แกยังไม่ได้บอกว่า แกจะไปร้านอ้ายจิวทำไม?”
“ผมจะไปช่วยมันล้างชาม - บางทีเราอาจได้...”
“อย่าทีเดียวลูกเอ๋ย...” พ่อถอนหายใจยาวออกมา “มันยังไม่ถึงกับจะต้องทำอย่างนั้น นี่มันเมืองไทย - คนแถวนี้รู้จักพ่อ...”
เรามองดูนัยน์ตาอันเลื่อนลอยของอู๊ด แล้วก็หันไปดูทางถนน เราร้องขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเราได้เห็นกระโปรงสีแสด และเสื้อสีขาวเดินมาแต่ไกลลิบๆ
“แม่มาแล้ว” เราร้องขึ้น
“ใช่หรือ?” พ่อเบิกนัยน์ตากว้างขึ้นและชะโงกหน้า พยายามจะลงจากเตียง
“ใช่แน่แล้ว” เราบอก เดินก็เหมือนกัน สูงเท่ากันและหิ้วถุงกระดาษสีน้ำตาลมาด้วย”
“แม่มาแล้ว - แม่มาแล้ว” เราร้องและกระโดดโลดเต้นกันอย่างคึกคะนอง
ภาพนั้นค่อยๆ ใกล้เข้ามา - ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พวกเราหน้าสลดลงไปจนขาว เมื่อร่างของคนๆ นั้นเดินเข้ามา ความหวังของเราละลายไปหมด ที่แท้ครูโรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆ กับบ้านของเราน่ะเอง เราก้มหน้าลงมองดูอะไรก็ไม่รู้ เสื่อขาดๆ เบาะเก่าๆ และผ้าอ้อมที่เปียกชื้นยังไม่ได้เปลี่ยน น้องก็ร้องเสียจนเสียงจะไม่มีร้องอยู่แล้ว เสียงของแกแห้งจนเหมือนเสียงคนต้นเสียงละครไทยในเวลาละครเลิก
เราเคยได้กระทบกับความอดอยากหิวโหยมาหลายครั้งหลายหนแล้ว แต่มันไม่มีรสชาติเผ็ดร้อนเหมือนกับคราวนี้เลย เรามองหาสิ่งที่พอจะมีราคาค่างวดภายในบ้าน แต่ก็หาอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ขวดเหล้าของพ่อและกระดาษหนังสือพิมพ์ก็ได้เก็บขายไปเสียจนเกลี้ยงแล้วเมื่อตอนกลางวัน มันหมดไปเสียแล้วด้วยค่าอาหารเล็กๆ น้อยๆ ของพ่อที่กำลังเจ็บและลูกที่กำลังหิว ถ้าหากว่าเรากำลังจะเอาเงินเหล่านั้นรวบรวมกันเข้าแล้วซื้อนมไว้ให้กับน้องเสียทั้งหมด น้องก็คงจะไม่ต้องได้รับทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ แต่เราไม่ได้คิดเช่นนั้น ก็เพราะเรานึกเสียว่า อีกไม่ช้านักแม่ก็คงจะกลับมา
“ป่านนี้สำนักงานก็คงจะปิดหมดแล้ว” พ่อพูดขึ้น อาการไข้จับสั่นดูเหมือนจะหยุดจับแล้ว ถ้าพ่อสร่างไข้พ่อก็จะเดินเหินได้อย่างคนดีๆ พ่อจะบ่นว่ามันมึนหัวเท่านั้น
พ่อเดินกลับไปกลับมา แล้วคิดอยู่หลายตลบ พ่อจ้องมองดูปากกาหมึกซึมของพ่อ นัยน์ตาของพ่อเต็มไปด้วยแววแห่งการค้นคิดไตร่ตรองอย่างหนักอก มันเป็นวัตถุสิ่งเดียวสำหรับพ่อใช้หากิน ถ้าพ่อขายมันเสีย แล้วพ่อจะเอาอะไรทำกิน ชาวนาที่ขายวัวขายควายของเขาไป เขาก็อาจไปเช่าของเพื่อนบ้านมาใช้ได้ แต่เขาเล่าจะไปเช่ามาได้จากที่ไหน - แต่แล้วพ่อก็คงจะคิดว่า เดี๋ยวแม่ก็คงจะกลับมา
ในฉับพลันทันที พ่อเดินไปเปิดตู้ทึบชั้นล่าง ใบหน้าของพ่อในเวลานั้นดูเหมือนเข้มข้นขึ้นบ้างเล็กน้อย แทนที่จะเป็นใบหน้าขาวเหมือนหุ่นกระบอก พ่อหยิบเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวที่แม่รีดพับเก็บไว้นานแล้วออกมาพร้อมด้วยกางเกงผ้าลินินฝรั่งเศสสีขาวอีกตัว พ่อยื่นมันมาที่อู๊ด และพูดขึ้น
“เอานี่ไปจำนำยายทิมไว้...”
พวกเราคัดค้านอย่างเต็มที่ พ่อมีเสื้อผ้าที่จะแต่งออกไปข้างนอกเพียงชุดเดียวเท่านั้น ถ้ามันเกิดเหตุจำเป็น หรือฉุกเฉินขึ้น พ่อจะเอาอะไรแต่งตัวออกไป
“พ่ออย่าเอาไปเลย” พวกเราคัดค้าน “ถ้าพ่อจะเอาไปก็ควรจะเอาของแม่ไปดีกว่า เพราะมีหลายตัว”
“ไม่ได้ -” พ่อพูดห้วนเต็มทน “จะไปแตะต้องของแม่ไม่ได้ - ต้องเอาของพ่อ - เอาไปเดี๋ยวนี้”
อุ๊ดหยิบกระดาษหนังสือพิมพ์แผ่นหนึ่งมาห่อมัน แล้วเขาก็วิ่งออกไปจากห้อง เวลานั้นเย็นมากแล้ว นอกจากถนนสีขาวโพลนแล้ว ก็ไม่เห็นสิ่งอื่นได้ถนัด เพราะความขมุกขมัวเข้าครอบงำ ตามถนนก็ไม่ค่อยมีคนเดินมากนัก นานๆ จึงมีสักคนหนึ่ง และมีเด็กๆ เท่านั้นที่ยังเหลือวิ่งเล่นกันอีก ๒ - ๓ คน พ่อยังคงเดินกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้น แต่พ่อก็เหมือนกับพวกเราเหมือนกัน นัยน์ตาจับอยู่ที่ถนนมิได้เว้นวาย แต่เราก็ไม่เห็นกระโปรงสีแสดของแม่อยู่ตามเดิมเหมือนกัน เราได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่งเข้ามาที่หน้าบ้าน เราได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำเข้าเหยียบย่างเข้ามา เสียงพื้นกระดานลั่น อู๊ดยืนหอบซี่โครงรวนอยู่ตรงหน้าเรา ในมือของเขายังถือห่อกระดาษที่ห่อเสื้อและกางเกงของพ่อ พอพ่อเอ่ยปากถาม อู๊ดก็ชิงพูดออกมาเสียก่อน
“เขาไม่เอาหรอกพ่อ - เขาว่าเขาไม่รับจำนำ” เขาหยุดพูดเพื่อหอบเสียพักหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อไปอีกด้วยเสียงหอบตามเคย
“เขาว่าถ้าขายขาดเขาจึงจะเอา เขาจะเอาไว้ให้ลูกชายของเขา เพราะใส่กันได้พอดี...”
“พ่ออย่าขายนะ” เราร้องห้ามในฉับพลัน “เดี๋ยวแม่ก็คงจะกลับมา...”
ถ้าขายเขาจะให้เท่าไร?” พ่อถามขึ้น
“๒๐ บาท...” อู๊ดตอบ
หน้าของพ่อขาวลงไปในทันที เราเปิดไฟ แต่ทว่าไฟก็เสียเสียอีก เสียทั้งแถบของถนนทีเดียว ในห้องยังเต็มไปด้วยความมืดอยู่เช่นนั้น แต่ห้องอื่นเขามีเทียนไขและตะเกียงดวงน้อยๆ
/**/“กางเกง ๑๕๐ บาท เสื้อ ๖๕ บาท ทำไมจะให้ราคา ๒๐ บาท”
“ผมบอกเขาแล้ว - เขาว่าเขาเห็นพ่อใช้มาตั้งปีกว่าแล้ว”
พ่อมองดูความมืดอย่างน่าวังเวงและน่ากลัวภายในห้องเช่า ในที่สุดก็ตัดสินเด็ดขาด
“เอามัน -” พ่อร้องขึ้น
“ถูกไปนะพ่อนะ - ถูกมาก เดี๋ยวแม่ก็คงกลับมา...” เราร้องขึ้นด้วยเสียงสนั่นเพราะความเสียดาย
แต่พ่อไม่มีวันจะกลับใจเสียแล้ว พ่อพยักหน้าให้อู๊ดไป อู๊ดเดินไปอย่างเงื่องหงอยเต็มทน เขาเองก็รู้สึกเสียดายและไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อแม่ยังไม่กลับมา
ในเวลาไม่ช้านัก เราก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เหมือนเสียงคนเดินอย่างเศร้าๆ อู๊ดมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพ่อ เขายื่นเงินให้พ่อ ๓๐ บาท เป็นธนบัตรสีเขียว ๑ ใบ และสีแดงอ่อนๆ ๑ ใบ พ่อรับมันมาด้วยมืออันสั่นๆ และนับดู พ่อเงยหน้าขึ้นมองลูกเหมือนกับจะถาม อู๊ดรีบตอบออกไปเสียก่อน
“ผมต่อรองกับเขา - ผมจะเอา ๔๐ เขาเลยให้ ๓๐...”
ในห้องนั้นมืดก็จริง แต่บัดนี้มันกลับสว่างโพลงขึ้นมาได้อย่างแปลกประหลาด เพราะอำนาจของเจ้าเงิน ๓๐ บาทนั่นเอง พ่อให้อู๊ดรีบไปซื้อนม ซื้อเทียนไข ซื้ออาหารมากินกัน
“แอ็กซิเดนต์ - แอ็กซิเดนต์...” พ่อพูดพึมพำอยู่แต่เท่านั้น
สายตาของเราเฝ้าแต่จ้องมองดูน้องคนเล็ก ที่เฝ้าแต่ดูดนมจากขวดอย่างผลีผลาม นี่คือชีวิต มันไม่ใช่ชีวิตหรอกหรือ? ถ้าไม่ใช่ชีวิตมันคืออะไรเล่า! พ่อได้ปลอบใจเราบ้างตามสมควร
“ในเวลาที่เราลำบาก...” พ่อพูดและกลืนสะอื้นลงในคอหอย “เราก็ควรจะคิดว่าคนอื่นที่ลำบากกว่าเรา...”
เราได้แบ่งอาหารเก็บไว้ให้แม่ เผื่อแม่จะยังไม่ได้รับประทานอาหารเย็นมา ทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่าที่ถนนมืดแล้วแต่เราก็ยังไม่วายที่จะชะโงกหน้าออกไปดู เราอยู่ด้วยความหวังอย่างว่า หวังว่าแม่คงจะต้องกลับมาในเวลาใดเวลาหนึ่งของคืนวันนี้อย่างแน่นอน ครั้นแล้วเราก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจริงดังว่า เป็นเสียงฝีเท้าที่ประหลาด ฝีเท้าแม่เราจำได้ แต่นี่เป็นเสียงฝีเท้าที่หนักอะไรเช่นนั้น หนักและก้าวพรวดพราดเข้ามาที่หน้าประตู
ครั้นแล้วเราก็เห็นเงาดำสูงใหญ่ สูงกว่าพ่อเสียอีก เราเหลือบสายตามองขึ้นดู เราเห็นยูนิฟอร์มของตำรวจและใบหน้าอันประดับอยู่ด้วยหนวดอันดก
“นี่คือบ้านของคุณบรรจงใช่ไหม?” เขาถาม
“ใช่ค่ะ” เราตอบ
“แม่ของหนู - คุณรื่นเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ สลบยังไม่ฟื้น...”
พ่อเผ่นพรวดเข้าไปหาเขา ยืนนิ่งและแข็งชาไปทั้งตัว พวกเราตกตะลึงพรึงเพริด
“เขาเป็นอะไรครับ?” พ่อถามเหมือนเสียงคนจะตาย
“รถชนกันที่หัวเลี้ยวหน้าโรงพิมพ์สุวิทย์การพิมพ์ - รถโดยสารกับรถบรรทุก...” เขาอธิบาย “ผมรู้เรื่องนี้โดยเห็นต้นฉบับของคุณที่คนเจ็บกำไว้แน่น พร้อมด้วยหัวจดหมายที่จดหมายแนบต้นฉบับ ผมจึงได้มาถูก - รีบไปเยี่ยมเถอะครับ ไม่มีอะไรมากหรอก - ไม่มีบาดแผลเลย...”
คำว่า ‘รีบไปเยี่ยมเถอะครับ’ ทำให้พ่อหน้าสลดลงไปทันที พ่อจะไปอย่างไรได้ในเมื่อเจ้าเครื่องแต่งตัวชุดเดียวของพ่อได้ขายเขาไปเสียแล้ว พ่อเดินกระสับกระส่าย แล้วทรุดกายลงนั่งกุมศีรษะเหมือนกับจะร้องไห้ พ่อไม่ได้ร้องไห้ด้วยน้ำตา แต่พ่อร้องไห้ด้วยน้ำใจ ในที่สุดพ่อก็รีบลุกขึ้นและส่งเงินให้อู๊ด
“ไปเยี่ยมแม่เดี๋ยวนี้”
อู๊ดรีบแต่งตัวใส่เสื้อใหม่ของเขา แล้วรีบกระโจนออกไปจากห้อง พวกเราก็ได้แต่คอยและภาวนาขอให้แม่รอดชีวิตกลับมาหาเรา ขออย่าให้แม่ตาย แม่คือชีวิต แม่คือเลือดเนื้อ แม่คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เต็มไปด้วยความหมายของเราสุดที่จะพรรณนา เราไม่เป็นอันหลับอันนอนกันเลยในคืนวันนั้น เรานอนตาไม่หลับ เราฟังแต่เสียงที่ประตูว่า อู๊ดจะกลับมาหรือยัง น้องคนเล็กได้ดื่มนมจนอิ่มและหลับไปนานแล้ว นานๆ ก็จะผวาเสียทีหนึ่ง จนกระทั่งได้ยินเสียงนาฬิกาข้างห้องตีทีเดียว แสดงว่าตีหนึ่งแล้ว เราจึงได้ยินเสียงใครมาเคาะประตู เราเผ่นพรวดเดียวเปิดมันออกไปเลย
“แม่ฟื้นแล้ว” อู๊ดบอกพ่อ “แม่เพียงแต่สลบไปเท่านั้น ทั้ง ๒ คัน ตาย ๔ คน บาดเจ็บสาหัสอีกมาก รถไม่ได้ชนกันอย่างประสานงา - ชนกันอย่างไม่จังนัก เพราะรถเมล์เบรกไว้ก่อน”
พ่อถอนหายใจเฮือกแสดงความโล่งอกเล็กน้อย อู๊ดยื่นต้นฉบับส่งให้พ่อ
“แม่บอกว่าเขาให้คอยอยู่จนเย็น แล้วออกมาบอกว่าไม่เอา ให้ผมเอาไปส่งที่อื่น” อู๊ดบอก
สีหน้าของพ่อดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันที
“ทำไมเขาจึงไม่เอา?” พ่อร้องถามอย่างโกรธๆ
“เขาว่า - อ้า! เรื่องของพ่อไม่มีบรรยากาศเอาเสียเลย”
พวกเรามองดูหน้าพ่อ หน้าพ่อขาวลงไปทันที ○