อนุสาวรีย์ ๒๕๘๐

ฤดูร้อนแห่งเดือนเมษายนได้เริ่มขึ้นแล้ว ในปี ๒๕๘๐ มันร้อนอะไรเช่นนั้น ร้อนเพราะการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา ร้อนจนคนตายไปบ้างแล้วก็มี ร้อนจนต้นกระบองเพชรงอกสูงขึ้นมาจนสูงกว่าหัวคนเรา หนามเสมาเสียดยอดขึ้นมาไสว แผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ทั่วไป เมื่อฤดูหนาวปีที่แล้วก็หนาวจัด หนาวจนหิมะลงเต็มกรุงเทพฯ ต้นไม้ใบหญ้าก็ตายหมด เหลืออยู่แต่ต้นสน ต้นไผ่และดอกเหมยเท่านั้น

การปฏิวัติครั้งใหญ่นองเลือดเมื่อ ๕๐ ปีก่อน หรือ ๗๐ ปีก่อน และการถูกทำลายด้วยลูกระเบิดปรมาณู อาคารสงเคราะห์ราษฎรสูงขึ้นถึง ๕๐ ชั้น ถนนหนทางก็เปลี่ยนแปลงสภาพไปตามความเจริญของบ้านเมือง จากการสำรวจสำมะโนครัวในปี พ.ศ. ๒๕๗๐ ประเทศไทยมีพลเมืองถึง ๑๒๒ ล้าน หาป่าทำยายากเหลือเกิน นอกจากป่าสักเล็กน้อยที่ยังเหลืออยู่ทางภาคเหนือ และป่าสงวน หรือป่าพฤกษชาติของรัฐบาลอยู่ ๔ - ๕ แห่งเท่านั้น

สุมิตร ภูไท ยกข้อศอกขึ้นท้าวโต๊ะ มือทั้งสองข้างเขายันคางไว้ สายตาของเขาจับอยู่กับสมุดประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างสะอิดสะเอียนเวียนเกล้าเต็มทน ความจริงเขาได้อ่านมาหลายหนหลายครั้งแล้ว แต่เขารู้สึกว่าผู้บันทึกประวัติศาสตร์อาจใส่ร้ายป้ายสีกันจนเกินไปเสียละกระมัง ถ้ามันเป็นจริง ไฉนคนรุ่นหลังต่อมาทำไมจะไปสร้างอนุสาวรีย์ให้แก่จอมพล ป. พิบูลสงครามเล่า เขารีบพลิกหน้าต่อไป เพื่อจะค้นหาข้อความอันสลักสำคัญใน พ.ศ.นั้นต่อไปอีก แต่เขาต้องรีบหันหน้าไปทางหน้าต่างในเมื่อเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินมาหยุดอยู่ที่หน้าต่างสำนักงานของเขา มันเป็นเฮลิคอปเตอร์ของนายตำรวจเพื่อนกัน จะรับเขาไปกินเหล้ายิน อาจจะเป็นบาร์ลอยกลางหาวหรือบาร์ที่พื้นดินก็ได้

“เฮ้! สุมิตร” เขาร้องเรียกและกวักมือ “ไปเล่นเหล้ายินกันดีกว่า”

“วันนี้กันต้องการเดิน ประดิษฐ์ - เดินไปดูเขารักกัน”

“อย่านะเว้ย สุมิตร - อย่าคิดอะไรให้มันมากนักนะ พี่เบิ้มกำลังจ้องมองเราอยู่ตลอดเวลา - เอายังงี้ดีกว่า เย็นนี้กันจะไปรับที่ห้องของแก - เปิดหน้าต่างไว้นะ”

“อย่าดีกว่า ประดิษฐ์ เราพบกันที่อนุสาวรีย์ละเอียด พิบูลสงครามดีกว่า”

“ถ้าแกไม่พบกันที่นั้น ไปพบกันที่จัตุรัสพรหมโยธีก็ได้-”

“เอาละ เป็นอันว่าตกลง -” เขาตอบ “แกไม่กลัวพี่เบิ้มหรอกเรอะ พี่เบิ้มจ้องมองดูเราอยู่ตลอดเวลารวมทั้งแกด้วย”

“ไม่เป็นไร กันเป็นตำรวจ -” ประดิษฐ์ตอบ

ทั่วทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงทบวงกรม ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการหรือองค์การใดๆ ก็ตาม เครื่องเทเลสกรีนจะถูกติดตั้งไว้ทั่วไปหมด ตามถนนสายใหญ่ไม่ว่าจะเป็นชั้นหนึ่งชั้นสอง หรือว่าถนนซอยที่สำคัญๆ จะมีเจ้าเครื่องเทเลสกรีนนี้ติดตั้งไว้ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามหน้าโรงมหรสพ ตามสถานที่หย่อนใจต่างๆ ข้าราชการ ข้าราชการการินี คนใดก็ตาม ละทิ้งงานของตัวเองแอบเข้าไปในโรงหนัง ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม เจ้าเครื่องนี้จะรายงานไปยังที่ทำการใหญ่ แล้วพนักงานถ่ายทอดก็จะถ่ายทอดภาพนั้นไปยังเจ้ากระทรวงทันที

ไม่มีการโกงกันอย่างหมดยางอาย ไม่มีคอร์รับชั่นเลยในประเทศนี้ หลังจากการปฏิวัติอย่างนองเลือดแล้วสองสามครั้งเมื่อเดือนก่อน พ่อค้ารายหนึ่งผู้กำลังวิ่งเต้นเพื่อขอประมูลสร้างตึก ๑๖๐ ชั้น แวะเข้าไปทักทายกับเสมียนที่กระทรวงการกามารมณ์นิดเดียวเท่านั้น เขาถูกส่งไปทำงานหนักทางแม่ฮ่องสอนทันที นี่คือผลรายงานจากเครื่องเทเลสกรีน มันไม่เลือกหน้าใครทั้งนั้นถ้าภาพนั้นเข้าไปปรากฏอยู่ในจอของกองปราบปรามแห่งกระทรวงการสัตยธรรม

สุมิตรมองดูเฮลิคอปเตอร์ของสหาย ที่บินผ่านป้อมจราจรกลางหาวไปอย่างเชื่องช้า ถึงอย่างไรเขาก็ยังติดใจประวัติศาสตร์แห่ง พ.ศ. ๒๕๐๐ อยู่นั่นเอง เป็นประวัติศาสตร์ที่สนุกสนานตลกขบขันเป็นที่สุด หาตอนไหนที่จะสนุกเท่าเป็นไม่มี เขาวาดภาพประวัติศาสตร์และบรรยากาศของมันในเวลานั้นอย่างไม่ค่อยจะเชื่อถือนัก มันก็ไม่มีอะไรอื่น นอกจากประชาธิปไตยของประเทศไทยในสมัย ๘๐ ปีก่อนนั้นแหละ เวลานี้สุมิตรทำงานอยู่ในแผนกจดบันทึกรายงานประวัติศาสตร์ เป็นงานที่สนุกสนานและถูกใจเขาเหลือเกิน

“กระทรวงวัฒนธรรม” เขาพูดพีมพำออกมาแล้วก็คิดต่อไปอีก แต่หลังจากปฏิวัติอย่างนองเลือดแล้วกระทรวงนี้หายไปหมด ในสมัยนี้กลับมีกระทรวงกามารมณ์เป็นกระทรวงที่คอยควบคุมการกำเนิด และให้กำเนิดของประชาชน

“เท่านั้นยังไม่พอ!” เขาร้องออกมาด้วยความโกรธแค้นและรำพึงมันต่อไปคนเดียว “รัฐบาลยังดันทุรังตั้งสภาแอนตี้กามารมณ์ขึ้นมาอีกด้วย การกำหนดอัตรามาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นส่วนสูง น้ำหนักของสตรีที่จะแต่งงานได้หรือไม่ได้ เป็นเรื่องที่พรรคฝ่ายค้านของรัฐบาลกำลังจะนำมาโจมตีรัฐบาล เพราะมันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ ผู้หญิงจะต้องมีน้ำหนักไม่น้อยกว่า ๕๐ กิโล สูง ๕ ฟุตขึ้นไปจึงจะแต่งงานได้ รัฐบาลออกกฎหมายนี้มาโดยไม่เกรงขามประชาชนเลย ท่านให้เหตุผลว่า เวลานี้บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะสงครามคือสันติภาพ ฉะนั้นทหารทุกคนจะต้องมีรูปร่างใหญ่โตแข็งแรงแข็งขันในสงคราม ประชาชนหรือก็ล้นประเทศ ถ้าขืนไม่ตั้งสภาแอนตี้กามารมณ์ขึ้นแล้ว ราษฎรจะเอาที่ที่ไหนอยู่ จะเอาอะไรกินกันเข้าไป สงครามครั้งที่หนึ่งคนก็ตายไม่เท่าไรเลย

พวกผู้หญิงสวยสะโอดสะองสูงโปร่ง เอวบางร่างน้อยเริ่มไหวตัวกันคึกคัก ใช้เวลาของพวกหล่อนออกกำลังกันอย่างขนานใหญ่ พวกที่สูงอวบแข็งแรงเต็มไปด้วยสุขภาพดี แต่สูงไม่ถึง๕ ฟิต ก็พากันหาวิธีการออกกำลังห้อยโหนโยนตัวเล่นห่วงกันเป็นนิจกาล พวกที่ผอมบางแคระเตี้ยกว่า ๕ ฟิตพากันร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ทุกเวลานาที พวกที่หนักได้ขนาดสูงได้ขนาดก็ยิ้มแก้มแทบปริ เพราะจะได้แต่งงาน พวกผู้ชายก็มีหัวอกเป็นหนองอยู่เช่นเดียวกัน แต่สภาแอนตี้กามารมณ์ยอมอนุญาตให้ใช้ตุ๊กตายางหรือพลาสติกได้ พวกที่จะรับสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรมักจะหันเข้าหาเสียงด้วยวิธีใช้คำชักชวนของเขาว่า

“จงเลือกข้าพเจ้า - ข้าพเจ้าจะให้ท่านเป็นผัวเป็นเมียกันได้โดยเสรี”

“เลือกผม! ผมจะเข้าไปทำลายโดยกฎหมายควบคุมกามารมณ์และจะล้มสภาแอนตี้กามารมณ์เสียให้สิ้นเชิง แล้วเชิญแต่งงานกันได้โดยเสรี”

สุมิตร ภูไท อายุเกือบจะเข้า ๔๐ ปีอยู่แล้ว แต่เขาก็คอยเวลาที่รัฐบาลเผด็จการแบบคณาธิปไตยนี้ จะฉิบหายวายวอดไปเสียที เขาจะได้มีเสรีภาพทางกามารมณ์ เขาจะมีสิทธิในเรื่องเพศตามหนทางของธรรมชาติหรือสัญชาตญาณ เขาจะเลือกแม่สาวน้อยวัย ๑๖ - ๑๗ คนหนึ่ง มาเป็นภรรยาของเขาเองแทนหุ่นสูบลม สำหรับโสเภณีในเวลานี้ก็มีอยู่บ้าง แต่อายุของหล่อนจะต้องกว่า ๕๕ ปีขึ้นไป ที่ใต้ขากรรไกรล่างจะมีรอยแผลเป็นแสดงว่าถูกดึงหนังกำพร้าใบหน้าให้ตึงขึ้น นานๆ ครั้งจึงจะพบฟันจริงๆ ของผู้หญิงเหล่านั้น โดยมากล้วนเป็นฟันปลอมทั้งสิ้น ผมก็มันระยับไปด้วยยาย้อมผมซึ่งมีขายถึง ๓๐ สี อกของผู้หญิงเหล่านั้นสล้าง งามราวกับพระจันทร์สองดวงขึ้นแข่งกันอยู่ แต่แท้ที่จริงมันก็อ้ายของปลอมทั้งสิ้น ถ้าเขาพบกันเข้ากับแม่พวกนี้ เขาก็จะตีใบ้ในเวลาสวนทางกันแล้วนัดแนะกันไปยังในที่เปลี่ยวโดยไม่ยอมหยุดพูดกัน ถ้าเขาหยุดพูดกัน ยามประจำสถานีใหญ่ของเครื่องเทเลสกรีนจะรายงานภาพนิ่งของเขาไปยังกระทรวงทันที

เขาออกจากหอสมุดแห่งชาติแผนกบันทึกประวัติศาสตร์ ออกเดินเรื่อยเปื่อยไปตามถนนอันกว้างใหญ่แต่คนไม่อาจเดินได้ เพราะยวดยานต่างๆ เดินเสียหมด ทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานี้พลังงานปรมาณูเข้าควบคุมเสียหมดสิ้น ทำให้เครื่องจักรต่างๆกลายเป็นของล้าสมัยหรือกลายเป็นเศษเหล็กไปหมด เขาเดินผ่านอนุสาวรีย์จอมพลผินลัดเข้าไปวงเวียนเผ่า ศรียานนท์ ทะลุออกไปทางถนนอันสงบสงัดเงียบ เขาเห็นอนุสาวรีย์ของนักการเมืองสำคัญๆ สมัยเมื่อ ๘๐ ปีมาแล้ว ตั้งเด่นเป็นสง่ายามเมื่อแสงแดดกระทบตัวบรอนซ์ทองที่อาบไว้บนอนุสาวรีย์นั้น ทำให้ภาพอนุสาวรีย์ของวีรบุรุษอันมีคุณค่าต่อแผ่นดินไทยกระจายแสงแวบวับจับนัยน์ตาอยู่เรื่อยๆ ไป

เขาหยุดชะงักอยู่กับที่ ในเมื่อได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์เปิดไซเรนมาในอากาศ ตำรวจภาคพื้นดินกำลังจับตัวคนต่างชาติได้คนหนึ่ง เขาเองอายุเกือบ ๔๐ ปี ก็เพิ่งจะเห็นคนประหลาดในวันนี้เอง หนังกำพร้าหยาบ จมูกโด่ง นัยน์ตาสีฟ้าและผมสีทอง เคราและหนวดเป็นสีทอง นี่กระมังที่ประวัติศาสตร์สมัยเมื่อ ๘๐ ปีก่อนเรียกว่าอเมริกัน เขามองดูหน่อยหนึ่งแล้วก็เดินเลยไป ประเทศไทยในเวลานี้เป็นมหาประเทศ ใครๆ ก็อยากเข้ามาอาศัยทำมาหากิน เพราะอุดมสมบูรณ์กว่าแห่งอื่น ประเทศที่เคยเป็นมหาประเทศขนาดพี่เบิ้ม บัดนี้สิ้นชื่อไปเสียแล้วด้วยสงครามมหาประลัย เกาะบางเกาะจมทะเลลงไปเสียก็มี เพราะอำนาจของไฮโดรเจน ประเทศไทยรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ทุกครั้ง ก็เพราะบารมีของนักการเมือง เราได้เสียหายไปเพราะระเบิดมหาวินาศเป็นเพียงบางจังหวัดเท่านั้น แต่แล้วก็กลับฟื้นฟูขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

หญิงสาวเอวบางร่างน้อย นัยน์ตาหวานปนโศก ทรวดทรงองค์เอวของหล่อนงามอย่างยากที่จะเปรียบได้ เดินมาชนเขาโดยแรง ยัดเศษกระดาษแผ่นหนึ่งเข้ามาในมือของเขา เขารีบกำไว้แน่นแล้วเดินหนีจากเครื่องเทเลสกรีนเข้าไปเสียในห้องลับสำหรับชาย เขาค่อยๆ เปิดเศษกระดาษนั้นออกอ่านอย่างเอาใจใส่ในที่สุด หัวใจของเขาเต้นโครมครามจนแทบจะกระทบชายโครง

“ดิฉัน - ผกาวลี ทำงานอยู่แผนกพิมพ์หนังสือนวนิยายของประชาชนเพื่อประชาชน พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ดิฉันได้หยุดครึ่งวัน ไปพบกับดิฉันที่อนุสาวรีย์จอมพลผินให้จงได้ จำได้ไหมคะ? จำให้แม่นนะ เวลาบ่ายโมงตรงที่อนุสาวรีย์จอมพลผิน เราจะเดินสวนกันก่อนแล้วค่อยเดินตามกันไป เราจะขึ้นรถไฟไปสองสถานี ดิฉันพบที่สงบแห่งหนึ่ง เราจะมีความสุขกันที่นั้น ดิฉันจะตามใจคุณทุกอย่าง ดิฉันรู้จักชื่อคุณดีค่ะ คุณชื่อสุมิตรใช่ไหมคะ นามสกุลภูไท ดิฉันรักคุณ”

เขารีบยัดกระดาษแผ่นน้อยนั้นเข้าไปในปาก เคี้ยวจนละเอียดแล้วกลืนลงไปในท้อง สุมิตรเดินตัวพองโต เท้าเบาหวิวไปหมด เอาละเป็นอะไรก็เป็นกัน ผิดกฎหมายก็ผิด รัฐบาลฝืนมติมหาชนก็ยังพอค่อยยังชั่ว อ้ายนี่มันเล่นฝืนสัญชาตญาณของธรรมชาติ ก็ยอมตายมันข้างถนนเสียดีกว่าอยู่ เขาเรียกแท็กซี่อากาศเฮลิคอปเตอร์มาลำหนึ่ง พอมันหย่อนบันไดลงมาให้ เขาก็รีบไต่เดียะขึ้นไปทันที สั่งให้ขับตรงดิ่งไปยังบ้านของเขา สุมิตรเข้าหน้าต่างตึกของเขา และชำระเงินไป ๑ บาท ซึ่งในเวลานี้มีค่าสูงที่สุด ในการปริวรรตเงินตราทั่วโลกขึ้นอยู่กับเงินบาทของไทยทั้งนั้น โดยมิได้มีความเสียดมเสียดายอย่างใดเลยให้แก่โซเฟอร์นักบินคนนั้นไป เขายกมือขึ้นแตะแก๊บด้วยความขอบอกขอบใจ สุมิตรรีบอาบน้ำแต่งตัวอย่างรีบร้อน ออกไปยืนที่หน้าต่างเมื่อเขาเห็นได้เวลาที่นัดหมายไว้กับประดิษฐ์ที่จะไปดื่มเหล้ายินกัน สุมิตรลงบันไดถาวรของตัวตึก ๓๐ ชั้นที่ทำไว้เป็นเกยเหมือนที่สำหรับขึ้นข้างลงข้างของสมัยโบราณเมื่อ ๒ - ๓ ศตวรรษที่แล้วใช้สำหรับขึ้นลงเรือบิน เขาจับลิฟท์ลงมาก็พบประดิษฐ์ยืนรอรับอยู่แล้ว ส่วนเครื่องบินของประดิษฐ์จอดอยู่บนหลังคาตึกชั้นดาดฟ้า

“อ้าฮา! สุมิตร - แกมาทันเวลาพอดี” เขาบอก “เราได้พบสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว ยิ่งกว่าที่เราไปเที่ยวโลกพระอังคารกันมาเสียอีก -

“อะไรล่ะ?” สุมิตรถามแล้วหัวเราะ

“เข้ามาเถอะ เข้ามาดูอะไรนี่แน่ะ” เขาพูดแล้วก็จูงมือสุมิตรเดินเข้าไปในบาร์และร้องสั่งเหล้ายิน ๑ ขวด กับแกล้มพร้อม

สุมิตรหยุดชะงักในเมื่อเขาเห็นร่างของชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ โต๊ะ ผมขาว หนวดเคราขาว ใบหน้าเหี่ยวย่น หนังกำพร้าตกกระไปหมด นัยน์ตาเป็นสีน้ำข้าว แต่ลักษณะยังแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าดี

“นั่งเถอะ พ่อเฒ่า” ประดิษฐ์ออกปากเชื้อเชิญแล้วก็หันมาทางสุมิตร “ลุงคนนี้มีอายุถึง ๑๑๕ ปี - เอาละ แกเป็นนักประวัติศาสตร์ แกจะต้องคุยด้วยอย่างแน่นอน...”

ทั้งสามคนนั่งลง และเตรียมพร้อมที่จะคุยกันให้สนุก เขาจิบเหล้ายินกันคนละครึ่งแก้ว

“คุณตาอายุเท่าไร?” สุมิตรถาม

“ประทานโทษ ผมอายุได้ ๑๑๕ ปีแล้ว...” แกตอบด้วยเสียงสั่นๆ

“ถ้าเช่นนั้น โอ คุณตาก็ได้เห็นการเลือกตั้งเมื่อกึ่งพุทธกาล?”

“ครับ เวลานั้นผมอายุได้ ๓๕ ปี” แกพูดเสียงสั่นตามเคย

“คุณตาจะเล่ารายละเอียดการเลือกตั้งครั้งนั้น ให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ”

“อ๋อ ได้ครับคุณ...”

ชายชราเริ่มเล่าช้าๆ เนิบๆ ตั้งแต่การหาเสียงไปจนถึงวันเลือกตั้ง ตลอดจนการประชุมสภาในนัดแรกๆ แล้วก็จบลงด้วยถ้อยคำที่ว่า

“ผมกระดูกแข็งครับคุณ การปฏิวัติครั้งใหญ่ต่อมาอย่างนองเลือด การรัฐประหารต่อมาอีก แย่งกันไปชิงกันมาเหมือนกษัตริย์โบราณชิงราชบัลลังก์กัน ต่อมาปรมาณูลง ไฮโดรเจนลง ผมก็อยู่ของผมมาได้จนถึงปี ๘๐ นี้...”

“เอาอย่างนี้ดีกว่า” ประดิษฐ์พูดขึ้น “เราคุยกันถึงเสรีภาพทางกามารมณ์กันดีกว่า สมัยนั้นมีกฎหมายควบคุมการแต่งงานหรือเปล่า? อายุ น้ำหนัก หรือว่าส่วนสูง?

แกหัวเราะก๊ากแล้วยกยินขึ้นดื่มรวดเดียวหมด

“คุณจะมีเมียสัก ๒ โหล คนเขาก็ไม่ห้ามครับ แต่กฎหมายอนุญาตให้จดทะเบียนได้คนเดียว บางคนก็มี ๒ บางคนก็มี ๓ บางคนมีเสียจนจำหน้าเมียไม่ค่อยได้ บ้านเมืองยังไม่เหมือนสมัยนี้หรอกครับ อย่างกรุงเทพฯ ที่ว่าหรูหราก็มีตึก ๓ ชั้น ๑๐ ชั้นเท่านั้น ขนาดรัฐมนตรีก็มีอีหนูเล็ก ๑๕ - ๑๖ คนนั้นเอามาถวาย คนนี้เอามาให้ ขากลับพ่อแม่อีหนูก็ได้แจกมาคนละหมื่นสองหมื่น ดีก็เก็บเอาไว้ ไม่ดีก็ให้เพื่อนไปอะไรยังงั้นแหละครับ จะหาเสรีภาพในการมีเมียที่ไหนเหมือนเมืองไทยเมื่อ ๘๐ ปีก่อนเป็นไม่มีละครับ ผมเมื่อหนุ่มๆ ยังกดเข้าไปตั้ง ๓ คน แต่เมียผมค้าขายก็พอเลี้ยงดูกันไป”

“นี่ลุงพูดจริงๆ หรือว่าพูดตลกกันเล่นๆ” สุมิตรร้องขึ้น

“พุทโธ่! ผมจะมาโป้ปดเอาอะไรครับ พวกโสเภณีก็สาวรุ่นกำดัดออกมาหากินกัน บ้างเตร่อยู่ในเงามืด บ้างก็อยู่โรงแรม บ้างก็อยู่ซ่อง บ้างก็อยู่ลับๆ บ้างก็หรูหราชั้นสูง โอ๊ย! รับแต่พวกรัฐมนตรีและเสี่ยใหญ่ หาง่ายเหมือนหาใบไม้ร่วง -”

สุมิตร ภูไท มองดูดรุณีแน่งน้อยคนหนึ่ง เดินผ่านหน้าไปแล้วเขาก็คอตก

“อนิจจา เสรีภาพ การกดขี่ กระทรวงการกามารมณ์ การจัดระบบสังคมที่ขัดต่อธรรมชาติและสัญชาตญาณของมนุษย์ มันจะต้องนองเลือด”

“เฮ้ เบาหน่อย ตั้วเฮียกำลังมองเราอยู่” ประดิษฐ์พูดแล้วชี้มือไปทางด้านหน้าของผนัง มันเป็นรูปผู้เผด็จการของสมัยนั้น สมัยของผู้ชายกับผู้หญิงหันหลังให้กัน ผู้ฝ่าระเบียบของสังคมในเรื่องเพศ เขาจะต้องถูกทำงานหนัก หรือสถานเบาก็ตัดเบี้ยเลี้ยงชีพให้น้อยลงไป จนแทบจะอดอาหาร โดยจ่ายบัตรแทนเงินลดลงไป แต่แรงงานเพิ่มขึ้น

ทุกคนมีเสรีภาพในการพูด อ่าน เขียน หรือคิด แต่ทุกคนขาดเสรีภาพในกามารมณ์ มนุษย์เราจะอยู่ได้อย่างไร? เขาได้ยินเสียงโอดครวญโหยหวนของกรรมกรไร้งาน เขาได้ยินเสียงเอะอะจากเครื่องไมโครโฟนที่ประกาศข่มขู่อยู่ตลอดเวลา บอกให้หญิงชายคู่หนึ่งระวังตัว เขาเดินคุยกันไปตามถนน สุมิตรร้องครางออกมาแต่เพียงว่า

“เมื่อไรมันจะนองเลือดกันเสียสักที ถึงเวลาของเราแล้วหรือยัง?”

ทันใดนั้นเอง ไมโครโฟนที่อยู่ใกล้ที่สุดกับบาร์ที่เขานั่งดื่มยินก็ดังขึ้น

“ระวังปากของแกไว้ให้ดี - พี่ชายกำลังฟังอยู่ คอมเรดเอ๋ย -”

เขารีบเดินผลุนผลันจากบาร์เข้าลิฟท์ โบกมือเรียกแท็กซี่ไอพ่นลำเก่าๆ ได้ลำหนึ่ง ก็สั่งให้บินร่อนออกชมเมฆและตากลมเล่นพอให้เย็นใจเบาสมองไปเสียจากไอ้เรื่องบ้าพรรค์นั้น

เขานอนไม่หลับในคืนวันนั้น เมื่อนึกถึงผกาวลี นึกผู้หญิงทุกคนจะต้องเป็นสมาชิก ใครมีบุตรสักคนจะต้องเข้าในข่ายพระราชบัญญัติ แม้ผู้ที่ได้โอกาสกฎหมายเปิดช่องให้แต่งงานกันได้ก็มีกฤษฎีกาการสมสู่อยู่กินหลับนอนไว้พร้อม เพื่อสุขภาพของเด็กที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นทหารของชาติ ใบหน้าอันยิ้มละมัยแต่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนของผกาวลี หน้าอันเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อฝ่ามือ หัวใจที่เต้นแรงจัด นัยน์ตา - นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยอาการปรือสวิงสวาย และตัวสั่นน้อยๆ เมื่อเดินจากเขาไป

พอได้เวลานัดหมายในวันรุ่งขึ้น เขาก็ไปพบหล่อนตามนัด เขาเห็นหล่อนยืนสงบนิ่งเฉยต่างมองดูกันคนละแว่บ แล้วก็เดินสวนกัน

“รถไฟขบวนบ่ายโมงครึ่ง หัวลำโพงสายเหนือ” หล่อนพูดเร็วปรื๋อ “เข้าใจหรือยัง?”

“เข้าใจแล้ว -” เขารีบตอบแล้วก็เดินสวนกันไป

รถไฟพาเขาวิ่งไปบนรางอย่างสงบเงียบ ไม่มีเสียงร้องชนิดถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างอย่างสมัย ๒๕๐๐ ถึงสถานีที่สองเขาก็ลงแกล้งทำไถลเสียสักหน่อย พอให้หล่อนเดินนำไปไกล แล้วเขาก็เดินตามไปช้าๆ เลี้ยวซ้ายแล้วก็เลี้ยวขวา แล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกครั้งหนึ่ง ในเวลานั้นเขาต้องเดินไปตามหัวคันนา ซึ่งไม่ใช่คันนาดินอย่างแต่ก่อน แต่ใช้คันนาคอนกรีต ลำรางระบายน้ำก็ใช้ท่อถาวรผลิตจากโรงงานนารวม ปีหนึ่งทำนาได้ถึงสองครั้ง เพราะประตูน้ำและเขื่อนยักษ์ถูกสร้างขึ้นมาไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันเขื่อน หล่อนหยุดคอยเขา แล้วก็ชี้มือให้ดูต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งตายแห้งยืนต้นอยู่ แต่เถาวัลย์และพรรณไม้อื่นที่ปกคลุมยังสดชื่นอยู่จนแลดูเขียวชอุ่ม

ทั้งสองคนโผผวาเข้าหากัน กอดรัดกันแน่น เขาจูบหล่อนและหล่อนก็จูบเขา แขนของเขาโอบไหล่หล่อนอย่างกว้างๆ พอที่จะใช้มือเขาลูบไล้ไปได้ทั่วสรรพางค์กายของหล่อน

“เธอทำอย่างนี้มากี่ครั้งแล้ว?” เขาถามหล่อน

“ประมาณ ๒๐ หนแล้ว -”

“ก็หมายความว่า ๒๐ คน?-” เขาถาม “ฉันเป็นคนที่ ๒๑ -”

“เสรีภาพกับกามารมณ์ก็เหมือนกัน -” หล่อนตอบ “มันเหมือนน้ำ ถ้าอยู่ในที่กักขังหรืออยู่ในอำนาจมันก็นิ่งอยู่ แต่ถ้าไอ้ถังนั่นมันมีรูรั่วแม้สักเท่าหัวเข็มหมุด มันก็จะต้องไหลออกมาจนได้ แล้วจะทำให้รูนั้นมันระเบิดกว้างออกไปด้วย -”

“ถึงเวลาแล้วหรือยัง - -”

“ยังไม่ใช่เดี๋ยวนี้ - -”

“เมื่อไรล่ะ?- -”

“เดี๋ยว! ดิฉันจะเปลื้องเครื่องต้นเครื่องทรงเสียก่อน - -” หล่อนบอกแล้วก็เอาเสื้อกระโปรงของหล่อนทั้งชุดแขวนไว้บนกิ่งไม้แห้ง

ร่างของหล่อนยืนขาวโพลนอยู่ตรงหน้าเขา แล้วก็ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาหาเขา กอดเขาและจูบเขา ฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงใต้แลบแปลบปลาบเหมือนเกิดอัศจรรย์ลั่นเลื่อน นกหยุดร้อง ลมหยุดพัด และใบไม้ก็หยุดผลิตและสะบัดใบ พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงมา มืดบ้างสว่างบ้าง แล้วทั้งสองคนก็หลับไปด้วยความเหนื่อยและอ่อนใจ

เขาตื่นก่อน แต่หล่อนยังคงหลับสนิท หายใจรวยริน ริมฝีปากขมุบขมิบ นัยน์ตาปรือ แต่ทว่าแก้มเต็มไปด้วยรอยอันยิ้มแย้ม เขาจูบหล่อนที่หน้าและตามตัวไม่ละเว้นจนกระทั่งหล่อนกอดคอเขาไว้อีกครั้งหนึ่ง การแสดงความรักได้ปิดลงเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน

เขารีบกลับโดยด่วน ให้หล่อนออกหน้าเขามาก่อน ๑๐ นาที เขานั่งรถไฟกลับและนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับบ้าน เมื่อถึงสถานีเขารู้สึกชุ่มชื่นในการที่ได้ไปหายใจเร็วมาด้วยกันกับผู้หญิงสาวสวยอย่างผกาวลี เสน่ห์อันลึกซึ้งตรึงใจนั้นยังติดตาเตือนใจเขาอยู่ เขานึกถึงคำพูดของชายชราอายุ ๑๑๕ ปี ที่ได้พบกับเขาแล้วก็ส่ายหน้าช้าๆ เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเชื่อหรือควรเชื่อ แต่ในเวลาไม่ช้านักเขาก็ได้ยินเสียงรถดับเพลิงเปิดหวอวิ่งกันจ้าละหวั่น พร้อมด้วยรถถังรถเกราะและปืนกล เขาได้ยินเสียงเอะอะมาในท้องถนน เขาแลเห็นพวกผู้หญิงยกทัพกันมาตามถนนล้วนแต่สาวสวยร่างสะคราญ สาวบ้าง วัยกลางคนบ้าง ถือมีดพร้ากะท้าขวาน เรียกร้องสิทธิของหล่อนอันควรจะมีควรจะได้ เสียงร้องกันเซ็งแซ่แหลมเล็กประสานกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้รัฐบาลนี้ไปเสียโดยเร็ว ก่อนที่การนองเลือดจะได้เกิดขึ้นมาอีก

“จงเอาสิทธิและเสรีภาพตลอดจนกามารมณ์ของเรากลับคืนมา - สภาแอนตี้กามารมณ์ สมาคมคุมกำเนิดจงพินาศฉิบหายไป” ○

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ