ถือผิว

ถึงอย่างไรเทืองก็ไม่ค่อยจะได้สนใจนักในเรื่องชีววิทยาและการผสมพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์หรือพืชก็ตาม เทืองเรียนหนังสือสอบได้ชั้น ป.๕ จากวัดไผ่ตันนั่นก็ดีโขอยู่แล้ว พี่น้องของเขาไม่ค่อยจะได้ผ่านอย่างเขาหรือผ่านได้ก็ไม่กี่คนนัก นอกจากนั้นก็อ่านหนังสือกันไม่ออกทั้งเพ แต่แม้ว่าเขาจะอ่านหนังสือไม่ออกเขาก็ยังวางท่ากันอยู่เสมอเหมือนกัน ยามเมื่อมีหนังสือหรือจดหมายมาจากต่างจังหวัด เขาก็จะเอามานั่งส่องดูแล้วทำปากขมุบขมิบสักครู่ก็ส่งไปให้เด็กอ่านให้ฟัง

เมื่อพูดถึงเทืองแล้วก็ต้องนับว่าเขาเป็นช้างเผือกแห่งสกุลวงศ์ทีเดียวละ คนเหล่านั้นอย่างจะประกอบอาชีพได้ ก็ได้แต่เพียงช่างไม้ไสกบเป็นอย่างสูง หรือไม่ก็ผูกเหล็ก ขุดดิน โกยดิน ถมดิน งานเบาหน่อยก็ปลูกหญ้าในสนามตามบ้านที่เขาจ้างไปปลูก แต่เทืองคนเดียวเท่านั้นได้เข้าไปเป็นคนการรถไฟ และมีกฎข้อบังคับให้กรรมกรมีความรู้ขนาด ป.๔ จึงจะบรรจุเป็นข้าราชการได้ เทืองก็ได้โอกาสอันนั้นอีก เขาได้บรรจุเป็นคนยาม ดวงของเขาเวลานั้นดูช่างดีเสียเหลือเกิน เมื่อเทืองกลับบ้านเขาแต่งตัวสีน้ำเงินเข้มทั้งชุดใส่หมวกสีเดียวกัน แก๊ปหมวกสีดำยาวเหยียดรับหน้าของเขาเสียเหลือเกิน

เขาจะใช้เวลาว่างทั้งหมดให้หมกมุ่นอยู่กับปลากัด ดูความเจริญเติบโต ดูความเก่งกาจดุร้ายของมัน ดูการผสมพันธุ์ในระหว่างปลาลูกหม้อกับลูกป่า เมื่อผสมพันธุ์กันแล้วจะกลายเป็นลูกสังกะสึ ในห้องของเขามีหิ้ง – บนหิ้งทุกหิ้งเต็มไปด้วยขวดปลากัด เขาเทียบมันไว้ในระหว่างตัวผู้กับตัวเมียในระยะยาว พอได้ฤกษ์งามยามดีนังตัวเมียท้องแก่เขาก็เอาลงรัดกันในโอ่งแตกใบใหญ่ซึ่งยาไว้ด้วยซีเมนต์ ในโอ่งนั้นมีดินมีผักบุ้งขึ้นเขียวชอุ่ม เขาจะนั่งดูเจ้าตัวผู้โค้งตัวรัดนางตัวเมียจมกันลงไปก้นโอ่ง แล้วตัวเมียก็จะตกไข่ออกมา ๒ ฟอง ตัวผู้จะรีบวิ่งเข้าไปอมไข่มาไว้ในปาก แล้วนำไปเก็บไว้ที่หวอด จนกระทั่งตัวเมียหมดไข่แล้วตัวผู้ก็จะไม่รัด นอกจากจะเฝ้าหวอดคอยกัดตัวเมียที่จะดอดเข้ามากินไข่ เทืองก็จะช้อนเอาตัวเมียขึ้นไว้เสีย

“มันก็แปลกนะอ้ายการผสมพันธุ์ของปลาเรานี่...”

“ฉันว่าเชื้อมันเข้าไปในไข่ก็อีตอนรัดนั่นแหละ!”

“อ๋อ แน่นอน!” พ่อมั่งว่า “ชีวิตน่ะมันเกิดมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต”

“อะไรกันล่ะ! ชีวิตเกิดจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต”

“ก็อ้ายสิ่งที่ไม่มีชีวิตนั่นแหละนานๆ เข้ามันเกิดเซลล์ขึ้นมาแล้วก็มีชีวิต” พ่อมั่งว่าต่อไปอีก “อ้ายฉันน่ะมันไม่รู้จักกะเขาหรอกอ้ายเรื่องชีวะชีแวะ เห็นหนังสือพิมพ์ที่เขาห่อน้ำตาลทรายมาก็ลองอ่านกล้อมแกล้มดู - แต่ก่อนน่ะฉันเห็นเจ๊กมันผสมปลาเงินปลาทอง จริงๆ นะพ่อเทือง อ้ายปลาหางกุ้งเรานี่แหละผสมให้หางเป็นพวงยาวได้”

“เอ๊ะ มันทำยังไงล่ะ? พี่มั่ง”

“เอ้า มันจะไปยากอะไร มันก็เอาขี้ผึ้งปั้นเป็นปลาทองเข้าหางเป็นพวงยาวเหยียดเอาไม้ปักหลังหุ่นขี้ผึ้งเข้าแล้วก็จับไม้ไว้ เอาปลาเทียมตัวนั้นไล่นางตัวเมียอุตลุดไป ต่อมาไม่ช้าเมื่อปลาออกไข่และออกตัวแล้ว ปรากฏว่าลูกหางยาวเกือบ ๒ ส่วนใน ๓ ส่วน”

“แปลกมาก” เทืองพึมพำ เขาเอื้อมมือขึ้นไปบนหิ้ง หยิบเอาเหล้าขาวออกมาวางลงตรงหน้า “นี่แน่ะ ลงมาที่นี่ดีกว่าพี่มั่ง คุยเรื่องชีวะกันเสียสักเตื้อแล้วกลั้วคอด้วยอ้ายนี่”

“นั้นซี! จะดีเรอะ! อ้ายฉันไม่อยากจะขัดน้ำใจใครเสียด้วยนะพ่อเทืองนะ”

“ก็งั้นแหละ! ตกทุกข์ได้ยากลำบากยากเข็ญมันก็อ้ายเหล้านี่ตัวเดียวแหละ ฉันมันเป็นโรคต้องกิน - นั่งเสียบนแคร่นั่นแหละ!”

“ม้าก็เหมือนกันนะ! พ่อเทือง” พ่อมั่งเอื้อมมือมารับแก้วเหล้าไปถือไว้ “แต่ก่อนนี้เขาผสมม้าเขาก็เขียนรูปม้าไว้ให้มันดู เขียนเสียสวยทีเดียว ริมคอกม้าแขวนรูปม้าสูงๆ งามๆ ไว้ทั่วไปหมด บางทีเขาปั้นม้าสวยๆ ไว้ก็มี”

“แล้วได้ผลไหม พี่มั่ง”

“อ๋อ ได้ผล ถึงไม่งามเหมือนรูปที่เขียนให้มันดู แต่ก็ยังดูงามกว่าพ่อแม่ของมัน”

“แล้วคนล่ะ?”

“ยิ่งร้ายใหญ่ เวลามีครรภ์คนเราจะต้องได้รับการเอาอกเอาใจให้มากที่สุด ได้ออกกำลังพอสมควร แล้วให้ดูภาพสวยๆ งามๆ รูปนักเพาะกายที่เป็นชายงาม รูปเทพีรูปประกวดนางงาม หรือโชว์แบบเสื้อ นี่ได้ผลกับอ้ายหลานชายฉัน เมียมันตั้งครรภ์ขึ้นมา มันเอารูปนักเพาะกายมาให้ดูหอบเบ้อเร่อ แต่พอลูกออกมามันกลับเป็นผู้หญิง ผลสะท้อนจากการดูรูปก็ปรากฏว่าอีหนูคนนั้นไม่ยอมนุ่งกระโปรง จะนุ่งแต่กางเกงขาสั้นแล้วกระโดดโลดเต้นหกคะเมนตีลังกาอย่างเด็กผู้ชาย”

“แล้วกัน...” เทืองยิ้มน้อยๆ

“อ้ายลักษณะผสมพันธุ์มันมีหลายลักษณะด้วยกัน เช่นลักษณะที่แข็งหรือเด่น ลักษณะที่อ่อนหรือด้อย ลักษณะเดิมของพ่อแม่จะปรากฏให้เห็นชัดในรุ่นลูกหลาน ลักษณะเด่นและลักษณะด้อยในพันธุ์หลานจะเป็นสัดส่วนคือ ๓ ต่อ ๑ ถ้าพันธุ์แท้ผสมกันจะได้พันธุ์เดิม ถ้าพันธุ์ทางผสมกันในชั่วลูกชั่วหลานจะได้พันธุ์แท้ เหมือนพ่อ ๑ ส่วน พันธุ์แท้เหมือนแม่ ๑ ส่วน และพันธุ์ผสมหรือพันธุ์ทางอีกสองส่วน สำหรับคนเราก็มีแปลกๆ เหมือนกัน นัยน์ตาสีน้ำตาล นัยน์ตาสีฟ้า ถนัดขวาถนัดซ้าย ลักษณะเด่นลักษณะด้อยอะไรกันก็ไม่รู้ อ้ายหลานชายมันพูดๆ ให้ฟัง...”

เมื่อคุยกันเข้าถึงเรื่องชีววิทยามากเกินไปทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่รู้ด้วยกันทั้งสองคน รสชาติต่างๆ ก็ชักจะลดลงไปกลายเป็นจืดชืดเหมือนน้ำยาเย็น พ่อมั่งเห็นพ่อเทืองสั่งเด็กไปซื้ออีกขวดหนึ่ง ก็จำจะต้องหาเรื่องครื้นเครงที่เก็งใจว่าจะถูกใจพ่อเทืองมาสนทนากันต่อไปจนกว่าเหล้าจะมา

“นางหวิงหลานสาวฉันประสบเคราะห์กรรมอย่างหนักเกี่ยวกับมรสุมชีวิต ทั้งๆ ที่ตัวมันเองก็สวยอย่างเลิศลอย...”

“ทำไมล่ะพี่มั่ง...” เทืองถามขึ้น

“มันก็อ้ายเกี่ยวแก่ชีวะนี่แหละ ชีววิทยา...”

“คืออย่างไงครับ พี่มั่ง?”

“คือว่ายังงี้ อ้ายผัวน่ะมันได้เงินเดือนกับเขาอยู่เพียง ๓๐๐ บาทเท่านั้น แล้วมาโกหกนังเมียว่าขับรถได้เดือนละ ๕๐๐ หลานของฉันคนนี้สวยมากเทียวนะพ่อเทืองนะ สวยไม่ตก เย็นวันนี้มันก็คงจะมาที่นี่หรอก เมื่อนังหวิงเห็นว่าผัวได้เงินเดือนน้อย ก็จำต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ โดยเข้าไปทำงานเป็นลูกจ้างขายผ้าอยู่ในร้านแขกที่พาหุรัด ชะช้า! ผลที่เวรกรรมจะตามสนองมัน นังหวิงออกลูกออกมา ให้ตายดิ้น หน้าเป็นแขกพาหุรัดยังไงยังงั้นไม่ได้ผิดกันสักกระเบียดเดียว”

“แล้วไงต่อไป?...” พ่อเทืองยามรถไฟถามขึ้น

“แล้วไง?” อ้ายผัวทั้งตบทั้งตีสะบัดไปเลย ด้วยความหึงหวง เลยบอกศาลาขับไล่ไสส่งไปฟ้องหย่าที่โรงพัก อันที่จริงมันก็สบถสาบานว่ามัน เปล่า - เปล่าเลย...”

“ปลากัด - ปลากัด...” พ่อเทืองร้องขึ้นและวางแก้วลงกับกระดานดังฉาดทีเดียว

“มันก็อ้าย อย่างว่า - ไม่ปลากัด ก็ม้าเห็นรูปเข้าน่ะแหละ!”

“ฉันสงสารจับใจทีเดียวพี่มั่ง - สงสารเหลือเกิน!”

“ขอบใจแล้วพ่อเทือง แต่ว่านั้นแหละ นังหวิงมีลูกเสียแล้ว แม้จะสวยจะงามพอไม่อายเพื่อนฝูงเขาก็มาเสีย เสียอีตอนที่ไม่บริสุทธิ์นี่เอง ผู้ชายที่ไหนเขาจะไปรักมัน”

“ฉันว่า...” พ่อเทืองพูดตะกุกตะกัก “ฉันว่าอ้ายพรรค์นี้มันก็ลางเนื้อชอบลางยา - ลงเนื้อคู่กันแล้วมันก็ไม่ค่อยจะแคล้วกัน...อย่างฉันนี่น่ะเขาจะรังเกียจไหม?”

“อ๊ะ! นี่ยังไม่ทันจะได้เห็นหน้าตากันเลยนะพ่อเทืองนะ - ไว้เห็นหน้ากันเสียก่อนเถอะ อ้ายเรื่องนี้จะเป็นไรมี - เพราะนังหวิงก็เหมือนคนบ้านแตก ย่อมต้องการที่พึ่งเป็นธรรมดา ไว้ให้เห็นหน้ากันเสียก่อนเถอะ ฉันจัดการให้เอง”

พอตกเย็นตะวันรอนยอแสงอ่อนลง พ่อเทืองซึ่งเพิ่งฟื้นจากเหล้าก็ลุกโงนเงนด้วยอาการอันระโหยโรยแรง เสียงร้องเรียกของสหายผู้ร่วมวงเหล้า ร่วมสังคม เป็นเพื่อนบ้านผู้เยือกเย็นและสุขุมคัมภีรภาพก็ดังลอยมา

“มานี่เถอะพ่อเทือง มาถอนพิษกันเสียหน่อย”

“ไม่ไหวแล้วละครับ พี่ชาย”

“ไหวซีน่า...นี่แน่ะ มารู้จักกับหลานสาวฉันสักหน่อย”

พอได้ยินว่าหลานสาว พ่อเทืองก็เผ่นพรวดลุกขึ้นยืน ล้างหน้าล้างตาประจงแต่งตัวเสียให้เรียบร้อยขึ้นหน่อย แล้วก็เดินอย่างงงๆ ขึ้นไปบนเรือนของพ่อมั่ง เขาตะลึงไปเล็กน้อยในเมื่อแลเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ ผิวของหล่อนขาวเหลือง จมูกโด่งแก้มใหญ่นัยน์ตาโตและคมกริบ ริมฝีปากบางจิ้มลิ้มดูเหมือนจะอมยิ้มน้อยๆ ขณะเมื่อมองมายังเขา หล่อนยกมือขึ้นไหว้เขาก่อนแล้วก็ก้มหน้า อุแม่เจ้า รูปร่างออกอย่างนี้ อ้ายเจ้าสามีของหล่อนยังจะทอดทิ้งได้ลงคอทีเดียวหรือ?

“เตรียมฉลองกันได้แล้ว” พ่อมั่งกล่าวขึ้นแล้วยิ้มๆ

“เอ๊ะ! ฉลองอะไรกันล่ะพี่มั่ง?” เขาถามขึ้น

“เอ้า! เมื่อตอนสายเราพูดอะไรกันไว้เดี๋ยวนี้ลืมไปเสียแล้วหรือ? หรือว่าพูดออกมาเพราะว่าฤทธิ์เมา”

“อ๋อ! อ้ายเรื่องนั้นน่ะหรือพี่ ฉันไม่เคยลืมเลย แม้จะนอนยังเก็บเอาไปฝันเสียด้วยซ้ำไป”

“เอาละ! นั่งคุยกันอยู่นี่ก่อน ฉันจะออกไปหาอะไรมากินกัน เหล้ามีอยู่บ้างแล้วในขวด ฉันจะไปหามาอีกเพื่อการฉลองของเรา”

เขานั่งยิ้มอยู่คนเดียวต่อหน้าหล่อน ยิ้มในดวงชาตาของตัวเองที่หาเมียมาหลายปีดีดักแล้วไม่เคยได้ บทจะได้มันก็ได้เข้าเองโดยไม่เห็นจะต้องลำบากยากกายแต่อย่างใด

“กินเหล้าเก่งก็ไม่รู้” หล่อนกล่าวขึ้นก่อนอย่างเอียงอาย

“กินพอเป็นยา”

“ยาปี๊บน่ะซี! ฉันเกลียดคนเมา”

“โธ่อย่าเกลียดเลย - พี่เมาดี - ไม่เมาเลว - ไม่เคยเมาอาละวาด - ได้แต่ร้องเพลง”

“พี่ต้องหยุดนะ - ถ้าฉันเป็นของพี่”

“ถ้าเธอเป็นของพี่ พี่ก็ขอเย็นๆ หน่อยเดียวเท่านั้นพอเจริญอาหาร”

“แล้วพี่จะให้ฉันอยู่ที่ไหน?”

“เขาจะให้ฉันไปอยู่โน่น - ทางอีสาน - ดูเหมือนบ้านไผ่โน่นแหละ”

“ฉันมิต้องไปด้วยเรอะ?”

“อ้าวผัวเมียกันก็ต้องไปด้วยกัน”

“แล้วลูกของฉันล่ะ?”

“อ๋อ แน่! ฉันรักเธอฉันก็ต้องรักอาบังลูกของเธอด้วย” เขาพูดแล้วก็จ้องมองดูเจ้าบังน้อย ผู้มีผมดำสนิทหยิกหยองตัวเขียว มีขนดกขึ้นอยู่ทั่วไปทั้งสี่มุมหน้าและหัวระแหง

หล่อนกราบลงที่หว่างอกของเขาทำให้เขารวบร่างของหล่อนไว้ในวงแขน

“พี่รักฉันจริงๆ นะจ๊ะ”

“อ๋อ แน่นอน - แล้วเธอล่ะ!”

“อ๋อ! พอลุงมั่งบอก ฉันก็ออกนึกรักเสียแล้วทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นหน้า”

“ฉันก็เหมือนกันสงสารเธอแทบจะร้องไห้เสียให้ได้”

เมื่อบาทหลวงมั่งกลับมา ที่รักแร้ก็มีขวดเหล้า มือทั้งสองข้างหิ้วถุงกระดาษใส่อาหารมาพะรุงพะรัง บาทหลวงทำพิธีวิวาห์ให้ สั่งสอนนิดหน่อย แล้วทั้ง ๓ คนก็โจ้สุราอาหารกันอย่างเป็นที่สนุกสนาน จนอานไปเองแล้วก็เลยสมสู่อยู่กินกันตั้งแต่วันนั้นมา

ทั้งสองคนอพยพออกไปจากกรุงเทพฯ ไปเป็นคนยามอยู่สถานีบ้านไผ่จังหวัดขอนแก่น ในตอนแรกๆ จดหมายก็มาถึงพี่มั่งอยู่เสมอๆ ถี่บ้าง ห่างบ้าง แต่ต่อมาก็ชักห่างลงๆ จนฉบับสุดท้ายบอกว่าย้ายไปอยู่ลำปาง วันคืนมันก็ค่อยๆ ผ่านไป จากวันเป็นสัปดาห์และจากสัปดาห์ก็กลายเป็นเดือน หลายๆ เดือนเข้าก็กลายเป็นปี พ่อมั่งก็ได้รับจดหมายอีกฉบับหนึ่ง บอกว่าครอบครัวนี้จะอพยพกลับมาเพื่อหางานทำ

“เอาเข้าให้แล้ว” พ่อมั่งร้องขึ้น “ถูกไล่ออกจากงานเสียแล้ว”

มันก็เป็นจริงอย่างพ่อมั่งคาดคะเน ครอบครัวนี้ได้ลูกเพิ่มอีก ๓ คน รวมทั้งเจ้าคนที่ติดท้องแม่หน้าเหมือนแขกพาหุรัดก็เป็น ๔ คนด้วยกัน คนหนึ่งเกิดที่บ้านไผ่ คนหนึ่งเกิดที่ลำปาง อีกคนเกิดที่เชียงใหม่

“ทำไมอ้ายตำแหน่งคนยามนี่มันก็ไม่ใช่ตำแหน่งใหญ่โตอะไรนัก ทำไมย้ายกันบ่อย”

“พี่เทืองทำผิดทีหนึ่งเขาก็ย้ายทีหนึ่ง” หวิงตอบแทน

“เขาทำผิดเรื่องอะไร?”

“ต่อยกันบ้าง ตีกันบ้างในวงเหล้า”

“อ้าว” พ่อมั่งร้องขึ้น “แล้วความผิดครั้งหลังนี่ล่ะ?”

“ไปท้านายฟันกัน และบุกรุกขึ้นไปบนเรือนของเขา”

“เรื่องอะไรล่ะพ่อเทือง”

“มันไม่มีเรื่องอะไรหรอกครับ มันเห็นว่าใครๆ เขาว่า ลูกผมคนเล็กหน้าเหมือนมันเข้าหน่อย มันก็เลยกำเริบดูถูกผม”

“ปลากัดอีกแล้ว - ปลากัด...” พ่อมั่งร้องขึ้น

“ดูเถอะครับพี่มั่ง - นังคนผู้หญิงหัวปีของผมจมูกแฟบเดินไกลๆ คนดูหน้าก็เห็นรูจมูกก่อน แล้วพุงก็ซื่อทั้งๆ ที่ไม่ได้กินข้าวเหนียว อ้ายคนที่สองของผมสวยอย่างไม่มีที่ติ สวยเหมือนนางงามลำปาง แล้วอ้ายคนที่ ๓ นี่เป็นผู้ชาย หน้ามันเหมือนนายผมราวกับพิมพ์ออกมาจากเบ้าเดียวกัน”

“เขาเข้าออกเยี่ยมเยียนเราอยู่เสมอหรือ?”

“มาเสมอแหละครับ กินเหล้ากัน - แล้วก็เล่นไพ่อยู่จนดึก”

“อ๋า! ปลากัด...ปลากัด”

“ครับ! ผมก็รู้อยู่แล้วละครับว่า มันเป็นชีววิทยาอย่างที่พี่มั่งว่า...”

“หางานทำซี”

“ครับ! ผมจะไปหานายเก่าของผม ได้ยินว่าเป็นนายช่างใหญ่อยู่ที่ยันฮี”

“ระหว่างนี้ฉันจะทำเอง...” หวิงร้องขึ้น “เมื่อตะกี้ฉันเจอะคนรู้จัก เขามาคุมงานก่อสร้างเขาชวนฉันไปทำปูนส่งรอกปูนให้เขาเท่านั้นไม่หนักหนาอะไร!”

“ก็ดี...ถ้าเราช่วยแรงสามีได้อย่างนั้น”

หวิงไปทำงานแล้ว เทืองก็ได้แต่เฝ้าบ้านและดูแลลูก นานๆ ก็ไปคอยดักพบนายเก่าเสียทีหนึ่ง เขาทนทรมานอยู่จน ๘ เดือนเต็ม จึงได้ข่าวจากนายว่าให้เขาอพยพครอบครัวขึ้นไปยันฮี ระหว่างนั้นหวิงท้องได้ ๕ เดือนแล้ว หล่อนต้องระหกระเหินไปอีกแล้ว ในที่สุดก็ได้อยู่ในบ้านของนายเก่า โดยนายเก่าเขาไม่ได้เอาครอบครัวไป หวิงคลอดลูกในอีก ๒ เดือนต่อมา ลูกของหล่อนตัวแดงเหมือนกวนอู

“ลูกคนนี้ขาวแน่...” เทืองร้องขึ้น “เด็กตัวดำเกิดออกตัวต้องเขียว ถ้าเด็กขาวเกิดมาตัวต้องแดง”

จริงอย่างที่เขาว่า เจ้าลูกคนเล็กพอโตขึ้นสักหน่อยประพิมพ์ประพายก็ไปเหมือนเจ้าหัวหน้าคุมงานก่อสร้างนั้นเข้าอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลยจนนิดเดียว

“โธ่! อ้ายตี๋...” เทืองร้องออกมาอย่างหัวเสีย แต่พอนึกถึงปลากัดอารมณ์ของเขาก็ค่อยๆ อ่อนลงๆ จนกระทั่งไม่มีอะไรจะปฏิเสธว่าเจ้าตี๋ไม่ใช่ลูกที่เกิดแต่อกของเขามาเอง

นายเก่าของเทืองบรรจุเขาเป็นคนงานแผนกพัสดุ เขาก็ตกอยู่ในตำแหน่งเฝ้ายามอีกตามเคย ได้เวรกลางวันก็ค่อยยังชั่ว โดยเวรกลางคืนหวิงก็นอนหนาวสะท้านไปทั้งเรือนกาย พอดีคนใช้ฝรั่งว่างลงเพื่อนฝูงก็ตามไปทำงาน เป็นบ้านของมิสเตอร์เดวิดอยู่กับภรรยาหุ่นเลวเหลือเกิน เมื่อหวิงไปสมัคร ภรรยาเขาจะไม่รับเสียให้ได้ หล่อนมีนัยน์ตายาวเกินไป เอวเล็กเอวบาง แต่สะโพกผายรับกับช่วงอกอันตึงเต่งอยู่ด้วยยกทรง แต่แล้วไม่มีคนจะใช้เข้าจริงๆ ยายแหม่มเท็กซันก็เลยรับเอาไว้

หวิงกลับบ้านด้วยโชคลาภทุกวัน เงินบ้างอาหารกระป๋องบ้าง วิสกี้สก็อตและเบียร์กระป๋อง หล่อนใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย

“ใครให้” เทืองถามขึ้นอย่างโกรธๆ

“นายฝรั่ง - มิสเตอร์เดวิดให้” หล่อนตอบ “คนอื่นทิปอีก ฉันก็เปรมไปเท่านั้นเอง”

ความจริงเมื่อหล่อนได้อะไรมา หล่อนก็นำมาสู่เขาทุกคราวไป ไม่ว่านมหรือขนมนมเนย ในที่สุดไม่ช้าไม่นานนัก หวิงก็เริ่มตั้งครรภ์ขึ้นมา พอครบกำหนดหล่อนก็คลอดลูกออกมา เทืองร้องออกมาอย่างฟังไม่เป็นภาษา

“นี่หรือลูกฉัน - นี่ทำไมผมมันแดง ทำไมนัยน์ตาเป็นน้ำข้าว - ไม่เอา - ไม่เอา นี่ไม่ใช่ลูกของฉันอย่างแน่นอน....ลูกอ้ายหรั่งมัน”

“ทำไมเธอดูถูกเมียของเธออย่างนั้น”

เขานิ่งอัดอั้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก มองดูเจ้าลูกพาหุรัดที่กำลังอ่านหนังสือ มองดูนังผู้หญิงจมูกหักพุงซื่อ มองดูเจ้าคนรองที่ขาวสวย มองดูเจ้าลูกไทยแท้ที่หน้าเหมือนนาย มองดูเจ้าตี๋ที่หน้าเป็นจีนนอกแท้ เขาถอนหายใจยาว ขณะเมื่อหันกลับมามองดูเจ้าคนเล็กที่สุดที่ผมสีทอง นัยน์ตาสีฟ้าอันขุ่นมัว

“มิสเตอร์เดวิดย้ายกลับอเมริกาแล้ว” เมียของเขาบอก “เพราะว่าเมียของเขาจะต้องไปผ่าตัดที่อเมริกา เมืองไทยผ่าตัดให้ไม่ได้ ฉันก็ว่างงานเท่านั้นเอง”

“เธอพูดยังกับว่าไม่เคยว่างงานมายังงั้นแหละ!”

“ทีนี้ที่แคมป์น่ะมีนิโกรอยู่คนหนึ่ง เป็นช่างเก่งกาจฝีมือดี แต่เขากินข้าวกับเขาไม่ได้ เขาไม่ยอมให้คนเสิร์ฟโต๊ะเสิร์ฟให้ เพื่อตัดความรำคาญแกเลยไปกินเสียที่เรือนรับรอง บางทีก็ไปกินที่ตลาด แกชื่อมิสเตอร์ทอม ตัวดำก็จริงแต่ใจกว้างเหมือนแม่น้ำ แกจะให้เงินเดือนฉันอย่างงาม ถ้าฉันไปทำอาหารให้แกกินโดยไม่ต้องเดินไปไกล”

นัยน์ตาของเขาพร่าขึ้นมาทันที มองดูทุกสิ่งทุกอย่างเหลืองไปหมด

“พอที” เขาตะโกนลั่นบ้าน “แกเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจที่สุด ถ้าแกไปทำงานกับนิโกรแกก็จะออกลูกออกมาเป็นนิโกร แล้วอ้ายคนนี้ล่ะ? อ้ายผมสีทองนี่น่ะ? มันอเมริกันแท้ มันมาเกิดเหยียดผิวแบ่งผิวกันเข้าจะว่ายังไง? พุทโธ่ ไม่ถ่างตาอ่านหนังสือพิมพ์เสียบ้างเลย คนอะไร” ○

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ