มือปืนไม่ควัก

ความเวียนหัวของเขามีมากขึ้นทุกที ขนาดคนสติปัญญาน้อยๆ อย่างเขายังเวียนหัว สมาคมภาษาและหนังสือเล่า? จะเวียนหัวสักเพียงไร? ในเมื่ออ้ายหนุ่มคนหนึ่งเที่ยววิ่งหามือปืน

“มือปืน!” เพื่อนของเขาทวนคำ “แกเกิดเรื่องกับใครมา? เดี๋ยวนี้เดาะเป็นนักการเมืองกับเขาให้บ้างแล้วหรือ? ชะช้า! หามือปืน”

“อือ – นักการเมืองหรือไม่นักการเมือง แต่กันต้องการมือปืน”

“ยิงมันให้หัวขาดทีเดียวหรือ?” เพื่อนของเขาว่าแล้วหัวเราะ

“หามือปืนไม่ได้มาหลายวันแล้ว” ทิมพูดเอื่อยๆ “แล้วอ้ายกันก็ได้เหยื่อดีเสียด้วย โฮย...แกอย่าทำหน้าสงสัยแคลงใจไปอย่างนั้นเลยน่า - ต้อม แกสงสัยคำว่า ‘มือปืน’ ใช่ไหมล่ะ?”

“ฮือ!” เขาพยักหน้า “อ้ายมือปืนน่ะมันคนใช้นี่ ทว่าคอยคุ้มกันชีวิตของนายหรือเจ้านาย หรือลูกพี่ คนหนุ่มมีเด็กไว้ใช้คนหนึ่งเขาก็เรียกมือปืนเหมือนกัน เหมือนกับว่าอ้ายเตี้ยเป็นมือปืนของคุณยุทธอะไรอย่างนี้”

“แกต้องเข้าใจไว้ว่าภาษามันเปลี่ยนเร็วจะตาย - กระดิกลิ้นนิดเดียวมันก็เปลี่ยนไปยังอีกความหมายหนึ่ง กันจะบอกให้เมื่อคืนแกเลี้ยงกันที่บางลำพูจนเกือบหมดกระเป๋าหรือกระเป๋าพลิกนั่นแหละ...แกเป็นมือปืนของกัน”

“อ้าว ทำไมยังงั้นล่ะ?” เขาถามอย่างงงๆ

“ไม่รู้...เขาเรียกกันอย่างนั้น” ทิมตอบ “แล้วตกลงแกก็ต้องหามือปืน ๓ เวลาเลยใช่ไหมล่ะ?”

“นั้นซี กันหมายถึงว่ามื้อนี้ด้วย...แกคงเป็นมือปืนของกันตามเคย”

“แต่ว่า...สำหรับแกไม่เคยเป็นมือปืนของใครเลย!”

“ยิงยากว่ะ! แต่กันคิดว่า...นานๆ ยิงทีดีกว่า กดกันด้วยปืนครกเลย” เขายิ้มอย่างเปิดเผยและกว้างขวาง

“แกเก่งมาก...” ต้อมพยักหน้าหงึกๆ “สั่งซี...สั่งมาทิม กันจะต้องสมโภชความเฉลียวฉลาดของแก ที่ไปเจอะศัพท์ใหม่ๆมา มันกะทัดรัดดีเสียด้วย แทนที่จะเรียกกันว่าเจ้ามือหรือหัวเบี้ย ชะช้า!...มือปืน”

“กันกลัวอยู่อย่างเดียวเท่านั้น” ทิมเอ่ยขึ้น “กลัวเสียจริงๆ…กลัวคำพูดอยู่ ๒ - ๓ คำเท่านั้นในปทานุกรมไทย”

“เช่นคำว่าอะไรบ้าง?” ต้อมถามขึ้นแล้วสั่งเบียร์เย็นๆ มาดื่ม

“จะดีเรอะ!” ทิมพูดเสียงอ่อยๆ แล้วก็ยิ้มละเลงเลือด

“นี่มันศัพท์ของคุณเอื้อมแกนี่หว่า” ต้อมร้องขึ้น “แต่บอกกันก่อนดีกว่าแกกลัวคำอะไรบ้าง?”

“ก็คำพูดที่เกิดขึ้นในเวลาจะอิ่ม” เขาหัวเราะและยกเบียร์ขึ้นจรดปาก “อ้ายคำพวกนั้นไม่ควรจะมีขึ้นเลย....ให้ดิ้นตาย เช่นคำว่า เฮ้ย! คิดตังค์...เฮ้! เท่าไหร่? เฮ้ เอาตังค์...ยังมีอีกเยอะแยะ”

“แกกลัวคำเหล่านั้นมากทีเดียวหรือ?” ต้อมหัวเราะ “แล้วเวลานั้นแกทำอย่างไร?”

“มันก็ทุกคนน่ะแหละ ตอบยาก...แล้วปั้นสีหน้าก็ยากเสียด้วย”

“โดยมากแกทำอะไร?”

“โดยมากกันก็ควักผ้าเช็ดหน้าออกมา” เขาหัวเราะ “มือปืนชะงักคิดว่ากันจะเปย์...เปล่าหรอก! ถุย! อ้ายเหงื่อบ้านั่นมันก็จะออกมาเวลานั้นทุกที...ถ้าทีนี้เราควักผ้าเช็ดหน้าและหามันไม่พบ เราก็จะควักซองบุหรี่กับไฟแช็กออกมาแก้เขิน”

“จริงของแกทิม! อ้ายบางคนพึมพำ...อ้ายบางคนผิวปาก อ้ายบางคนพูดตลกด้านๆ อ้ายบางคนทำท่าเหมือนจะควัก...บางคนทำท่าเหมือนบ่น...อ้ายบางคน ฯลฯ”

“อือ - แกก็ช่างสังเกตเหมือนกันนี่หว่า” ทิมชมเปาะ “มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ กันไม่แอ๊กต์อะไรไปเสียบ้างท่ามันก็เคอะ...หมดรูปไปเลย”

“ถามจริงๆ เถอะทิม...แกไม่อาจรีดทางบ้านได้เลยหรือ?”

“กันกำลังคิดจะปฏิรูป...” เขาบอก “มันเป็นความจริงทีเดียวว่ะ ที่เขาว่ากันไว้ว่าเมื่อเด็กมันเกิดมีเหตุผลขึ้นมาบ้าง คนเรามันก็มักจะออกห่างจากเหตุผลออกไปทุกที”

“แน่ะๆ...เฮ้ย! นั่นมันอกตัญญูนี่หว่า” ต้อมบอก

“กันกตัญญูต่อลุงของกันเสมอแหละ! แต่ว่า...กันจะปฏิรูปเสียก่อน เวลานี้ลุงเป็นทาสของตัวเอง ทาสของเงิน ทาสของคนอื่น แม้แต่เจ๊กส่งถ่าน ทั้งๆ ที่ลุงมีเงินบำนาญกิน ลุงมีดอกเบี้ยดอกหอยกิน ลุงมีทุกอย่างที่เศรษฐีมี แต่ลุงไม่อยากแตะต้องเงินที่มีอยู่ ลุงต้องการเก็บท่าเดียว ลุงต้องการสะสม ลุงเจ็บใจที่จะต้องปลูกตึกให้ได้ ดังนั้นลุงจึงยอมเป็นหนี้เขาแม้แต่หนี้เล็กๆ เช่น ค่าข้าวสาร ค่าถ่าน ค่าน้ำ ค่าไฟ แกมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่ยอมแตกเงินใบใหญ่ให้เป็นใบเล็ก เจ๊กส่งถ่านตะโกนไปทั่วซอย ถ่าน ๒ - ๓ ถังเท่านั้นไม่ยอมชำระเงิน ลุงบอกว่าลุงมีแต่ใบละร้อยแตกไม่ได้ แตกแล้วมันหมด เจ๊กบอกว่ามีทอน ลุงก็ยังไม่ยอมให้โดยดี ให้มันติดไว้แล้วหันไปสั่งถ่านเจ้าอื่นใหม่ เจ้าอื่นมาก็ไม่ให้มันอีก เลยถ่าน ๓ - ๔ เจ้ามาติดตามทวงถามกันอยู่เรื่อย แล้วมีแต่ถ่านเมื่อไรล่ะ ข้าวสารอีก เงินเดือนลูกน้องอีก ค่ากาแฟ น้ำชา น้ำตาล ยาสูบ ค่าอาหารไก่ ค่าโน่นค่านี่จิปาถะ ถ้ากันต้องการเงินจะต้องขโมยเอา นี่ก็แปลว่ากันก็เลยเนรเทศตัวเองออกมา ถ้าขืนอยู่กับลุง กันก็ต้องเป็นขวัญใจตะรางฐานลักทรัพย์อย่างแน่นอน”

“แล้วแกจะปฏิรูปอย่างไร?”

“กันคิดว่าจะปฏิรูปโดยชักจูงความคิดของลุงทั้งหมดให้หันมาสนใจกับผู้หญิง แทนที่จะไปหมกมุ่นอยู่กับการปลูกตึก ลุงของกันเจ็บใจคนที่เขาดูถูกเรื่องบ้านสับปะรังเคที่ไม่ยอมซ่อมแซม จะอยู่ตึกให้ได้ ทีนี้ถ้าเราทำให้แกหันมาขวักไขว่กับผู้หญิงเสีย ความคิดเรื่องปลูกตึกก็คงจะหมดไป รถยนต์บุโรทั้งขนาดที่เจ้าหน้าที่เขาเกือบจะไม่ยอมให้จดทะเบียนแล้วก็ให้แกโละมันเข้าเซียงกงไปเสีย ให้แกหันมาหลงใหลผู้หญิง รถยนต์ใหม่ๆ สำหรับเหล้าและดนตรีมันก็จะเกิดตามขึ้นมาเอง แล้วแกก็จะลืมเรื่องตึก ๒ ชั้น ๓ ชั้น หันมากังวลเรื่องโลกีย์”

“มีเหล้าดีๆ กิน มีผู้หญิงงามๆ กอด มีรถยนต์งามๆ ขี่แล้ว จะไปอยู่บ้านสับปะรังเคได้อย่างไรได้ - ลุงก็จะต้องหันไปหาคำที่ว่ามีตึกงามๆ อยู่อีกนั่นแหละ” ต้อมหัวเราะ “เอ้าว่าไป - แล้วการปฏิรูปของแกจะลงมือเมื่อไร?”

“แผนการปฏิรูปของกันก็ไม่ใช่ว่าจะใหญ่หลวงอะไรนัก” ทิมว่าต่อไปอีก “กันมีแฟนอยู่คนหนึ่งหล่อนสวยหยาดเยิ้มสิ้นดี ขนาดแขนอย่างงวงช้างผสมด้วยนัยน์ตากวางและคิ้วโก่งเหมือนศรพระราม ผมงามยังกะขนกาน้ำ เดินเหมือนหงส์เยื้องย่างทีเดียวแหละเกลอเอ๋ย หล่อนต้องการทำงาน งานเท่านั้นคือชีวิตของหล่อน ถ้ากันช่วยหล่อนให้ได้ทำงานขึ้นมาได้แล้วก็จะต้องมีทางสำเร็จ”

ต้อมหัวเราะออกมาชนิดอ้าปากกว้าง

“อ้ายตัวแกเองก็เที่ยวเตะฝุ่นอยู่ตั้งแต่หลักเมืองไปจนถึงถนนตกก็ยังไม่เคยได้งานเลยไม่ใช่หรือ? แล้วยังจะมีน้ำหน้าไปหางานให้คนอื่นเขาอีก”

“เอาเถอะน่า อ้ายเรื่องนั้นไม่แปลก ผู้หญิงน่ะถ้าเราแสดงความยิ่งใหญ่ให้หล่อนเห็น หมายถึงว่าเราจะคุ้มครองหล่อนได้ หล่อนก็จะไว้เนื้อเชื่อใจทั้งนั้นแหละ มีเงินก็เบ่งด้วยเงิน ไม่มีเงินก็เบ่งด้วยนักเลง ไม่มีอะไรจริงๆ ก็เบ่งด้วยกล้ามขนาดใหญ่ยิ่งจนกระทั่งยกโลกต่างบาร์เบลได้”

“แล้วแกจะเบ่งทางไหน?”

“สำหรับกันไม่ต้องเบ่งอะไรมาก เพราะรูปร่างของกันมันก็เข้ารูปเข้าทรงอยู่แล้ว เตะนัยน์ตาหล่อน กันจะนัดหล่อนสัก ๓ - ๔ ครั้งไปไนต์คลับบ้างดูหนังบ้าง ไปกินอ้ายอย่างดีๆ ที่ผู้ดีมีสตางค์เขาไปกินกันทุกวันทุกคืน - แล้วก็จะบรรจุหล่อนเข้าทำงานในตำแหน่งเลขานุการของลุง”

“ผีสาง ก็ลุงของแกใบละร้อยยังไม่ยอมแตก”

“เอาเถอะน่าคราวนี้มันต้องบินออกมาเป็นแถวๆ” เขารับรอง

“แต่ทีนี้มันชักจะหวาดเสียวขึ้นมาอีตอนที่หล่อนเห็นคนอื่นเขาควัก กันไม่ควักเลยยังงี้หล่อนก็จะลดความเชื่อถือในตัวกัน”

“อือ อ้ายข้อนี้ลำบาก” ต้อมยิ้มน้อยๆ “แต่แกยังมีหนทางนี่นะ มีหนทางเสมอแหละ สำหรับมือปืนไม่ควัก เวลาเขาส่งเสียงร้องขึ้นมาว่า ‘เฮ้ยคิดตังค์’ แกก็มีโอกาสพาหล่อนเข้าห้องน้ำเสีย หรือตัวแกไปคนเดียวหรือไม่อีกทีแกควักผ้าเช็ดหน้าเสียก็สิ้นเรื่อง เช็ดเหงื่อที่เกิดจากความหวาดเสียวให้มันแห้งไปเสีย”

“ก็ถ้าเขาอเมริกันแชร์กันล่ะ?”

“เราก็เยอรมันแชร์เสียก็หมดเรื่อง” ต้อมตอบ

“มันเป็นยังไงอ้ายเยอรมันแชร์”

“ก็บอกเขาเสียก่อนว่าเราไม่มีติดกระเป๋าเลย เป็นแชร์ผีไปเลย”

“แชร์ผี” เขาพึมพำเบาๆ “แล้วไปประกวดเทผีเสียเลย”

“เอาเถอะ ถ้าเขาเกิดอเมริกันแชร์กันขึ้นกันจะออกให้เอง แกไปรับหล่อนหรือนัดหล่อนได้แล้ว เวลานี้แกจะต้องทำหน้าที่ให้เหมือนนักสืบทีเดียวนะ เวลาเที่ยวเวลาคุยเวลามั่วกันอยู่ในร้านกาแฟ แกจะต้องคอยฟังว่าเขานัดกันไปที่ไหน? กินอะไร? แกจะต้องสืบเสาะและสั่งอาหารให้เก่งที่สุด แกจะต้องรู้ให้มากทีเดียวว่าไก่ย่างที่ไหนดี เป็ดร้านไหน ผัดกบร้านไหน หรือว่าตะพาบน้ำผัดเผ็ดแกจะต้องรู้หมด”

“จริงซีนะเกลอ” ทิมผงกศีรษะ “อ้ายพวกมือปืนไม่ควักนี่มันช่างสั่งอาหารเก่งเสียจริงๆ รู้ซอกแซกเสียด้วยว่าที่นี่มีอะไรที่นั่นมีอะไร? แคล่วคล่องว่องไวเสียจริงๆ ราวกับเติบโตขึ้นมาจากใต้โต๊ะอาหารและอ่านเมนูมาตั้งแต่เล็กๆ ดีละ กันจะออกสืบเสาะมันเรื่อยไป แต่ว่าอ้ายมื้อนี้ล่ะ?”

“อ๋อได้...แกไม่ต้องตกใจกันเป็นมือปืนเอง” ต้อมพูดแล้วก็สั่งอาหารเพิ่มเติม

พวกชาววังเริ่มทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ ร้านอ้ายหยุ่นหลังวังกลายเป็นสำนักงานไปเสียแล้ว แม้กาแฟมือจะปร่าอย่างไรก็ต้องเข้าไปนั่ง นอกจากทิวทัศน์จะดีเห็นวิวงามๆ ไปทั่วทิศเหมือนบนยอดภูเขาทองแล้ว ยังจะเป็นสถานที่นัดพบของบรรดานักธุรกิจและนักอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัด เขานั่งกันจนอ้ายหยุ่นเบื่อหน้าแล้วก็จำได้

“มาแล้วเทผี” ทิมกระซิบ

“เทผีอะไรกัน?” ต้อมถามขึ้น

“ก็ที่กันบอกแกไว้อย่างไรล่ะ? อารียา หล่อนต้องการงานเท่านั้นแหละ”

“อ๋อ คนนี้เองหรือ? สวยดีนี่หว่า”

“กันบอกแกแล้วว่าหล่อนสวยมาก” ทิมยกไหล่น้อยๆ

“เชิญเขามา....เร็วเข้าทิม”

เขาลุกขึ้นจากโต๊ะองอาจยังกะพญาราชสีห์ เดินออกไปรับหล่อนมาที่โต๊ะ

“ดีใจจังที่พบคุณ” หล่อนตอบและทิ้งหางตาไปยังต้อม

“นี่ทอมมี่เพื่อนผมเอง อารียา” เขาแนะนำ

“ยินดีค่ะ...คุณทอม”

“ต้อมครับ” เขารีบโค้งให้หล่อนเล็กน้อย “หยุ่น - ขอแก้ว”

เขาเริ่มเรียกอาหาร และหันมาทางหล่อน

“หมูแฮมไข่ดาว ผลไม้ ไอศกรีมกล้วยหอม เนยแข็ง?” เขาหันมาถามหล่อน

อารียาชมดชม้อยมองตาทิม เขารีบสั่งเสียเองเลยแทนหล่อน

“แฮม...ไข่ดาว ๓ ที่”

“ว่่าไงคะทิม ได้เรื่องไหม?”

“จวนได้อยู่แล้ว” เขาผงกศีรษะ

“งานอะไรคะทิม?”

“เธอเป็นพิมพ์ดีดไม่ใช่หรือ?”

“อ๋อ! ข้าวตอกแตก” หล่อนตอบ

“ไม่ใช่จิ้มดูด” เขาหัวเราะ

“โธ่มือชั้นนี้แล้วนะทิม” หล่อนตอบชมดชม้อยเอียงคอ

“ที่ไหนคะทิม...ไปทำเมื่อไร”

“พูดภาษาอังกฤษได้ไหมครับ?” ต้อมถามขึ้น

“อื้อ...อ้า...”

“นิดหน่อย” ทิมตอบแทน

“ค่ะ...พองูๆ ปลาๆ” อารียาตอบยิ้มน้อยๆ

“เป็นเลขานุการิณีของลุงลื้อก็แล้วกัน” ต้อมแนะนำขึ้น

“ท่านเป็นอะไรคะ?” อารียาถามขึ้น

“นายธนาคารที่ค่อนข้างจะกระดูก” ต้อมตอบแทน

“ตายจริง ดิฉันทวงเงินคนไม่เป็นนะคะ”

“อยู่แผนกจ่ายเงิน” ต้อมบอก “คุณนับเงินเป็นไม่ใช่หรือครับ”

“ค่ะ นับเป็น โธ่...ไม่ควรจะถามอย่างนั้นเลย” อารียากระฟัดกระเฟียด

การสนทนาไม่พ้นไปจากงาน ไม่พ้นไปจากเงิน...ดูงานกับเงินจะแยกกันไม่ออกก็อ้ายตอนที่ยังหางานไม่ได้นี่เอง เขากินกันจนเวลาล่วงไปๆ อาหารก็เพิ่มขึ้นมาทุกทีๆ ในที่สุดก็อิ่มแปล้ไปทั้ง ๓ คน

“เฮ้ย หยุ่น...คิดตังค์”

“กันเอง” ทิมพูดเสียงอ่อยๆ และควักผ้าเช็ดหน้า

“อย่าไม่ต้อง” ต้อมผุดลุกขึ้นเดินไปเฉ่งเงิน

เขาเดินองอาจออกมาจากสำนักงานเจ้าหยุ่นเหมือนคนเหยียบโลกไว้อย่างทระนง เขาพาหล่อนเดินห่างที่สุดจากร้านขายของที่สินค้านานาชนิดแปลกๆ ไหลหลั่งพรั่งพรูมาจากทุกทิศทุกทางเหมือนกับพาเด็กเดินหนีจากของแสลง

นัดนี้เป็นของต้อมนัดต่อไปล่ะ และต่อไปอีก เขาคิดสะระตะเตรียมไว้ล่วงหน้า เมื่อแยกจากกับต้อม เขาฟังเสียงต้อมนัดอย่างแม่นยำที่สุด

“เฮ้! พรุ่งนี้บางลำพู”

เป็นอันว่าพรุ่งนี้เขาไม่วิตกแล้ว เขาพาหล่อนไปบางลำพู และเมื่อเพื่อนของต้อมควักเงินออกมาเฉ่งค่าอาหาร เขาก็จะควักผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อตามเคย พอการชำระบิลเรียบร้อยไปแล้วเขาก็จะถอนใจยาวออกมาอย่างโล่งอก วันต่อไปเพื่อนของต้อมหรือมือปืนของต้อมนัดไปเยาวราช เขาก็สว่างอารมณ์ไปได้อีกนัดหนึ่ง ชีวิตของเขาเป็นชีวิตที่ประหลาด เขาเป็นเนื้อเป็นตัวอยู่ได้ เป็นรูปทรงอยู่ได้ ก็ด้วยอ้ายผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่หน้าผากเท่านั้นเอง

เขารับเลี้ยงมาเรื่อยๆ นอกจากตัวเขาเองแล้วยังจะพาแฟนไปเสียอีกด้วย ถ้าเห็นเขาก็ต้องเห็นอารียา ถ้าเห็นอารียาก็จะต้องเห็นเขา ธรรมดาผู้หญิงสวยๆ อย่างอารียาก็น้อยนักน้อยหนาที่จะต้องมีผู้ชายมาผูกสมัครรักใคร่อยู่อีกบ้างตามสมควร แต่คนสำคัญที่สุดที่เขาควรจะต้องระวังก็คือเจ้าคิด กระดูกเหล็ก นักเลงซอยทองหล่อ เขาชอบพาสมัครพรรคพวกมานั่งโต๊ะอารียาเรื่อยไป

“ฉันเกลียดมันเหลือเกิน” อารียาบอก “ตามรังควานอยู่เรื่อย”

คิด กระดูกเหล็ก ของพวกเพื่อนๆ เดินอาดๆ ส่ายไปส่ายมาอยู่ในบริเวณร้านไก่ย่างสนามมวย เขาพูดดังๆ ออกมาแต่เพียงว่า

“ใครเป็นมือปืนเว้ยวันนี้” คิดถามขึ้น “อ้ายยอดใครเป็นมือปืนบอกมา”

“มือปืนผ้าเช็ดหน้า” ผาดร้องขึ้น

หน้าของทิมเผือดลงไปทันที ทำไมเจ้าพวกนั้นรู้ เขาไม่พูดอะไรมากนอกจากก้มหน้า

“มันมีปืนนะ...ทิม”

“ผมก็มีมา” เขาบอก “เห็นจะต้องเล่นกับมันเสียสักที.…คนเรามันก็ยังงี้แหละ ถ้าลงไม่สู้มันก็ได้ใจเอาใหญ่,...ถ้าจริงกับมันเสียหนเดียว”

“อย่า! ค่ะทิม คุณไม่กลัวลาดยาวหรือ?” หล่อนกระซิบ “คุณไปเอาปืนมาจากไหน?”

“ขโมยลุงมา”

เงาของเจ้าคิด กระดูกเหล็ก วูบวาบมายืนอยู่ตรงหน้า เขายิ้มเผล่อวดศักดา

“มือเปล่าหรืออาวุธ...อ้ายเลือดนักต้มกูดูพฤติการณ์มีงมานานแล้ว...ที่จะหางานให้อ๋อยทำ บอกมา...มือเปล่าหรืออาวุธ”

หน้าของทิมซีดไปหน่อยหนึ่ง แต่แล้วก็กลับเข้มขึ้นมา เขาปัดโต๊ะล้มลงไป

“ได้ทุกอย่าง”

“ปืน” คิดตวาดเสียงลั่น

“อ๋อได้” ทิมร้องขึ้น

“หนึ่ง - สอง..” คิด กระดูกเหล็ก นับ “เตรียมตัว”

“ต้องคนกลางนับ” ต้อมร้องขึ้น “กันนับเอง”

ครั้นแล้ว เสียงนับของต้อมก็ดังลั่นขึ้น

“หนึ่ง สอง ซ้ำ...”

เสียงปืนระเบิดขึ้น ๑ นัด ร่างของทิมล้มลงไป คิด กระดูกเหล็ก ฉุดข้อมืออารียาไปขึ้นรถ ขับหนีออกไปต่อหน้าต่อตา ทิมโดนยิงข้อมือเลือดสาด

ต้อมร้องขึ้นด้วยความโกรธแค้น เมื่อผู้คนล้อมรอบเข้ามาพร้อมด้วยตำรวจ

“บ้าบัดซบ!” เขาร้องเสียงลั่น “ทำไมเสือกไปควักเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา”

“มือมันเคยว่ะ!” ทิมพูดเสียงอ่อยๆ “กันได้ยินเสียงเหมือน เฮ้ย! เก็บตังค์!” ○

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ