จับตาย

(เรื่องเอกที่ตีพิมพ์ในหนังสือ SPAN)

ถึงอย่างไร พวกเขาทั้งหลายก็ไม่ย่อท้อต่อการที่จะโค่นต้นไม้เหล่านั้นลงมาตามหน้าที่ของเขา พวกเขามีอยู่ด้วยกันราว ๑๔๐ คน เขาอยู่กันตามไหล่เขา ปลูกเป็นกระท่อมเล็กๆ หลังคามุงด้วยใบหวาย ต้นไม้เหล่านั้นใหญ่บ้างเล็กบ้าง บางต้นใหญ่จนเมื่อเขาโค่นมันลงมาแล้ว มันล้มเสียงดังราวกับฟ้าผ่า พวกเขาจะออกไปทำงานได้วันละ ๕๐ คนบ้าง ๖๐ คนบ้าง เหลือนอกนั้นสั่นด้วยพิษไข้จับสั่น มาลาเรียน่ะหรือ? เขาเป็นกันทั้ง ๑๔๐ คนนั่นแหละ

ทุกๆ คนที่นั้นเป็นอาชญากรสำคัญๆทั้งสิ้น โทษจำคุกของเขาตั้งแต่สิบปีขึ้นไป ทุกๆ คนเคร่งขรึม พูดน้อยทำจริง ในเวลาว่างเขาจะคิด...คิดกันไปต่างๆ นานา จะมีอะไรเล่า? บ้าน ไร่นา แล้วก็ลูกเมีย พ่อ แม่ เมีย...เมียของเขา มันช่างเป็นคำซาบซึ้ง น่าคิดถึง น่าคร่ำครวญถึงที่สุด สำหรับพวกเขาในขณะนี้น่ะหรือ? เมียของเขางามกว่าดาวทุกดวงบนท้องฟ้า งามกว่าดอกไม้งามทุกชนิดในโลกนี้ และหายากยิ่งกว่าไข่มุกเม็ดที่มีค่าที่สุดในก้นทะเล แล้วเมื่อไรเล่าเขาจะได้พบเมียของเขา คนนั้นเหลืออีก ๗ ปี คนนี้เหลืออีก ๑๒ ปี มันไม่ใช่เวลาน้อยๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเฝ้าคอยอยู่ด้วยความหวัง หวังแล้วหวังเล่าว่าเขาจะได้พบเมียของเขา

เขาถูกส่งมาจาก “ไอร์เยอร์กระดง’ ที่ตั้งกองบัญชาการของ “ทัณฑนิคม” เมื่อครั้งกระโน้น ซึ่งที่ตั้งกองบัญชาการนั้นห่างจากจังหวัดยะลาเข้าไปในป่าลึกราว ๙๐ กิโลเมตร และที่ๆ เขาถางป่าอยู่เดี๋ยวนี้ห่างจากกองบัญชาการมาอีกราว ๒๐ กิโลเมตร เขาจะต้องโค่นต้นไม้เหล่านี้ให้หมด เพื่อกองทางจะได้ตัดถนนสายยะลา - เบตง ให้คืบหน้าต่อไป เมื่อเขายกกองกันมาใหม่ๆ เขาเห็นที่แห่งนั้นมีชัยภูมิดี เพราะมีที่ราบอยู่นิดหนึ่ง ขนาดสนามฟุตบอล และมีหญ้าคาขึ้นรกรุงรัง จึงถือเอาเป็นที่พำนักพักพิง เลยตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่า “ดอนหญ้าคา”

เขามีข้าวสารโดยทางกองบัญชาการจ่ายให้ เขามีค่ากับข้าววันละ ๕ สตางค์ เขาจะซื้อกับข้าวในร้านรับประทานได้ เพราะมีร้านสหกรณ์เท่าร้านชำเล็กๆ ในพระนครตั้งอยู่ร้านหนึ่ง การลำเลียงของมาร้านใช้ช้างบรรทุก ในเวลาเย็นๆ เขาเสร็จงานเขาก็ช่วยกันหุงข้าวด้วยหม้อเล็กๆ บางคนก็เอาเนื้อเค็มออกมาย่าง บางคนร่ำรวยจากการพนันมาก็กินปลากระป๋อง เขาไม่เคยพบปลาสดๆ เลย ถ้าเขาจะแกงเขาจะใช้ปลากระป๋องนั้นเองแกง ที่จริงในป่าสูงอย่างป่ามลายูนั้น ถ้าได้กินแกงปลากระป๋องก็ไม่ใช่ของเลว บางคนก็มีนกมาย่าง นกนั้นเรียกว่านก “กะหว้า” (นกยูงขาว) เขาไปดักมาได้แต่ยอดเขาสูง โดยใช้พริกแดงๆ ล่อไว้หน้าคลึง เจ้านกยูงขาวจะรำแพนเข้ามาด้วยความคึกคะนองแล้วติดคลึง บางทีเขาก็ได้กบ หรือ “กบยักษ์” เพราะว่ามันเป็นกบป่า ตัวมันเท่าเด็กเกิดใหม่ทีเดียว ที่นั่นฝนตกเนืองนิตย์ เขียดเหลืองและปาดก็รับประทานกัน เวลาเขาอดมากๆ เข้า เขาก็ขอยืมปืนฉันไปในป่ายิงค่างมาแกงกินกันอย่างเอร็ดอร่อย สำหรับค่างที่นั้นเขาเรียกกันว่า “กวางโจน” กวางจริงๆ ก็เคยได้บ่อยเหมือนกัน สมเสร็จมีมาก หมีก็เคยได้ เขาได้แจกจ่ายเฉลี่ยกันไป ตัวด้วงตัวแมลงต่างๆ และจิ้งหรีด เขาก็ทอดกินกันอย่างเอร็ดอร่อย เสร็จแล้วก็นั่งล้อมวงคุยกันเป็นหมู่ๆ ที่ไข้เจ็บก็ล้มลงนอน ที่สร่างไข้ก็ลุกขึ้นนั่ง ชีวิตของเขาเป็นชีวิตที่ไม่มีใครอิจฉาเลย

ทุกๆ คนที่นั่นดีต่อฉันเสมอ เย็นๆ เขาจะมาต้มน้ำให้ฉันอาบ ฉันก็สั่งให้ต้มถั่วเขียวขึ้นรับประทานกันโดยใช้น้ำตาลทรายแดงแต่พอหวานๆ ในเวลาเย็นๆ เขาจะเอาถั่วเขียวนี้แช่น้ำแล้วเพาะไว้ รุ่งขึ้นมันก็งอกเป็นผักอันโอชะสำหรับเรา เราเป็นพวกอยู่ไม่ค่อยเบ็นที่ ผักที่ปลูกไม่ค่อยจะโตทันรับประทาน ฉันยังจำเขาได้ดี เขาปรุงอาหารเก่ง เขาเดินป่าคล่องแคล่ว เขามาจากแม่ฮ่องสอน เขาชื่อ “พร” รูปร่างสันทัดคน แต่แข็งแรงเหลือประมาณ นอกจากความซื่อสัตย์ ขยันหมั่นเพียรของเขาแล้ว พรยังเป็นนักดนตรีที่ดี เขาชอบดีด “ซึง” ในเวลาดึกสงัด พร้อมกับร้องเพลงซึ่งมันเยือกเย็นจนขนลุกซ่า ระหว่างร้องเพลงเขาดีดซึง...“แตรง...แตรง” คลอไปด้วย เขาเล่นซึงแบบกีตาร์สแปนิช บางทีก็รูดอย่างฮาวายตามทำนองเพลง “เงี้ยว” ของเขา หน้าเขายิ้มอยู่เสมอ แม้ฉันจะเอ็ดตะโรเอาบ้างเป็นบางคราว แต่ในแววตาของเขามันเศร้าพิกล ฉันบอกไม่ถูกว่าทำไมความเศร้านั้นจึงเข้าไปแฝงอยู่ในดวงตาของเขา จะมีอะไรเล่าท่าน นอกจาก “บ้าน” จะมีคำอะไรอีกเล่าที่จะจับใจเขาเท่าคำนี้ ถึงฉันเองก็คิดถึงน้อยอยู่เมื่อไร

ถ้าฉันได้มีเวลาว่างวันใด ฉันก็เรียกช้างจากกองช้างสองเชือก บรรจุอาหารพร้อมด้วยปืน เรียกเพื่อนพนักงานไปด้วยกัน ในจำนวนเจ้าพนักงานที่เป็นเพื่อนสนิทของฉัน เรามีประสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วย เขาเป็นเพื่อนที่หนุ่มที่สุดในหมู่พวกเรา อายุของเขา ๒๔ ปีเท่านั้น เขาร้องเพลงเก่ง เขาพูดเก่ง เวลาเขาพูดคนมักจะอดหัวเราะเขาไม่ได้ เขาเป็นนักกีฬาที่ดีมาแล้วตั้งแต่อยู่โรงเรียน เลือดเขาร้อน เขาชอบพูดเสมอว่า เขาได้มวยถ้วยรุ่น ข. และได้เหรียญทองในทางวิ่งทน เพื่อนฝูงจะไม่ชอบเขาอยู่บ้าง ก็เพราะว่าเขาเป็นคนชอบขัดคอคน ชอบล้อเลียน เขาทำท่าทำเสียงพูดของคนที่เขาต้องการจะล้อได้เหมือนและสนิทแนบเนียนที่สุด นักโทษส่วนมากรักใคร่เขา เขาดื่มไม่ค่อยเป็น แต่ถ้าเวลาเขาเกิดต้องการดื่มขึ้นมาแล้ว เขาดื่มเสียถึงพยุงปีกกันทีเดียว เขาชอบผจญภัยมาก จึงมาทำงานกับฉันในป่า

ข้อเสียของประสิทธิ์ก็คือ เขาถูกอบรมมาจากโรงเรียนฝรั่ง กิริยาอันตรงไปตรงมาขวานผ่าซากและฉุนเฉียวของเขาบางครั้ง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดแก่คนอื่นๆ เสมอ แต่ฉันรู้นิสัยของเขาได้ดี เขามีอารมณ์ของเขาชนิดนั้นเพียงชั่วครู่หนึ่งยามเดียวเท่านั้น น้ำใจอันแท้จริงเขาไม่ได้เป็นไปตามกิริยาอาการเหล่านั้นด้วยเลย ดังนั้นฉันจึงต้องคอยตักเตือนเขาอยู่เสมอ เราพากันขี่ช้างบุกไปในป่า ในป่าเหล่านั้นเป็นป่าทึบไม่มีทางเดิน ตามพื้นดินเต็มไปด้วยตัวทาก ในป่าเต็มไปด้วยหนามหวาย ไม่มีที่โล่งเตียนเลยนอกจากลำธาร ช้างต้องบุกไปตามลำธาร ขึ้นจากลำธารก็ต้องขึ้นเขา ช้างต้องใช้งวงของมันยึดต้นไม้ไว้แน่น กว่ามันจะก้าวไปก้าวหนึ่ง มันจะต้องใช้เท้าลองเหยียบก้อนหินดูนานๆ ว่าพอจะทนน้ำหนักตัวของมันได้หรือไม่ มั่นใจแล้วจึงเดินต่อไป เราไปตามหมู่บ้านชาวป่า ซึ่งน้อยนักน้อยหนาที่จะมีคนได้เคยไปพบ เราไปถึงบ้านแมะหวาด ลึกเข้าไปถึง “วังหิน” “ปู่เลา” “วังไซ” หมู่บ้านเหล่านี้เป็นหมู่บ้านของคนป่าแท้ๆ ไม่เคยไปแม้แต่เพียงจังหวัดยะลา หมู่บ้านหนึ่งๆ มีบ้านราวๆ ๒๐ - ๓๐ ห้อง ใช้ไม้ไผ่ทะลุปล้องขนาดยาวใส่น้ำไว้รับประทานบ้านละหลายๆ กระบอก เราไปซื้อไก่เขารับประทาน และซื้อมะพร้าวจากเขา ที่บ้านเขาเต็มไปด้วยผลไม้ ทุเรียน ลูกเงาะ ลางสาด ฯลฯ แต่เราเบื่อเสียแล้วเรามาตามทางมันเต็มไปด้วยลูกไม้ชนิดนี้ทั้งนั้น ในเวลากลางคืนเขาพาเราออกไปส่องสัตว์ ฉันใช้ไฟฟ้าเดินทางส่องได้กวางตัวหนึ่ง เจ้ากวางเคราะห์ร้ายตัวนั้นเป็นกวางเทียนตัวใหญ่ถนัดนัยน์ตามันแดงเหมือนเลือดขณะที่มันยืนมองดูไฟ ฉันก็แบ่งเนื้อให้เขาทั่วหน้ากัน เอากลับมายังกองถางป่าแต่พอรับประทาน ที่บ้าน “วังไซ’ นี่แหละได้มีนิยายเกิดขึ้น

ที่จริงฉันมาอยู่กับพวกเขา ๑๔๐ คนนี้ ก็แปลว่าฉันได้เข้าไปอยู่กับนิยาย ๑๔๐ เรื่องนั่นเอง ชีวิตของเขาเป็นนิยาย เรื่องชีวิตของเขามีรสชาติแตกต่างกันทุกๆ คน

ที่ “วังไซ” เราได้พบหญิงสาวที่สวยเข้าคนหนึ่ง ทำไมหญิงนี้จึงสวยกว่าชาวป่าอื่นๆ ฉันสืบถามดูก็ได้ความว่า บิดาเป็นจีนมาขายของที่นี่เลยมาได้กับชาวพื้นบ้าน หญิงผู้นี้จึงขาวสวย รูปทรงจัดอยู่ในชั้นดี ถ้าหากว่าหล่อนจะมีเสื้อผ้าดีๆ กว่านั้น พรได้หลงรักหญิงสาวผู้นี้อยู่นานแล้ว เขารักหล่อนอย่างจริงๆ ครั้งหนึ่งเขาเคยบอกกับฉันว่า ถ้าเขาพ้นโทษเขาจะอยู่ที่นี่แหละ อยู่กับฉันต่อไป เขาจะมีเมีย

“จริงๆ นะครับ...” เขาว่า “หวันมันสวยได้การแล้ว การงานมันก็เก่ง ทีแรกคิดว่าจะชวนมันขึ้นไปอยู่แม่ฮ่องสอน แต่มันคงไม่ยอมไปหรอก”

“ได้การแล้วหรือ?” ฉันถาม

“ยังหรอกครับ...แต่ว่า ผมต่อไว้ร้อยเอาหนึ่งทีเดียว ยายแม่ก็รักผม เงินผมออก ผมซื้อของไปให้ทุกที”

ฉันยังสงสัยอยู่มาก ที่พ่อแม่ของผู้หญิงจะยกลูกสาวของเขาให้แก่นักโทษได้อย่างไร แต่มันก็อาจเป็นไปได้ด้วยเขาก็ไม่รู้ อย่างน้อยพรคงไปปดว่า เขาไม่ใช่นักโทษ เขาเป็นคนงานคนหนึ่ง เพราะถ้าเขาออกไปเที่ยวป่าเขามักจะแต่งตัวดี นุ่งกางเกงขาสั้นสีน้ำตาล เสื้อเชิ้ตสวยๆ และมีหมวกซันแฮตที่ฉันให้ไปกับรองเท้ายาง ทางผู้หญิงจึงคิดว่าเขาเป็นคนดี

ที่วังไซ คืนวันหนึ่งฉันไม่ได้ออกไปยิงสัตว์ ฉันได้ยินเสียงคนคุยกันพึมพำอยู่ใต้ต้นมะพร้าว ฉันจึงย่องออกไปดูที่ระเบียง ฉันเห็นผู้หญิงกับผู้ชายสองคนกำลังคุยกันอยู่ ฉันต้องเบือนหน้าหนีจากภาพอันแสดงความเสน่หายาใจเช่นนั้น ฉันคิดถึงความเปล่าเปลี่ยวใจ จะเหลียวหาความรักที่ไหนก็แลหาย ได้ยินแต่เสียงจักจั่นและ “จงโคร่ง” ที่ร้องกระโชกมาเป็นระยะๆ เสียงเปิบร้องของนางเก้ง เสียงลมกระทบใบกล้วยป่าและอ้อยช้างที่ข้างเขา ดังเหมือนเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ของกองทัพมหึมา ที่กำลังโห่ร้องก้องปีก ฉันได้ยินแม้เสียงถอนหายใจของเขา ทำให้ฉันรู้สึกว่า ชีวิตของเขาช่างหวานแสนหวาน...หวานเสียนี้กระไร

เสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นมาบนบันได ฉันเหลียวหน้าไปดู ฉันแทบไม่เชื่อเลยว่า คนผู้นั้นคือพร ก็ถ้าเช่นนั้นผู้ชายคนที่กำลังคุยกับผู้หญิงที่ใต้ต้นมะพร้าวนั้นเล่า ฉันจึงเดินรีบย่องเข้าไปหาพรและพูดกับเขาด้วยเสียงกระชิบ

“ไม่ใช่แกหรอกหรือพร?”

เขาพยักหน้ารับอย่างเงื่องหงอย แม้บนเรือนนั้นมืดมัว มีแต่แสงดาวบนฟ้าส่องลงมา พอจะเห็นกันได้เพียงรางๆ ก็ตาม แต่ด้วยความสังเกตของฉัน ฉันรู้ดีว่าเขาเศร้า คอของเขาตก ผมห้อยลงมาปรกหน้าเป็นอาการของนักโทษที่กำลังได้รับคำพิพากษาให้ประหารชีวิต

“ถ้าเช่นนั้นใครล่ะ?” ฉันถาม

“คุณประสิทธิ์...” เสียงของเขาแหบแห้งและเครือจนเกือบจะฟังไม่รู้เรื่อง

“โธ่ ประสิทธิ์” ฉันครางออกมาอย่างอ่อนใจจริงๆ ประสิทธิ์ดอกหรือที่กำลังจะเด็ดแม่ช่อพุทธชาดป่าของเขาไป ประสิทธิ์ได้พบหญิงชาวป่าผู้นี้เข้า เขาคงจะชอบใจหล่อน ในกลางป่าเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ ใครเลยจะหนีพ้นจากสัญชาตญาณแห่งเรื่องเพศไปได้ แต่ประสิทธิ์ไม่รู้ดอกว่าเขาได้ประหารชีวิตพรเสียแล้ว

“เขาไม่รักแกหรอกหรือ?”

พรหายใจดังเฮือก พยายามกลืนเอาความคับแค้นให้ล่วงลงไปเสียในลำคออย่างแสนยากลำบาก

“แต่ผมต้องชนะ...ต้องชนะ...ผมไม่แพ้ใครหรอก”

“อย่าพูดอย่างนั้น พร...” ฉันห้ามเขา “ควรคิดแต่ว่าไม่ก่อเวร การได้หรือเสียเป็นเรื่องของลูกผู้ชาย ถ้าเราไม่ได้เราก็เสีย ถ้ามนุษย์คิดแต่ได้ถ่ายเดียว ใครเล่าจะยอมเสีย...”

เขาได้แต่ถอนใจใหญ่ จะเข้าใจในคำพูดของฉันแค่ไหนก็ไม่รู้ ท่านลองพิจารณาดูทีหรือว่า เรื่องเพียงแค่ก้อยนี้ จะได้กลายเป็นเรื่องใหญ่หลวงขึ้นได้ในชีวิตของเขา

“ผมเชื่อคุณ...ผมไม่เคยแพ้ใคร ตายเสียดีกว่า” เขาว่า “แต่นึกอีกทีหนึ่งแผ่นดินก็ไม่ไร้เท่าใบพุทราหรอกครับ"”

ฉันเอื้อมมือไปตบหลังเขา สักครู่หนึ่งประสิทธิ์ก็พาหญิงสาวชาวป่าที่บริสุทธิ์ราวกับช่อพุทธชาดนั้นเดินเล่นไปในทางเดินเล็กๆ แล้วไปหยุดที่รั้วเก่าๆ ท่ามกลางแสงดาวที่สลัวๆ ช่างเป็นสุขอะไรเช่นนั้น แต่ฉันเองยังระงับสติอารมณ์อันแปลกๆ ไว้ไม่ได้ ก็พรเล่า...อารมณ์ของเขาไม่เหมือนกับปลาที่ถูกทุบหัวอย่างหนักๆ ดอกหรือ?

ด้วยคำพูดของฉันดอกกระมังที่ทำให้เขาล้มตัวลงนอน แต่ฉันรู้เขาไม่หลับหรอก เขาจะหลับลงไปไม่ได้เป็นอันขาดในเมื่ออารมณ์ของเขากำลังตื่นและลืมตาโพลงอยู่ในความเดือดดาลทะยานใจ ไม่มีทิพยรสอะไรในโลกนี้ที่จะชุบย้อมหรือชโลมลูบความร้อนระอุของเขาให้เหือดหายลงไปได้ นอกจาก “แม่พุทธชาดป่า” นั้นคนเดียวเท่านั้น...แต่หล่อนกลับไม่มาหาเขาเสียแล้ว วัยของเขาได้บอกให้หล่อนรู้ว่า อายุ ๓๘ ปีนั้น เขาเป็นคนน่ากลัวเอาการอยู่ ผิดกับเจ้าหนุ่มน้อยเพื่อนของฉันราวดินกับฟ้า ฉันต้องรีบเดินทางกลับอย่างเร็วที่สุด กลับไปยังดอนหญ้าคา กลับไปหาต้นไม้ใหญ่ที่เราจะต้องโค่นมันลงมาให้หมด เพราะรถขุดถนนและพวกตอได้ไล่หลังเราเข้ามาแล้ว นอกจากนั้นฉันต้องการให้ประสิทธิ์ลืมแม่ดอกไม้ป่านั้นเสีย...เขาคงไม่รักหล่อนจริงหรอก ฉันรู้ว่าประสิทธิ์รักอยู่กับใคร หล่อนโก้หร่านเพียงไร ไฉนเล่าจะมาใยดีต่อเด็กหญิงชาวดงผู้นี้ แต่ฉันคาดผิดไปหมด

วันเวลาได้ล่วงไป ฉันเฝ้าสังเกตดูกิริยาอาการของพร ฉันเห็นใจเขา เพราะว่าฉันเคยรัก ฉันเคยพลาด ฉันเคยคิดว่าจะเอาปืนลั่นสมองของฉันให้มันละเอียดเป็นผุยผง มันเป็นอารมณ์บ้าบอของผู้ผิดหวัง พรได้มาลาฉันในเช้าวันหนึ่ง เขายิ้มอย่างแห้งแล้งเต็มที

“จะไปหาเขาหรือ?”

“ครับ...วันนี้แหละรู้เรื่องกันเสียที” เขาตอบ “ผมเตรียมซื้อน้ำตาลไปฝากเขาด้วย ขนม ๒ - ๓ อย่าง เขาชอบ”

ฉันอนุญาตให้เขาไปได้ เขาได้ทำงานไว้ให้ฉันเรียบร้อย เช้าวันนั้นอากาศแจ่มใส เสียงชะนีและค่างร้องก้องดง กรรมกรที่ไม่จับไข้เข้าป่าหาอาหารกันแล้ว บางคนก็นั่งตัดหวายเพื่อทำไม้เท้า บางคนเอาใบหวายมาเย็บเพื่อทำจากไปมุงหลังคา ฉันนั่งเขียนจดหมายถึงแม่ พรไปได้สักครู่หนึ่ง ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าช้างบุกสวบๆ มาตามกอหญ้า ฉันเหลียวไปดูก็แลเห็นประสิทธิ์นั่งถือปืนยิ้มแฉ่งมาบนหัวช้าง มืออีกข้างของเขาจับใบหูของมันไว้ ประสิทธิ์เรียกฉันด้วยความคึกคะนอง

“สกล...ไม่ไปอีกหรือ?”

“ไปไหน?...”

“ไปวังไซน่ะซี...” เขาร้องบอกฉัน “กันติดใจอ้ายเด็กบ้าคนนั้นได้แฮะ”

ฉันตกใจมาก...ฉันไม่อยากให้ประสิทธิ์ไป ฉันสังหรณ์ใจอย่างไรพิกล แต่ประสิทธิ์เป็นคนดี เป็นคนใจกว้างขวางอารีอารอบ นักโทษรักเขา ฉันคิดว่าพรคงจะไม่อุกอาจที่จะไปทำเรื่องกับเขาขึ้น แต่ถึงกระนั้นฉันก็ไม่วายตกใจ คำพูดของพรยังจับใจฉันอยู่ในเรื่องการแพ้การชนะของเขา แต่ฉันปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเสีย ฉันลงมือเขียนหนังสือของฉันต่อไป

ในตอนเย็นฉันก็ได้รับข่าวร้ายตามที่ฉันสังหรณ์ใจ พรแย่งปืนจากประสิทธิ์ แล้วใช้พานท้ายฟาดหน้าเขาด้วย พรได้หนีเข้าป่าไป เขาฝากจดหมายมาถึงฉันมีใจความดังนี้

นายครับ...

ผมต้องขอลานาย ผมเชื่อนายเสมอแหละ แต่ผมบอกนายแล้วว่า ผมไม่เคยแพ้ใคร เขาทำผมก่อน เขามาตบหน้าผม ผมเจ็บใจนักเพราะต่อหน้าหวัน ผมจึงทำเอาบ้าง แต่ผมเห็นแก่นาย ผมไม่ให้เขาตายหรอก ปืนผมต้องขอเอาไป เขาคงสั่ง “จับตาย” หรอกนะครับ แต่ว่าผมไม่อยู่ให้จับหรอก ผมจะหนีออกทางไทรบุรี ขอนายอย่าได้ติดตามผมเลย ให้คุณประสิทธิ์เขาตามดีกว่า

พร

อ้อ! วานมีหนังสือไปบอกเมียผมทีเถอะ บอกว่าเสือพรมันเข้าป่าอีกแล้ว ให้มันบอกอ้ายเท่งว่า ให้มันเตรียมตัวเถอะ ที่มันขโมยเมียของเขาไป ถ้าชาตินี้พรมันตายเสียกลางป่าอย่างเสือ ไว้ชาติหน้าจะขออธิษฐานตามไปฆ่ามันเสียจงให้ได้...”

ฉันพับจดหมายฉบับนั้นเก็บไว้ เวลาค่ำประสิทธิ์ก็มาถึง ฉันได้รู้เรื่องเพิ่มเติมจนกระจ่างขึ้น ประสิทธิ์ไปช้าง การเดินทางจึงช้ามาก เขาไปถึงทีหลังพร เขาได้พบพรกำลังอยู่กับแม่สาวชาวป่าผู้นั้น ประสิทธิ์จึงใช้วิธีไล่โดยการใช้พรให้ไปหาซื้อเหล้าและไก่มาให้เขา พรขัดขืนเขาและพูดยั่วโทสะ เขาจึงตบหน้าเอา พรโกรธมาก เขาจึงแย่งปืน และใช้พานท้ายปืนตีประสิทธิ์จนหน้าบวม

ท่านสารวัตรเรือนจำโกรธจัดจนตัวสั่น ท่านได้ออกเดินทางมาด้วยตนเองจาก “ไอร์เยอร์กระดง” ในเวลาเช้าแห่งวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ได้รับรายงานจากฉันแล้ว

“ไงสกล"” ท่านทัก “อ้ายพรคนนี้ร้ายนักหรือ?”

“เอาการอยู่ครับ” ฉันตอบ

“จับตายเลย เข้าใจไหม? เอาไว้ไม่ได้หรอก เอ้าลูกปืน…ไรเฟิลก็เอามาให้ ที่นี่มีลูกซองทั้งนั้นไม่ใช่หรือ? อ๋า! บราวนิงยิงนกนี่ ลูกมันขัดเก่ง ออกเดินทางเดี๋ยวนี้แหละ มันไปไม่รอดหรอก เพราะเราสั่งพวกแขกเขาไว้หมดแล้วว่า ถ้าอ้ายพวกนี้หนีไป ขออย่าให้ใครให้ข้าวกิน”

ฉันรับคำท่าน แต่ใจฉันไม่อยากไปเลย ฉันไม่กลัวเขาหรอก แต่ฉันไม่อยากยิงเขา ฉันยังจำภาพที่ฉันยิงเสือยับได้ดี ก่อนที่มันจะตาย มันยังมองดูฉันด้วยนัยน์ตาอันใสแจ๋ว ฉันจำได้ติดตาทีเดียว ตามันแจ๋วอยู่จนมันขาดใจตาย แต่ฉันก็ต้องไป เพราะมันเป็นหน้าที่ของฉันที่จะยิงใครๆ ได้ทั้งนั้น ถ้าเขาทำผิดกฎข้อบังคับของเรือนจำ ฉันแต่งตัวรัดกุม พันแข้งกันตัวทาก มีกระป๋องติดหลัง ในนั้นมีอาหารแห้งพวกข้าวสาร เราใช้นักโทษหาบหามไป ถ้าฉันออกล่าเสือในป่าฉันจะพอใจมาก แต่นี่มันเป็น “เสือคน” เสือที่มันดีต่อฉันเหมือนแมว

ครั้งแรก ฉันได้บ่ายหน้าไปทางบ้าน “วังไซ” ก่อน ถึงอย่างไรเสือพรคงไม่ละถิ่นคนรักของมัน ที่มันบอกว่าจะหนีขึ้นทางไทรบุรีนั้นดูจะเป็นอุบายเสียมากกว่า เพราะว่านักโทษทุกคนที่หนีไปทางนั้น เจ้าหน้าที่ทางไทรบุรีเขาก็จับส่งมาให้เราทุกที มันคงซุกซ่อนอยู่แถวนั้นเอง อีกอย่างหนึ่งพรมีลูกปืน ๕ นัดเท่านั้น ฉันจะต้องจับเป็นมาให้ได้ ฉันไม่อยากยิงเขาเลยนอกจากป้องกันตัว หรือเพื่อช่วยชีวิตของฉันไว้

ฉันแยกย้ายออกไปเป็นพวกๆ ไปตามลำธารใหญ่ๆ มันทิ้งน้ำไปไม่ได้หรอก มันต้องอยู่ใกล้น้ำ เพราะว่าลำธารคือถนนของป่าดิบ ๓ - ๔ วันล่วงไป เราก็ยังไม่ได้ข่าววี่แววเลย จนวันที่ ๔ เขาได้ข่าวว่าแขกบ้านหนึ่งถูกบังคับให้หุงข้าวให้มันกิน เงินทองข้าวของไม่ได้เอาสักเก๊เดียว กินอิ่มแล้วก็ไปและทิ้งเงินไว้ให้เสียอีกด้วย ข่าวปล้นเกิดขึ้นที่ไหน เราก็ตามมันไปที่นั่น แต่พรไวมาก มันเล็ดลอดหนีเราไปได้ทุกที

เย็นวันหนึ่ง ชาวบ้านได้กระหืดกระหอบมาหาเรา เขาบอกว่าพรมาแอบนอนอยู่ที่กระท่อมร้างในสวนยางของแขกซึ่งได้อพยพไปอยู่ “ธารโต” เราดีใจมาก แน่นอน มันคงจะอดอยากเต็มทีและคงจะเจ็บไข้ ฉันเตรียมปืนและคนไว้พร้อมเราออกเดินทางทันที ฉันสั่งให้แยกกันไปคนละทางเพื่อเข้าล้อมกระท่อมร้างนั้นไว้ห่างๆ เรามั่นใจกันเต็มที่ แต่เมื่อเราไปถึงที่หมาย เรารู้สึกประหลาดใจมากที่เราไม่เห็นวี่แววเลย ว่าจะมีพรอยู่ในกระท่อมนั้น

ด้วยน้ำใจแห่งไมตรีจิตมิตรภาพ ด้วยสัญญาณแห่งความรักใคร่ใยดี ฉันเกิดความมั่นใจขึ้นอย่างหนึ่งว่า พรจะไม่ยิงฉัน ฉันลุกขึ้นและเดินเข้าไปเฉยๆ มือของฉันทิ้งปืนเมาเซอร์ไรเฟิลกระบอกเดียวเท่านั้น ฉันเดินตรงเข้าไป หัวใจของฉันเต้น เขาไม่ยิงฉันหรอก แต่ว่าอำนาจของเขาแรงอย่างบอกไม่ถูก ฉันไปถึงประตู ฉันยังไม่กล้าเปิด

“พร...ออกมาพูดกันดีๆ...”

ใจฉันเต้นแรงเมื่อบานประตูผุๆ นั้นเปิดออก ฉันคิดว่าฉันคงได้เห็นร่างอันผ่ายผอมเพราะไข้และความอดอยากของพรเป็นแน่แท้ แต่ฉันต้องตกตะลึงเหมือนถูกผีหลอก ไม่ใช่ร่างของพรหรอก แต่กลับเป็นร่างของหญิงสาวชาวป่า แม่พุทธชาดแรกรุ่นดรุณีของพร

“หวัน...” ฉันเรียก “บอกให้พรออกมา”

“เขาไม่ได้อยู่จ้ะ” หล่อนพูดแปร่งอย่างไทยใต้

ฉันกระโดดพรวดเดียวเข้าไปในประตู เป็นความจริงเช่นนั้น ในกระท่อมนั้นไม่มีพรอยู่เลย ฉันจ้องหน้าหล่อนรู้สึกตัวเองเหมือนกันว่าคงจะดุดันที่สุด จนกระทั่งเด็กหญิงรุ่นสาวผู้นั้นเกิดความประหม่ากลัว

“เขาไปเมื่อครู่เอง เขาเจ็บมาก” หล่อนบอก “เขาสั่งไว้ว่าให้ขอยานาย ยาควินิน แล้วก็ขอบุหรี่นายสูบ...”

ฉันหันกลับ ฉันไม่เคยเศร้าใจครั้งใดเหมือนครั้งนี้เลย ฉันไม่อาจที่จะมองไปยังริมฝีปากของหญิงสาวที่ยังไม่เดียงสานั้น ริมฝีปากที่บางและอ่อนนุ่มราวกับกลีบดอกไม้ สั่นระริกเหมือนร่างของหล่อน ฉันสงสารความรักของหล่อน ฉันสงสารอ้ายเสือที่ต่อสู้กับภยันตรายหลายทาง สู้กับฉันซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ สู้กับไข้จับสั่น สู้กับความหิวโหย สู้กับความขมขื่นในเรื่องรักที่เต็มไปด้วยความกระเทือนใจ เขาต้องชนะสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร เขาต้องแพ้ แต่แพ้-ชนะของเขามันกินความหมายมากไปเสียแล้ว ถูกละซี เขาชนะ เขาไม่เคยแพ้ใคร ก็ดูซี นี่ไม่ใช่ “ช่อพุทธชาด” ของ “ป่าดิบ” ดอกหรือนี่! เด็กหญิงที่น่าสงสาร

ฉันต้องกลับที่พักด้วยความเหนื่อยและอ่อนใจ ฉันไม่ยิงเขาหรอก แต่เขาต้องการยาจากฉัน ทำให้ฉันหันไปคิดถึงเรื่องยาต่างๆ ที่ฉันมีอยู่ ควินิน อาเตบริน ควินโนพลาส โมควิน ฉันจะชื่นใจสักเพียงใด ถ้าฉันได้หยิบยื่นยาเหล่านี้ให้เขากิน แต่ฉันไม่ให้เขาดอก ไม่ใช่ไม่สงสารเขา ฉันมาจับเขาต่างหากล่ะ ฉันมายิงเขาไม่ใช่หรือ! อนิจจา! พวกเรานอนกางมุ้งกันทุกคน ยังจับไข้กันเสียงครางฮือ ก็แล้วเขาเล่า เขาจะได้มุ้งที่ไหนนอน ไม่ช้าหรอกเขาต้องแพ้

ฉันได้ให้คนของฉันคอยสะกดรอยแม่ “ดอกไม้ป่า” ผู้นี้ไว้ เดี๋ยวนี้เรารู้ดีแล้วว่า หล่อนได้ไปพบกับพรเป็นบางคราว หรือในโอกาสตามแต่ที่จะได้นัดหมายกันไว้ ฉันให้คนไปเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของหล่อน แต่แม่ดอกไม้ป่าผู้นี้หล่อนเปรียวเหมือนไก่ป่า ฉันรู้ดีว่าหล่อนเคยเป็นมิตรของพวก “เงาะ” เจ้าพวกซาไก พวกนี้เรียกหล่อนว่า “เจ้านาย” พวกเงาะไปช่วยหล่อนตำข้าวในเวลาเช้า ในเวลาเย็นก็พากันกลับ หล่อนก็จะให้ข้าวสารไปหน่อยหนึ่งเพื่อเป็นค่าแรงงาน เมื่อเด็กๆ หล่อนเคยเล่นกับเด็กๆ ซาไก พวกซาไกไวอย่างไรน่ะหรือ? อ๋อ ไก่ป่าทีเดียวแหละท่าน เราเคยให้กางเกงเขานุ่ง พอจะเข้าป่าเขาก็คงเข้ารูปเดิมของเขา ถอดกางเกงมาผูกเอว เมื่อเข้าป่าได้แล้วเราวิ่งตามไปดู ว่าเขาจะเดินกันอย่างไร เพราะตามปกติเราไม่เห็นเขาเดินตามทางคนเดินเลย เขาไม่ได้เดินดอก เขาหายตัวไป เขากระโดดเข้าหาต้นไม้ต้นนี้แล้วไปต้นโน้น เราไม่อาจเห็นเขาได้เลย...แม่ดอกพุทธชาดป่าของเรา หล่อนเดินแบบเงาะ พวกเราต้องส่ายหน้าด้วยความหัวเสียถ้าตามหล่อนไป เราก็หลงทางเท่านั้นเอง

ทิวาวารค่อยล่วงไปถึง ๑๕ วันแล้ว ฉันยังไม่มีอะไรจะรายงานไปกองบัญชาการเลย ได้ข่าวว่าพรเข้าแย่งอาหารที่ไหนฉันก็ตามไปที่นั่น แต่แล้วก็ต้องกลับมาด้วยความหมดหวัง ฉันคิดถึงประสิทธิ์เด็กหนุ่มเลือดร้อน แล้วก็นึกชังอยู่บ้าง เขาควรจะรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่กับมนุษย์ที่มีจิตใจดังคนธรรมดาสามัญ เขาอยู่กับมนุษย์ที่ล้วนแต่พวกเราเรียกกันว่า “ลูกยักษ์” ทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วควรหรือที่เขาจะใช้กิริยาชนิดนั้นต่อคนที่ผ่านชีวิตในด้านของเขาอยู่อย่างจริงจัง...ชีวิตของ “นักเลง”

การเดินตามพรในครั้งหลังของฉัน ก็คือสวนยางของจีนผู้หนึ่งใกล้ๆ ธารโต พรได้แย่งอาหารอีก...ครั้งนี้เขาเอาทองคำหนัก ๓ บาทของจีนผู้นั้นไปด้วย ฉันรู้ดีทีเดียว ทองเหล่านั้นคือของกำนัลสำหรับหวัน แม่พุทธชาดป่าที่เขาหลงใหล ฉันต้องกลับอย่างหมดหวังอย่างทุกครั้ง เขาหายตัวไปตามเคยทั้งๆ ที่เขาจะได้ก้าวสกัดกัน อย่างไรก็ตาม คืนวันนั้นฉันกลับจากธารโต คิดว่าจะกลับไปที่ “วังไซ” อีก ฉันจากดอนหญ้าคามาเกือบเดือนเต็มทีแล้วนะ ฉันต้องออกมาซุ่มซ่อนอยู่ตามหมู่บ้านของชาวป่า มาถึงตามทางคนนำทางของเราส่องไฟไปข้างหน้า เขาหยุดทันที

“คุณครับ...” เขากระซิบ

ข้าพเจ้าและคนอื่นๆ รีบหยุดมองไปข้างหน้า เราเห็นดวงตาสองดวง แดงแจ๊ดราวกับดวงไฟ ผิดกับนัยน์ตาสัตว์ป่าทั้งปวง

“เสือ” เขาพูด

“ไม่ใช่หรอก...” อีกคนหนึ่งบอก “สมเสร็จหรือหมีน่ะ...”

เอาละ! ฉันคิด มันจะเป็นตัวอะไรก็ตาม ฉันยิงละ ฉันยกปืนขึ้น ประทับเล็งตรงกลางระหว่างดวงตาทั้งสอง พอปืนลั่น เราก็ได้ยินมันวิ่งจนป่าราบ พุทโธ่ หมีควายตัวเบ้อเร่อ เราส่องไฟเห็นมันวิ่งบ้างหยุดบ้าง ดำทะมึนไปข้างหน้า เราตามเข้าไปส่องไฟดูตามต้นไม้ใบไม้เล็กๆ ตามดินที่ชื้นอยู่ด้วยฝน เราเห็นเลือดหยดเป็นทางตามหลังมันไป เรายังไม่ติดตามมันหรอก พรุ่งนี้กลับจากที่พักเราจึงจะมาดูมัน

ฉันสั่งให้เขากลับทันที

ฉันไปถึง “วังไซ” ก็เริ่มจับไข้ทันที รู้สึกตัวว่าจะต้องนอนหลายวัน และการก็เป็นเช่นนั้น ๗ วันผ่านไป ฉันรู้สึกว่า ฉันพอจะไปติดตามพรต่อไปอีก ฉันได้เริ่มงานอีกในวันที่ ๘ เราได้ปลอบโยนไต่ถามแม่ชาวป่าเนื้อเหลืองผู้นั้น แต่ป่วยการเปล่า ไม่มีหวังอะไรเสียเลยแม้จนนิดเดียว ฉันออกจะเบื่อๆ หล่อนเสียแล้ว ที่หล่อนแสร้งแสดงอาการกับเราเหมือนหนึ่งคนใบ้ หรือไม่เข้าใจคำพูดของเรา ฉันออกสำรวจไปตามกระท่อมและโรงนาร้างอยู่เสมอในเวลาค่ำคืน เขาคงไม่กล้าพอที่จะนอนอยู่กลางป่าแต่เดียวดาย ทั้งเวลานี้ฤดูฝนก็ได้เหยียบย่างเข้ามาแล้ว เขาจะนอนตากฝนอยู่อย่างไรได้ สักครู่หนึ่งคนของฉันสองคนวิ่งกระหืดกระหอบมาบอกฉันด้วยความยินดี

“นายครับ” เขาพูดพลางหายใจหอบไปพลาง “ผมได้กลิ่นเหม็นเน่าอ้ายตัวใหญ่ที่นายยิงน่ะ มันคงเน่าแล้วละครับ”

“หมีน่ะหรือ? มันจะมาตายถึงนี่เทียวหรือ?”

“ก็ใกล้กับที่ๆ นายยิงคืนนั้นนี่ครับนาย” เขารายงาน

“ไปซี...เราไปดูกัน ฉันอยากได้หนังกับดีของมัน...”

เราพากันบุกข้ามเข้าไปตามกลิ่นเหม็นเน่านั้น เชิงเขาเต็มไปด้วยกล้วยป่าและกระดาด ริมธารเต็มไปด้วยโขดหินและชะง่อนผา มีเฟิร์นชนิดแปลกๆ มีกล้วยไม้ที่ห้อยระย้าย้อยลงมาเป็นพวงยาว เราได้เห็นพุ่มไม้พุ่มหนึ่งรกอยู่ข้างหน้า แน่แล้ว! เจ้าตัวที่ฉันยิงมันเลือดสาดตามใบไม้ ต้องเข้าหลบนอนตายอยู่ในนั้นเสือหรือหมีแน่หนอ? ฉันคิด ถ้าเป็นเสือก็คงจะดีมาก ฉันรีบจ้ำเดินเสียครู่เดียวก็ถึงพุ่มไม้นั้น เราแหวกกิ่งไม้พร้อมกันเกือบทุกคน แล้วเราก็ร้องอุทานออกมาเกือบพร้อมกันทุกๆ คนด้วยความตกใจ

“อ้ายพร!”

ฉันงงเหมือนถูกทุบหัว ศพพรเน่าจนเฟะ แสดงว่าเขาตายมาหลายวันแล้ว เขาตายด้วยไข้ป่าและความอดอยาก น้ำตาของฉันคลอเมื่อคิดถึงว่า เขาเคยสั่งให้แม่สาวชาวป่าผู้นั้นมาขอยาฉัน...ฉันไม่โหดร้ายแก่เขานักหรอก เพราะว่าฉันรักเขา ฉันบอกให้พวกเราขุดหลุมทันที แล้วช่วยกันฝังเขา เราปักป้ายไว้ให้ที่หลุมด้วย พวกเรายืนนิ่งเพื่อเป็นการเคารพศพเขา ๑ นาที

“ฉันให้ยาแกแล้ว” ฉันพูดออกมาเสียงไม่ดังนัก “ฉันแกล้งไปทำตกไว้ที่บ้านของ “หวัน” แม่ช่อพุทธชาดของแก” ○

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ