จำเลยสารภาพ

รุ่งอรุณเบิกฟ้าแล้ว แผ่นดินที่หลับใหลไม่ได้สติก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมาด้วยอาการซึมเซาและหาวนอน วัวควายก็โลดแล่นเต้นรำออกมาสะบัดเขาสะบัดหางออกจากคอก ดุ่มเดินมาตามทางเดิน ควันไฟจากครัวก็เริ่มพวยพุ่งเป็นกลุ่มๆ ขึ้นสู่อากาศแล้วก็ค่อยสูญหายละลายไป พวกเด็กๆ เปลือยร่างออกวิ่งโทงรับแสงแดดอ่อนแห่งเวลาอรุณที่สดชื่น และพากันวิ่งเกรียวกราวในขณะที่ได้ยินเสียงร้องบอกต่อๆ กันมาเอ็ดอึงสนั่นทุ่งกว้าง

“ฆ่ากันตาย เขาฆ่ากันตาย”

“ใครฆ่ากันตาย” ผู้ใหญ่คนหนึ่งร้องถามขึ้น

“ผู้หญิง ผู้หญิงสาวและสวยเสียด้วยซีน้า”

“จริงหรืออ้ายแกละ” อีกคนหนึ่งถามขึ้น

“จริงซี นอนตายอยู่ริมทางรถไฟ”

เมื่อได้รับคำยืนยันของเจ้าพวกเด็กๆ พวกคนใหญ่ก็ร้องบอกต่อกันไปเป็นทอดๆ ผู้ใหญ่บ้านวิ่งนำหน้าทำให้พวกลูกบ้านวิ่งตามกันเป็นแถวเป็นแนว เมื่อออกมาพ้นทางเดินในหมู่บ้านทุกๆคนก็ได้เห็นคนหมู่ใหญ่จับกลุ่มยืนดูกันอยู่แล้วแน่นขนัด ผู้ใหญ่บ้านรีบแหวกคนที่กำลังยืนมุงกันอยู่เข้าไป ในทันทีภาพที่แกได้เห็นก็คือ หญิงสาวร่างอวบอัดเต็มไปด้วยส่วนโค้ง เต็มไปด้วยทรวดทรงอันอ่อนนุ่มกลมกลึง หน้าแฉล้ม ลักษณะเกร็งของศพบอกผู้ดูในที่นั้นทุกคนว่า หล่อนตายด้วยการถูกฆาตกรรม หรือไม่ก็ฆ่าตัวตายเอง

“ถอยออกไปห่างๆ” ผู้ใหญ่บ้านร้องขึ้น “อย่าเข้ามาใกล้จนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเขาจะมา ถอยออกไปห่างๆ”

พวกประชาชนคนดูไม่ยอมถอย ทุกๆ คนต้องการที่จะเข้าไปดูให้ชิดที่สุดที่จะดูได้ แล้วก็ร้องชมเชยความงามของหล่อนไปตามๆ กัน

“มันช่างใจร้ายเสียฉิบหายเลย มันช่างฆ่าผู้หญิงสาวและสวยอย่างกะหยาดฟ้าลงมาดินอย่างนี้ได้ลงคอ” คนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ

“มันก็คงจะเป็นอ้ายเรื่องรักๆ ใคร่ๆ นั่นแหละ”

“ไม่อีกทีก็คงจะคบชู้สู่ชาย”

“มันก็คงจะเข้าทำนองนั้นแหละ อ้ายไม้งามแล้วกระรอกมันก็มักจะเจาะ”

ตะวันยิ่งสายขึ้นไปทุกทีแต่ผู้คนแทนที่จะลดน้อยลงมันกลับมากขึ้นไปอีกอยู่เรื่อยๆ ในเวลาไม่ช้านักเจ้าหน้าที่ตำรวจและคณะกรมการอำเภอก็มาถึง นายแพทย์ก้มลงตรวจศพอยู่พักหนึ่ง ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังจดรายงาน

“ฆาตกรรม ใช่ไหมครับ” เขาถาม

“ใช่ครับ” นายแพทย์ตอบ “ผู้ตายตายด้วยถูกอาวุธแทงที่หน้าอกเบื้องซ้ายเป็นแผลฉกรรจ์ บาดแผลอื่นมีอีกสองแผลคือที่ใต้ไหปลาร้าและหัวไหล่ไม่ฉกรรจ์จนถึงกับจะทำให้ตายได้”

ตามทางสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าใจว่า ผู้ตายตายมาจากที่อื่นแล้วคนร้ายได้นำศพผู้ตายมาทิ้งไว้ที่ที่เกิดเหตุ ผู้ตายยังมีเครื่องแต่งตัวครบแสดงว่าคนร้ายได้กระทำการฆาตกรรมลงไปโดยไม่ปรารถนาทรัพย์สินแต่อย่างใดเลย ถ้าเช่นนั้นคนร้ายฆาตกรรมหญิงผู้นี้เพื่ออะไร

“มีใครรู้จักผู้หญิงคนนี้บ้างไหม” ผู้ใหญ่บ้านเดินถามไปรอบๆ วงคนดูทั่วไป แต่ทว่าเงียบไม่มีเสียงตอบออกมาเลยแม้แต่สักคนเดียว

“ใครรู้จักบ้าง ใครรู้จักคนตายบ้าง ใครเคยเห็นหน้าบ้าง” ผู้ใหญ่บ้านยังคงร้องตะโกนอยู่เช่นนั้นโหวกๆ

ทุกๆ คนเหลียวมองไปทางจุดๆ หนึ่งเป็นนัยน์ตาเดียวกัน ขณะที่ชายแต่งกายรุงรังคนหนึ่งเดินชูมือเข้ามาด้วยมือขวาแต่เพียงข้างเดียวเท่านั้นแบบนักเรียนที่ยกมือบอกครู หน้าของเขาซีดเต็มไปด้วยความหม่นหมอง นัยน์ตาทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยรอยช้ำบวมและแดงเหมือนคนเมาสุรามาขนาดหนัก

“ผมขอรับ ผมเป็นคนที่รู้จักผู้หญิงคนนี้ดีทีเดียว”

“เขาอยู่ที่ไหน บ้านพ่อแม่และวงศาคณาญาติ” เจ้าหน้าที่ถามเขา

“เขาอยู่ดงตาลขอรับ อยู่ห่างไปจากที่นี่ ๓ กิโลเมตรเศษๆ”

“เราเป็นเพื่อนบ้านกับผู้ตายหรือ”

“ผมเป็นสามีของเขา” ชายผู้นั้นตอบและร้องไห้ น้ำตาซึมออกมาจากดวงตาของเขาไหลมาตามแก้มทั้งสองข้าง

“ดีละ” เจ้าหน้าที่ตำรวจบอก

“มาทางนี้เถอะ เราจะได้ปรึกษาหารือกันเอาตัวคนร้ายมาให้จงได้”

เขาเดินตามเจ้าหน้าที่ไปด้วยความรู้สึกอันเลื่อนลอย ผมของเขาตกลงมาประหน้าผากในขณะที่ชายหนุ่มน้อยผู้นั้นเดินดูปลายเท้าของตัวเองไปทางที่เดิน เจ้าหน้าที่ชี้ให้เขานั่งลงในขณะที่เดินมาถึงศาลาของหมู่บ้าน เขาก็ทำตามด้วยกิริยาอาการอันเศร้าสร้อยเต็มทน

“ฉันถามอะไรเราก็ต้องบอกฉันมาตรงๆ นะ เราจะได้ๆตัวคนร้ายมาลงโทษให้สมกับความผิดของมัน จงพูดมาแต่ความสัตย์จริง”

“ครับ ผมจะพูดแต่ความสัตย์จริง” เขารับคำ

“เมื่อคืนเราอยู่ที่ไหน” เจ้าหน้าที่ถาม

“ผมอยู่ที่บ้านหัวเนิน”

“เราไปอยู่ทำไมที่นั่น”

“ผมขอเรียนคุณตรงๆ นะขอรับว่า ผมไปเล่นการพนัน”

“ได้หรือเสีย”

“ไม่ได้ไม่เสียดอกขอรับพอคุ้มทุน”

“มีทุนไปเท่าไร”

“ผมมีไปสองร้อยกว่าเท่านั้นแหละครับ”

“เงินก้อนนี้เราได้มาจากไหน” เขาถามต่อไปอีก

“ผมเล่น, คนเล่นมันก็มีหมุนอยู่ในตัวเสมอแหละครับ”

“เล่นอยู่จนถึงกี่ทุ่ม”

“เล่นอยู่จนเจ้ามือหมดเค้า”

“เจ้ามือหมดเค้าประมาณสักกี่ทุ่ม ลองกะดูถี”

“ก็ตอนจวนสว่างนี่เองแหละขอรับ”

“พอเลิกเล่นการพนันแล้วเราก็กลับบ้านของเราใช่ไหมล่ะ?”

“ผมไม่ได้กลับหรอกขอรับ เพราะเขาบอกว่า ในตอนสายเขาจะนัดแก้ตัวกันอีก เพราะเจ้ามือเขาจะหาเค้ามาลงใหม่หลายคนหุ้นกัน”

“แล้วเราก็นอนที่นั่นใช่ไหมล่ะ” เจ้าหน้าที่จดปากคำของเขาไปเรื่อยและเงยหน้าขึ้นถามอีกเมื่อจดเสร็จแล้ว

“ผมเอนลงไปได้งีบเดียวเท่านั้น เด็กที่บ้านมันก็มาบอก”

“บอกว่ากระไร”

“บอกว่าระย้าเมียของผมหายไปจากบ้าน ผมรู้เข้าก็ตกใจมาก รีบเผ่นมาจากหัวเนินในทันที และในเวลาที่ผมเดินมากลางทาง ผมก็ได้รับข่าวร้ายว่าเมียของผมถูกคนฆ่าตายไปเสียแล้ว ผมแทบจะไม่เชื่อหูของผมเอง ผมรักเขามาก ผมรักเขาแทบว่าจะตายแทนกันได้ทีเดียวครับหมวด ผมได้เขามายังจะไม่ได้ชนขวบปีดีเสียด้วยซ้ำไปขอรับ และกว่าที่ผมจะได้เขามาผมเองก็แทบที่จะเอาชีวิตไม่รอดเลยทีเดียว”

“ในบ้านของเราที่อยู่กันผัวเมียสองคนนั้น อยู่กันอย่างสงบหรือว่ามีแขกเหรื่อเพื่อนฝูงญาติพี่น้องมาพักด้วยเป็นบางครั้งบางคราวบ้างหรือไม่” เจ้าหน้าที่ถามต่อไปอีก

“เราอยู่กันอย่างสงบหรือ”

“บ้านผมเป็นบ้านนักเลงขอรับ ผู้คนเพื่อนฝูงถือเอาเป็นที่พักพิงในเวลาที่เขาผ่านไปมาเวลาค่ำคืนและที่มาทางไกล บางทีพักอยู่หลายวันก็มี เอาแน่ไม่ได้ขอรับ”

“ผู้ที่ไปมาหาสู่กันเสมอ และบ่อยครั้งหรือที่เรียกว่าเป็นประจำนั้น มีอยู่กี่คนด้วยกัน จะบอกได้ไหม”

“บอกได้ครับ มีอยู่สองคนเท่านั้น คือเจ้ายอดกับเจ้าเดช เจ้าสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของผมทั้งสองคน มักจะมากินมานอนด้วยกันเสมอ อีกคนหนึ่งคือเจ้าชัยนานๆ มาทีและมาแล้วก็มักจะพักหลายวัน”

“เราชื่อ - - -”

“ผมชื่อเพลินครับ เพลิน นาไท” เขาตอบและหายใจลึกเข้าไปในอก

“และผมจะต้องถูกจับกุมคุมขังอะไรด้วยหรือเปล่าล่ะครับ”

“ไม่ต้องจับกุมคุมขังอะไรนอกจากจะต้องเรียกตัวได้ทุกเวลา”

เขาเองเป็นผู้ที่ได้เข้าช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจนำเอาร่างอันปราศจากชีวิตนั้นไปยังป่าช้าท้ายวัด ความรู้สึกในขณะนั้นของเขาไม่จำเป็นที่จะต้องพรรณนากันมากนัก มันเป็นการสูญเสียอันใหญ่หลวงของชีวิตของเขาที่เขายังไม่เคยได้รับมาก่อนเลยในชีวิต มันเศร้าและเย็นเยียบเข้าไปทุกขุมขน เขาเองไม่รู้ว่าจะสงสัยใคร เมียของเขาเป็นคนช่างพูดช่างคุย เมียของเขาเป็นคนที่มีอารมณ์สนุกตลกตลอดศก หล่อนชอบการคบหาสมาคมกับเพื่อนบ้านและเพื่อนหนุ่มๆ ของเขาอยู่เสมอ ในเวลาที่หล่อนดื่มเหล้าหล่อนชอบคุยและเล่นหัวหยอกล้อกับพวกหนุ่มๆ เหล่านั้นโดยไม่ถือตัว การถูกต้องเนื้อตัวเล็กน้อยหล่อนมิได้ถือสาหาความหรือนำพา พวกหนุ่มๆ ก็มักจะเรียกหล่อนว่าพี่ในขณะที่เขาเล่นหัวด้วยในลักษณะฉันญาติหรืออย่างญาติ เมื่อหล่อนเมาหมดสติลงไปหล่อนก็อนุญาตให้เขาอุ้มหล่อนไปนอนได้ เหตุการณ์ทั้งนี้หาได้เป็นไปโดยลับหลังสามีไม่ หล่อนได้ปฏิบัติลงไปทั้งๆ ที่อยู่ต่อหน้าสามี เขาเป็นคนใจเย็น แม้แต่จะเป็นคนนักเลงที่เข้มแข็ง แต่ความแข็งของเขาก็หาใช่เหล็กกล้าไม่ แต่เขาแข็งอย่างหินอ่อนเท่านั้น เขารักเมียของเขามากจนกลัวหล่อน

“นี่แน่ะอ้ายเพลิน” ลุงจอนพูดกับเขาในวันหนึ่ง

“ข้าน่ะอยากจะถามเอ็งมานานแล้ว คำถามของข้าก็ไม่ลำบากยากเย็นอะไรนักหรอก”

“ถามอะไรก็ถามมาเถอะ อย่าพูดอะไรให้มันมากความไปเลย”

“ข้าขอถามจริงๆ เถอะว่า เมียของเอ็งน่ะเอ็งรักบ้างไหม”

“บ๊ะแล้ว” เจ้าเพลินหัวเราะยิงฟันขาว “ไม่รักเมียแล้วจะไปรักใคร”

“เอาละ ถ้าเอ็งรักเมียของเอ็งแล้วทำไมเอ็งถึงได้ปล่อยไปถึงอย่างนั้น เอ็งลองคิดดูเถอะอ้ายพวกเพื่อนของเอ็งนั้นแหละมันจะเผาเรือนเอ็ง”

“เขาชอบยังงั้นก็ตามแต่เรื่องของเขา” เพลินตอบ

“บ๊ะ ถ้างั้นข้าก็ไม่ต้องพูดกับเอ็งอีกต่อไป” แกพูดแล้วก็ขยับจะลุกขึ้นไปเสียจากที่นั้น ทำให้เพลินต้องฉุดมือแกไว้ “ตั้งแต่เกิดมาท้องพ่อท้องแม่ข้าไม่เคยเห็นเมียใครเขาเป็นอย่างนี้เลย เมียเอ็งใจดีให้เพื่อนของเอ็งนอนหนุนตักเล่นอะไรกันพรรค์นั้น บางทีอ้ายเพื่อนอีกคนหนึ่งก็มาอุ้มเอาเมียของเอ็งไปยังที่นอนเพราะเขาฟัดเหล้าเข้าไปมากเกินขนาด อย่างนี้ไม่เรียกว่าเอ็งเลี้ยงเมียให้คนอื่นเขาหรือ”

“อ้ายเรื่องนี้ฉันก็เคยพูดกับเขาแต่เขาก็โกรธอีกน่ะแหละ เขาหาว่าฉันดูถูกเขา คนรุ่นนั้นเขาคิดว่าเป็นน้องชายของเขาทั้งนั้น เขาเล่นด้วยหยอกเอินด้วยก็เห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทและอาจตายแทนฉันก็ได้ อ้ายฉันเป็นคนหากินในทางเล่นก็ไม่อยากที่จะหาความรำคาญมาใส่ตัว ปกติเขาเป็นเมียของฉัน ไม่ชอบใจเขาจะกลับมาเป็นผัวของฉันบ้างก็ไม่ว่าอะไร แต่อ้ายเรื่องพรรค์นั้นฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกเพราะระย้ามันรักฉันจริงๆ”

ทั้งเพื่อนบ้านร้านถิ่นก็รู้กันอยู่ทั่วไปว่าเจ้าเพลินใจพระ ยามเมื่อเจ้าเพลินไม่อยู่ไปเล่นการพนันเสียในหนทางไกล ระย้าก็กินเหล้ากับเจ้าหนุ่มพวกนั้นทุกวันไป สรวลเสเฮฮาเหมือนกับว่าตัวเองก็ผู้ชายอกสามศอกที่จะเมาได้อย่างอิสระไม่มีใครมากล้าขัดขวางแม้แต่สามี แต่ในเวลารุ่งเช้าเสียงซุบซิบนินทาก็จะเกิดขึ้นมา

“เมื่อคืนระย้ามันเดินกอดคอโซเซกับอ้ายเดช”

“เมื่อคืนนี้ข้าเห็นระย้าจูบอ้ายเดชและนอนค้างอยู่กับมัน”

“ข้าก็เห็น ข้าเห็นมันกลับออกไปจากบ้านอ้ายเดชตั้งแต่ยังไม่สาง”

พอข่าวนี้กระทบเข้าหูเจ้ายอด มันก็เหมือนกับว่ามีลูกระเบิดมาระเบิดอยู่ใกล้หัวของมัน ความโกรธแค้นแล่นเข้าจับหัวใจมัน มันจับอยู่เช่นนั้นแล้วก็แล่นซ่านไปตามสายเลือด

“ระย้าเป็นอื่นไปเสียแล้ว” มันร้องคำรามลั่นอยู่ในหัวใจ

ก่อนที่จะทำอย่างอื่นทั้งหมด เจ้ายอดรีบตรงไปยังเรือนระย้า ขณะที่ระย้ากลับมานอนต่ออีกที่เรือนของตัว พอโงหัวพบอ้ายหนุ่มหน้ามนมายืนบูดบึ้งอยู่ที่หน้าประตูห้อง เจ้าก็ยิ้มให้น้อยๆ ด้วยความอ่อนละเหี่ยเพลียใจ

“นั่งก่อนซียอด มีธุระอะไรหรือเปล่าถึงนั่งไม่ลง”

“เมื่อคืนไปนอนที่ไหนมา” เจ้ายอดถามขึ้นด้วยเสียงขุ่นๆ

“มันไม่ใช่เรื่องราวอะไรของเราหรอก” ระย้าตอบ

“เรื่องซี ทำไมจะไม่ใช่เรื่อง” เจ้ายอดร้องขึ้นมาด้วยความโกรธและน้อยน้ำใจตัว มันโถมตัวเข้าไปหาระย้าและรัดเอาเรือนร่างนั้นเข้าไว้ภายในวงแขน มันจุดไฟรักไฟแค้นขึ้นที่พวงแก้มริมฝีปากและซอกคอจนระย้าไม่มีอากาศจะหายใจ

ระย้าดิ้นจนสุดแรงเกิดและผลักไสจนร่างอันหยาดเยิ้มไปด้วยส่วนโค้งอันแสนหวานนุ่มนวลนั้นพ้นจากทรวงอกของมัน หล่อนได้ยินตัวเองร้องด่าออกไปด้วยความหยาบคาย

“อะไรมันทำให้เอ็งกล้ากำเริบทำกับข้าถึงอย่างนี้”

“ก็พี่ระย้าน่ะซีล่ะ” ยอดร้องตอบออกมา

“ข้าไปทำอะไรให้แก่เอ็งหาอ้ายยอด”

“เมื่อคืนพี่ไปนอนกับอ้ายเดชใช่หรือไม่ล่ะ”

“ข้าเมากลับบ้านไม่ได้ข้าก็นอนที่บ้านของมัน”

“แล้วฉันจูบพี่เท่านี้ก็จะเป็นอะไรไป”

“ยอด” ระย้าร้องขึ้น “นี่มันหมายความว่าอะไรกัน”

“ก็หมายความว่าพี่ระย้าเป็นของฉันและจะเป็นของฉันแต่เพียงคนเดียวนอกจากพี่เพลิน มานี่ฉันจะต้องจูบพี่อีก จูบให้สมกับความแค้นที่มันมีอยู่ภายในอกของฉัน -”

เจ้ายอดหมดความเกรงกลัวอะไรเสียสิ้นแล้ว มันรวบร่างของระย้าเข้ามาหาตัวมันอย่างหมดความปรานีปราศรัย มันจูบแล้วจูบเล่าเอาแต่ใจตัวโดยพลการ เหมือนกับจะให้รอยจูบของมันนั้นเป็นเครื่องมือที่จะประหัตประหารหล่อนให้ตายไปคามือ หรือแหลกลาญลงไปในพริบตานั้น

“พี่อย่าขัดขวางฉัน พี่อย่าดิ้นเลย มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ทีอ้ายเดชพี่ไปนอนบ้านมันได้ ถึงพี่จะปฏิเสธไปให้คอแตกว่า มันไม่ได้ล่วงเกินพี่ ใครเลยเล่าที่เขาจะเชื่อถือ ถึงคราวนี้ฉันเองก็เหมือนกัน ฉันจะไม่ยอมให้พี่รอดพ้นไปจากเงื้อมมือของฉันได้เป็นอันขาดอย่านึกเลย”

ความโกรธแค้นของระย้าเวลานั้น ก็ไม่ผิดอะไรกันกับสัตว์ป่าที่ถูกเจ็บ หล่อนดิ้นรนต่อสู้เพื่อหาความอิสรภาพให้แก่ตนเอง แต่ยิ่งดิ้นไปมันก็ยิ่งแน่นเหมือนกับติดบ่วง ในขณะที่เจ้ายอดเพิ่มความบ้าดีเดือดของมันขึ้นมาทุกที

“ปล่อยเดี๋ยวนี้ หรือจะให้กูร้องตะโกนขึ้นให้เขามาลากคอมึงไป”

“อย่าขู่เลย มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก อ้ายขู่พรรค์นี้ใครๆ มันก็ขู่ได้ ถ้าพี่ไม่ตามใจฉันบ้างฉันก็จะบอกพี่เพลินให้หมดว่าพี่ก่อการมิดีมิร้ายกับอ้ายเดชในขณะที่พี่เพลินออกจากบ้านไป ฉันจะบอกเขา”

“ข้าไม่กลัวหรอก ข้าไม่กลัว”

ระย้าขู่ว่าจะร้องขึ้นเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่แล้วหล่อนก็ไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้นไปได้ ในเมื่อระลึกถึงคำของยอดที่ว่า จะเอาเรื่องนี้ไปบอกแก่เขา แน่นอนละ หล่อนพอที่จะรู้และอุปนิสัยใจคอชนิดอ่อนของเขาได้เป็นอย่างดี หล่อนก็เลยปล่อยให้เหตุการณ์มันล่วงเลยไปตามแต่กาลของมัน ในขณะที่เขาเผ่นพรวดพราดออกมาปิดประตู แต่ทว่าอ้ายเรื่องของมนุษย์มันก็มีประหลาดเอาการอยู่ไม่ว่ามันจะเป็นเหตุการณ์เล็กๆ หรือใหญ่ๆ มันก็จำจะต้องมีอุปสรรคเข้ามาปะปนอยู่ด้วยเสมอไป เพราะว่าพอยอดจะลั่นดาลประตูเท่านั้น บานประตูก็ถูกโถมเข้ากระแทกออกจะแรงเกินไป

จนทำให้ร่างของเขาคะมำไปข้างหน้าและเมื่อหันกลับมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เขาก็ต้องผจญเข้ากับบุรุษอีกคนหนึ่งเข้าอย่างจัง เขาไม่ใช่เจ้าเดชหรือใครที่ไหน แต่เขากลับเป็นเจ้าเพลิน ที่ยืนสงบนิ่งเหมือนน้ำในก้นเหว

“พี่เพลิน” ระย้าร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง

เพลินพกอาวุธ ข้อนี้เจ้ายอดรู้ดีและเชิงมีดสั้นด้วยกันแล้วก็ยากนักที่จะหาใครมาไวเท่ามันได้ และชั้นเชิงของเจ้ายอดในเวลาที่เข้าด้ายเข้าเข็มในตอนนี้ มันก็มีอยู่แต่ทางเดียวเท่านั้นคือหนี มันเผ่นพรวดออกไปจากหน้าต่างแล้วก็วิ่งหนี หนีไปอย่างไม่คิดชีวิต

“ทีนี้เรารู้ละซี” เขาร้องคำรามออกมา “เรารู้ละชีว่า ผลแห่งการที่เราได้ปล่อยตัวของเราไป มันให้อะไรตอบแทนแก่เราบ้างนอกจากอ้ายเรื่องพรรค์นี้ ฉันจะกราหน้าไว้เสียด้วยว่า ไม่ใช่แต่เราเท่านั้น ถึงแม้ผู้หญิงอื่นก็เหมือนกัน ลงเมาเหล้าแล้วก็ไม่พ้นอ้ายเรื่องพรรค์นี้ไปได้เลย แล้วจะต้องน้ำตาตกสูญเสียพรหมจรรย์ของตัวไป”

“แต่นี่ฉันไม่ได้เมา ฉันไม่ได้เมาเลย” ระย้าร้องขึ้นและร้องไห้

“มันไม่ใช่ผลที่เกิดขึ้นจากพี่หรอกหรือเล่าที่พาไปเอาอ้ายเพื่อนเสเพลพรรค์นี้เข้ามาไว้ในบ้านของเรา”

“ก็เราเองก็เคยบอกกับฉันไม่ใช่หรือว่า อ้ายเด็กสองคนนี้เป็นคนที่ไว้ใจได้ จะไม่มีวันคิดเป็นอื่นไกลนอกจากจะคิดกันอย่างญาติโดยแท้จริง”

“แล้วนี่มันคิดอย่างนั้นเสียเมื่อไรเล่า มันเข้าปลุกปล้ำฉัน มันจะเอาทำเมีย มันกำเริบเสิบสานข่มขู่ฉัน ถ้าพี่ขืนไปคบหาสมาคมกับอ้ายคนๆ นี้อีก พี่กับฉันก็จะต้องเลิกร้างกันอย่างเด็ดขาด”

“ฉันไม่คบหาสมาคมกับมันหรอกแต่ฉันจะเก็บมันด้วยมือของฉันเอง”

เพลินไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากนิ่ง ในชีวิตของเขา มันก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากการนิ่งของเขาเท่านั้น แต่ทว่าใครจะไปรู้ได้ว่าในความคิดในความรู้สึกตลอดจนในสมองของเขามันกำลังคิดหรือพูดว่าอะไรบ้าง เขาจะเดินเตร่เข้าไปในร้านเหล้าและโรงกาแฟ เขาจะพบปะกับคนโน้นคนนี้และเขาจะเข้าไปกินเหล้ากับคนโน้นอย่างปกติ แต่ไม่ว่าจะเป็นวงเหล้าหรือวงกะแช่เขาไม่ได้เห็นเจ้ายอดเพื่อนของเขาเลยแม้แต่เงาของมัน เจ้ายอดหนีหน้าเพื่อนหลบเข้าป่าเข้าดงไป ค่ำไหนก็นอนนั้นบำเพ็ญตัวเป็นเจ้านกขมิ้นค่ำแล้วจะนอนไหนก็นอนได้ แต่ถึงเวลากลางคืนมันจะเตร่เข้ามาในหมู่บ้านทุกคืนไป หัวใจของมันป่นปี้ไปเสียแล้วด้วยความรัก ถ้าคืนไหนเพลินอยู่เขาก็ไถลเรื่อยเปื่อยไปตามเพลงของเขา แต่ถ้าวันไหนเพลินไม่อยู่เขาก็จะเฝ้าหล่อนอยู่เหมือนกับสุนัขเฝ้านายของมัน ถ้าหากว่าวันไหนหล่อนเมาและไปบ้านเจ้าเดช เขาก็เต็มไปด้วยความแค้นเคืองและพยาบาทอย่างสุดขีด

คืนวันนั้นเดือนหงาย ลมทุ่งพัดโกรกทำให้ระย้าเย็นเยียบไปทุกขุมขน หล่อนดื่มเหล้าเข้าไปมากในตอนเย็น พิษสุราทำให้สมองของหล่อนหมุนติ้วเคว้งคว้าง หล่อนก็เกิดความปรารถนาและเกิดความเร่าร้อนขึ้นมาทันที มันดูเหมือนว่าความปรารถนาอันนี้จะเป็นสิ่งที่สำคัญเท่ากับชีวิตและวิญญาณของหล่อนและจำเป็นยิ่งแก่ร่างกายตลอดจนจิตใจ

หล่อนได้รับข่าวดีจากญาติคนหนึ่งส่งข่าวมาว่ายายของหล่อนที่มีหลานอยู่แต่หล่อนคนเดียวเท่านั้นได้ถึงแก่กรรมลง ระย้าได้รับมรดกจากยายทั้งหมด ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแต่เพียงนาเพียงไม่กี่สิบไร่กับเรือนฝากระดานเพียงหลังเดียวเท่านั้น แต่ก็ทำให้หล่อนอิ่มเอิบใจและเป็นสุข เมื่อหล่อนมีความสุขแล้วก็มีอะไรเสียอีกเล่านอกไปเสียจากความรักอันจะทำให้หัวใจของหล่อนอบอุ่นและเป็นสุขยิ่งๆ ขึ้นไปอีก มันก็เป็นเช่นนั้นถ้าไม่มีความชั่ว เราจะไปรู้กระไรได้ว่าอะไรเป็นความดี ถ้าไม่มีคนทำชั่วจะมีคนดีได้อย่างไร หล่อนไม่ได้คิดถึงอะไรเสียแล้วนอกจากความเร่าร้อนของหล่อน โดยไม่ต้องนัดหมายกับเจ้าเดช หล่อนรีบไปหาเจ้าหนุ่มน้อยอันจะเป็นที่ปลอบประโลมใจของหล่อนได้เป็นอันดี แต่ในเวลาดึกที่เดือนกำลังตก ขากลับบ้านสิ่งที่ระย้าไม่คิดว่าจะเกิด มันก็ได้เกิดขึ้นมาโดยที่หล่อนเองก็คิดแก้ไขไม่ได้ทันท่วงที

ระยะทางในระหว่างต้นสนท้ายวัดกับต้นไผ่ หล่อนเห็นเงาคนยืนตะคุ่มอยู่มิได้เคลื่อนไหว ระย้าหยุดยืนนิ่งด้วยความตกใจกลัว สัญชาตญาณกระตุ้นเตือนบอกหล่อนว่า ภัยกำลังจะมาถึงตัวแล้วแต่หล่อนก็หนีไม่ได้เสียแล้ว เช่นเดียวกัน บุคคลผู้นั้นเดินเข้ามาหาหล่อนอย่างโซเซ

“ระย้าเอ๋ย ในที่สุดเราก็พบกันจนได้” เขาร้องขึ้นมาอย่างน่าสงสาร “ฉันคอยโอกาสนี้มานานแล้ว แต่มันก็ไม่ได้พบสักทีเดียว มานี่มาคุยกับอ้ายคนยากคนจรสักครู่ ถึงอดมื้อกินมื้อเที่ยวซอกซอนหนีเขาไป แต่ทว่าหัวใจของมันนั้นเฝ้าอยู่แก่เจ้าทุกโมงยามทั้งหลับทั้งตื่น และตลอดจนจะฝันก็ฝันถึงเจ้าทุกคืนไป เจ้าลืมเสียแล้วหรือ คืนวันนั้นที่เจ้าเสียสติเพราะเจ้าเมามึน เจ้านอนแอบอกพี่ให้กอดกก ชะน้อยหรือไอ้เดชมันทำให้เจ้าลืมเลือนพี่ เหมือนเจ้ามิได้มีราคีใดพัวพัน ตั้งแต่พี่เพลินจับข้าได้วันนั้นแล้ว ข้าต้องหนีเขาซอกซอนไป แต่ที่หนีนั้นจะเป็นไปเพราะว่าข้ากลัวความตายก็หาไม่ ข้ากลัวแต่คำคนเขาจะกราหน้าฆ่าชื่อว่าข้านั้นตายเพราะเป็นชู้เมียเขา และความเสียหายเหล่านั้นไหนเลยจะพ้นจากตัวเจ้า ทำให้หมองราศี วันนี้เราได้พบกันแล้ว ข้าก็จะไม่ขออะไรเอ็งหรอก นอกเสียจากจะขอจูบเจ้ากอดเจ้าตามประเพณีโลก ระย้าอย่าขัดคำพี่เลยนะพี่จะได้รำลึกเอารอยจูบของเจ้านั้น ไปเป็นเพื่อนตัวที่ตามทาง”

ตลอดเวลาที่เจ้ายอดพูดเพ้อพร่ำ ระย้าก็คิดที่จะหลบหนีจากวงล้อมของมันไปเสียให้ได้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้หนี ร่างของเจ้ายอดก็เดินตรงรี่เข้ามาหา มันโอบแขนไว้รอบคอหล่อนแล้วทำท่าว่าจะจุบเสียให้สมรัก แต่ในทันใดนั้นเองมีดน้อยในมือของเจ้าก็แทงพรวดเข้าไปที่อกมัน

“เอ๊ะ ระย้าเอ็งแทงพี่ทีเดียวหรือ” เจ้ายอดถาม ยกมืออันสั่นขึ้นลูบอกตัว “เอ็งแทงคนที่เอ็งรักและรักเอ็งปานหัวใจก็ว่าได้ แต่รักชีวิตของมันก็ยังไม่ได้เท่าครึ่งที่รักเอ็ง”

“เออ ดีแล้วให้เลือดโง่มันออกมาเสียบ้าง” เสียงของเจ้ายอดเปลี่ยนเป็นคำรามขึ้นมาทันที “แต่เสียเลือดเท่านี้หาเสียดายไม่ แต่มาเสียตัวเจ้าเสียความรักของเจ้านี่สิมันร้ายนัก มันช้ำเสียยิ่งกว่าแผลนี้เป็นหลายเท่า เจ้าแทงอ้ายยอดเท่านี้พอแล้วหรือ ถ้ายังไม่พอจะแทงซ้ำเสียให้ตายคามือเจ้าก็ยังจะได้”

มันพูดแล้วก็ทำท่าโศกเศร้าและปวดเจ็บแผลนั้นเสียเป็นสุดที่ แต่พอระย้าเผลอตัวยอดก็เผ่นเข้าใส่เหมือนสัตว์ร้ายที่เผ่นใส่เหยื่อของมัน จับข้อมือระย้าบีบไว้และกดแน่นจนหล่อนร้องลั่นด้วยความเจ็บ มีดเล่มน้อยนั้นก็ร่วงลงจากมือ

“อีใจร้าย” ยอดร้องคำรามลั่น “มึงจะต้องได้รับการตอบแทน”

อีกมือหนึ่งจับแขนไว้มั่นแต่อีกมือหนึ่งมันเหวี่ยงออกไปต้องหน้าของระย้า ทำให้เกิดการต่อสู้กันขึ้นอย่างดุเดือด ตอนหนึ่งที่เจ้ายอดเสียที มันสะดุดขอนไม้ที่ใกล้ตัวล้มลง มือเจ้ายอดไปกระทบเข้ากับมีดน้อยของระย้าเข้า ยอดยันร่างของเขาลุกขึ้นมาตั้งตัวตรงได้อีกครั้ง ทีนี้ก็ได้ยินเสียงอันแหลมเล็กของระย้าร้องขึ้นมาจนสุดเสียงในขณะที่เจ้ายอดตวัดคอไว้ได้แทงสองครั้งแรกก็ยังไม่ล้ม แต่ในครั้งที่สามร่างของระย้าก็ทรุดลงไปหมอบคว่ำหน้าอยู่กับดิน

ยอดยืนกุมมือและกุมบาดแผลของตัว หัวใจของเขาเต้นไปอย่างเหนื่อยอ่อน แต่กลับหายใจเร่งเร็วด้วยความเหนื่อยและเปลี้ยเพลีย

“ยังจะนอนทำมารยาอะไรอยู่อีก มันร้องขึ้นอย่างดุร้ายในขณะที่ได้ก้มลงไปจิกผมบนศีรษะของระย้าให้แหงนหงายขึ้นมา

แต่เปล่า ร่างอันปราศจากชีวิตของระย้าจะได้ไหวติงแต่สักน้อยก็หาไม่ มันยืนนิ่งเหมือนคนที่ปราศจากชีวิต เมื่อโทสะหายแล้วก็จะได้รับความร้อนใจเหมือนไฟไหม้ ยอดคิดถึงความผิดของตัวในทางกฎหมายขึ้นมาในทันทีทันใด ในสมองของเขาวุ่นวายและเต็มไปด้วยความสับสน ความกลัวความหวาดหวั่นต่อความผิดทำให้เขาเริ่มคิด คิดถึงความปลอดภัยในทางกฎหมายของเขา.

อีกครั้งหนึ่งที่มันกัมลงไปใกล้ศพแล้วกระซิบที่ริมหู

“เอ็งอย่าเอาผิดคิดร้ายและผูกพยาบาทข้าเลยนะ ถ้าเอ็งไม่มาแทงข้าก่อนหรือคิดฆ่าข้าก็คงไม่ทำร้ายเอ็งให้ถึงตาย มาเอ็งไปกับข้าเดี๋ยวนี้แหละ ไปเกิดเรื่องมันเสียที่บ้านหมู่โน้น แล้วอย่าเสือกพูดไปล่ะว่าข้าเป็นคนที่ได้ฆ่าเอ็งตาย เอ้าเตรียมตัวออกเดินทางกัน.”

ยอดค่อยๆ ก้มลงยกร่างศพขึ้นใส่บ่าแบกเดินไปตามทิศทางที่เขาต้องการ พอถึงใกล้ทางรถไฟแล้วเขาก็เหวี่ยงร่างของหล่อนลง

ถึงอย่างไรคดีนี้ก็ตกอยู่ในความสนใจของประชาชนโดยทั่วไปไม่ใช่แต่เฉพาะชนบทเท่านั้น หนังสือพิมพ์เขียนเบื้องหลังข่าวนี้ว่าเป็นคดีลึกลับและยอกย้อนซ่อนเงื่อนงำทำให้เจ้าหน้าที่มึนงงจนไม่อาจมีเจ้าหน้าที่คนใดสามารถที่จะคลี่คลายขยายเงื่อนงำของมันออกมาได้

เดี๋ยวนี้ เจ้าหน้าที่ได้ออกตามข่าวคดีอุกฉกรรจ์รายนี้แล้ว ร่องรอยต่างๆ ชักจะแลเห็นได้บ้างแล้วรางๆ สายของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รายงานมาว่าคดีนี้เกิดขึ้นด้วยการชิงชู้สู่สาวเป็นต้นเหตุ นอกจากเรื่องชู้สาวนี้แล้วก็จะมีเรื่องมรดกของผู้ตายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สายเห็นว่าควรจะต้องกระทำการจับกุมคนผู้เป็นสามีไว้ ด้วยเพราะเขาอาจฆ่าเมียของเขาเสียก็ได้ เพราะเขาโกรธเมียของเขาเองว่าทรยศและคบชู้ ใครๆ ก็กล่าวกันว่าเขารู้เรื่องนี้ดี และพยายามนิ่งไว้เพราะยังไม่ได้โอกาส

ในที่สุดเพลินก็ถูกจับกุมตัวไปคุมขังไว้ในฐานที่เขาเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะกระทำการฆาตกรรมเมียของเขาเอง เดชก็ถูกจับไปด้วยในฐานสงสัยเช่นเดียวกัน เขาถูกแยกขังไว้คนละห้องและห่างไกลกัน.

ในเวลากลางคืนหมู่แผ้วก็เข้ามาเยี่ยมเพลินแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำใจอันเต็มไปด้วยความกรุณาปรานีและหวังดีต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง

“นี่แน่ะเพลิน” เขาพูดขึ้นด้วยความเห็นอก “อ้ายเดชน่ะมันรักกับเอ็งอยู่มากไม่ใช่หรือ”

“ครับหมู่ เรารักกันมาก” เขาตอบ

“ทำไมเอ็งไปคบอ้ายคนพรรค์นั้น” หมู่แผ้วส่ายหน้าช้าๆ

“ทำไมครับหมู่” เขาร้องถามออกไป

“มันก็ซัดเอ็งฉิบหายหมดน่ะซีล่ะ” แกบอก “มันว่าเอ็งโกรธเมียของเอ็งว่ามีชู้ แล้วมันก็ประจวบกันอีกน่ะแหละ มันว่าเอ็งเสียโปมามากเอ็งต้องการจะเอาทรัพย์มรดกของเมียมาขาย เมียไม่ยอมให้ จริงของมันหรือ”

เพลินหัวเราะอย่างขบขัน เขารู้ลูกไม้ชนิดนี้ของตำรวจอย่างดียิ่ง

“เขาซัดก็ช่างเขาเถอะครับหมู่ ผมน่ะไม่มีอะไรจะซัดใครหรอก เพราะว่าผมไม่ได้ฆ่าเขา ถึงผมจะรู้อยู่ว่าเขามีชู้ก็ตาม”

แต่เจ้าเดชหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พอได้ยินหมู่แผ้วบอกว่าเพลินซัดว่าเขาเป็นคนฆ่าเท่านั้นเขาก็ดิ้นตูมด้วยความโกรธแค้น

“นั่นแน่อ้ายเพลินซัดผมได้” เขาร้องออกมาด้วยเสียงคำราม

แล้วเดชก็เล่าเรื่องราวให้หมู่แผ้วฟังเสียจนสิ้นเชิง เล่าถึงเรื่องที่ระย้าเมาเข้าแล้วเกิดความเร่าร้อนขึ้นกับพวกหนุ่มๆ มีตัวเขาเองกับเจ้ายอดที่ได้เสียเป็นผัวเมียกันบนเรือนของระย้าบ้าง และที่บ้านของเจ้าเดชเองบ้าง การที่มาที่บ้านของเจ้าเดชก็เพราะชาวบ้านชักจะรู้และเริ่มนินทากันอยู่หนาหู เดชได้เล่าถึงความแค้นใจของเจ้ายอดที่ความรักของมันไม่สมหวัง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสั่งจับตัวเจ้ายอดในทันที

วันนั้นในเวลาเที่ยง ขณะที่เพลินกำลังคลั่งอยู่ในความร้อนอบอ้าวของอากาศที่กำลังร้อนอย่างสาหัสไปด้วยเปลวแดด หมู่แผ้วก็นำเอาเครื่องหีบเสียงกับจานเสียงมาตั้งลงตรงหน้าห้อง

“ฟังหีบเสียงเสียหน่อยนะน้องชายนะ มันจะได้ทำให้อารมณ์ของลื้อแช่มชื่นขึ้นมาบ้าง”

“ดีซีครับหมู่” เขาร้องออกมาด้วยความลิงโลดใจ

“ปกติผมก็ชอบดนตรีอยู่แล้วด้วย”

“ถูกละซี” หมู่แผ้วพยักหน้า “ชนใดที่ไม่มีดนตรีการ - -”

เขาเริ่มได้ฟังเสียงเพลงเป็นเพลงแรก ท่วงทำนองของเพลงก็เต็มไปด้วยความไพเราะ มันเจื้อยแจ้วจับเข้าไปในหัวใจของเขา

“ความรักอันใด แม้รักเท่าไหน ยังไม่ยั่งยืน เช่นรักคู่รัก แม้รักดั่งกลืน ยังอาจขมขื่น คืนได้ภายหลัง...” ฯลฯ

“แน่ไปเลยทีเดียวครับหมู่” เขาชมเชย “ช่างร้องเพราะและชัดถ้อยชัดคำดีเหลือเกิน”

เสียงเพลงดำเนินไปด้วยความไพเราะเช่นนั้นตั้งแต่ต้นไปจนจบ แต่เมื่อจบลงไปแล้ว หมู่แผ้วก็หาได้เปลี่ยนเพลงใหม่ไม่ เขายังคงเปิดเพลงเดิมนั้นต่อไปอีก

“ทำไมไม่เปลี่ยนเพลงเสียบ้างเล่าครับหมู่” เพลินถามขึ้น

“ถึงเปิดเพลงนี้เรื่อยไป ก็ยังดีเสียกว่าเอ็งจะไม่ได้ฟังเอาเสียเลย”

หมู่แผ้วเริ่มเปิดอีก เปิดซ้ำเปิดซากมันอยู่เช่นนั้น

“นี่จะมาเล่นแกล้งผมให้ตายหรือครับ” เขาร้องออกมาด้วยความโกรธ “ปิดซีครับ ผมไม่ต้องการฟังแล้ว”

“แต่เอ็งจะต้องฟัง” หมู่แผ้วหัวเราะหึๆ

เขาเริ่มเปิดเพลงต่อไปอีกเปิดอยู่เช่นนั้นตลอดเวลา เขายกมือทั้งสองข้างของเขาขึ้นปิดหู แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังลอดเข้ามาในหูของเขาจนได้

“นี่จะแกล้งผมไปทำไมครับหมู่จะแกล้งฆ่าผมทำไม”

“ไม่ได้แกล้งฆ่าเอ็ง แต่จะให้เอ็งสารภาพ”

“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมจะไปรับสารภาพอย่างไรได้” เขาร้องออกไป

“งั้นเอ็งก็ต้องฟังเพลงนี้อีกต่อไป”

เขาเริ่มต้นเปิดเพลงความรักอันใดต่อไปอีก เปิดอยู่เช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้ว่ากี่สิบกี่ร้อยเที่ยว คนนี้เมื่อยคนนั้นมาเปลี่ยน คนนั้นเมื่อยก็เอาคนอื่นมาเปลี่ยนต่อไป

เขามีอาการกลุ้มและคลุ้มคลั่งเหมือนคนบ้า มันเป็นการทรมานจิตใจของเขาเสียเป็นสุดแสนที่จะทนทานได้ เขาพุ่งตัวไปข้างหน้าเอาศีรษะชนฝาห้องขังด้วยกำลังแรง

เขาดิ้นและเร่าร้อน เขาฟาดเท้าของเขาเอง ไม่ว่าจะกินจะนอน ไม่ว่าจะหายใจหรือนอนนั่ง เสียงเพลงนี้มันดังอยู่ตลอดเวลา

วันแรกผ่านไปแล้ว วันที่สองเขาก็ยังคงเปิดเพลงความรักอันใดอยู่เช่นนั้น วันที่สามเขาก็ยังคงเปิดต่อไปอีก

เขาแผดเสียงร้องออกมาเหมือนเสียงสัตว์ป่า เขาดิ้นทุรนทุรายเหมือนปลาที่ถูกทุบหัว ความร้อนและความอบอ้าวความหิวความเหนื่อยความอ่อนใจ ทำให้เขาเกิดความคลุ้มคลั้งยิ่งขึ้น

“นี่หมู่จะเปิดไปถึงไหนกัน ผมจำได้จนขึ้นใจแล้ว ถึงแม้ฝรั่งที่ไม่รู้ภาษาไทยและร้องเพลงไทยไม่ได้เลย เขาก็จะต้องร้องเพลงนี้ได้”

“ก็เอ็งรับเสียซี ข้าจะได้หยุดเปิด”

“ก็ผมไม่ได้ทำผิด ผมจะไปรับอย่างไรได้”

“งั้นเอ็งก็ต้องฟังเพลงนี้อีกต่อไป”

“ความรักอันใด แม้รักเท่าไหน - - -”

เขาลุกขึ้นและกระโดดโครมร้องเรียกหมู่แผ้ว

“หมู่ครับ ผมยอมรับแล้ว ผมสารภาพเดี๋ยวนี้แล้ว”

“เอ็งว่ากระไรนะ” หมู่แผ้วถามขึ้น

“ถ้าผมสารภาพ หมู่จะหยุดเปิดเพลงนี้หรือครับ”

“เออ ข้าจะหยุดเปิดทันที - -”

“ผมขอสารภาพว่า ผมได้ฆ่านางระย้าเมียของผมตายเอง”

“ฆ่าเพราะอะไร” หมู่แผ้วถาม

“ฆ่าเพราะจะเอามรดกของมัน”

“คุณพระช่วยอ้ายเวร’ หมู่แผ้วพึมพำ “มึงจะรับเสียแต่แรกก็ไม่ได้”

เขาค่อยรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจขึ้นในขณะที่เขาเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มใหญ่จับตัวเจ้ายอดมา มันเจ็บมากและผอมโซ ยอดรับสารภาพจนหมดสิ้นและพาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดูสถานที่เกิดเหตุด้วย

“เอาตัวเจ้าเพลินมานี่” ผู้กำกับสั่ง

เขาถูกนำตัวมายืนอยู่ต่อหน้าผู้กำกับและผู้ว่าราชการจังหวัด

“เราเป็นผัวผู้ตายหรือ” ผู้กำกับถาม

“ใช่ครับผม” เพลินตอบ

“เราฆ่าเขาตายจริงๆ หรือ” ท่านถามต่อไปอีก

“ผมฆ่าไม่ได้หรอกขอรับผมรักเขาราวกับชีวิต”

“ก็แล้วทำไมเราดันไปสารภาพเข้าล่ะ” ผู้กำกับถาม

“ผมถูกทรมานครับ พุทโธ่ เล่นกันอย่างงี้ฆ่าผมเสียดีกว่า” มาทำลายจิตใจของผมจนแทบจะเป็นบ้าตาย ผมต้องสารภาพเพราะอ้ายเครื่องทรมานแบบใหม่นี่เอง” ○

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ