สวัสดีความหลัง

เมื่อลงจากรถแล้ว ขวัญก็ต้องเดินเปะปะเข้าหาเสาไฟฟ้า หยุดยืนพิงเสาเสียชั่วครู่ ฉุกคิดขึ้นมาว่าเขาต้องออกกำลังทุกเวลาเช้าและทำงานดินในสวน แต่ทำไมเล่า ขาทั้งสองข้างของเขาจึงอ่อนปวกเปียกไปเหมือนไม่มีกระดูกเป็นแกนอยู่ข้างใน เขารู้แล้วมันตื่นเต้นเกินไปนั้นเอง ตื่นเต้นจนชักจะลืมๆ เสียแล้วว่า เขาจะต้องเดินไปตามถนนใหญ่อีก ๒ เสาไฟฟ้า เลี้ยวซ้ายแล้วไปเลี้ยวขวา ผ่านสระใหญ่ที่ล้อมรอบอยู่ด้วยรั้วลวดหนาม ดงไผ่ก้ามปูถูกตัดโค่นลงไปเสียมากแล้ว เห็นหลังคาเล็กหลังคาน้อยได้ถนัดชัดเจน แม้แต่เมฆบนท้องฟ้าก็ดูเหมือนเขาจะสังเกตดูได้อย่างถ้วนถี่ ลมบนไม่มีแม้แต่นิดเดียว เมฆจึงไม่ได้เคลื่อนตัว

บนถนนซีเมนต์ของซอยไม่มีคนเดินพลุกพล่านนัก มันเป็นเวลาบ่ายชายคล้อย ที่ร้านเหล้าชักจะมีเสียงอ้อแอ้ เขาสงสัยตัวเองว่าจะเดินไปถึงบ้านหรือเปล่า? บ้านของเขายังอยู่หรือไม่? แล้วก็ลูกเมียของเขาเล่า เขาเกิดฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้ามันเป็นอื่นไปเสียล่ะ? อกของเขามิแตกแยกออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ หรือ?

ขวัญเลี้ยวขวามือ เขาก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว นัยน์ตาตก ใบหน้าก็ไม่สู้จะแสดงอารมณ์อันลิงโลดอย่างไรนัก แม้จะได้พ้นออกมาจากที่โน่น - ลาดยาว สดๆ ร้อนๆ เขากลับคิดไพล่ไปเสียอย่างหนึ่ง คิดไขว้เขวไปเสียว่าพวกบ้านจะยอมต้อนรับเขาอย่างมนุษย์ธรรมดาหรือหาไม่ พอเขาเลี้ยวขวาก็พบร้านเหล้าตั้งอยู่เป็นแถว ร้านยายเจ๊ ร้านอ้ายหงี ร้านใครต่อใครเยอะแยะ เขาดูเหมือนจะหมดสติไปเสียชั่วคราวทีเดียวในเมื่อคิดถึงเมีย เขาไม่เคยเห็นหล่อนมาชั่วนาตาปี แม้หล่อนจะไปเยี่ยมเขาเสมอๆ และเอาของไปเยี่ยม แต่เขาไม่มีโอกาสจะได้เห็นหน้าหล่อนตามกฎของลาดยาว ความทรงจำสดๆ ร้อนๆ จากที่นั้น ทำให้ความทรงจำทางบ้านดูเลือนรางคลับคล้ายคลับคลาไป

ขวัญพยายามที่สุดที่จะไม่มองเข้าไปในร้านเหล้า เขาไม่ใช่คอเหล้าและไม่ติดมันเกรอะกรังอย่างนักเลงสุราทั้งหลาย กินก็ได้ไม่กินก็ได้ ไม่ยอมเสียเนื้อเสียตัวให้แก่มันจนเกินไป ทางออกของเขาจะต้องไม่ใช่เหล้า ของอื่นมีถมเถไป แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดยืนชะงักอยู่จนได้ ในเมื่อมีเสียงร้องตะโกนเรียกชื่อเขา

“ขวัญ - ขวัญ -” ชายกลางคนคนหนึ่งร้องเรียก “นั่นมันอ้ายขวัญนี่หว่า”

“ก็ใช่น่ะซี! อ้ายขวัญถูกปลดปล่อยออกมาจากลาดยาว”

เขารีบลุกพรวดออกไปที่หน้าร้าน

“ขวัญ! เอ็งจำอ้ายมิตรเกลอเก่าของเอ็งไม่ได้หรือ?”

เขาเดินยิ้มเข้ามาหา ในยิ้มของเขาดูเนือยๆ กระปลกกระเปลี้ยหาอารมณ์ไม่ค่อยจะได้ นอกจากฝืนๆ นัยน์ตาที่หรี่และปรือมองตกลงสู่พื้นดินเสียมากกว่าจะมองดูหน้าคน

“ข้ารู้ว่าเอ็งจะได้ปล่อยในรุ่นนี้” ชายกลางคนชื่อยังพูดขึ้น “แต่นั่นแหละ ขวัญเอ๋ย - มันก็อ้ายห่วงทำมาหากินนี่แหละ! ก็เลยไม่ได้ไปรับเอ็ง อ้ายจะไปเยี่ยมหรือเขาก็ไม่ให้เห็นหน้าเห็นตากัน อยากจะซื้อบุหรี่ไปให้เอ็งอยู่เหมือนกัน”

“เฮ้! นี่แกน่ะนิ่งเสียดีกว่ายัง” ยิ้มเตือน “อ้ายกำนัลด้วยปากน่ะ...”

“ยังดีกว่าไม่กำนัลกันเสียเลย -” ยังยิ้มแห้งๆ พอแก้เก้อ “แต่ว่าเอ็งพอจะรู้อะไรบ้างหรือเปล่าล่ะ? เกี่ยวกับ อ้า...เมียของเอ็ง ข้าน่ะไม่ใช่เป็นคนพูดมากหรอก เพราะมันไม่ใช่เรื่องของข้า - แต่ข้าน่ะสงสารเอ็ง นังโฉมเมียของเอ็งน่ะมันเป็นอื่นไปเสียแล้วละ! และมันเป็นกันอย่างออกหน้าออกตาเสียด้วย”

เหมือนถูกสาปหรือถูกยิงข้างหลัง อาการสะท้านร้อนสะท้านหนาวมันเกิดขึ้นมากับเขาในทันทีทันใด เขาพยักหน้าช้าๆ เหมือนกับว่าจะรู้แล้ว แต่อันที่จริงเขาก็เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เหมือนกันว่าเมียของเขาเป็นอื่นไปเสียแล้ว เขานึกวาดภาพเมียของเขาที่ตกเข้าไปอยู่ในวงแขนของคนอื่น อยากจะซบหน้าลงกับฝ่ามือแล้วก็ร้องไห้ หรือไม่ก็ออกวิ่งไปจนสุดฤทธิ์แล้วฆ่ามันเสียทั้งสองคน แต่แล้วความอาฆาตมาดร้ายทั้งหลายก็ปลาสนาการไป ในเมื่อถ้อยคำของเจ้าสหายของเขาคนหนึ่งที่อยู่ที่นั้น – บอกเขาเมื่อจะจากกันว่า เขาอย่ากลับเข้าไปอีกเลย ถ้ากลับเข้าไปอีก ทีนี้ เขาจะต้องตาย - ตายจริงๆ ในฐานที่ไม่หลาบจำ

“เข้าไปนั่งกันก่อนดีกว่า - เราจะต้องฉลองรับขวัญเอ็งเป็นการใหญ่”

เขาเดินตามยังเข้าไปเหมือนต้องมนต์ ทั้งๆ ที่เขาตั้งปณิธานไว้แล้ว เขาจะไม่ยอมดื่มเหล้า ยายเจ๊เจ้าของร้านถอยหลุนๆ ไปข้างหลังด้วยความตกใจ และเกือบจะร้องกรีดออกมา

ชายคนหนึ่งหน้าดำทมิฬผมหยิก เป็นหนุ่มน้อยอายุอานามเห็นจะอ่อนกว่าเขา จ้องมองดูเขาเหมือนแมวที่จ้องดูแมลงที่แปลกประหลาด แล้วทำทีท่าว่าจะกระโจนเข้าตะครุบเอาไปเป็นเหยื่อเสียอย่างง่ายๆ

“นี่อ้ายขวัญเมื่อก่อนที่เอ็งจะเข้าไปอยู่ในนั้น เอ็งเคยท้าข้า เอ็งข่มเหงข้า เอ็งเตะข้า เดี๋ยวนี้...” เขาหัวเราะเสียงดังลั่น “เดี๋ยวนี้ว่ายังไง? แน่ะขวัญ มันเห็นจะถึงทีข้ามั่งละ!”

เขาเดินตรงรี่เข้ามาพร้อมด้วยมือขวาของเขาคว้าพนักเก้าอี้ มันก็เป็นเวรกรรมของเจ้าขวัญนั้นแหละ เขาประพฤติกรรมใดกรรมนั้นก็ตามมาเหมือนรอยโคหนีรอยเกวียนไม่พ้น นอกจากมันจะหยุด ทุกคนที่นั่นถอยออกห่างมองดูการต่อสู้อันดุร้ายที่จะเกิดขึ้นแก่ทุกๆ คน ประสาทของคนดูกำลังเขม็งเป็นเกลียวเหมือนเกลียวเชือก หัวใจก็เต้นระเบ็งคอยเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น แต่แล้วทุกๆ คนก็สะดุ้งน้อยๆ เหมือนถูกแทงด้วยปลายเข็ม ขวัญยกมือไหว้ปรปักษ์ของเขาอย่างอ่อนน้อม

“ข้าไม่สู้เอ็งหรอก! ข้าไม่สู้เอ็งจริงๆ”

“ถุย -” ปรปักษ์ของเขาบ้วนน้ำลาย “เอ็งไม่ได้กลัวข้าหรอก ข้ารู้ว่าเอ็งไม่ได้กลัวข้า แต่เอ็งกลัวว่าเอ็งจะต้องเข้าไปในโน้นอีก”

“ไม่มีประโยชน์” เขาพึมพำ “กันปัดอดีตทิ้งไปเสียแล้ว กันตั้งต้นชีวิตใหม่แล้ว ขอบใจที่แกอาจเป็นคนหนึ่งที่เห็นใจกัน”

ยังร้องอุทานออกมาอย่างหัวเสีย เหมือนคนตื่นขึ้นมาจากฝันที่ไม่ค่อยจะดีนัก อ้ายขวัญเป็นคนละคนกับเมื่อก่อนเสียแล้ว

“นั่งลงเถอะขวัญ - กินเหล้ากัน” ยิ้มเชิญ

“ฉันตัดมันเสียแล้ว ฉันขอแต่กาแฟขมๆ สักแก้วเดียวถ้าพี่จะเลี้ยงฉันในวันนี้ เท่านั้นแหละ! พอแล้วสำหรับคนอย่างฉัน”

“แล้วนี่เอ็งจะไปนอนที่ไหน?” ยังถามขึ้นมาอีก

“อ้าว!” เขาร้องออกมาหน้าซีดนัยน์ตาโรยเต็มไปด้วยปัญหาและความลังเลใจเกินควร “บ้านของฉันล่ะ? เขารื้อมันหมดแล้วรึ?”

“ใครว่ารื้อ’ ยังหัวเราะ “แต่เอ็งจะเข้าไปอยู่ได้อย่างไรในเมื่อ...”

หน้าของเขาซีดเหมือนถูกต้ม สงบนิ่งเหมือนปั้นด้วยขี้ผึ้ง ไม่มีอารมณ์อะไรหลงเหลืออยู่บนใบหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว

“นี่ พี่ยัง จะบอกฉันสักทีได้ไหมว่า เมียของฉันน่ะเขาได้กับใคร?”

“ก็เพื่อนของเอ็งน่ะแหละ!...”

หน้าของเขาแดงเข้มขึ้นมาหน่อยหนึ่ง แต่แล้วมันก็คงคืนสู่สภาพเดิมอีก เขาพึมพำออกมาอย่างกระท่อนกระแท่นเต็มทน

“เพื่อนของฉัน - งั้นอ้ายเพลิน”

“เอ็งก็เดาไม่ผิดนักหรอก!” ยังพยักหน้า “มันทรยศ...”

เขาถอนหายใจ พยายามที่จะไม่จับสายตาไปยังขอบซีเมนต์อันยาวเหยียดสุดสายตา โฉมเฉลาเมียของเขาร้องไห้จนนัยน์ตาแทบจะเป็นสายเลือดในเมื่อเขาจากหล่อนไป แต่แล้วในสายเลือดของน้ำตาก็กลับบรรจุเอาความรักเข้าไปแทนที่ อันที่จริงเขาเองก็ยังรักยังอาลัยหล่อน เขารักโฉมเฉลายิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลก เขายังเคยบอกหล่อนว่าถ้าเขามีอะไรที่จะเสียสละให้หล่อนได้ภายในชีวิตของเขา - เขาจะยอมสละทันทีถ้าหล่อนรักเขา ดวงความคิดของเขา อารมณ์ของเขาในวันนั้นเตลิดไปทุกสารทิศ แต่แล้วมันก็ย้อนกลับมาหาเขา และสถานที่อันเขาไม่ปรารถนาจะกลับเข้าไป

“มันทรยศ - -” ยังย้ำขึ้นอีก “อ้ายขวัญ - นี่ผีร้ายสัตว์ร้ายที่สิงอยู่ในตัวเอ็งน่ะ เดี๋ยวนี้มันไปข้างไหนเสียหมด -”

“มันถูกกดคอให้จมคว่ำลงไปด้วยอำนาจแห่งความสำนึก” ขวัญตอบ “ฉันรู้ว่าฉันมีชีวิตขึ้นมาใหม่ที่อ่อนนุ่ม อบอุ่น และแสนหวานอยู่ด้วยอิสระและฟรี ถ้าอ้ายสัตว์ร้ายในตัวฉันมันเกิดกำเริบขึ้นมา มันเสือกมีอำนาจเหนือมนุษยธรรมในตัวฉัน ฉันก็จะต้องกลับเข้าไปในโน้นอีก - ตายทั้งมันและฉัน”

“เอ็งพูดของเอ็งก็เข้าที” ยังว่า “แต่เอ็งจะทนเห็นสภาพการณ์ต่างๆ ได้ไหวหรือ? นี่แน่ะ ขวัญ ข้าว่าเอ็งจะทนเห็นสภาพอย่างนั้นไม่ได้อย่างแน่ๆ ภาพที่เขาเดินกอดคอคลอเคลียกันลงไปอาบน้ำ ภาพที่เขาหยอกเอินกันอย่างไม่แคร์สายตามนุษย์ ภาพที่เขาแหวกว่ายกอดรัดกันอยู่ภายในน้ำใสไหลเย็น เหมือนเทวดานางฟ้าที่หล่นลงมาจากสวรรค์ โอย! ขวัญเอ๋ย! เอ็งทนไม่ได้หรอก! ข้าก็มีทางอยู่อย่างเดียวเท่านั้นที่จะแนะนำเอ็ง ถ้าเอ็งมีขันติธรรม เอ็งก็อยู่ แต่ถ้าเอ็งคิดว่าเอ็งจะขันแตก เอ็งไปเสียจากที่นี่ดีกว่า - ไปเสียเถอะ!”

“ไปจากที่นี่” ขวัญร้องขึ้น นัยน์ตาหรี่ของเขาเบิกกว้างเล็กน้อย

“ถูกละซี เรื่องพรรค์นี้ คนอย่างเอ็งข้าไม่เชื่อเลยว่าจะทนได้นานนัก นอกจากจะทนไม่ได้แล้ว เอ็งยังจะต้องฆ่าเพื่อนของเอ็ง แล้วเอ็งจะ...”

เขาส่ายหน้าอย่างท้อแท้และผิดหวังสิ้นดีไปเสียเลยทีเดียว

“ฉันไปจากที่นี่ไม่ได้” เขาบอก “ออกจากเขตนี้ไปยังไม่ได้ ถ้าเขาพบฉันเดินป๋ออยู่ในเขตอื่น ฉันก็จะต้องถูกส่งกลับเข้าไปอีก แล้วก็ยิ่งกว่านั้น ฉันจะต้องไปรายงานตัวที่โรงพักทุกอาทิตย์ แล้วฉันจะบอกเขาว่าอย่างไร ช่างเขาเถอะ ฉันทนได้ ฉันกลัวว่าฉันจะทนไม่ได้จริงๆ ฉันก็จะมองดูเจ้าสัตว์ร้ายในตัวฉันอย่างบังคับด้วยอำนาจใจ”

ยังกับยิ้มหัวเราะ เขาไม่เคยเชื่อเลยว่ามนุษย์อันธพาลเมื่อ ๒ ปีก่อนอย่างเจ้าขวัญน่ะหรือ จะทนเห็นภาพเหล่านั้นไหว นอกจากเลือดนักเลงของเขาจะพลุ่งขึ้นมาจนหัวใจของเขาทะลักออกมาด้วยความพยาบาท

ขวัญเดินออกจากร้านเหล้า เขาทักทายกับพรรคพวกเพื่อนฝูงและเพื่อนบ้าน มองดูซอยอันยาวเหยียดสีขาวหม่่น แวดล้อมอยู่ด้วยสีเขียวของหมู่ไม้อันหนาแน่น ตลอดจนดอกไม้หลากสีที่เบิกบานอยู่ตามลานบ้านของผู้มีอันจะกิน เขาไม่มีอะไรภายในหัวใจนอกจากความหมกมุ่นครุ่นคิด ร่างอันสวยงาม ท่อนขาที่ใหญ่ อกที่สวยสล้าง โอย! ป่วยการที่จะไปนึกคิดถึงสิ่งที่ได้หลุดลอยไปแล้ว เขาออกมาได้จากลาดยาวแล้ว เขาออกมาได้แล้ว นั่นไม่ใช่พระผู้มีคุณหรอกหรือที่ได้ดลบันดาลประทานให้แก่เขา เขายังจะโลภโมโทสันแล้วหันหน้าเข้าหาความพยาบาทได้อย่างไรอีก?

ขวัญตกใจและสะดุ้งขึ้น เมื่อเห็นภาพหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าเขา ในระหว่างรั้วลวดหนามและต้นไม้ปากบ่อใกล้กับซอยที่เขาเดิน เขาหยุดด้วยอาการอันตกตะลึงพรึงเพริด โฉมนั่งลงแล้วไหว้เขา หล่อนร้องไห้อย่างเด็กๆ

“ฉันได้ข่าวว่าพี่มา ก็รีบมา”

“ฮื่อ!” เขาพยักหน้าช้าๆ มองดูเรือนร่างอันอวบอิ่มของหล่อนแล้วก็ช้อนนัยน์ตาของเขาแหงนขึ้นไปมองดูท้องฟ้าที่ขุ่นๆมัวๆ อยู่ด้วยเมฆสีควันบุหรี่

“พี่จ๋า! ฉันผิดไปแล้วพี่” หล่อนก้มหน้าลงไปซบอยู่กับหัวเข่า “ฉันผิดไปแล้วพี่ - พี่จะฆ่าจะฟันฉันอย่างไรก็ตามแต่พี่เถอะ พี่คงรู้ดีแล้วว่า - ฉัน - ฉัน -”

“รู้แล้ว!” เขาพูดห้วนๆ จนเหมือนพูดกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต

“พี่เพลินดีกับฉันมากเมื่อพี่เข้าไปอยู่ในนั้น เขาเลี้ยงดูฉัน เขาหาเลี้ยงลูก ยามเจ็บยามไข้ก็อดตาหลับขับตานอนเพราะอ้ายลูกของเรา มาอีกคราวหนึ่งฉันเจ็บหนักลง ก็อีกน่ะแหละ ฉันได้เขาอีกเหมือนกันจึงได้รอดชีวิต -”

“ฮื่อ!” เขาพยักหน้าช้าๆ

“พี่จ๋า! ฉันขอให้พี่อภัยให้เขา - ส่วนตัวฉันพี่จะลงโทษอย่างไรฉันก็ยอมทั้งสิ้น สุดแต่ความแค้นของพี่...”

“บอกอ้ายเพลินด้วย คืนวันนี้พี่จะไปพบ”

“โธ่พี่! อย่าให้มันเป็นเรื่องเป็นราวอะไรกันเลยพี่” หล่อนวิงวอนและร้องไห้ “ขอให้พี่นึกถึงน้องบ้าง ถึงจะเป็นอื่นไปแล้วแต่ฉันก็จะคิดว่า เราเป็นพี่น้องคลานตามกันมา - ไม่เคยลืมเลือนพี่เลย?”

“บอกอ้ายเพลินด้วยว่าคืนวันนี้พี่จะไปพบ” เขากล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่ง

“โธ่! พี่อย่าไปไม่ได้หรือจ๊ะ! นี่พี่เพลินก็คิดจะหนีพี่ เขารู้ตัวดีว่าเขาทรยศ บางทีเขาต้องน้ำตาตกเศร้าสลดใจในการที่ทรยศต่อเพื่อน - พี่อย่าไปนะพี่นะ พี่อดโทสะไว้เสียเถอะ เหมือนคำพระที่ท่านว่า เมื่อโทสะหายแล้วก็จะได้รับความร้อนใจเหมือนไฟไหม้ - พี่อย่าไปเลยนะพี่นะ พี่ต้องการอะไรน้องจะจัดหามาให้ทุกอย่าง”

“ต้องการลูก...” เขาพูดด้วยเสียงห้าวๆ และเม้มปาก

เสียงร้องไห้ของหล่อนเพิ่มความดังขึ้นมาอีกพร้อมด้วยเสียงสะอึกสะอื้น

“ขอให้ฉันเลี้ยงไว้ก่อนเถอะนะจ๊ะพี่ ลูกของเราแท้ๆ มันคงไม่ลืมพ่อของมันเป็นแน่ พี่เองเวลานี้ก็ยังไม่เป็นหลักฐาน จะต้องระเหเร่ร่อน เมื่อไรพี่มีที่อยู่เป็นที่เป็นทางพี่คอยมารับมันไป ฉันรักลูกของเราเหมือนชีวิต พี่ต้องการฉันจะขัดได้หรือ?”

เขาพยักหน้าช้าๆ เหมือนกับจะเห็นด้วย ขวัญมองหล่อนเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็เดินออกไปจากที่นั่น ตามแต่เท้าจะพาเขาไป

“บอกอ้ายเพลินด้วยคืนวันนี้พี่จะไปพบ”

“โธ่ พี่อย่าไปเลยจ๊ะพี่”

“ทำไมนะ?” เขาหันมามองดูหล่อนด้วยนัยน์ตาอันขุ่นเขียว

โฉมยืนตกตะลึงอยู่ที่นั่นคนเดียว หล่อนมองตามร่างอันสูงสง่าล่ำสันของเขาไป แข็งแรงแกร่งกล้าจากการออกกำลังเล่นกล้ามและงานหนัก อกเหมือนพะเนินเหล็กที่จะคอยรับอุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางได้โดยมิได้ย่นย่อ คอที่ใหญ่เป็นหนอกเหมือนคอวัว หล่อนยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยอาการอันเสียวสะท้านเข้าไปในทรวงอก โฉมหลับตามองเห็นภาพคนสองคนต่อสู้กันอย่างทรหด หล่อนเกือบจะหวีดร้องขึ้นในเมื่อนึกวาดภาพไปเห็นเพลินสามีของหล่อนนอนแขม่วๆ จมอยู่ในกองเลือด

หล่อนพาเรือนร่างอันทรงเสน่ห์กลับไปยังบ้านด้วยอารมณ์ตื่นกลัว เพลินนั่งเหม่ออยู่ในเรือน นัยน์ตาของเขาหรี่ ประตูลั่นดาลไว้ภายใน เขาขยับลุกพรวดพราดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงตบประตู เพลินขยับเข้าหาดาบ เขากำมันไว้กระชับ ข่าวการกลับมาของขวัญมาถึงเขาเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่เมื่อเพลินรู้ว่าผู้ตบประตูเป็นโฉม เขาก็ค่อยมีสีหน้าอันเบิกบานขึ้น และเดินไปเปิดประตูให้

“ขวัญว่าอย่างไร?” เขาถามเสียงอยู่ในลำคอ นัยน์ตาของเขาเบิกกว้างลืมโพลง

“เขาบอกว่าคืนนี้เขาจะมาพบพี่...” หล่อนบอก

ความเงียบเข้ามาปกคลุมสถานที่นั้นในทันที บ้านทั้งบ้านเงียบอย่างน่ากลัว โฉมพูดต่อไปอีกด้วยเสียงหนักๆ

“ฉันก็ขอร้องเขาแล้วว่าอย่าให้เขามา แต่เขาจะมา...”

เสียงหายใจของเขาดังกว่าปกติ นัยน์ตาของเขาจับอยู่ที่ดาบอันคมกริบ

“อ้ายคนเรานี่มันกลัวตายด้วยกันทุกคนแหละ” เขาพูดเหมือนแข็งใจ “แต่อ้ายตายฟรีก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก อย่างน้อยก็ต้องตายด้วยกัน”

เขาพยายามจะรวบรวมสติอารมณ์หรือจิตใจให้มันรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แต่เพลินก็ทำไปไม่ได้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นหัวใจของเขากลับเต้นอย่างไม่เป็นระเบียบ เดี๋ยวโครมคราม เดี๋ยวก็ค่อยเหมือนใจจะขาด จิตใจที่ก่นแต่ฟุ้งสะท้าน เขามองเมียของเขาที่ได้มาจากเพื่อนด้วยดวงจิตอันสลดหดหู่ ยังทรงเสน่ห์ อวบอัดโฉมสะคราญ สะโพกผายและโค้งน่ารัก หน้าอกเต็มเหมือนน้ำเปี่ยมฝั่ง เขาเบือนหน้ากลับ เวลานั้นสนธยาได้นำตัวของมันเข้ามาแล้ว กำลังจะขับแสงส่วนที่เหลืออยู่เล็กน้อยให้หมดไป เขาลุกขึ้นแล้วก็เดินไปรอบๆ บ้าน เดินกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้น เขาเกือบจะร้องออกมาด้วยความตกใจ ในเมื่อโฉมเดินพรวดเข้ามาจุดตะเกียงแสงไฟเรืองไปทั่วห้อง ภายนอกมืดสนิทแล้ว

เขาสะดุ้งและหวั่นไหว แม้แต่เสียงกิ่งไม้ที่ระหลังคาสังกะสึดังกรอบแกรบ เขาจะร้องออกมาด้วยความตกใจในเมื่อเสียงลมปะทะกันกับสังกะสีที่พะเยิบพะยาบ แมวกระโจนหรือตุ๊กแกจิ้งจกร้องออกมาในความสงัดเงียบ ทุกชั่วลมหายใจของเขาเต็มไปด้วยการรอคอย คอยวินาทีสุดท้ายแห่งการประหัตประหารกันให้สุดสิ้นไปข้างหนึ่ง ทันใดนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น แล้วก็เปิดผลัวะเข้ามาโดยเขาลืมลงกลอน ร่างของขวัญยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ เพลินจับดาบไว้มั่น แต่ขวัญหัวเราะ

“อ้ายเพื่อนรัก กันมาดี -”

“มาดี -” เพลินทวนคำ

“กันตั้งใจจะมาชวนแกไปร้านยายเจ๊ด้วยกัน”

“มืดค่ำแล้วขวัญ - ” เพลินพูดเสียงค่อยๆ

“ไปเถอะ อย่าขัดความตั้งใจดีของกัน”

เพลินจ้องมองดูเขา ดูเข้าไปในดวงตาของเขา ดูเข้าไปแม้กระทั่งอารมณ์และหัวใจ

“นี่โฉมไปไหน?” ขวัญถามขึ้น

“เขาอุ้มลูกไปแต่ยังพลบ”

“มาเราไปกันเถอะ”

ขวัญรู้ดีว่าในกระเป๋าของเขามีเงินอยู่เท่าไร? เขารีบสั่งเบียร์มาดื่ม เพลินปฏิเสธ เขากอดคอเพลินไว้ แล้วกระชากมีดเหน็บออกมาจากเอวของเพลิน

“คุยกันไม่ต้องใช้มีดก็ได้” ขวัญหัวเราะ แต่เพลินหน้าซีดจนขาว “กันจะขอฝากอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อนรัก หวังว่าแกคงจะช่วย”

“อ๋อ ยินดีทีเดียว - แกไม่ต้องเป็นห่วงเลยในเรื่องโฉม”

“อ้ายเรื่องเมียน่ะกันไม่ต้องการฝากหรอก! มีเมื่อไรก็มีได้ กันขอฝากลูกกับแกต่างหาก ลูกเป็นเลือดเนื้อของกันและจะหาไม่ได้บ่อยนัก - เท่านั้นแหละที่กันต้องการพบแก กลับไปหาโฉมของแกเถอะ! สวัสดี”

เพลินเดินตัวปลิวกลับไปบ้าน – เขาแทบไม่เชื่อเหตุการณ์ครั้งนี้เลย!! ○

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ