นายท่า

ข้าพเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าท่านเป็นอ้ายจิว ท่านจะทำอย่างไร? ไม่มีใครเรียกเขาหรอกว่า เถ้าแก่จิวหรือจิวเฉยๆ ทุกคนมักจะเรียกเขาว่าอ้ายจิว อุปนิสัยใจคอและมารยาทอันน่ารัก ไม่ถือตัวถือศักดิ์ศรีอะไร ใครจะด่าว่าอะไรก็ได้ ขอแต่ว่าให้ของในร้านของเขาขายดีก็แล้วกัน ผิดจากร้านอาหารไทยที่ข้างเคียงจะต้องพูด ‘ครับ’ กันสะบั้นไปหมด

ก่อนที่จะพูดถึงจิว ก็จะต้องนับลำดับสกุลวงศ์ของเขาเสียก่อน พอให้รู้ว่าเขามีใครต่อใครบ้างที่อยู่ในความคุ้มครองของเขา จิวมีแม่อยู่คนเดียวเกิดเมืองจีน เตี่ยของเขาเกิดเมืองไทย แต่ถูกบังคับให้แต่งงานกับแม่ เตี่ยก็ยอมแต่งงานแล้วก็เดินทางเข้ามาหากินป้วนเปี้ยนอยู่ในเมืองไทย เริ่มต้นด้วยหาบกาแฟขาย ต่อมาก็มาเช่าห้องแถวโกโรโกโสตั้งร้านเล็กๆ ขึ้น พอจิวโตขึ้นมา การตัดถนนก็เจริญขึ้นใหญ่โต เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะที่จิวมีลูกแล้ว เขาแต่งงานกับลูกจีนคนหนึ่งที่ร่ำรวยกว่าตัวเขา และน้องสาวของเขายังสาวแล้วสวยเสียด้วยซี สวยแบบจีนนั่นแหละ แต่พูดชัดเหมือนชาววังสามเสน

เมื่อลำดับสังคญาติพี่น้องแล้ว ก็ปรากฏว่าจิวมีพ่อซึ่งได้รับตำแหน่งเป็นคนขายเหล้าและชงกาแฟตามถนน น้องสาวของเขากับตัวเขาขายอาหารและน้ำแข็ง ส่วนมารดาก็เลี้ยงดูหลานซึ่งเป็นลูกของจิวและเก็บถ้วยเก็บชาม เมื่อเกิดตึกรามขึ้นที่ตำบลนั้น จิวก็ได้ตึกหัวมุม เพราะเขาอยู่มาก่อน เสียค่าเก๊าเจี๊ยะไป ๓ หมื่นบาท เขาไปขอยืมมาจากแม่ยายบ้าง และของเขาที่เก็บสะสมไว้บ้าง เดี๋ยวนี้จิวอยู่ตึกสบาย ทีนี้อ้ายตึกข้างเคียงนั่นสิ มันเป็นหนามที่ยอกอกจิวอยู่ทุกคืนวัน เพราะว่าตึกข้างเคียง ๒ คูหานั้นมันเป็นท่ารถโดยสาร รถเหล่านี้เป็นสองแถวเล็กๆ ข้าพเจ้าไม่จำเป็นจะต้องบอกท่านว่ามันวิ่งจากจุดไหนไปยังจุดไหน? แต่ระยะของมันก็อยู่ในราวสัก ๖ - ๗ กิโลเท่านั้นแหละ ชุมนุมชนที่นี่คับคั่งก็เพราะว่ามันมีตลาดสดถึงสองตลาด มีโรงภาพยนตร์ชั้น ๒ มีตึกกว้าง ร้านโรงเรือน มีโรงเรียนอันใหญ่โต ขนาดรถติดเป็นพืดในเวลาเช้าและเวลาเย็น

จิวทำงานอย่างเหงื่อไหลไคลย้อย เมียของเขาก็ไม่ว่างมือเลย น้องสาวสวยยืนพูดฉอดๆ อยู่กับพวกคนขับรถและคนกระเป๋าโต้กันไปโต้กันมา แล้วก็มีเสียงฮาครืนอยู่

“ขอหอมหน่อย” คนกระเป๋ากินข้าวผัดกล่าวขึ้น

“มีแต่ผักตบโว้ย”

“ผักตบก็เอา ขอหอมด้วยก็แล้วกัน”

“หอมอะไรกันวะ?” จิวรำคาญเต็มทน เขาร้องถามขึ้นมา

“หอมอะไรกัน?” จิวถามต่อไปอีก

“ก็แกล้มข้าวผัดน่ะซี”

จิวชักหนักใจเต็มทน ท่ามันจะไม่ไหวเสียแล้วละ เขาพูด ‘แกล้ม’ ไม่ชัด มักจะพูดแต่ ‘แก้ม’ เสมอไป จิวไปปรึกษาเตี่ยของเขา ขอให้อ้ายม่วยน้องสาวของเขาแต่งงานเสียที เขาทนรำคาญพวกรถโดยสารไม่ไหว เตี่ยวิ่งเต้นปรึกษาแม่สื่อพักเดียวเท่านั้นน้องสาวของเขาก็แต่งงานไปกับลูกชายเจ้าของร้านขายส่งในตำบลเดียวกันนั้นเอง จิวดีใจเหมือนได้แก้ว แต่ทว่าเมื่อม่วยกลับไปเสียไม่มาขายของ ร้านของเขาก็ดูเซ็งไป มันจืดชืดเงียบเหงาเหมือนน้ำยาเย็น มันก็มีอยู่หนทางเดียวเท่านั้นที่เขาจะแก้ปัญหานี้ได้ ก็โดยเขาจะต้องไปหาผู้หญิงเสิร์ฟหน้าตาดีๆ มาไว้สักคน ผู้หญิงคนนั้นจะต้องสาวสวย เก่งและคล่องพอที่จะเป็นแม่เหล็กดูดเอาพวกรถโดยสารขึ้นมา และในที่สุดเขาก็ได้มา ๑ คน ชื่อรัชนียา

“รัชนียา...” จิวทวนคำไปมา “เรียกยากเหลือเกิน”

“เรียกยากหรือเรียกง่าย พ่อแม่ฉันตั้งไว้งั้นนี่”

“สื้อชื่ออาหนีก็แล้วกัน”

“อาหนี” หล่อนทวนคำเสียงดังแล้วหัวเราะ “พ่อแม่อั๋วไม่ได้เป็นเจ๊กนี่หว่า จะได้ชื่ออาหนี”

“น่า - ไม่เป็นไรน่า ลื้ออยู่ในร้านลื้อชื่ออาหนี พอลื้อกลับบ้านชื่อรัชนียาก็แล้วกัน”

อาหนีหรือรัชนียา จะมีเรื่องเบื้องหลังข่าวหรือมีประวัติการณ์ และประสบการณ์อย่างยุ่งยากสลับซับซ้อนมาสักเท่าใดก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนเป็นใคร มาจากไหน มีรูปร่างโปร่งแบบบางสวยและแต่งหน้าเสียด้วย เรือนผมหรือก็สร้างมาเป็นอย่างดี

แต่รัชนียาก็รัชนียานั่นแหละ หล่อนไม่พันจากคนขับรถกับคนกระเป๋าไปได้

“สวยๆ อย่างนี้ไม่น่าเลยที่จะมาลำบากลำบน”

“รูปร่างอย่างเธอไม่น่าจะมาขายของร้านอ้ายจิวเลยโน้นเธอควรจะ...”

“โอ๊ย! ช่างมันเถอะจ้ะ อยู่ว่างๆ ก็ทำมันไปจนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็แล้วกัน”

เจ้าคนหนึ่งเป็นกระเป๋าโผล่พรวดเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ

“นมมีมั้ย!” เขาถามขึ้น

“มีซีจ๊ะ - ไม่มีนมจะขายกาแฟได้อย่างไร”

“ตราอะไร?” เขาถามต่อไปอีก

“ตราภูเขา - ตราดอกไม้”

“เอาตราภูเขา ๑ ถ้วย - นมเย็นนะจ๊ะ อย่าเอาหางนม”

จิวตะแคงหูฟังอยู่เสมอ เขาเริ่มเกิดความอุ่นใจและมั่นใจหนักขึ้น วิตกอยู่อย่างเดียวเท่านั้น ก็คือนายท่า - นายท่าปล่อยรถเมล์คนนี้มันสำคัญนัก พวกคนขับและเด็กกระเป๋าเรียกพี่ทั้งสิ้น รถสองแถวชนิดเล็กนี้มีมากคันด้วยกัน ถ้ามัวแย่งคนโดยสารกันอยู่ นอกจากจะไม่ได้รับความสะดวกในการทำมาหากินแล้ว ยังจะเกิดการวิวาทต่อยตีกันเสียอีกด้วย ดังนั้น เจ้าของรถและบรรดาคนขับทั้งหลาย จึงอุปโลกน์ให้แก่ ‘พี่หวิด’ ลูกพี่ของคนขับรถและกระเป๋ารถเป็นนายท่าขึ้นมา

งานของเขาก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากปล่อยรถไปตามคิวทีละคันๆ รถคันหนึ่งจะรับผู้โดยสารได้ ๖ -๗ คน เก็บคนละ ๑ บาท จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง คนรถจะได้รับความสะดวกเมื่อถึงเที่ยวของใครก็ออกไป สุดแต่ว่าหวิดจะจัด ครั้นตกเย็นเข้ารถเหล่านั้นก็จะต้องเอาเงินมายื่นให้แก่นายท่าคันละ ๕ บาททุกวันไป ทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องขับรถให้มันเสียเวลา รถ ๑๐ คัน เขาได้ ๕๐ บาท แต่ทว่าบางวันมีรถเกือบถึง ๒๐ เมื่อคนรถเจ็บปวดป่วยไข้ เขาเข้าขับแทนและช่วยเหลือด้วยน้ำใจอันดี

ทีแรกอาหนีหรือรัชนียาไม่ค่อยจะสนใจเขาเท่าไรนัก มองเขาอย่างคนธรรมดาสามัญ แต่พอเห็นตำแหน่งงานและหน้าที่ หล่อนเกิดความสนใจขึ้นมาทันที

ทีนี้เจ้าคนรถเกิดในถิ่นนั้น นำรถเข้ามาจอดและไม่ยอมเข้าคิว เขากำแหงและไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

“ถนนหลวงโว้ย! กูจะจอด”

“เข้าคิวกับเขาเสียเถอะน่าอ้ายหวัง”

“ไม่เข้า - กูรับของกูเอาเอง - ออกเอง - ไปเอง”

“อย่าเลยวะอ้ายหวัง มันจะเป็นแมงเม่าเข้ากองไฟ”

“อ๊ะ! บ้านเมืองมีขื่อมีแปนี่หว่า - กูไม่ให้หรอก บอกอ้ายหวิดเถอะ!”

พอตกเย็นเท่านั้น ในร้านกาแฟของจิวก็ได้เกิดเรื่องขึ้น เจ้าหวังถูกจับคอเสื้อโดยเจ้าหวิด

“มึงจะให้หรือไม่ให้”

มันไม่ใช่หวิดคนเดียวเท่านั้นที่จับคอเสื้อ แต่คนขับรถและคนกระเป๋าล้อมเข้ามาด้วย เจ้าหวังที่เคยแกร่งกล้า บัดนี้อ่อนปวกเปียกไปเสียแล้ว เจ้าหวังค่อยๆ ล้วงกระเป๋าขึ้นมาแล้วหยิบธนบัตรใบละ ๕ บาทออกมาด้วยมืออันสั่นๆ

“เอ้า...พี่หวิดเอาไป”

หวิดรับธนบัตรมาแทนที่จะใส่กระเป๋า เขากลับฉีกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขว้างพรูลงไปในร้าน ตั้งแต่วันนั้นมารัชนียาหรืออาหนีก็ตกลงใจทันที ตกลงเงียบๆ อยู่ในใจ

ยามเมื่อหวิดสั่งอาหาร เขาจะได้มากเป็น ๒ เท่าของคนอื่น

“ทานอะไรคะพี่หวิด?”

“บุหรี่ไหมคะพี่หวิด?”

“น้ำอัดลมไหมคะพี่หวิด?”

“พี่หวิดเหนื่อยมากไหม?”

“คืนนี้พี่หวิดพาหนูไปดูหนังหน่อยได้ไหม?”

เวลาล่วงมาอีกเพียงเดือนเดียวเท่านั้น รัชนียาหรืออาหนีก็ลาออกจากร้านของอาจิวไปเสียแล้ว

เขาถอนใจเฮือก พูดอะไรไม่ออก แน่นอนละ! แน่นอน เขาจะต้องหาผู้หญิงมาใหม่อีก แต่ว่าเขาจะไปหาได้ที่ไหน? เขาเที่ยวเสาะแสวงหาสืบถามไปจนทั่ว มีแต่เด็กบ้านนอกผิวสีดำมะเมื่อมและอยู่กับควายมาเสียจนเคยชิน แต่ทว่าเรื่องงานแล้วใครๆ ก็อยากได้ทั้งนั้น แต่ที่จิวไม่ต้องการก็เพราะว่าเขาเป็นคนมีพันธะ เขาต้องการคนโสดและสาว พูดเก่งเท่าไรได้ยิ่งดี เขาทนอยู่สัก ๓-๔ วันก็ได้ผู้หญิงสาวมาคนหนึ่ง ชื่อเกษร หล่อนหนีตามผู้ชายมาจากบ้านนอก แล้วจะพาไปเมืองสุพรรณ หล่อนกลัวเมืองสุพรรณก็ไม่ยอมไปด้วย ทำให้เจ้าผู้ชายที่พามาต้องสลัดหล่อนทิ้ง เกษรก็เลยต้องอาศัยเขาอยู่ หล่อนมีรายได้เป็นประจำไว้เสียบ้างก็คิดว่าจะเก็บเงินก้อนนี้กลับไปยังบ้านเดิมที่หล่อนหนีพ่อแม่มา

จิวดีใจมาก เขารีบบอกงานให้แก่หล่อน เกษรก็ทำได้เป็นอย่างดี แต่ทีนี้เจ้าจิวเห็นว่า ถ้าเอาผู้หญิงมาทำงานร้านก็รังแต่จะเป็นเหยื่อของพวกขับรถ คนเหล่านี้ฉลาดและพูดเก่งขนาดมะกอกสิบตะกร้าก็ยังปาไม่ถูก เขาบอกแก่ตัวเองว่าเขาจะต้องได้หล่อนเป็นเมียเสียอย่างลับๆ และเงียบๆ ถึงเจ้าพวกนั้นจะเก่งกาจอย่างไรก็ไม่อาจที่จะมาพรากเอาเกษรไปจากเขาได้ พอได้โอกาสจิวเดินสวนทางกัน เขาเริ่มลงมือส่งภาษาใบ้ให้หล่อนรู้ตัว ไม่แตะโน่นก็แตะนี่ แม้แต่ว่าจับข้อมือนิดหน่อยก็ยังดี

“เอ๊ะ! อ้ายเจ๊กบ้า” หล่อนมักจะด่าเขาในใจ

มันก็เป็นอย่างนั้นเองสำหรับคนเรา ลงเมื่อได้ถูกเนื้อต้องตัวจับมือถือแขนกันบ้าง ความรักมันก็ยิ่งกำเริบเร้าขึ้นมาจนร้อนวูบไปทั้งเนื้อทั้งตัว

“เกษร - ฉันรักเกษร” เขาบอกหล่อนในวันหนึ่ง

“ฮื่อ? ดีซี ฉันไม่เอาหรอก เดี๋ยวยายซิ้มแกจะได้...”

“อีไม่ว่าหรอกน่า - อีไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร พูดไทยก็ยังไม่ค่อยจะชัด”

“อย่าเข้าหน่อยเลย - ด่าเป็นไฟไปเลย”

“เอาเถอะน่าเกษร ฉันจะให้เงินเกษรอย่างเต็มที่ อ้ายเงินเดือนที่ตั้งไว้นี่น่ะ ตั้งไว้งั้นเองนะพอเป็นพิธี คอยดูซี สิ้นเดือนนี้ฉันจะให้เกษรเท่าไร?”

เกษรยิ้มน้อยๆ ในขณะที่เดินออกจากเขาไป พอตกเย็นหล่อนก็เล่าให้เจ้าหวาดน้องชายของหวิดฟังและหัวเราะกันอย่างครื้นเครง

“อ้ายจิวนี่ต้องเตะกันเสียบ้าง” หวาดร้องขึ้น

“อย่าซีพี่ อย่าเพิ่งไปทำอะไรเขา”

“เรารักเขาหรือ?”

โธ่! พี่ ฉันจะไม่ยอมเป็นอันขาดที่จะไปเป็นเมียเจ๊กอย่างอ้ายจิว”

“งั้นคอยดูก่อนสิ้นเดือนนี่มันจะให้เงินเท่าไร?”

“ถ้ามันให้มาก เราไปกันนะพี่นะ”

“อ่อ แน่นอน พี่เตรียมตัวอยู่แล้ว” เขาพูดแล้วก็ลุกขึ้นไปชนิดกินฟรี

นายท่ายังคงคุมรถและปล่อยรถไปตามคิวอยู่เช่นนั้น คนรถจะไปธุระหรือเจ็บไข้ได้ป่วยเขาก็จะลงมือขับแทนให้โดยไม่คิดค่าแรงเลย ถ้ารถเกิดเสียหายเขาก็จะเข้าช่วยเหลือฟิตให้ ถ้าเขาไม่ได้คุมท่า เขาก็จะให้เจ้าหวาดน้องชายเป็นผู้ปล่อยรถแทน โดยจดหมายเลขรถและชื่อคนขับไว้ตามลำดับคนมาก่อนมาหลัง พวกขับรถหักเงินให้ค่าเช่ารถแล้วเขายังจะได้กำไรอีกวันละหลายสิบบาท เพราะค่าเช่ารถก็วันละ ๓๐ บาทเท่านั้น ถ้าเขาหาได้ ๑๐๐ บาท วันนั้นก็ดูเหมือนว่าออกจะชวยเต็มทน เจ้าจิวยังคงขายของดีอย่างเทน้ำเทท่า หยิบแทบไม่ทัน ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ข้าวหน้าเป็ดหน้าไก่และหมูพะโล้ พอสิ้นเดือนเขาก็กำเงินแต้ไปหาเกษร

“นี่เงินของลื้อ” เขาพูดและส่งเงินให้ “แล้วนี่อั้วให้ลื้ออีกสามร้อยเป็นเงินของอั๊วให้ โธ่เกษร เป็นของอั๊วเสียเถอะ อย่าไปเชื่ออ้ายพวกนั้น ใครๆ เขาก็รู้ว่ามันมีเมียแล้วทั้งนั้น อย่าไปเชื่อมันเป็นอันขาด - นะเกษรนะ”

“ขอให้อั๊วคิดดูก่อนนะอาจิว”

“เออ! คิดไปเถอะ คิดไปคิดมาแล้วลื้อก็หนีตามมันไป”

“อั้วไม่ตามหรอกน่าอาจิว”

“ลื้ออยู่กับอั๊วดีกว่า”

แต่แล้ว อาจิวก็ต้องนั่งกอดเข่าไปตามเดิมเพราะคืนวันจ่ายเงินเดือนนั้นเอง เวลาราว ๕ ทุ่ม เกษรก็หอบกระเป๋าและห่อผ้าพร้อมทั้งถุงกระดาษหนีตามเจ้าหวาดไปสองคน แล้วที่เขาได้พยายามหามาเสิร์พโต๊ะเพื่อเป็นแม่เหล็กดูดลูกค้า แล้วทั้งสองคนก็หนีเขาไปหมด ดูๆ ก็เหมือนกับว่าพวกขับรถทั้งหมดจะมาคอยหาเมียเอาจากร้านของเขานี่เอง

“กูไม่ใช่ขี้ข้า - จะได้มาคอยหาเมียไว้ให้เอ็ง” เขาบอกแก่ตัวเอง

แต่แล้วเมื่อหมดเกษรลงไป ร้านก็เงียบเหงาลงไปอีก แต่ร้านอื่นกลับคึกคักขึ้นมาเพราะเขามีผู้หญิงสวยๆ ถึง ๒ - ๓ คน เขาออกวิ่งหาผู้หญิงอีก หาลูกจ้างที่หน้าตาหมดจด แต่เมื่อเขาได้มาแล้ว เดือน ๒ เดือนหล่อนก็หนีเขาไปอีกเช่นเดียวกัน คราวนี้หล่อนหนีไปกับเด็กกระเป๋ารถเมล์

เด็กกระเป๋ารถเมล์ - เขาจะได้รับค่าแรงก็ไม่ถึง ๑๐ บาท วันๆ หนึ่งเขาจะได้กันอย่างพื้นๆ ก็ ๕ บาทเท่านั้น แต่อ้ายเด็กคนนี้เก่งฉกาจ วันๆ หาได้ถึง ๒๐ - ๓๐ บาท เขามีวิธีที่จะยักเอาเงินค่าโดยสารมาเข้ากระเป๋าอย่างไรไม่มีคนรู้ แต่ทว่าเขาก็ร่ำรวยผิดเด็กกระเป๋าอื่นๆ เมื่อเวลาเลิกงานเขาจะมีเงินอยู่ทั่วตัวเว้นเสียแต่ในกระเป๋าเท่านั้น ซึ่งจะมีอยู่กรุ่งกริ่งบาทสองบาทกับบุหรี่รวงข้าวเหี่ยวๆ ๑ ซอง แต่ถ้าใครจะไปดูในพับแขนเสื้อของเขา หรือในรองเท้า หรือในเข็มขัดที่ตรงปลายทะลวงไว้และติดคลิบ ก็จะพบเงินอยู่ในนั้นเป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียว ทีแรกเจ้าน้อยเอามาฝากผู้หญิงไว้ก่อน พอเงินมันมากเข้าๆ แม่ก็เลยชวนหนีไปอยู่เสียด้วยกัน อ้ายน้อยก็เลยได้เมียกันในตอนนั้นเลย เมียแก่กว่าประมาณ ๓ ปี แต่ความทุกข์หนักก็ตกอยู่แก่อ้ายจิวผู้เป็นเจ้าของร้านตามเคย

เขาออกค้นหาอีก แล้วก็ได้มาอีก ยิ่งสวยเท่าไรยิ่งไปเร็วเท่านั้น คนแล้วคนเล่าที่จิวหามาก็จะตกเป็นเหยื่อของพวกคนรถเสมอไป อ้ายคันนี้ออกคันนั้นเข้ามาแทนที่ พอคนโดยสารครบ ๖ คนหรือแปดคนเขาก็จะเคลื่อนรถออก แล้วคันอื่นก็จะเข้ามาแทนที่ ผลัดเปลี่ยนเวียนเวรกันอยู่เช่นนี้ตลอดวัน พวกที่เข้ามาตลาด พวกที่จะกลับบ้านดูสับสนอลหม่านกันอยู่ตลอดเวลา จิววิ่งเต้นไปหาผู้หญิงมาอีก แต่แล้วหล่อนก็บินปร๋อตามพวกรถเมล์ไปเสียอีก ปกติคนเหล่านี้ในเวลาขับรถเขามักจะใส่เสื้อสีน้ำเงินตกๆ สีซีด บางคนก็จะแต่งตัวด้วยเครื่องแบบสีดำกระทบแสงแดดเข้าแล้วเสื้อของเขาจะร้อนเหมือนอย่างไฟ แต่ทว่าเวลาเขาออกเที่ยวเขาจะแต่งตัวโก้ที่สุด รองเท้าหนังมันพื้นบาง กางเกงเสิร์ท ที่คอของเขาจะใส่สร้อยเส้นโตๆ และห้อยพระที่มีค่าเรือนพัน นาฬิกาข้อมือและแหวนประดับก้อยดูแวววับจับแสงไฟ ทำไมเล่าใครจะไม่รักเขา

จิวเฝ้าแต่เวียนหาผู้หญิงเสียจนอ่อนใจ แต่เขาก็ยังหาไม่ได้

ทีนี้พี่ยอดนักเลงประจ๊าถิ่นก็เข้ามากินเหล้าในร้านของเขา

“ไงวะจิว - กูดูเศร้าสร้อย หน้าไม่ค่อยจะรับแขกเสียเลย”

“มันกุ้มใจว่ะ - กุ้มเหลือเกิน”

“กลุ้มใจเรื่องอะไรล่ะ ไม่ใช่กุ้มโว้ย!”

“มันก็อ้ายเรื่องผู้หญิงเสิร์ฟโต๊ะนี่แหละ! หามาไว้ทีไร มันหนีตามเขาไปหมดทุกที”

“อือ! มันยาก - มันยาก ห้ามอะไรน่ะมันห้ามได้ ห้ามผู้หญิงกับผู้ชายไม่ให้รักกันนี่ซีมันยาก”

“อ้ายพวกนี้มันพูดเก่งจะตายห่า”

“ข้าจะหาให้สักคนเอาไหมล่ะ?” พี่ยอดหัวเราะหึๆ “ข้ารับรองเด็ดว่าคนของข้าจะไม่ยอมไปกับอ้ายพวกหนุ่มๆ เป็นอันขาด”

“อย่าพูดเล่นน่าพี่ยอด”

“ไม่พูดเล่นซีวะ” เขาพูดและกวักมือให้จิวเข้าไปใกล้ๆ

เขากระซิบบอกอ้ายจิวแต่เพียง ๒ - ๓ คำเท่านั้น อ้ายจิวก็หัวเราะ เป็นเวลาหลายสัปดาห์มาแล้วที่อ้ายจิวไม่เคยหัวเราะอย่างจริงจังเหมือนกับในครั้งนี้เลย

“ลื้อจะเอามาเมื่อไรอาพี่ยอด”

“พรุ่งนี้ก็ได้อ้ายจิว เพราะเด็กมันอยู่ที่บ้านกู”

“ตกลงนะอาพี่ยอด ฉันให้ ๓๐๐ จริงๆ”

รุ่งขึ้นเมื่อพระอาทิตย์อุทัยได้อรุณ น้ำชงกาแฟยังไม่ทันที่จะเดือดพล่าน สาวงามกระชดกระช้อยน่ารักคนหนึ่งก็เข้ามาทำงาน หล่อนทำผมทรงสูง อกสล้าง หน้างามตามแบบผู้หญิงงามทั่วไป หญิงสาวคนนี้เป็นคนพูดน้อย ไม่ยอมเล่นหัวพูดจาหยอกล้อกับพวกคนรถหรือเด็กกระเป๋า หล่อนทำงานตามหน้าที่อย่างเรียบร้อยที่สุดที่จะทำได้ พวกเด็กกระเป๋าสะกิดคนรถ คนรถมองดูนัยน์ตากันอยู่ไปมาเหมือนกับจะบอกแก่กันว่านางเสิร์ฟร้านอ้ายจิวคนนี้เป็นของใคร

“ควรจะเป็นของพี่ลาภ” คนรถคนหนึ่งบอก

“ทำไม?” อีกคนหนึ่งถาม

“พี่ลาภอายุ ๓๘ แล้ว แต่ก็ยังหาเมียไม่ได้”

“เอ้า! ถ้างั้นเราช่วยเหลือแก ยกย่องพี่ลาภให้จังไปเลย”

“ควรจะไปเรียกแกมาดูเสียก่อน”

เด็กกระเป๋าคนหนึ่งวิ่งไปลากแขนพี่ลาภของเขามา เป็นคนหน้ากระดูกรูปร่างค่อนข้างเตี้ยแต่ถึงกระนั้นก็ยังสูงกว่าผู้หญิงเล็กน้อย

“นี่ไงพี่ลาภ” เด็กกระเป๋าบอก

เขาจ้องมองดูด้วยนัยน์ตาอันเบิกกว้าง แล้วก็พยักหน้า

“เข้าทีเว้ย!” เขาพูดเสียงต่ำๆ “แต่เขาจะไม่เล่นกะเราน่ะซี”

“อ๋อ! ข้อนั้นไม่ต้องวิตก ไม่ต้องห่วงพวกเราจัดการเอง พี่ลาภเริ่มเข้าประจำร้านของจิวตามระเบียบ เขาพูดโน่นถามนี่ด้วยประโยคเก่าๆ อันซ้ำซาก

“โธ่! ไม่น่าจะมาลำบากอยู่อย่างนี้เลยนะ”

“ก็หนูจนนี่คะ”

“จนก็มีคนเลี้ยงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ถึงจะสมกับเป็นลูกผู้หญิง”

“หนูไม่ค่อยชอบหรอกค่ะ ทำกับข้าวเลี้ยงเด็ก”

“คืนนี้หนูไปดูหนังกับพี่ได้ไหม?”

“แหม หนูชอบที่สุดเทียวค่ะเรื่องหนังน่ะ”

“งั้นคืนนี้พี่จะมารับนะ!”

“ไปรถอะไรคะ?”

“อ๋อ ก็รถของพี่นะซี”

“ตลงค่ะ มารับจริงๆ นะคะ แล้วหนูจะไปรับเพื่อนอีกคนหนึ่ง”

“ได้ - รับกี่คนๆ ก็ได้” ลาภพยักหน้าด้วยความภูมิใจ

จิวนั่งหน้าบึ้งบอกบุญไม่รับ เขารังเกียจเหลือเกินที่ลูกจ้างในร้านของเขาจะไปเที่ยวกับคนรถ แต่ทว่าเขาไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปห้ามหวงเขาได้ เขาปิดร้านประมาณ ๕ ทุ่ม เพราะอาหารสดที่ขายก็หมดลงไปแล้ว นอกจากพวกขี้เมาก็ไม่มีใครเข้ามาซื้อของอย่างอื่น เขาปิดร้านเสร็จแล้วก็อาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวจะเข้านอน

ทันใดนั้นเองเสียงตบประตูปีงปังก็ปรากฏขึ้น

“เฮียจิว - เฮียจิวคะ”

“ใครวะ?”

“หนูเองค่ะ รมณีย์ไงคะ”

“รมณีย์” เขาทวนคำเบาๆ แล้วเดินออกไปเปิดประตู

สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือเสื้อชุดสวยงามของรมณีย์ขาดวิ่น แผลถลอกปอกเปิกทำให้เลือดไหลโทรมลงมาตามแขน ที่อื่นๆ เช่นหัวเข่าและข้อศอกเลือดไหลแดงฉานเช่นเดียวกัน

“ลื้อเป็นอะไร?”

“พี่อะไรก็ไม่รู้เขาพาไปดูหนัง”

“รถชนหรือคว่ำ”

“เปล่าหรอกค่ะเฮีย เขาว่าหนูเป็นกระเทยเขาเลยใช้มือฝรั่งผลักลงมา”

อ้ายจิวยิ้มน้อยๆ ในขณะที่เขานั่งลงบนม้านั่ง

“อ้ายเล่าเบ๊” เขาร้องขึ้นมาได้คำเดียวเท่านั้นเอง ○

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ