ระหว่างวัดกับคุก

เขากลับเข้ามาในหมู่บ้าน ด้วยความอ่อนระโหยโรยแรงเต็มที เวลานี้ถ้าเขาจะได้หยอดคอหอยลงไปด้วยเหล้าเพียงสักแก้วสองแก้วเท่านั้น ลอยเชื่อเหลือเกินว่าเขาจะต้องมีแรงขึ้น และจะหายหิวเสียอีกด้วย แต่ทว่าเขาระงับไว้เสียได้ สุราคือที่ตั้งแห่งความประมาท และความประมาทก็คือความตาย คนกินเหล้าคือคนสิ้นเนื้อประดาตัว คนกินเหล้าคือคน - -

อ๊ะ! เขาจะเป็นมนุษย์สุภาษิตไปเสียแล้วหรือนี่?

เจ้าของร้านเดินตรงเข้ามาหาเขา ดูเหมือนเขาจะจำมันได้คลับคล้ายคลับคลา เมื่อก่อนที่เขาจะจากไป มันยังเป็นเพียงอ้ายตี๋เท่านั้น เดี๋ยวนี้เตี่ยมันคงจะตายไปเสียแล้ว และเจ้าตี๋เป็นเจ้าของร้านแทน

“อาลอย!” ตี๋พูดขึ้น “ลื้อจะกินอะไรก็เอาไปเถอะอาลอย แต่ขอให้เอาไปกินที่นอกร้าน -”

“ทำไมล่ะตี๋?” เขาถามด้วยเสียงเรียบๆ

“คนเขากลัว! -”

“คนเขากลัว -” เขาทวนคำอย่างเงียบๆ

“ฮื่อ! ไม่มีใครกล้าเข้าร้านหรอก”

เขารีบลุกขึ้นอย่างช้าๆ และทอดสะท้อนถอนใจ

“ลื้อเอาเหล้าไปกินสักขวดหนึ่งซี!”

เขาสั่นหน้าช้าๆ “อั๋วไม่กินเสียแล้ว!”

เขาออกเดินต่อไปอีก ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จ้องมองมายังเขาอย่างตื่นๆ และหวาด แต่พอเขามองไปบ้าง สายตาคนเหล่านั้นก็หลบวูบวาบไปจากสายตาของเขา เมื่อเขาเดินคล้อยหลังไปแล้วเสียงซุบซิบก็ได้เกิดขึ้น แล้วสายตาทุกคู่เหล่านั้นก็มองตามหลังเขาไป จนกระทั่งไม่อาจมองเห็นเขาอีกได้

เขารู้สึกสะท้อนใจอย่างบอกไม่ถูกในเมื่อได้เห็นบ้านน้อยๆของเขา ณ บัดนี้ได้เปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่นแล้ว วิญญาณของแม่ที่ได้ตายจากไปเมื่อ ๑ ปีก่อนคงจะวนเวียนล่องลอยอยู่ภายในบริเวณบ้าน เขายังจำต้นตะขบอันร่มครึ้ม สะพานข้ามคูและต้นหมาก ตลอดจนมะยมที่กำลังปล่อยผลเป็นพวงอยู่ข้างรั้วไม้ที่ผุพัง เขาออกเดินก้มหน้านิ่งไปช้าๆ และเนิบ ในขณะที่หญิงแม่ลูกอ่อนคนหนึ่งรีบอุ้มลูกเข้าไปในห้องแถวชั้นเดียว และปิดประตูปังด้วยความกลัว

ลอยเดินผ่านกลุ่มนักเลง ๒ - ๓ คนที่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนานเฮฮา พอเขาผ่านเข้าไปเสียงพูดเสียงคุยต่างๆ ก็เงียบงันลงไป มีเสียงที่แผ่วกระซิบเหมือนเสียงที่ดังออกมาจากหลุมศพแต่เพียงว่า

“เสือลอยออกมาแล้ว!”

เขาไม่ยอมทักทายคนเหล่านั้น ในเมื่อคนเหล่านั้นไม่ได้ทักทายเขา ดูรู้สึกว่าในหมู่บ้านไม่มีใครเลยที่จะนับได้ว่าเป็นมิตร ไม่มีเพื่อนไม่มีญาติ ไม่มีแม้แต่คนรู้จักมักคุ้น หลายครั้งหลายหนที่เขาเดินวกเข้าไปหาโรงเหล้า แต่เขาก็ต้องหยุดชะงักงัน และบอกตัวเองอยู่แต่ว่า อย่าไปยอมแพ้มัน

ในที่สุดเขาก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านๆ หนึ่ง รั้วบ้านล้อมไว้มั่นคงด้วยไม้รวกขัดแตะสีเหลืองอร่าม เป็นเรือนชั้นเดียว ใต้ถุนสูง หลังคาจากแต่ทว่าหักมุมไว้เป็นแบบปั้นหยา เครื่องบนเป็นไม้จริง มีห้องสองห้อง มีชานแล่นกลาง ในระหว่างห้องด้านหลังคงจะเป็นครัวมีชานแล่นเช่นเดียวกัน เขาแลเห็นเด็กเล็กๆ ๒ คนยืนอยู่ที่บันได เป็นเด็กผู้หญิงทั้งคู่มองดูเขาด้วยนัยน์ตาอันบริสุทธิ์ปราศจากเดียงสา

ผู้หญิงเป็นแม่ยังอยู่ในวัยสาวเดินออกมาจากครัวหลังบ้าน หล่อนหยุดชะงักและงงงันในขณะที่จ้องมองดูเขา ดูแล้วดูอีกแล้วก็ร้องออกมาด้วยความตกใจกลัว แต่ก่อนที่จะหนีเข้าข้างในหล่อนวิ่งออกมาคว้าลูกทั้งสองคนลากเข้าไปเสียด้วย เสียงปิดประตูดังโครมดังเข้ามากระทบหูเขา

ลอยกำลังคิด - คิดว่าเขาจะไปข้างไหนดี บานประตูก็ได้เปิดออกมาอีกครั้งหนึ่ง สาครหญิงสาวผู้นั้นหยุดยืนอยู่ที่ประตูมือทั้งสองข้างของหล่อนกางออกเกาะกรอบประตูไว้แน่น

“พี่เทพเขาบอกว่า” หล่อนพูดด้วยเสียงสั่นๆ “พี่เทพเขาบอกว่าเขาอยู่บนเรือน จะทำอะไรเขาก็ขึ้นมา -”

เขายิ้มน้อยๆ และชำเลืองนัยน์ตาขึ้นไปมองดูหล่อน สาครหลบนัยน์ตาเขาโดยเร็วและมองไปเสียทางอื่น

กรามทั้งสองข้างของเขาขบกันแน่น จนกล้ามที่ขากรรไกรเบ่งเป็นรอยนูนขึ้นมา ถ้าเป็นแต่ก่อน - ถ้าเป็นเหมือนเมื่อครั้งที่เขายังไม่ได้เข้าไปอยู่ในนั้น เขาจะไม่ปล่อยประโยคท้าทายอย่างบังอาจนี้ผ่านหูของเขาไปได้เลยเป็นอันขาด

เขาได้ยินเสียงดังแชะ เหมือนกับจะบอกกับเขาว่าเขากำลังขึ้นลำปืนหรือว่ากระชากลูกเลื่อนของปืนเล็กยาวก็ตาม น้ำตาซึมออกมาจากนัยน์ตาเสือลอย เสือที่กำลังจะกลายเป็นหมาไปเสียแล้ว เขาเหลือบไปมองดูหน้าผู้หญิงที่เคยเป็นเมียของเขามาก่อน แล้วก็ก้าวกลับช้าๆ ออกเดินต่อไป

“มาเถอะ! ใครอยากจะฆ่าฟันกันได้เหมือนผักปลา บ้านเมืองน่ะไม่มีขื่อมีแปเสียแล้ว”

เขาระบายลมหายใจยาว หน้าของเขาชาเหมือนกับจะถูกตบด้วยเกือกหรือไม่ก็เหมือนกับถูกแช่น้ำแข็งมาตลอดวัน หัวใจของเขาสั่นระริกเหมือนใจจะขาด แต่ว่าทำไมมันถึงเต้นเร็วอย่างนั้น เต้นเร็วจนแทบจะกระโดดออกมาจากอก ตั้งแต่เกิดมาเป็นเนื้อเป็นตัวเขาก็เพิ่งจะได้พบถ้อยคำพรรค์นี้ แล้วไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

เมื่อลอยไปติดคุก สาครยังส่งเสียในปีแรก พอปีต่อมาก็ได้ผัวใหม่เสียแล้วเป็นนักเลงอยู่ในหมู่บ้านและมีเงิน เขายังโมทนากุศลผลบุญวันนี้ และเฝ้าแต่ภาวนาขอให้หล่อนมีความสุขความเจริญๆ ยิ่งขึ้นไป

ลอยเดินต่อไปอีก ในท้องของเขากำลังร้องร่ำคร่ำครวญ เขายังมีเงินอยู่พอที่จะซื้อข้าวราดแกงกินได้อย่างสบายสัก ๒ – ๓ จาน เขาเดินเข้าไปหาแม่ค้า และสั่งซื้อข้าวกิน ๒ จานและตักน้ำในไหมากิน เขารีบควักเงินที่มีอยู่เล็กน้อยออกมาส่งให้ แต่เขาก็ต้องชะงักเล็กน้อยในเมื่อแม่ค้าผู้นั้นยกมือขึ้นโบกมือห้ามช้าๆ

“ไม่เอาหรอก! เสือลอย ขอแต่ว่า - อย่า - อย่าข่มเหงข้าเป็นพอ”

เขาไม่ยอมที่จะให้แกทำเช่นนั้น เขารีบนับเงินตามราคาข้าวราดแกงแล้ววางไว้ในกระจาดของแก เขาก้าวเดินต่อไปอีกอย่างเชื่องช้า เขายกมือไหว้พระและปากก็พึมพำขมุบขมิบ

“ขึ้นชื่อว่าบุญแล้วโจรย่อมนำไปได้ยาก”

เขาขานเสียงเสียดสีกล่าวประจาน เขาขานเสียงท้าทายได้แล้ว เขาชนะตัวเองแล้ว – เขาชนะแล้วหรือ? เขาชนะตัวเองแน่แล้วหรือ? ยัง - ยังก่อน เสียงบางเสียงร้องออกมา บ้านไผ่ล้อมนี้เต็มไปด้วยนักเลง อย่าเพิ่งทะนงว่าจะชนะใจตัวเองได้

ลอยหยุดอยู่ที่ทางสามแพร่ง ไม่ใช่เขาคิดไม่ตกว่าเขาจะไปทางไหน แต่ทว่ามีคนกลุ่มหนึ่งยืนคอยเขาอยู่ที่นั้น

“ไงเสือลอย!” คนหนึ่งเข้ามาขวางเขาไว้ “เขาว่าเอ็งจะกลับมาโตที่นี่อีกหรือ?”

ลอยเดินก้มหน้าช้าๆ เสียงพ่อเทพหัวเราะอ้าปากกว้าง

“ถามมันให้รู้เรื่อง -” เขาว่า

“ว่าไงวะเสือลอย ข้าน่ะไม่อยากเรียกเอ็งไปเป็นอย่างอื่นหรอก คนเขาเรียกเอ็งว่าเสือ ข้าก็เรียกอย่างนั้น”

“เสือลอยข้ารู้ว่าเอ็งเป็นอ้ายเสือสิ้นจวัก -”

“อ้ายลอย -” เขากระโชกเข้ามาพร้อมด้วยเงื้อดาบ

จากนั้นก็เสียงปืนของพ่อเทพที่ดังลั่นขึ้นฟ้าไป ๑ นัด มันดังสะท้อนสะท้านเข้าไปภายในหัวใจของเขา ไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความอะไรของลอยก็ยากที่จะบรรยายได้ เขาเดินเรื่อยๆ จากคนพวกนั้นไปโดยปราศจากความสะทกสะท้านหรือหวั่นกลัว เขาไม่คิดอะไรมากไปเสียกว่าที่ว่า คืนวันนี้เขาจะนอนที่ไหนเสียมากกว่าที่จะคิดถึงเสียงปืน เขาเดินเรื่อยๆ ต่อไปอีกในเวลาไม่ช้านัก หอระฆังหลังคาโบสถ์ก็แลเห็นอยู่ตรงหน้า พร้อมด้วยกำแพงวัดสีขาวสะอาดที่เพิ่งฉาบปูนใหม่รับกฐินเมื่อเร็วๆ นี้ เขายกมือขึ้นไหว้โดยไม่รู้สึกตัว

พ่อเทพยืนคิดอยู่สักครู่หนึ่งก็พาพวกของเขาเดินวกเข้าตรอกเล็กทะลุออกทางหลังบ้านกำนัน เขาเข้าไปยืนกำอยู่ต่อหน้ากำนันและกล่าวขึ้น

“ว่าไงครับ ท่านกำนัน - เดี๋ยวนี้บ้านเรามันไม่ปลอดภัยเสียเป็นแน่แล้ว”

“อะไรอีกล่ะ หมอเขาก็มาฉีดวัคซีนให้แล้ว”

“มันไม่ใช่อหิวาต์หรือว่าฝีดาษหรอก มันเรื่องคนๆ เสือๆ เรานี่แหละ”

“คือยังงี้ - เดี๋ยวนี้เสือลอยหลุดออกมาจากคุกแล้ว” เขารายงาน “พวกบ้านเราสงบเงียบกันมานาน เดี๋ยวนี้จะต้องนอนสะดุ้งกันบ้างละ อ้ายพวกผมน่ะมันไม่เป็นไรหรอก จะเอาอาวุธผมก็ดีกว่ามัน จะเอาสมัครพรรคพวก - พวกผมก็มากกว่า - แต่ราษฎรชาวบ้านนั่นแหละ เขาหวาดเสียวกันเพราะว่าอ้ายนี้ฆ่าทั้งผู้หญิงเด็กและคนแก่”

“พ่อเทพอย่าร้อนตัวไปเลย มันไม่ทำอะไรหรอกกระมัง?”

“ที่ผมพูดนี่ไม่ได้พูดเพื่อตัวเอง ผมพูดเพื่อส่วนรวม”

“จริงของพ่อเทพ -”

“เป็นความจริงเช่นนั้น -” พรรคพวกของเขาร้องสนับสนุน

“ถูกแล้ว ผมได้กับสาครเมียมันก็จริง แต่ผมไม่กลัวมัน เมื่อตะกี้ผมก็ให้สาครท้ามัน” เขาพูดแล้วยกไหล่น้อยๆ “ก็ไม่เห็นว่ามันจะเอากับผม ทีนี้ผมน่ะเป็นนักเลงซึ่งหน้า ถ้าอ้ายลอยลอบกัด - ใครล่ะจะมารับรองชีวิตผม ผมจึงขอให้กำนันจัดการให้ผม...”

“พ่อเทพจะต้องคิดถึงเสรีภาพให้มากๆ เขาทำผิด เขาก็ได้รับโทษตามกฎหมายไปแล้ว เขาก่อกรรมไว้ เวรก็สนองเขาแล้ว เมื่อเขาหลุดออกมาจากคุกแล้ว เขาก็มีเสรีภาพอย่างมนุษย์ปุถุชนธรรมดานี่เอง ฉันจะจับเขาได้ก็ต่อเมื่อเขาทำผิดมาอีกเท่านั้น...”

“กำนันเก็บมันเสียไม่ได้หรือ?”

กำนันเพชรส่ายหน้าช้าๆ และตอบว่า

“ถ้าฉันไปเก็บอ้ายลอยเข้า ฉันจะต้องติดตะราง บ้านเมืองเดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนแต่ก่อนเสียแล้ว เขาไม่มีความผิดอะไร จะไปเก็บเขาได้อย่างไร?”

“ถ้ากำนันไม่เก็บ ผมเก็บนะ?” พ่อเทพร้องเสียงเขียว

“เรื่องพรรค์นั้นเป็นเรื่องที่ฉันห้ามไปไม่ถึง แต่เมื่อพ่อเทพลั่นวาจาไว้อย่างนี้ ถ้าเกิดคดีฆาตกรรมอะไรขึ้น ฉันก็ต้องจัดการกับพ่อเทพก่อน”

“ที่พูดอย่างนี้ มิเป็นว่าท่านกำนันเข้าข้างคนร้ายหรือ?”

“เดี๋ยวนี้เสือลอยยังไม่ได้เป็นคนร้าย...”

“พูดกับกำนันป่วยการเปล่า พวกเรากลับกันเถอะ ให้ชาวบ้านมันนอนสะดุ้งหวาดเสียวกันอยู่อย่างนั้นแหละดี”

พ่อเทพสะบัดหน้าช้าๆ โบกมือให้ลูกน้องกลับ เขาพ่นความเก่งกล้าออกมาสารพัด ในเมื่อตั้งแต่เสือลอยกลับมายังหมู่บ้าน เขายังไม่ได้พูดอะไรเลยจนคำเดียว

ลอยหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าประตูอีก เขาแลเห็นสมภารยืนอยู่บนถนนซีเมนต์ที่ทอดยาวไปในระหว่างโบสถ์กับวิหาร ใกล้ๆ ถนนเต็มไปด้วยกระดังงา สาขลาที่ยืนต้นสูงชะลูดส่งกลิ่นหอมรวยรื่น ที่ริมถนนซีเมนต์มีต้นแก้วที่ตัดไว้เป็นพุ่ม ปล่อยดอกขาวสะอาด วัดไผ่ล้อมตั้งอยู่กลางทุ่งที่เต็มไปด้วยความวิเวกสงบสงัด เป็นที่ที่เหมาะแก่ผู้ทรงศีลโดยแท้จริง เขารีบเดินย่อตัวเข้าไปหาสมการและกราบลงที่ฝ่าเท้า

“ใครเล่า?” สมภารชราถามขึ้น

“กระผมชื่ออ้ายลอยพระคุณท่าน...”

“อ้ายลอย” ท่านสมภารพึมพำ “เสือลอย...”

“กระผมมากราบเท้าพระคุณท่าน ก็ด้วยความปรารถนาที่จะอุปสมบทในพระบวรพุทธศาสนาตามแต่พระคุณจะเห็นสมควรหรือไม่ประการใด?”

“เอ็งจะบวช...” ท่านสมภารทวนคำ “บวชได้ก็ดี”

“ถูกแล้วครับผม กระผมขอถือเอาร่มกาสาวพัสตร์เป็นที่ยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่งอันร่มเย็นจนกว่าจะถึงวันตาย ส่วนดวงจิตเมื่อกระผมได้สลายแล้วจะไปยังสารทิศใดก็ตามแต่บุญกรรมที่ได้กระทำมา เพราะว่าบุญกับบาปหักกันไม่ได้...”

“เอ็งมีอัฐบริขารแล้วหรือ?” ท่านสมภารถาม

“กระผมขอให้เป็นทานของพระคุณ!...”

“ข้าจะให้...” ท่านสมภารพยักหน้าช้าๆ “แต่เอ็งหยุดแล้วหรือ?”

“เกล้าผมหยุดแล้ว”

“เอ็งรู้หรือไม่ว่า - ขึ้นชื่อว่าบุญแล้วโจรย่อมนำไปได้ยาก”

“พระคุณท่าน! กระผมจะขอนำไปให้ได้”

“เอ็งเคยได้ยินพระพุทธวจนนี้หรือ?”

“จงมีขันติธรรมเป็นที่ตั้ง - ข้าขอให้พร!”

ลอยกราบลงแทบฝ่าเท้าของเท้า แล้วก็เลยเข้าอาศัยอยู่ในวัดและได้รับการอุปสมทบในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง ก่อนจะออกจากโบสถ์ ภิกษุลอยได้ยินเสียงของพวกนักโทษเด็ดขาดที่ได้ร้องไห้ร้องห่มสั่งเสียเขา

“แล้วกลับมาอีกนะพี่ลอย”

“อยู่บ้านนอกลำบากเปล่าๆ - อยู่ในนี้พี่ลอยสบายเหมือนอย่างเจ้า”

เสียงสุดท้ายเป็นเสียงของผู้คุม ที่ภิกษุลอยจะไม่ลืมได้ง่ายๆ เลย ผู้คุมแก่คนหนึ่งชี้หน้าเขาและหัวเราะเป็นนัยๆ

“แล้วเอ็งจะต้องกลับมาอีก” เขากล่าวในวันนั้น “ขึ้นชื่อว่าบุญแล้วโจรย่อมนำไปได้ยาก เอ็งจะต้องกลับมาอย่างเด็ดขาด”

“ถ้าผมทำผิดอีก” นักโทษปลดปล่อยลอยกล่าวขึ้นบ้าง “ผมก็คงจะไม่ได้มาที่นี่ เพราะถ้าผมทำผิดอีก - โทษก็คงจะประหารเท่านั้น ไม่ ๑๕ ปี หรือ ๒๐ ปี...”

ในเวลาอรุณรุ่ง ภิกษุลอยจะเดินออกบิณฑบาต ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศแห่งเวลารุ่งอรุณ ความอิสรภาพและในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ ทำให้เขาบังเกิดความแช่มชื่นสดใส และเป็นสุขขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด นานเท่านาน วันแล้ววันเล่า ความสุขมีแต่จะบังเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ สุขในดวงจิตอันสงบสุขในเรือนกายอันบริสุทธิ์ใจสะอาดผ่องแผ้ว สุขโดยวาจาอันมรธุรสระรื่นหู สุขด้วยอาหาร ๒ มื้ออันได้มาแต่ทานและเมตตาธรรมจากชาวบ้าน พวกชาวบ้านก็โล่งอกปราศจากความหวาดเสียว

ครั้นแล้วในเช้าวันหนึ่ง ภิกษุลอยก็ชะงักในเมื่อมาถึงหน้าบ้านของพ่อเทพ ที่ชะงักก็เพราะว่าวันนั้นสาครใส่บาตร ภิกษุลอยจึงจาริกเข้าไปหาขันข้าวใส่บาตรด้วยอาการสงบและสำรวมตามวินัยของสงฆ์ เปิดฝาบาตรออกและประคองบาตรเพื่อรับอาหารอันจะใส่เพื่อให้เป็นทาน

ทันใดนั้นเองเสียงจากพ่อเทพที่ยืนอยู่ข้างอ่างปลาก็ร้องขึ้นว่า

“ใส่บาตรพระอย่างอ้ายลอย ใส่หมาเสียดีกว่า...”

“ฉันใส่ให้แก่ผ้าเหลืองหรอกพี่ เราคิดเสียอย่างนี้ก็แล้วกัน”

ดวงตาอันเคยหรี่จวนจะหลับของภิกษุลอยกลับถลนและโปนขึ้น หายใจดังเหมือนหอบ จนสาครเกือบจะได้ยิน ดวงใจที่เหมือนจะขาด มือที่ประคองบาตรสั่นเหมือนไข้จับ ภิกษุรีบเดินกลับวัดโดยไม่ได้ข้าวที่อื่นอีก นอกจากทัพพีนั้นเพียงทัพพีเดียว

ภิกษุลอยโยนบาตรโครมลง หยิบดอกไม้ธูปเทียนจากบนหิ้ง ฉวยไม้ขีดไฟได้ก็หยิบเอาเครื่องแต่งตัวชุดเดียวที่มีอยู่พร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียนเดินตรงไปยังโคนโพธิ์ กราบลงที่โคนโพธิ์แล้วกล่าวนะโมสามจบ

“ข้าพเจ้านับถือพระสมณโคดมและบูชาพระองค์ ข้าพเจ้ารักพระธรรมของพระองค์ และบูชาพระองค์ อีกครั้ง ข้าพเจ้านับถือรักพระพุทธองค์ พระธรรมและพระสงฆ์ ข้าพเจ้าขอบูชาพระองค์ ข้าพเจ้าวาสนาน้อยไม่อาจที่จะอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ได้ ข้าพเจ้าไม่บังอาจที่จะทำชั่วได้ทั้งๆ ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ของพระองค์ ข้าพเจ้าจึงขอลาเพศจากสมณะ กลับเป็นเพศอื่น ณ บัดนี้...”

ภิกษุลอยยืนหยัดเหยียดกายขึ้น เปลื้องจีวรออกจากกาย เปลื้องอังสะและกำลังจะแก้รัดประคด ทันทีนั้นเองเงาของคนๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา เงานั้นหันหน้าเข้าตะวันตก แสงอาทิตย์ในเวลาเช้าจึงฉายเงานั้นให้ยาวเหยียดเกินเขาไปมาก ภิกษุลอยรีบหันกลับไปในฉับพลันทันที

“คุณลอย” ท่านสมภารเรียกช้าๆ ด้วยน้ำเสียงดังกังวาน “ไหนคุณบอกกับอาตมาว่าคุณหยุดแล้ว...”

“เกล้าผมเหมือนรถหยุดแล้ว แต่ล้อยังใช้การได้อยู่...”

“คุณจะแล่นไปไหน?” ท่านสมภารถาม

“ไปฆ่าอ้ายเทพ นอกจากมันจะดูถูกเกล้าผมแล้ว มันยังดูถูกพระศาสนา”

“แต่พระพุทธองค์ยังโดน สำมะหาอะไรกับคนชั้นเรา...”

“แต่เกล้าผมต้องไปฆ่ามัน...” เขาพูดแล้วก็ร้องไห้ เล่าความให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ สมภารคงวัดไผ่ล้อมพยักหน้าหงึกๆ

“จงหยุดต่อไป และใช้ขันติธรรมเป็นเครื่องห้ามล้อรถนั้น...”

“พระคุณท่าน....” ภิกษุลอยร้องไห้ต่อไปอีก

“พรุ่งนี้จงไปรับบิณฑบาตอีก และมะรืนนี้จงไปรับอีก อาตมาจะเดินตามไปดูความสำเร็จของคุณ...”

ภิกษุลอยจำต้องครองเพศบรรพชิตต่อไปอีก เช้าวันรุ่งขึ้นสาครไม่ได้ใส่บาตร เช้าวันที่ ๒ สาครก็ไม่ได้ออกมาใส่บาตร

เช้าวันที่ ๓ เมื่อภิกษุลอยเดินผ่านไปทางบ้านของสาคร หล่อนก็ยกขันข้าวออกมาจากประตูบ้านพอดี ภิกษุลอยเดินเข้าไปรับบิณฑบาต ในลักษณะอันควรแก่ภิกษุสงฆ์พึงกระทำ

ทันทีนั้นเอง เสียงฝีเท้าก็ปรากฏขึ้นที่ใกล้ๆ ภิกษุลอยจะได้สะดุ้งสะเทือนหรือหวาดหวั่นสิ่งใดสักน้อยก็หามิได้ ปิดฝาบาตรแล้วก็ย่างเท้าจะออกเดิน ทันใดนั้นเองศีรษะของคนๆ หนึ่งก็มาก้มลงตรงเท้าทั้งสองข้างของพระภิกษุลอย พ่อเทพหรือนายเทพกำลังกราบแล้วกราบอีก

“ผมต้องขออภัยโทษท่าน - เป็นบาปหนักของผมเองแท้ๆ - ที่วันนั้นผมว่าท่านอย่างสาดเสียเทเสีย ก็เพราะการดื่มเหล้าเช้าแล้วเมาไป ขอขมาลาโทษเสียเถิด”

สมภารคงยิ้มน้อยๆ ที่ขันติธรรมแสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นผลได้ในระยะเวลาอันเร็ว ขันติธรรมห้ามล้อของโลกนี้และโลกไหนๆก็ตาม ○

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ