ยิวยิ้ม

ในเงามืดของไฟถนนสีแดงๆ ชายหนุ่มวัยดึกคนหนึ่งกำลังเดินทอดน่องไปอย่างช้าๆ อีกสองสามซอยเท่านั้นก็จะถึงปากซอยที่จะเข้าบ้านของเขาอยู่แล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เข้าปะปนอยู่กับพวกเศรษฐีหรือผู้ดีมีทรัพย์ได้ โดยที่เขามีบ้านอยู่ที่ซอยที่ชานเมืองกับเขาเหมือนกัน จะผิดกันก็แต่เพียงว่าเขาอยู่ในกระท่อมที่อาศัยที่ดินเขาปลูกอยู่เท่านั้น

ความผิดหวัง ความโศกเศร้าเสียใจผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขาเป็นบางครั้ง แต่แล้วมันก็ค่อยเลือนรางจางหายไป กลับเปลี่ยนเป็นความอดกลั้น และอดทนต่อความอับอายขายหน้าที่ได้รับมา คนเราจะเลือกอยู่เอาแต่ที่สุขสบายนั้นหาได้ไม่ ย่อมจะต้องมีทุกข์โศกโรคร้ายกันเป็นธรรมดา

อะไรทำให้ชายผู้นี้เศร้าสร้อยและหม่นหมอง เรื่องของเขาก็ไม่เห็นว่าจะน่าเก็บเอามาคิดมากนัก แต่สำหรับเขา แน่นอนละ! ย่อมจะเจ็บอายเป็นธรรมดา

เมื่อจะออกจากที่ทำงานเย็นวันนั้น เขายังจำเสียงของพวกเพื่อนๆ ได้ดี

“ไปนะพี่ชม - ไปให้ได้...”

“อย่าลืมเสียล่ะ!”

“เยาวยื่นกันเสียสักทีเถอะ!”

“สองทุ่มตรงพี่ชม -” อีกคนหนึ่งร้องตะโกน

เขามองเห็นสภาพของเหลา ที่เขาได้เคยไปมานานนมมาแล้ว เขานึกถึงเป็ดย่าง แฮ่กื้น ตลอดจนหูฉลามและตะพาบน้ำกับเห็ด หรือตีนเป็ดผัดหน่อไม้ เป็ดตุ๋น ไก่อบ นกพิราบทอด ตลอดจนวิสกี้ดีๆ และบุหรี่กระป๋องที่หอมฉุน นั่งกินไปด้วยและนัยน์ตาก็มองจับลงมาที่ถนนซึ่งรถจะแล่นผ่านกันไปมา แลดูเหมือนลูกคลื่นที่ลมพัดเข้าสู่ชายหาด เขารีบไปคอยอยู่ตั้งแต่ก่อน ๒๐.๐๐ น. เขาจะยืนเตร่อยู่ที่หน้าเหลา มองดูรถดูรามองดูเบ็ดที่ห้อยระย้าย้อยสีดำขลับปนแดง ขาหมูหรือหมูแดงหมูดำอะไรก็ตามที่แขวนโชว์ไว้ในตู้ชั้นล่าง รถมาจอดคันแล้วคันเล่าที่กลับไปก็มี ที่จะเข้ามาใหม่ก็มาก ถูกละ มันเป็นความกระหยิ่มอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกโปร่งและเบาหวิว คอยเพื่อนอีก ๔ - ๕ คนที่กำลังจะมา แต่ทว่า - เวลาล่วงไปถึง ๒ ทุ่มครึ่งก็ยังไม่ปรากฏคนเหล่านั้น - ต่อมาอีกถึงสามทุ่มก็ยังไม่มีวี่แววว่าคนเหล่านั้นจะมาจนกระทั่ง - - -

เขาได้พุ่งสายตายังอีกเหลาหนึ่ง สหายของเขากำลังเดินกลับออกมาด้วยใบหน้าอันเปล่งปลั่งไปด้วยพิษสุรา หรือโอเดอโคโลญที่ได้เช็ดหน้าเช็ดตากันมาใหม่ๆ เขารู้ดีว่าเขาถูกลงโทษ เขาถูกสัพยอกชนิดที่ขมขื่นที่สุด ชมก้มหน้าคอตกและก้าวเท้าออกเดินดุ่มไปโดยไม่เหลียวไปมองดูพวกเพื่อนๆ ของเขาอีกเลย

“พี่ชม -”

เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมาข้างหลัง

“พี่ชม -”

เขาหยุดชะงักและเหลียวหลังไปมองดูเพื่อน

“พี่ชม! - -” ชายหนุ่มคนหนึ่งร้อง เขาไม่ได้ร้องออกมาด้วยความม็นเมา แต่ร้องออกมาจากหัวใจอันแท้จริง “พี่ชม! -”

คำพูดของเขาเหือดหายไปในคอหอยแทนที่จะเป็นคำพูดที่หลุดออกมา มันกลายเป็นอาการสะอึกสะอื้น ดาลขึ้นมาจากคอหอย

“ฉันผิดไปแล้ว -” เขาบอก “ฉันเองเป็นผู้ - -”

“กันต่างหาก -” อีกคนหนึ่งร้องขึ้น “มันเป็นความผิดของกันทั้งสิ้น -”

“กันด้วย กันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้พี่ชมได้รับความรู้สึกกระทบกระเทือนใจวันนี้”

“และตั้งแต่นี้ต่อไป” เพื่อนอีกคนหนึ่งกอดเขาไว้แน่น “ฉันขอสัญญาว่าฉันจะไม่ทำอย่างนี้กับพี่ชมอีกต่อไปเลย แม้พี่ชมจะเป็นอย่างไรก็ตาม”

เขายิ้ม - แต่ยิ้มอย่างอายและแห้งๆ เป็นยิ้มที่เหยเกเหมือนแยกเขี้ยวเสียมากกว่าที่จะยิ้มออกมาอย่างระรื่นชื่นใจ หรือมีความพออกพอใจ

“ไปรถ พี่ชม - ฉันจะไปส่ง! -”

“ไม่ต้องหรอก - ลำบากเปล่าๆ -”

เขาออกเดินต่อไปอีก ความเศร้าค่อยสลายตัวของมันออกไป กลายเป็นการให้อภัยเข้ามาแทนที่แล้วก็พยายามระลึกถึงตัวเอง อันที่จริงเขาก็น่าจะได้รับการลงโทษเช่นนั้น เป็นการสมควรกับโทษานุโทษของเขาแล้ว - เขาไม่เคยโทษอื่นโทษไกลในยามทุกข์ยาก นอกจากจะโทษตัวของตัวเองเท่านั้น นึกถึงวันที่ได้ผ่านมาแล้ว - วันอื่น - วันที่เขาได้กระทำผิด - เขาผิดจริงๆ เขาเป็นยิวสำหรับเพื่อนๆ

ในเวลาเย็นเมื่อออกจากสำนักงาน เขาจะเดินเหม่อๆ ผ่านคนเหล่านั้นไป คนพวกนี้มีความรับผิดชอบอะไรมากหรือ? เลยอยู่บ้านราวกับปราสาทของพ่อแม่ กินอาหารกับพ่อแม่ และใช้เงินเดือนที่หามาได้อย่างอิสระ และเมื่อขาดเหลือก็ยังจะขอเอาจากวงศาคณาญาติ เขานั่งรถกรีดกรายฉายได้วันยังคำเพราะเป็นรถของพ่อแม่ ก็ส่วนตัวเขาเล่า? นอกจากเงินเดือนแล้วเขามีอะไร? เขาจะเดินตามไปอย่างเงียบขรึม เขาเป็นสหายที่อายุมากที่สุดของเพื่อนๆ เหล่านั้น เขาอาจเป็นลุงหรืออาของคนเหล่านั้นได้อย่างสบายทีเดียว เมื่อคนเหล่านั้นสั่งเหล้าและโซดา เมื่อคนเหล่านั้นสั่งกับแกล้ม เขาก็จะได้แต่มองนัยน์ตาปริบๆ ที่เขาไม่อาจสั่งอะไรได้เลย นอกจากกิน - กินเท่านั้น - ในบางครั้งคนเหล่านั้นก็จะร้องขึ้นว่า

“นี่ - พี่ชม - ไปเอาอ้ายห่อหมกหรือทอดมันมากินกันดีกว่า...” เขาสั่งและส่งเงินให้

พี่ชมจะเดินหงองๆ ออกไปจากร้านเหล้า เขาจะเข้าตรอกเล็กซอกน้อยเพื่อค้นหาสิ่งพวกนั้นต้องการ เมื่อพบเข้าแล้วเขาก็จะรีบซื้อแล้วเดินประคองมันกลับมา เมื่อวางลงแล้วเขาก็จะเห็นเหล้าในแก้วตรงหน้าของเขาถูกรินเพิ่มเติมจนลันปรี่ออกมา เขาดื่มมันเข้าไป - ถ้าจะถามเขาในเวลานั้นว่าเขาดื่มเพื่อเปลี่ยนนรกให้มันเป็นสวรรค์ หรือดื่มให้สมองมันเสียๆ ไปเสียแล้ว เจ้าสมองก็จะทำงานอะไรไม่ได้ คิดไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ อาลัยตายอยากอะไรไม่ได้ทั้งนั้น นอกจากจะเหมือนมีดขี้เท่อมองดูแต่อนาคตอันน่าขบขันและชวนหัวเท่านั้น

“พี่ชม พรุ่งนี้ไปบ้านหน่อยนะ” สหายหนุ่มของเขาจะกล่าวขึ้นอย่างกระวนกระวาย

“ทำไมล่ะ? มีอะไรหรือ?”

“ฮื่อ! มี! น้องสาวเขาจะแต่งงาน...”

นี่เขาจะได้เป็นแขกหรือคนเสิร์ฟโต๊ะก็ไม่รู้ - เขาทายผิดทั้งหมด ในที่สุดเขาไม่ได้รับตำแหน่งอะไรเลย นอกจากตำแหน่งกรรมกรรับใช้ทั่วไป

“พี่ชม - ช่วยยกโต๊ะตัวนั้นหน่อย - -”

“เอ้า! เอาตัวนั้นกลับไปตั้งแทนซี! -”

“นี่พี่ชม บอกนายใยเอารถออก - ไปเอาสังข์สำหรับรดน้ำที่สวนคุณจอมให้ที -”

เขาจะตระเวนไปที่วังเจ้านาย เมื่อท่านให้คู่สมรสคู่อื่นขอยืมไปเสียแล้ว เขาก็จะไปเที่ยวหาเช่าเอามาจนได้ เมื่อเวลาใครทำอะไรไม่ไหวเขาจะถูกเรียกแม้แต่ตำน้ำพริกที่ในครัว เขาเป็นคนนิ่งไม่พูดมากนอกจากจะหัวเราะหึๆ แล้วลงท้ายก็อย่างว่า เขาต้องช่วยเสิร์ฟโต๊ะในเวลาเลี้ยงอาหารค่ำและตัวเขาเป็นอย่างดี

“พรุ่งนี้เชิญงานศพหน่อยพี่ชม -” สหายอีกคนหนึ่งบอกเขา

“แย่หน่อย!” เขาว่า “ไปไม่ได้หรอก เครื่องไว้ทุกข์มีกับเขาเสียเมื่อไหร่ล่ะ?”

“เขาไม่ได้เชิญไปเผานี่นะ” เขาหัวเราะไม่ชวนหัว “เขาเชิญไปเป็นอย่างอื่น -”

“สัปเหร่อหรือ?” เขาถามขึ้นแล้วก็หัวเราะหึๆ

“พี่ชม! ขอแรงสักครั้งเถอะ! ก่อนที่จะไปเป็นสัปเหร่อให้หมอนั่น”

“ทำไมอีกล่ะ!” เขาถามอย่างเนิบๆ

“นี่ค่ารถ - พี่ชมช่วยบึ่งไปแจ้งอำเภอให้ฉันที - ดวงชาตาราศีฉันจดไว้ในกระดาษนี่แล้ว - ผู้ชายเสียด้วยนะ! ให้ตายซี! พอพี่ชมแก่ๆ หน่อยก็จะพึ่งมันได้เป็นอย่างดี”

“พี่ชม! พี่ชมช่วยเช็ดน้ำตาให้สักทีเถอะ! -”

“พุทโธ่! แต่กันเองจะกินเข้าไปยังไม่มี ฮือ! แล้วกันจะไปเช็ดน้ำตาให้ใครได้”

“อ๋อ! นี่ไงล่ะพี่ชม! ไม่ต้องช่วยเช็ดมากนักหรอก ช่วยเอาอ้ายสร้อยเส้นนี้ไปให้คุณอาแกที - ฉันร้อนเหมือนถูกเผาทั้งเป็น ให้ฉันตายโหง...ตาย...”

เขาจะเดินดุ่มไปยัง “ธนานุเคราะห์” หรือธนาคารแห่งคนยาก เหมือนเดินเข้าไปบ้านของเขาเอง แล้วต่อรองกับเสมียนธนาคารอย่างเอาจริงเอาจัง แล้วเขาก็จะเดินกลับออกมาอย่างกระปรี้กระเปร่า ในการที่เขาทำราคาได้พอใช้สำหรับสร้อยเส้นนี้

นาฬิกาข้อมือ ปากกาทั้งชุด แก้วแหวนเงินทอง เครื่องใช้จิปาถะ พัดลม วิทยุ เครื่องเล่นจานเสียง โอ๊ย จิปาถะ เครื่องดนตรีก็มีแถมอยู่ด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นกีตาร์หรือไวโอลิน จำพวกศิลปะก็มีกล้องถ่ายรูปและถ่ายภาพยนตร์ และบางครั้งหัวจักรเย็บผ้าก็ขโมยเมียเอามาให้พี่ชมหมุนเป็นทอง ก็เมื่อเหตุการณ์ได้เป็นไปอย่างนี้อยู่เสมอมาแล้ว ใครเล่าจะยอมให้พี่ชมออกเงินค่าเหล้าที่มากินกันเป็นประจำวัน ไม่ว่าจะในร้านเครื่องดื่มหรือในสโมสร เขาจะเดินตามคนเหล่านั้นไปด้วยความรู้สึกอันเป็นธรรมดา และกินเหล้าของคนอื่นได้อย่างหน้าเฉยเช่นนั้น

ไม่มีใครรู้ว่าความเป็นอยู่ทางบ้านของพี่ชมเป็นอย่างไร? เงินเดือนของเขาเคยได้อย่างไรก็คงได้อยู่อย่างนั้น เขากินเหล้าของเพื่อนฝูงในกรม สนุกสนานกับเพื่อนฝูง แต่เงินเดือนของเขาไม่ขึ้น เพราะเขาทำงานน้อยเกินไป แถมหัวหน้ากองยังจะรายงานเขาเสียอีกว่า เขาทำงานมานานปีแล้วไม่ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น นั่นแสดงว่าเขาขาดงานมากและไม่ถูกพิจารณาความดีความชอบ การที่เขาไม่ถูกพิจารณาความดีความชอบก็เพราะเขาไม่เอาใจใส่ต่อราชการ เขาอาจจะถูกปลดออก เขาเพิ่งจะตกใจเป็นครั้งแรกก็ในคราวที่เขาได้รับข่าวชนิดนี้

“ออกไปจะไปทำอะไร?” เขามักจะพูดพึมพำ “ขุดดินกับเขาไหวหรือ? ค้าขายก็ไม่มีทุน จะไปหาบเร่ก็ดูจะไม่ไหว เพราะลำพังเดินทางไกลก็ไม่ค่อยจะไหวอยู่แล้ว ยังจะแถมมีพระอังคารเสวยอยู่บนบ่า เขาจะทำอย่างไร?”

ตกลงเขาก็รับปากกับหัวหน้ากองว่า เขาจะเอาใจใส่การงานให้มากขึ้น แต่ก็อีกนั้นแหละ งานของพระผู้เป็นเจ้าดูจะไม่เท่าไรนัก แต่งานของเพื่อนมีมากกว่า ไม่คนนั้นก็ต้องคนนี้ และไม่คนนี้ก็จะต้องคนนั้น ผลัดเปลี่ยนเวียนเวรกันเสมอไป ในบางวันที่เพื่อนฝูงมาแยกย้ายกันกลับไปเสียหมด หรือไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจกันไกลออฟฟิศ ก็จะเหลือแต่พี่ชมคนเดียวเคว้งคว้างอยู่ เขารู้สึกเปลี่ยวใจเหมือนกับว่าโลกนี้เป็นโลกของคนหูหนวกและเขายืนอยู่คนเดียวภายในโลกนี้

ทีนี้พวกหนุ่มๆ ที่ไม่ค่อยจะสนิทสนมกับเขานัก และนั่งล้อมวงกันอยู่ก็จะพูดถึงเขาด้วยเสียงที่ไม่เป็นมงคลนัก

“วันนี้แย่แล้วโว้ย” เขาได้ยินเสียงคนพวกนั้นตะโกนบอกกัน

“ทำไมล่ะ?”

“ยิวยิ้มไม่ออกเสียแล้ว!” เพื่อนของเขาว่า

“ไหนวะยิว?” อีกคนหนึ่งซะโงกหน้าออกไปดู

“นั้นไงล่ะ พุทโธ่ ไม่รู้จักอ้ายยิวยิ้มเสียแล้ว - มันติดท้ายมาตลอดศก ใครเข้าร้านเหล้าชวนหรือไม่ชวน อ้ายยิวยิ้มเป็นติดตามทันที...”

“เรียกมาซี -” เพื่อนของเขาแนะขึ้น

“เฮ่ย! เสียเหล้า เรียกมามันก็แดกน่ะซี! จะมีอะไร?”

“เอาเถอะ! เรียกมันมา - แล้วหัดให้มันควักกระเป๋าเสียบ้าง”

คนหนึ่งรีบกวักมือเรียกเขาอย่างกิริยาท่าทางอันเต็มใจ

“มาทางนี้เถอะพี่ชาย -” เขาบอก “มาร่วมวงกับพวกผมน้องชายสักที -”

เขาพยักหน้าช้าๆ แล้วก็หัวเราะหึๆ

“ร่วมวงน่ะมันได้หรอกคุณ แต่ผม – ผมมันกรอบเต็มที...”

“อ๋าย! ผมเชิญนี่นะ! ผมเชิญพี่ชาย...”

เขารู้ - รู้ว่าอะไรอาจเกิดขึ้นถ้าเขารับเชิญลงไป เขาเกิดความไม่แน่ใจ แต่ก็นั่นแหละ อำนาจอันเกิดมาแต่ตัณหามันมีมากกว่าอารมณ์ที่เคยชิน ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นของเหล้า พอให้เหล้าเข้าปากไปเสียได้แล้ว ความยากต่างๆ ก็หายไป แม้จะเป็นทางออกที่ทราม แต่ก็จะทำอย่างไรได้ในเมื่อทางออกมันก็มีอยู่แต่เพียงประตูเดียวเท่านั้น - ประตูเดียวสำหรับเขา เขาไม่เคยกลับบ้านในเวลาเช่นนี้เลยตั้งแต่เขาทำงานมา

พวกเสมียนหนุ่มๆ ได้ทำให้เขาน้ำตาตกใน เมื่อคนเหล่านั้นได้ลุกขึ้นอำลาโต๊ะที่ล้อมวงกันอยู่หลายคน คนที่เชื้อเชิญเขาออกไปก่อน - ไปเสียแล้ว โดยมอบภาระไว้ให้แก่เพื่อน เมื่อเพื่อนคนอื่นๆ ชำระเงิน เขาก็ชำระแต่ส่วนของเขาอย่างที่เรียกกันว่า ตัวใครตัวมัน หรืออเมริกันแชร์ เยอรมันแชร์ หรืออะไรแชร์ก็ตามแต่ ในที่สุดโต๊ะทั้งโต๊ะก็เหลืออยู่แต่เพียงเขาคนเดียวเท่านั้น คนเดียวจริงๆ ทำให้เขาเดินตัวเบาหวิวเข้าไปหาจีนเจ้าของร้าน

“กันก็กินลื้อมาหลายปีแล้วนะ! ยังไม่เคยเปิดบัญชีเลย...” เขาพูดขึ้น “วันนี้ขอเปิดสักหน่อย”

“ไม่ต้องเปิดหรอก!” จีนผู้นั้นหัวเราะ “เล็กน้อย จำไว้ก็แล้วกัน อานายพวกนั้นแกแกล้งลื้อ อีว่าลื้อเป็นยิว...”

“ยิว...” เขาทวนคำพึมพำแล้วก็เดินออกมานอกร้าน คำว่า ‘ยิว’ ทรมานหัวใจของเขามาตลอดเวลาและทุกย่างก้าว เขาไม่รู้ราคาของเหล้าที่เขาดื่มมันเข้าไปเลยว่า อ้ายชนิดนั้นอย่างนั้นมันขวดละเท่าไร หรือกั๊กละเท่าไร? แต่แล้วเขาก็สลัดความคิดเหล่านั้นไปเสีย พี่ชมเป็นคนมีความอดกลั้น มีธรรมะแห่งความอดทนเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและปลอบใจตัวเองให้คลายเศร้า

สตรีผู้หนึ่งได้ย่างเท้าก้าวเข้ามาในบริเวณกรม หล่อนถามหาคนที่ชื่อไพโรจน์หรือสุทิน และคุณอารีย์และคนอื่นๆ หล่อนแต่งตัวกะทัดรัดแนบเนียนดี แต่ทว่าเสื้อออกจะเก่าแก่หรือเก่าเก็บจนเกินไป มันชักจะออกสีเป็นสีเหลือง หรือน้ำตาลอ่อนเป็นจุดๆ

“ฉันที่แหละป้า - ชื่อไพโรจน์ - -” เพื่อนของพี่ชมบอก

หล่อนรีบทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ยาวข้างผนังตึก

“ดิฉันอยากจะมาหาคุณนานแล้ว - ดิฉันมีความลับคับอก...” หล่อนบอก “การที่ดิฉันรู้จักคุณๆ ก็เพราะว่าพี่เขาบอก - พี่เขามักจะพร่ำเรียกชื่อคุณๆ เหล่านี้ทั้งหมดว่าเขา...”

“เดี๋ยวก่อนครับ พี่คนนั้นน่ะพี่อะไรกัน?”

“ก็พี่ชมไงล่ะคะ” หล่อนร้องขึ้นแล้วใช้หลังมือปาดน้ำหมาก

“อ๋อ พี่ชมหรือครับ? ครับถูกแล้ว เราชอบพอกันมาก...”

“ดิฉันขอเรียนถามคุณด้วยความจริงนะคะ โปรดอย่าปิดบังหรืออำพรางดิฉันเลย -”

“ครับ ถามมาเถอะ ผมจะไม่ปิดบังอะไรเลย” ไพโรจน์ตอบ

“ดิฉันอยากทราบว่า พี่ชมทำงานที่นี่ได้เงินเดือนเท่าไร?”

ไพโรจน์หันไปทางเพื่อนของเขาและถามขึ้น

“เอ๊ะ! พี่ชมแกได้เงินเดือนเท่าไรนี่หว่า”

“๔๕๐! ยังไม่เคยได้ขึ้นเลย”

“ได้มานานหรือยังคะ?” หล่อนถามต่อไปอีก

“อ้อ ก็ได้มาตั้งแต่เขาเข้ามาทำงานน่ะซีครับ”

พอได้ยินคำตอบของไพโรจน์ หล่อนก็ฟุบหน้าแน่นิ่งลงไปกับพนักเก้าอี้ทันที ทำให้เพื่อนฝูงของพี่ชมตกใจกันมาก พอหล่อนได้สติตั้งตัวขึ้นตรงได้ สตรีผู้นั้นก็ปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาเหมือนเด็กๆ เสียงร้องของหล่อนทำให้เสมียนพนักงานทุกคนละจากงานหันมาดูหล่อนเป็นตาเดียวกัน

“เมื่อ ๕ ปีมาแล้ว เขาไปบอกดิฉันว่าเขาถูกถอด -”

“ถูกถอด -” ไพโรจน์ถามและหัวเราะเสียงดัง

“เจ้าค่ะคุณ - เขาว่าเขามีความผิดทำเงินหลวงขาดไปหลายหมื่น...”

“แล้วยังไงต่อไป?”

“แล้วก็! หัวหน้ากองท่านมีใจเมตตาปรานีแก่เขา ท่านให้เข้ามาทำเป็นลูกจ้างรายวัน ใช้บ้าง ไม่ใช้บ้าง ๕ ปีทีเดียวนะคะ! ที่เขาไม่ได้เงินเดือนมา...”

“พี่ชมไม่ได้เอาเงินไปบ้านเลยหรือ?” สุทินถามขึ้น

“พุทโธ่! ดิฉัน - ดิฉันคนเดียวแท้ๆ หากินอาบเหงื่อต่างน้ำ ดิฉันต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า กลับเอาเย็นเอาค่ำ - เช้ามืดจับหาบจับคอนออกตลาดซื้อของใส่หาบมาจนไหล่แทบจะหลุด เดินขายรายทางมาจนกว่าจะถึงบ้าน ได้กำไรมาบ้างเฟื้องสลึง ก็เอามาเลี้ยงลูก ลูกหรือก็มาก หัวปีท้ายปี ว่าเขาเข้าเขาก็บอกว่า สักวันหนึ่งหรอกเขาจะได้บรรจุอีก ถ้าได้บรรจุเมื่อไรก็คงจะสบายขึ้น ดีแล้วพี่ชม คนฉิบหาย!...”

นางร้องไห้สะอึกสะอื้นยกชายเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา แล้วก็ลาพวกคุณๆ กลับไปบ้านด้วยอาการอันเศร้าโศกระทดใจเป็นที่ยิ่ง

ดังได้กล่าวมาแล้วว่าเขามีที่ยืดเหนี่ยวอยู่ในหัวใจของเขา นั่นก็คือความอดกลั้น แม้จะได้ถูกเพื่อนฝูงรุมกันสัพยอกในเวลาต่อมา เขาก็ไม่โกรธและพลอยขบขันไปด้วยเสียอีก

“ทำไมจึงทำอย่างนั้น?” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น

เขาไม่ตอบ ยิ้มน้อยๆ แล้วก็หันไปชวนคุยถึงเรื่องอื่นเสีย

เหตุการณ์ทำนองนี้ในเวลาไม่ช้านักก็ได้ปรากฏขึ้นมาอีก สตรีค่อนข้างสาวดูเหมือนจะเป็นชาวชนบทได้เดินขึ้นมาบนสำนักงานและถามหาเขา หล่อนมีทรวดทรงที่ดูดีกว่าสตรีคนก่อนนี้เป็นอันมาก หญิงผู้นั่นนั่งลงบนม้ายาวที่ผู้หญิงคนแรกเคยนั่ง

“มาพบใครครับ” นักการถามขึ้น

“ดิฉันต้องการมาพบคุณชม...”

“อ๋อ! ลาครับ! ๓ วัน -”

พอได้ยินว่ามาหาคุณชม เพื่อนๆ ของพี่ชมก็รายล้อมกันเข้ามาฟัง

“ดิฉันขอถามจริงจริ้งนะคะ...” หล่อนกล่าวขึ้น “พี่ชมมาหัดงานอยู่ที่นี่กี่ปีแล้ว...”

“หัดงาน?- ” ไพโรจน์ถามขึ้น

“ค่ะ! เขาว่าเขามาเป็นเสมียนฝึกหัดอยู่ที่นี่ ธรรมดาคนเราเข้ามาฝึกหัดก็คงจะได้บรรจุกันเสียมั่ง - นี่ก็ ๒ - ๓ ปีแล้วนี่คะ! ฝึกหัดอะไรกัน - กินเข้าไปทุกวันๆ ค่ารถค่ากินกลางวัน ไปหัดขับรถ โน่นแน่ะ - เขาอยู่ข้างบ้านหัดขับไม่ถึง ๒ เดือนได้ใบขับขี่แล้ว เดี๋ยวนี้ขับรถบรรทุกไม้ได้เงินเดือนกินแล้วตั้งห้าร้อยบาท -”

“นี่ถ้าบรรจุก็เห็นจะได้สัก ๔๕๐ บาท -” ไพโรจน์บอก

“นั่นแน่ -” หล่อนร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง “เท่านี้ก็จับโกหกพี่ชมได้เสียแล้ว เขาว่าถ้าเขาได้ประจุก็คงได้ ๓๐๐ เป็นอย่างมาก - ตำแหน่งนักการเขาว่าแย่งกันออกจะตายไป - -”

หล่อนกลับบ้านไปด้วยความโกรธแค้น วันเวลาได้ล่วงไปอีกด้วยความปกติ เขาจะยิ้มน้อยๆ แล้วก็ไม่พูดว่ากระไร นอกจากยิ้มเท่านั้นพอแล้ว ยิ้มของเขาไม่บอกเลยว่าจะเป็นภัยแก่ใคร แต่รายที่ ๓ ดูออกจะโหดร้ายมาก นางพาเอาเด็กตัวมอมแมมมาด้วยคนหนึ่งในวันเงินเดือนออก หล่อนพูดเสียงดังกว่าปกติ

“ถ้าเดือนนี้ไม่ได้ - เป็นไรเป็นกัน - โธ่ ดิฉันหาคนเดียวแท้ๆ -” หล่อนร้องขึ้น “บอกกับดิฉันว่าได้เงินเดือน ๓๐๐ เอาล่ะ! ๓๐๐ บาท ช่วยฉันบ้างสัก ๒๐๐ หรือ ๑๕๐ บาทก็ยังดี นี่มีไปให้ลูกซื้อขนมกิน ๒ - ๓ บาท ใครบ้างเลยจะทนไหว ดิฉันไปขายข้าวแกงในตลาด แล้วกลับมาพบแต่ - - - โอ๊ย อย่าให้ดิฉันเล่าเลย - ทำงานมา ๗ - ๘ ปีได้เงินสามร้อย - ไม่เคยเห็น ว่าเข้าก็แก้ว่าเขาบรรจุคนมีความรู้ ม.๖ ม.๘ ก่อน เลยต้องเป็นนักการอยู่อย่างนี้”

แต่พี่ชมก็เฉยๆ เขาไม่ค่อยรู้สึกวิตกวิจารในเรื่องเหล่านี้เสียแล้ว เขาด้านและชาชินจนเกินไป สิ่งที่เขากลัวนักกลัวหนาก็คือเพื่อนจะไม่คบเขา และจะไม่เรียกชื่อเขาในตอนเย็นเท่านั้น ถ้าเขาไม่ถูกเรียกก็แปลว่าเขาจะต้องเดินกลับบ้านเหมือนเดินไปในป่าช้า

เมื่อพฤติการณ์มันเกิดขึ้นแก่พี่ชมถึงขนาดนั้น เพื่อนๆ ของเขาก็เลยเกิดความสนใจในชีวประวัติของเขาขึ้นมาทันที เพราะอะไรพี่ชมของเขาจึงมีชีวิตและความเป็นอยู่อย่างนั้น เราชวนกันไปบ้านพี่ชมอย่างเงียบๆ หลังจากไต่ถามพวกชาวบ้านรู้เรื่องแล้ว เขาก็พากันเดินเข้าไปในตรอกบ้านพี่ชม อันเป็นตรอกน้ำครำเล็กๆ ที่แวดล้อมอยู่ด้วยบ้านหลังคาจากบ้าง สังกะสีบ้าง ล้วนแต่ปุปะและกำลังจะถูกเทศบาลไล่อยู่รอมร่อแล้ว เขาก้าวขึ้นไปบนเรือนของพี่ชม สิ่งที่กระทบนัยน์ตาเขาทำให้เขาเศร้าสลด เด็กๆ หลายคนเรียงกันเป็นแถวยืนถือชามกะละมังคนละใบ ในชามเหล่านั้นมีแต่ข้าวเปล่าๆ เท่านั้น

“พ่ออยู่ไหนจ๊ะหนู - -”

เจ้าเด็กน้อยเบิกนัยน์ตาโตแล้วชี้มือ

“อยู่บ้านแม่เลี้ยงโน่นน่ะฮะ - เดินเข้าไปอีก”

“ขอตังผมมังซี -” เจ้าคนหนึ่งแบมือ

เขาเดินต่อไปอีก เข้าไปจนสุดตรอก เขาแวะเข้าไปที่ในห้องแถวชั้นเดียวโกโรโกโส แล้วก็ถามขึ้น

“หนู! พ่ออยู่ไหม?”

“ไปเล่นหมากรุกอยู่บ้านแม่ใหม่ - โน่นฮะ! หน้าบ้านมีปีบตั้งอยู่ ๒ ใบนั่นแหละ!”

ที่ใต้ถุนเรือนสูง เขาเห็นพี่ชมนั่งเอามือเท้าคางเพ่งมองดูหมากรุกอยู่ เหมือนกับจะให้ตัวหมากรุกกลายเป็นไฟขึ้นมาได้ ฉะนั้น เขาประแป้งเต็มตัวอย่างมีความสุข หน้าบ้านของเขาปลูกบอนสีต่างๆ ใส่กระถางเรียงรายกันอยู่ พอเขาเหลือบมาเห็น พี่ชมก็ยิ้ม

“อ๊ะ! นั่นแน่วันนี้ - มาถึงนี่ได้ - -”

เขากระโดดเข้าไปหาหาบเปล่าๆ ของเมียที่ซ้อนกันอยู่ภายในสาแหรก เปิดกระด้งออกดูแล้วหยิบเหล้าโรงออกมาชูร่อน ในขวดมีเหล้าอยู่ครึ่งหนึ่งพอดี

“นั่งซีคุณ - นั่งก่อน” เขาพูดกุลีกุจอ “อ้ายเปีย! ซื้อแม่รวงให้กูขวดหนึ่ง - เอาโซดาไหมเกลอ?-”

เขาพูดพลางล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงใน หยิบเอาห่อกระดาษออกมาห่อหนึ่ง มัดไว้ด้วยยางรัดของหลายชั้นหลายเชิง แก้ออกหมดแล้วจึงเห็นเงินอยู่ในนั้นไม่น้อยกว่า ๔ – ๕ พัน

“แล้วอย่าเสือกบอกแม่นะ อ้ายเปีย” เขาร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง และยิ้มออกมาน้อยๆ ในยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มและภาคภูมิใจ ○

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ