ครึ่งทางดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์

ขบวนรถไฟสายกรุงเทพฯ - นครราชสีมา หยุดที่สถานีปากช่อง ๒๕ นาที

“ยี่สิบห้านาที!”

“ตายละ! ยี่สิบห้านาที!”

“สามสิบนาที!”

“หยุดทำไมตั้งนาน”

“แหม! หยุดนานเหลือเกิน” ฯลฯ

ผู้ไม่เคยผ่านมาเลยพึมพำว่า

“ทางชำรุดกระมัง?”

“หรือไฟไหม้ป่าใกล้สถานี? เอ๋ - หรือสะพานขาด?”

“ควายขึ้นมาตายขวางทาง มิรู้?” ฯลฯ

ผู้ที่เคยผ่านมาแล้วบ่นขึ้นอย่างเบื่อหน่าย

“เพิ่มรถตู้ ใส่น้ำ ใส่ไฟ...ยี่สิบห้านาที”

“เบื่อจริง มีแต่เหงื่อกับฝุ่น”

“ร้อนโว้ย ยิ่งกินเหล้ายิ่งร้อน ไอ้ห่า”

“นั่นไง ไร่ละหุ่ง ฝรั่งเรียก Castor เป็นน้ำมันพืช น้ำมันเครื่องฝรั่งบางชนิดทำจากละหุ่ง เช่น น้ำมัน Castrol”

“หนวกหู เหม็นเยี่ยว ขอซื้ออ้อย - อ้อย...”

เสียงคนโดยสารทุกวัยต่างก็เปล่งออกมาอย่างอิสระ ไม่สนใจไยดีว่าใครเขาจะรู้สึกอย่างไร กลุ่มชาวแอ่ว - ทั้งร้องและแคนที่ครึกครื้นมาแต่แก่งคอยก็หยุดชะงัก ความร้อนทำให้ความไม่พอใจรุนแรงขึ้น ระยะทางที่ยืดยาวก็ทำให้ความเบื่อหน่ายระบมอยู่แล้วเมื่อ “สองความ” รวมกันเข้าคนทุกผู้ก็คอตก แม้ปากช่องจะได้ชื่อว่าเป็นแดนกุหลาบและมะละกอเลื่องชื่อของอีสาน...ก็แค่กุหลาบ แค่มะละกอ เวลาที่หยุดนานตั้ง ๒๕ นาที บังคับให้ความสดชื่นทั้งปวงซีดเซียว ถึงสุดหนุ่มสุดสาวก็เบื่อ แน่นอนเหลือเกิน หากกุหลาบและมะละกอพูดได้มันคงเบื่อสี เบื่อกลิ่น และเบื่อความหอมหวานของมัน ซึ่งมันทนทานมาตั้ง ๗-๘ ชั่วโมงแล้ว ขณะนี้ตรงหน้าชานชาลากำลังอลวน คนโดยสารผู้คุ้นทางเดินกันไปมาขวักไขว่คุยกันจนไม่รู้ว่าจะคุยอะไร แนะนำกันจนซ้ำกัน ในที่สุดต่างก็ยืนเอามือซุกกระเป๋ามองดูกัน มองดูรถและมองดูตนเอง สถานีปากช่องเป็นสถานีรถไฟสายตะวันออกสถานีเดียวตลอดทางรวม ๓๐๐ กิโลเมตร ที่รถไฟขบวนเดียวหยุดตั้ง ๒๕ นาที

ภายในรถชั้นหนึ่งของรถขบวนนั้น วันนั้นมีสาวหนุ่มหน้าตายิ้มแย้มครึ่งเหนียม-ครึ่งเอียงอายคู่หนึ่งทุกอิริยาบถกำลังดูดดื่มกับความสุขแต่ประหลาด ในคราวเผลอต่างฝ่ายต่างก็แอบมองดูกัน...มองดั่งเจ้าชู้ ครึ่งชื่นชม - ครึ่งหลงใหล – ครึ่งขวยเขิน มีบางคราวการแอบมองนั้นได้ประสบกัน

ความเหนียม ความอาย ความสุข ความรู้สึกเป็นเจ้าของ - ความเป็นเจ้าโลกอย่างแท้จริงได้ระเบิดขึ้นในทรวงอกของเขาทั้งคู่อย่างน่ารักน่าเอ็นดู อันที่จริงสาวหนุ่มคู่นี้เพิ่งผ่านการแต่งงานราว ๑๔ ชั่วโมงมานี่เอง แต่เหตุผลของความรัก มนุษย์ต้องใจกว้างและเตรียมให้อภัยสักเพียงใด... ความรักของสาวหนุ่มที่เพิ่งพ้นการแต่งงานยังไม่ข้ามวัน!

แม้เพียงนั้น - ช่วยอะไรได้!

ฝ่ายหญิงที่แอบมองฝ่ายชายมากกว่าและบ่อยครั้งกว่า - มองไวและหลบไวยิ่งกว่า ก่อนที่ฝ่ายชายจะหันมาทันประสบ คิดว่า “นภา ปาจิณนคร นามสกุลของนภาไพเราะจัง หน้าอกของนภาทำไมบานโต ไหล่กว้างแข็งแรง...หน้าอกและไหล่เช่นนี้ - ในอายุวัย ๓๐ ปีคงเป็นที่หลบภัยของหญิงที่อ่อนแอมานับไม่ถ้วนแล้ว เราเล่าจะเป็น ‘คนอ่อนแอ’ ที่เท่าไหร่หนอ? หูของนภาค่อนข้างยาว คงใจดี - ใจบุญ คิ้วโต คงสัตย์ซื่อ ผมดกดำหนา คงอายุยืน แต่ผู้ชาย - การที่เพศของเขาอายุยืนอยู่ได้ก็เพราะหญิง ชายเหมือนฟ้า หญิงเหมือนดารา ในวัยสวาทอุปมาดั่งราตรีที่ไร้ดาว ชายจักสว่างได้อย่างไรหนอหากไร้หญิง?”

By far purest love - life’s darling Angel comes

To me, Through dark and dawning light:

Tonic to all: Ah! would I welcome

Soul’s desire, forever worldly pride..

เราล่ะ - จริยา คุปตเวทิน เราคืออมฤตของนภา อมฤตที่บริสุทธิ์สุดสะอาด หรือเขาเป็นเพื่อเรา?

“สามี” กับ “หน้าที่”... โอ เจ้าคำว่า “สามี” นี่ทำไมเราต้องมากับนภา? นี้หรือคำว่า “หน้าที่” ซึ่งไม่มีอะไรอีกเลย นอกจาก - นอกจากต้องเชื่อฟังเหมือนแมวตามมารดา ไม่มีชีวิตจิตใจ? ไม่มีความพิศวาส?

ใครคือนภา?... แต่พลัน

จริยาสะดุ้ง นภาพับหนังสือ Ken ของเขามาประสบเธอจังที่สุด

จริยาเสแสร้งเป็นเหม่อคิด เหตุผลกับความเหนื่อย เธอเพียงแต่ยิ้มอย่างเอียงอาย น่าละอายเหลือเกิน - กำลังจะ educate love พลางเธอ ยกหนังสือ This Above All ขึ้นอ่านต่ออย่างเร็วไว

นภารำพึงอย่างสุภาพบุรุษผู้พึ่งสละความเป็นโสด “จริยาสวยเหมือนอะไรดี หรือเหมือนใครหนอ? เหมือนเพชร...แต่ไม่เห็นเหมือนใครแม้คนเดียวเลย แก้มของจริยาเหมือนเหลี่ยมโตที่สุดของเพชรที่เจ้าของเจียระไนด้วยเครื่องจักรธรรมชาติแล้วเล่าเป็นแรมปี ใครนะช่างตามัวละเมอว่าสุภาพสตรีชาวกรุงฟังด้วยอุปกรณ์วิทยาศาสตร์? ไม่จริงที่สุดกับจริยา เธอเป็นเทพธิดาองค์โตของแม่ธรรมชาติ มาดูสิผมของจริยาละเอียดอ่อน ปลายสีน้ำตาลอ่อน - อ่อนยิ่งกว่าเมือกมันของจัสมิน คิ้วและจมูกของจริยาช่างงามกลมกลืนกันเหลือเกิน คิ้วเล็กประดับด้วยเส้นเล็กๆ โค้งเรียบตามขอบตาที่เต็มไปด้วยอำนาจประหลาด จมูกเล็ก - เนื้อนุ่มนวลหาหลุมและสิวแม้นิดเดียวก็ไม่มี ริมฝีปากหรือแสนมหัศจรรย์ บาดตา สวย รำพันได้ถูกต้องยากช่างสวยไปเสียทุกอย่าง - น่าภาคภูมิใจนี่กระไร แต่เออ! ลมเขาปากช่องเจ้าทารุณ ทำไมต้องโกรกอย่างไม่ขาดจังหวะ ขณะนี้...ปอยผมขวา ๓ ปอย ต้องสะบัดมาปิดคิ้วและตางามไม่รู้หยุด”

อยากจะกดเจ้า This Above All ลงกับตัก

อยากจะพิศจริยาอย่างอิสระที่สุดเต็มดวงตา

แต่นภาไม่กล้า ชะงักอารมณ์รำพึงอึดใจหนึ่ง เขาได้ยินเสียงเด็กร้องขายเก้งและกุหลาบมาแต่ไกล

...เข่าของจริยาหายชาหรือยังหนอ อยากรู้จริง คู้ขดตั้ง ๓ ชั่วโมง เราอยากบ่น แต่จริยาไม่เห็นบ่น ช่างอดทนแท้ โบราณว่าผู้หญิงอดทนนักในเรื่องส่วนตัว “ที่ลึกซึ้ง” - เห็นจะไม่ผิด

แต่จะอายอะไรนะกับจริยา? เสียงน้ำมนต์ที่จอกลงจากสังข์ขาวเย็นวานนี้ยังได้ยินอยู่ จริงสิ หยดน้ำจากปากสังข์แต่ละหยดที่เหมือนบัณเฑาะว์ขับและประกาศรักแก่มนุษย์และเทวดา อีกไม่กี่วันก็อายหาย

นภา ปาจิณนคร ฉิวตนเองเพียงใดในคืนวันงานที่เพื่อนรั้งไปกินเลี้ยง - ถึงเมาสลบที่บ้านเก่า เขาพลาดแม้โอกาสเอาผ้าคลุมผมเจ้าสาวโฉมงามวางบนเตียงนอน จิตวิทยาแผนใหม่กับความรัก การเพิ่งจะเสร็จพิธีรดน้ำแม้ไม่ทันค่ำกับบทประโลมที่ “สุภาพที่สุด” ของเจ้าบ่าว เขาตระหนักว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เขากับจริยาคงต้องเหมือนพรตั้ง ๒๐๐...

สามปี - สองบุตรี หนึ่งบุตร

ลูกมีเหมือนหญ้าแพรก หลานเหมือนดอกมะเขือ

ไม้เท้ายอดทอง...

บ้านทอง...ดูทีหรือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๔ แห่งราชวงศ์จักรีที่หาได้ยากที่สุดกับเจ้าพระยาเสลี่ยงมุกด์ ศักดินากลาโหมโบราณ ๒๐,๐๐๐ ไร่ เป็นผู้เริ่มประสาทพร มงคลหรือก็ของสมเด็จเจ้าพระคุณวัดเทพศิรินทร์ทรงศักดิ์สิทธิ์ สังข์หรือก็สังข์ราชินิกูลยืมมาแต่ราชพิพิธภัณฑ์ ฤกษ์ก็พราหมณ์ชั้นผู้ใหญ่ตำแหน่งอดีตราชปุโรหิตเป็นผู้ให้ นาทีและอันโตนาทีได้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดโดยคุณพ่อของเขา และคุณพ่อของจริยา...

ช่างราบรื่น ช่างเรียบร้อย ไม่มีอะไรบกพร่องแม้แก้วน้ำที่ควรบุบสลายเพียง ๑ ใบ... ประเสริฐสุข - อุดมสุข – สมบุญสุข...

เสียง “ราตรีสวัสดิ์” ของเขาข้างเคียงหูจริยาสั่นเครือ รั้งใจสูงแต่กายเขาไหวหวั่น เขาจุมพิตจริยาอย่างแผ่วเบาตรงหน้าผากโดยจริยาเกือบไม่รู้สึกอะไรเลย - เขาเชื่อ ผิวแก้มสีนวลหาที่ตำหนิได้ยากนั้นค่อนข้างชื้น กลิ่นอุบะเข็มเลียน “Confetti” กลบกลิ่นแก้ม เขาพูดออกมา ๒-๓ คำ “โปรดหลับให้สนิท คุณจริยา คิดถึงผมบ้าง พรุ่งนี้เราจะต้องเดินทางแต่เช้า”

แต่ทั้งจริยาและเขาต่างนอนไม่หลับตลอดคืน ความตื่นเต้น ความสุข ความเป็นผู้แทนอย่างธรรมดาที่สุดของมนุษยชาติ - คู่แห่งจริยา คุปตเวทิน กับนภา ปาจิณนคร ซึ่งรุ่งขึ้นจะเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่เมืองดอกบัวโน้น - น้ำผึ้งพระจันทร์ ณ อุบลราชธานี...

อากาศในถนนนครไชยศรี ตอนเช้ามืดวันอาทิตย์คล้ายกับมีแต่ละอองน้ำค้างพรมความสุข นั่งรถคู่กับนภาแหวกเจ้า “หมอกละออง” กระทั่งถึงบางซื่อ ขณะเมื่อรถไฟเริ่มเคลื่อนขบวน จิตใจของจริยากระวนกระวายผิดธรรมดา เธอนั่งเหม่อนิ่ง กอดหนังสือ This Above AI คล้ายเป็นสิ่งสูงค่าเหนือสิ่งอื่นใด สีหน้าเผือด สาเหตุที่ทำให้จริยาต้องทวนคิดคือคำของคุณพ่อตอนจะสาง

“ลูกจงระลึกถึงความสุขุม ความเยือกเย็นของคุณย่าและคุณยาย ให้ระลึกเสมอว่าเราคือเพศที่เกิดมากำนัลความอบอุ่นแก่โลกและสามี เป็นเกียรติที่สูงถึงทะนุถนอม ความรักกับอารมณ์เป็นเรื่องของเด็ก จริยา ความสุขกับสติเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ อย่าลืมคำพ่อคำนี้ ผู้ที่ดีจริง - มีความสุจริตใจอย่างแท้จริงแล้ว ธรรมย่อมรักษา ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้”

คุณพ่อรู้ดีที่สุดเหมือนกันว่า จริยาไม่ได้รักนภาอย่างสาวหนุ่มพึงรัก สุภาพบุรุษชาวไทยชั้นเก่าแก่มีความสุขที่ประหลาดในโลกเรื่องต้องการเห็นบุตรีแต่งงานก่อนตนตาย การแต่งงานสำหรับท่านคือมงคลอันใหญ่ยิ่ง ไม่มีหย่าร้าง...ไม่มีอนุภรรยา บุตรีผู้หัวอ่อนกราบต้นแขนคุณพ่ออย่างเลื่อนลอย

“แต่พ่อคะ พ่อไม่เห็นพูดถึงแม่?”

“ถ้าแม่อยู่ - แม่คงจะอวยชัยให้พรมากกว่าพ่อ และคงจะสุขใจสมใจมากที่สุด”

จริยาแต่งงานโดยไม่มีแม่ เธอกำพร้าแม่ตั้งแต่เธออายุได้ ๑๖ ปี ความรู้สึกเกี่ยวกับแม่เป็นสิ่งที่มีอำนาจลึกซึ้งที่สุดในชีวิตของจริยา

“น้องเรือง เพี้ยนและตาพรมล่ะคะ พ่อ?”

“ทุกคนหลับเพราะอิ่มใจ” คุณพ่อตอบ “เราอิ่มใจกันทุกคนไม่ต้องห่วง พ่อเชื่อว่าจริยาจะทำให้วัยชราของพ่อภาคภูมิใจ จำคำพ่อให้ดี - แน่ะ คุณนภามาแล้ว”

ดวงใจทั้งดวงดุจดับวูบลง ความรัก ความเสียดาย ความกตัญญู ความอยากเป็นเด็กเล็กๆ หัวเราะเยาะต่อ “ความเจริญ” ที่น่าหัวเราะของโลก ทำให้จริยาแค้นเคืองการมาเร็วของ “สามี” นี่เพิ่ง ๖.๑๕ นาฬิกา...ดู๊ ผู้ชาย รถออกตั้ง ๗.๑๕ นาฬิกา เธอไม่อยากจากบ้านไปเร็วเลย แต่ก็จำต้องจาก - บ้านแห่งความไม่เดียงสา บ้านที่ให้แต่ความสุขความชื่นบานตลอดเวลา ๒๑ ปี “ถ้าแม่อยู่แม่จะพูดอย่างไรหนอ?” แม่คงไม่ยอม ยังไม่ให้ไป บางทีแม่จะไปด้วยแม้ไม่ถึงชุมทางบ้านภาชี ก็ถึงอยุธยา อย่างน้อยแม่คงพูดว่า

“แม่รักจริยา คุณนภา เอ็นดูจริยาให้มากที่สุดหน่อยนะ....จริยาคือชีวิตของแม่”

วิถีชีวิตย่อมเป็นของคนถือ จริงหรือ?

อย่างไรก็ตาม เมื่อรถแห่งชีวิตออกวิ่งแล้ว มีหลายสิบครั้งที่ผู้ถือบังคับมันไม่อยู่ สิ่งที่มีแต่ผลฝืนเหตุผล โดยฝากการฝืนนั้นเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อคราวสำคัญ และเมื่อนั้น “กรรมลิขิต” เป็นผู้ถือ

ลมเหนือวิ่งโกรกช่องหน้าต่างกระซิบกระซาบถึงฤดูหนาว ผ้าสีน้ำเงินจุดขาวผืนน้อยทำความอบอุ่นแก่เจ้าของอย่างประณีต จริยาตั้งใจจะพูดน้อยที่สุด เธออุตส่าห์หอบหนังสือของโปรดไปครึ่งตะกร้าใหญ่ เธอต้องการให้หนังสือพูดกับเธอและอยากให้เป็นทั้งหมดของการพูด

แต่ตรงกันข้ามกับนภา เขาต้องการพูดและต้องการให้การพูดของจริยาเท่านั้นเป็นทั้งหมดของการพูด นภามีหนังสือเล่มเดียวคือสารสาร ชื่อ Ken แต่ประจำเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๓๐! เขาไม่ชอบเริงรมย์เลย เหตุผลของเขาเปรียบเริงรมย์เหมือนยาเสพติด มันทำให้มนุษย์มึนเมา ซึ่งมนุษย์ผู้โฉดเรียกมันเป็นศิลปะ แต่ความจริงความไม่มึนเมาอยู่ในสภาพธรรมดาควรเรียกเป็นศิลปะชั้นสูง เหมือนดนตรี...ธรรมชาติเต็มไปด้วยดนตรี ไม่จำเป็นอย่างไรที่ดนตรีต้องมีอุปกรณ์ - มีโน้ต - มีคนเล่น - มีคนดู ทุกหนทุกแห่งเป็นดนตรี...นภามีเหตุผลที่น่าฟังและน่ากลัวอยู่ไม่น้อย จริยาเห็นเขาจับ “ฮาร์ดี้ - คนโปรด” ของเธออย่างสยะแสยง เขาเกลียดแม้เคาเวิด แม้ลีดส์และแม้นายลอว์เรนซ์ ซึ่งผู้ชายพายเรือโปรด

“คิดถึงนิดเมื่อเป็นเด็กจริง” เขาเริ่มพูด “เคยเห็นรูปถ่ายของนิด ขณะเป็นเด็กนักเรียนไปเล่นเนตบอลที่เบญจมราชาลัย ตัวดำปี๋ อ้วน ตากลม จำได้ว่านิดเคยเรียนหนังสือโรงเรียนค่ำที่แกรมมาสกูลที่ตึกดิน ไม่นึกเลยว่าโตขึ้นผิวจะขาว...สวย มองจับตาจับใจและสูงระหง เช่นเดี๋ยวนี้”

“นิด” เป็นชื่อเด็กของจริยา เธอชอบให้ใครทุกคนเรียกเธอว่า “นิด” กระทั่งเธออยู่มหาวิทยาลัย

จริยายิ้ม หงายหนังสือ This Above AI ขึ้นทำทีเสมือนไม่สนใจ เอียงอายเล็กน้อยและไม่ตอบ นภาพูดอีก

“ครูเมี้ยนดุมากหรือนิด?”

“ไซโค” จริยารำพึง เริ่มขวยเขิน “เมื่อไหร่นภาจะพูดเรื่องของเขานะ?”

“เจ้าระเบียบแต่ใจดีค่ะ” เธอตอบอย่างสุภาพและประหยัดที่สุด ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ความละอายของเธอ - เจ้าสาวของโลกใหม่ - ภริยาแม้จะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแล้ว ความละอายและความใหม่ทำให้เธอกดข่มความรู้สึกประหลาดเรื่อง “ภริยา” ได้ไม่ปรกติ เธอไม่ใช่นักเรียนอักษรศาสตร์ เธอขลาดมีวันหนึ่ง - ก่อนวันรับปริญญา วท.บ. วันเดียว เธอคิดว่าสามีถ้าไม่ใช่สิ่งที่น่าสยะแสยงที่สุดก็คือตุ๊กตาลงพุง ถ้าความเป็นผู้ใหญ่หมายถึงการต้องแต่งงานแล้ว ก็ทำไมล่ะ? เพียงแค่แต่งงาน เพียงแค่อยู่ เพียงแค่ทำงาน แต่โอ...อย่างเดี๋ยวนี้ - ในวินาทีนี้จะไหวหรือ?

“นิดเมื่อยเข่าไหมเช้านี้?” นภาไม่ยอมให้เธอนิ่งนาน จริยาถอนใจเบา ชำเลืองดูยิ้มที่เฝือของนภาแวบหนึ่ง สิ่งที่เธอคิดช่างไกลเหลือเกินกับสิ่งที่นภาถาม ไม่ตอบละ - ทีนี้ เธอเสพูดเกลื่อนในทันใด

“นภาเมื่อยก็นอนซิคะ นิดกำลังติดหนังสือ”

“This Above All... ชื่อหรูจริง หรูเหมือนเล่ม How Green Was My Valley เล่มนั้น” น้ำเสียงของนภาครึ่งสะท้อน คล้ายกับพึ่งเห็นหนังสือ ครึ่งชมใกล้ๆ เกือบประชด

“หนังสือดีไม่อยู่ที่ชื่อเพราะ - ใช่ไหมคะ?”

“อย่างเจ้า Ken โบราณกาลของผมนี่ มีเรื่องดีแยะ แต่นิดเบื่อผมพูดไหมนี่”

จริยานิ่งด้วยรันทดนิดหนึ่ง นภาช่างไม่รู้จักหลักสนทนาเสียเลย หรือ Genius เป็นอย่างนี้

“เปล่าค่ะ แต่สงสารนภา อยากให้นภานอน”

ขาดคำ สมใจ - ว่าง่ายเหลือเกิน นภาเอนตัวนอนผล็อยนิ่งเงียบ จริยารู้สึกว่า นภาหลับสนิทแต่บางปะอินถึงสระบุรี เขาคงหลับอย่างอ่อนเพลียและอิ่มสุข ตาที่หลับของเขาเหมือนเด็กน้อย แก้มอูมคางอูมเล็กน้อยอย่างผู้ชายเจ้าความคิด เธอคร่ำเคร่งกับหนังสือตลอดเวลา This Above All ไม่สนุกอย่างที่เธอคิด ดูจริงจัง โหดร้าย จะหาความเอ็นดูที่อ่อนหวานจับใจเกือบมิมีเลย เรื่อง How Green Was My Valley ยิ่งซ้ำร้าย เต็มไปด้วยคำอุทานของคนที่กินจุ ประเดี๋ยว mind นั้น ประเดี๋ยว mind นี่ ชื่อสิแสนเพราะน่าเสียดาย เรื่อง “นี่แหละโลก” ของ “ดอกไม้สด” ชวนให้เธอคิดว่า นี่ไม่ใช่ฝีมือ “ดอกไม้สด” นักประพันธ์สตรีเรืองนามผู้นี้เห็นจะมิใช่เจน ออสเตน เสียแหละ แล้วได้เปลี่ยนสภาพจากผู้ทรงศีลมาเป็นหญิงบรูแน็ตคร่ำแต่กรีดดัชนี เรื่อง “อำนาจกฎธรรมดา” ของ ม.จ. อากาศดำเกิง ชวนให้เธอเต็มตื้น...ความรักกับความจริง “บุปผา” จากปลายปากกาท่านอากาศ ฯลฯ ที่กำลังเหี่ยวแห้งบนอ่าวระไว เมืองภูเก็ต - คอย คอยว่าเมื่อไหร่ชายแมลงภู่ใจคดจะกลับคืนมากับ “ศัลยา” ชีวิตแบบฉบับของ Gentle-woman from far แห่งสมัยรัฐธรรมนูญ - พวกแซนด์วิช ผอมซูบซีด หน้าอกแห้ง พูดเสียงคล้ายกระซิบ - อนิจจา “ดอกไม้สด” ชีวิตที่ต้องการแปลชีวิตของหญิงโลกด้วยแบบแห่งศัลยา

เรื่องสั้นที่จับใจเธอที่สุด คือ Home Honey Moon ในหนังสือ Cosmopolitan เพียงแต่เห็นชื่อเรื่องก่อนอ่าน จิตใจบินคืนไปสู่บ้านแล้ว ยิ่งเมื่ออ่านใกล้จบ โอ-บ้านสีเขียว สามเสนใน สระปลา เล้าไก่ สวนดอกไม้ สวนผัก เพี้ยนที่แคล่วคล่อง ตาพรมผู้ใจดี - เอ็นดูเธอ เอ็นดูปลา เอ็นดูไก่ เอ็นดูดอกไม้ ที่ชวนให้คิดถึงจับใจคือ คุณพ่อ “แม่” น้องเรียงกับนกสีขมิ้นคู่ผัวเมียที่ทำรังบนซุ้มกรรณิการ์หน้าหน้าต่างห้องอาหารจริยาสังเกตมันทุกเช้า เสียงของมันจุ๋มจิ๋มจิกกะจิก รู้สึกว่ามันช่างทะนุถนอมเอาอกเอาใจกันเหมือนอะไรดี นกหนอเจ้าช่างแสนสุข รังของเจ้าสีขมิ้นเล็กสีปลาเสือน่าอยู่ ไม่รกรุงรังโกร่งกร่างเหมือนรังมนุษย์ ภายในรังยิ่งน่าเอ็นดูสีชมพูอ่อน พื้นราบเรียบเหมือนแพรซีฟองเพิ่งรีดใหม่ คงอบคงอุ่นแสนสุข ช่างน่าอิจฉาริษยาเหลือเกิน เหมือนมาจอรี โลเรลลา ใน Home Honey Moon ที่ “Extremely simple, gay, lively with sweet everything.”

คู่เจ้านกสีขมิ้นแสนสุขกับมาจอร์ โลเรลลา จะเหมือนนภากับเราหรือไม่หนอ? ถ้าสวรรค์มี สวรรค์เอ๋ย ปรานีตูสักนิดเถิด ขอให้ความสุขของตูกับนภาจงบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยการเสียสละ อบอุ่น อ่อนหวาน อ่อนหวานที่สุดเหมือนเสียงจุ๋มจิ๋มจิกกะจิกนั้นด้วยเถิด...

แต่พอจะถึงมวกเหล็ก นภาละเมอเบาๆ แต่เสียงและความละเมอนั้นดั่งวิมานสลาย

“จริยา...ผมมีภรรยา ลูกของผม จริยา...ผมมีลูก ๒ คน”

สถานีปากช่อง - เกือบจะครึ่งทางดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์แล้ว

เสียง “ยี่สิบห้านาที ฯลฯ และเสียงคนโดยสารขึ้นรถยังสับสนไม่ขาดหู แต่จริยาคล้ายกับสิ้นสติ ในหูมีเสียงหริ่ง ในตาพร่า เธอไหวกาย รำลึกถึงคำของคุณพ่อ...ความสุขุมและความเยือกเย็นของคุณย่ากับคุณยายวัยชราของคุณพ่อช่วยมิได้แล้ว...การละเมอเป็นทาสของความรู้สึกล่าง - เป็นคำสารภาพ จริยาเคยเรียน นภาต้องมีลูกและภรรยาจริง ด้วยวันนี้เป็นวันฝืนใจครั้งใหญ่หลวงที่สุดของนภา เขาจะทิ้งวิถีสุขเก่ามาสู่วิถีใหม่ จะช่วยได้อย่างไร?

เราเล่า เราจะทำไฉน?

ภริยาของเขา

แม่เลี้ยง

ภริยาน้อย

โธ นภา เพียงแต่คำ “ภริยา” นิดยังเหลือฝืน นิดกลัว กลัวที่สุด แต่นี่นิดจะต้องเป็นอะไรมากไปกว่านิดคิดว่าจะเป็น นิดจะทำอย่างไร นิดกลัว นิดขลาด

แม่ แม่จ๋า แม่อยู่ไหน? พ่อกับนิดเสียรู้เขาแล้ว บอกนิดด้วย นิดต้องทำอะไรก่อน?

มีแต่ This Above All วางตรงหน้าเจ้า Old Wives Tale อยู่คั่นกลาง Tess of the d'Urbervilles อยู่ต่ำที่สุด...ฉับพลัน ความสำรวม ความกล้า บทบาททั้งหลายในเริงรมย์ ความเสียดาย จริยายกมือลูบรอยจุมพิตของนภาเมื่อคืนนี้ดุจลูบพิษสุนัขบ้า...ลูบอย่างกระชากซ้ำซากเพราะสยะแสยง ขนลุก เสียดาย...

จริยาเริ่มปลุกตนเองตามเสียงหวูดรถไฟเคลื่อนสู่ปากช่อง เดี๋ยวนี้แล้ว...วีรสตรี เมื่อนภาตื่นขึ้น เธอแสร้งยิ้มอย่างหวานซึ้งมั่นใจ

“หิวไหมคะ?”

“ยังอิ่ม นิด ขอบใจเหลือเกินที่ถาม” เสียงของเขาปรกติ “แย่งกินชาของนิดตั้ง ๒ แก้ว หิวอีกละแย่”

ความไม่พิรุธเลยทำให้จริยาสงสัยบ้างเล็กน้อย ทฤษฎีผิดเสียแล้วหรือ? ไม่ผิดน่ะ ปริญญา B.Sc., Ph.D. และ M.D. ของมหาวิทยาลัยรัฐผิดไม่ได้ การละเมอในระยะสำคัญที่สุดของชีวิตเป็นคำสารภาพอย่างแน่นอน ประเด็นวิชาการต้องไม่มี มีแต่ประเด็นมายาซึ่งใครจะรู้ ผู้ที่ทำลายเกียรติและความรักของหญิงสาวไม่เดียงสามากที่สุดคือผู้ที่มีภรรยาแล้ว ประจบเก่ง เยือกเย็น ไม่ขัดใจ อ่อนหวาน เพื่อจะฆ่าพรหมจรรย์อย่างเงียบสนิทที่สุด โอ! นภา ปาจิณนคร เธอฆ่าสตรีมากี่คนแล้ว? ฉันกำลังเป็นคนที่เท่าไหร่?

“ทำไมคะ” จริยาบังคับตัวเองให้พูดต่อ “ไม่เห็นรับอะไรเลยก่อนนอน?”

“เกรงว่านิดจะเลี้ยงคนกินจุยาก”

“แหม” จริยาอุทาน คิดจะตอบว่า นิดชอบสามีลงพุง แต่กลับพูดว่า “ของว่างของเรามีอีกแยะ”

พอพูดได้เท่านั้น ก็พอดีเด็กเล็กตะโกนขายเก้งและกุหลาบมาทางท้ายรถ

“นิดชอบเนื้อเก้งไหม?” นภาถาม

แม้แต่เขาจะบริสุทธิ์ จริยาก็เริ่มชิงชัง เพราะช่างไม่รู้ว่า ถามผู้หญิงเรื่องเนื้อสัตว์ในขณะเดียวที่เห็นกุหลาบนั้นหยาบคาย

“นิดเกลียดยักษ์ค่ะ” เธอเลี่ยง

“อ้าว” นภาเข้าใจทำเปิ่น “หมายจะถามนิดว่าจะเอากุหลาบพวงไหน เอ! เรานี่ แต่งงานเพียงวันเดียวเริ่มจะหลงลืม”

จริยาหัวเราะคิกด้วยมายาใหม่

“เลือดเก้งหยดติ๋งๆ โถ น่าสงสารออก สัญชาติผู้ชายออกจากป่ามาตั้งนานยังอยากจะกินของป่า กุหลาบสิคะ สดชื่น น่ารัก น่าเอ็นดู”

“หนามกุหลาบคมนะนิด” นภาแย้งพาซื่อ “เด็ดจากต้นแล้วหอมไม่เท่าอิ่มเดียวก็โรย” แต่พลางกลับเรียกเด็กขายกุหลาบเข้ามา

จริยาฉุนเฉียว เห็นความฝืนอย่างง่ายดายของเขา เรียกเด็กชายเก้งบ้าง

“อ้าว ไหนนิดบอกว่าเกลียดยักษ์?”

“ก็ไหนนภาบอกว่า กุหลาบดีแต่หนามคม หอมไม่เท่าอิ่ม กุหลาบมีหนามเพราะต้องกันการละลาบละล้วงที่ฉาบฉวยนี่คะ”

นภาคงไม่รู้สึก เขาหัวเราะอย่างอิ่มสุข

“เวลานิดพูด สนุกเหลือเกิน ปากเล็กๆ ของนิดช่างพูดเก่ง ว่าแต่นิดจะซื้อเก้งให้ใคร?”

“เอาไปฝากคู่รักของนิดซีคะ” จริยายิ้มพรายรู้สึกว่าทำได้สนิทที่สุด กล้าอย่างจำใจต้องกล้าและไม่เคยกล้า ไม่อยากทำแต่ก็จำใจต้องทำ

นภามองดูความน่ารักของ “ภริยา” อย่างเบิกบาน

“งั้นเราลงไปข้างล่างดีกว่า”

“เอ๊ะ ท้านิดต่อยหรือคะ?”

“ไม่ใช่” เขาร้องดังก้องห้อง “จะลงไปซื้อกุหลาบ - ซื้อมะละกอต่างหาก แต่ถ้านิดจะกรุณา ผมจะซื้อเก้งสักสองสามขา”

เดินลงจากรถไฟดังเทพเจ้าอุ้มสม ภาพจริยากับนภาที่เคียงคู่กัน ช่างเป็นภาพที่เอะอะแก่ตาและความรู้สึกของประชาชนเหลือประมาณ สุภาพสตรีจากมหาวิทยาลัย จริยาแต่งกายกะทัดรัด - มองเก๋ดูผิดปรกติ เธอตระหนักตามหลักปรัชญาแห่งความงามว่า “งามใดจะแม้นความกลมกลืนที่สุดนั้นไม่มี” ทุกตารางนิ้วในอาภรณ์ของเจ้าสาว - จริยาประณีตหาที่เปรียบมิได้ ประณีตในสี ประณีตในความสะดวกง่ายดายของทรงเสื้อ กระโปรง และเกือก เป็นต้น เช่นเกือกซึ่งต้องการความช่วยเหลือของปรัชญา จริยาหนีบหมวกสักหลาดสีน้ำตาลอ่อน มีผ้าพันหมวกสีเลือดนก สีเกือกของเธอต้องสีขาว มีกระดุมสีน้ำตาลเพื่อกลมกลืนกับหมวก ในรูปของรองเท้า จริยาทรงสมทรง เธอใส่ทรงสูง แหวกปลายเท้าแลเห็นเล็บนิ้วที่ขาวสะอาด ๓ นิ้ว รอยโหว่โชว์เล็บเท้าเหมือนกลีบบัว หยักอย่างละเอียดเห็นได้เด่นชัด มีหูเชือกเจาะเฉียงหลบเข้าข้างในทั้งสองหู สายริบบิ้นเล็กยาวสีขาว งามกลมกลืนตั้งแต่ทรงเกือก - เรียวเพรียวลมไม่อวบอั๋นบู้บี้แห้งแกร็นแม้วัตถุที่สอดสวม ตลอดถึงทรงร่างที่เป็นเจ้าของวัตถุสวมที่งามซึ้ง - มีเสน่ห์อย่างจับใจที่สุดนั้น

เวลาเหลืออีก ๕ นาที รถจะออก...

จริยาเต็มไปด้วยมโนภาพของการตัดสินใจ เพียงพอแล้วนภา ปาจิณนคร ความรู้สึกล่างของคุณคือคำสารภาพที่มีหวังได้รับอภัย - อย่างเลยตามเลยของหญิงไร้สกุล ส่วนฉันเป็นราชินิกุล มีหัวใจ - มีหิริโอตตัปปะ ยามดรุณวัยนั้นเล่า ฉันเคยมี “เจ้าชายแห่งปฐมวัย”

อำนวย พรประเสริฐ

จังหวะรำพึงกับความจริง

นาทีกับอันโตนาที...กรรมลิขิต

พอก้าวออกจากชมสวนกุหลาบข้างสถานี จริยาเหลือเห็นชายหนึ่ง เบื้องหลังเพียงแค่หลัง เธอสะดุ้ง ชายหนึ่งนั้นกำลังขมุกขมัวด้วยอาภรณ์พื้นเมือง ยืนพิงเสาชานชาลา คุยกับข้าราชการชั้นตรีแห่งกองวัคซีนเซรุ่ม ๒ คน สวมหมวกสานไทยใบใหญ่ มือถือหนังสือพิมพ์ นุ่งกางเกงขาสั้นสีเทา เสื้อเชิ้ตฝ้ายดิบ รองเท้าสานที่สวมหนาเทอะทะจนกระทั่งเธอเดินถึงข้างเคียงจึงเห็นชัด

“อำนวย” จริยาอุทาน ตื่นเต้นถึงขีดสุด “อ้ำจริงหรือนี่ แหมนิดคิดถึงจัง”

พลางเธอกระวีกระวาดแนะนำอำนวยให้รู้จักนภา หน้าของอำนวย - เจ้าชายในปฐมวัยของจริยาช่างเกรียมดำ หนวดเคราเขียว เขาผอมกว่า ๓ ปีก่อน เมื่อพบกันหลังที่สุดเล็กน้อย ดวงตาคงเด็ดขาด ในวินาทีแรกที่อุทานชื่อ มันยังสารภาพถึงความต้องการเก่าแก่อย่างเต็มประกายตา

“นิดจะไปอุบล” จริยาเล่าต่อ “เหลือเวลาอีก ๓ นาที รถจะออก ไปส่งนิดถึงโคราชนะ แหม ดีใจจริง อ้ำมาทำอะไรที่นี่คะ? มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่หายไปหรือ?”

เสียงของจริยาแจ่มใสอย่างประหลาด เพราะไม่เชื่อตา อำนวย พรประเสริฐเป็นยอดมานพของจริยามาแต่วัยน้อย วินาทีนี้... “ถ้าจะมีความรู้สึกว่ารักในโลกแล้ว จริยามีความรู้สึกรักที่แท้จริง กล่าวอย่างสั้นในประโยคเดียว จริยาต้องการรัก...ความรักคือพระเจ้า”

เสียงอำนวยสั่งคนงานสองคนตรงหน้าต่างรถทำให้นภาขรึม อำนวยจะไปส่ง “ภริยาของเขา” ถึงนครราชสีมา

ซับม่วง จันทึก สีคิ้ว สูงเนิน...และนครราชสีมา

จริยาพูดจ้อเหมือนนกขุนทองปากทองคำ อำนวยนั่งในรถเพียงนาทีเดียวก็รู้ว่า นภารังเกียจตนเพียงใด แต่จริยาต้องการเขาและดูเหมือนต้องการยิ่งกว่านภาตามความรู้สึกของเขา ๓ ปีมาแล้ว เมื่อเขาบ่ายหน้าออกจากตระกูลคุปตเวทิน - เจ้าระเบียบประเพณีทาสโหราศาสตร์ เขาทนความโบราณกาลอย่างเข้มงวดไม่ไหว จริยาเองมีอารมณ์รักตอบแทนเขาอย่างลึกซึ้ง และ - แต่ผู้หญิงถึงโง่ถึงฉลาดเพียงใดก็แพ้ประเพณี แน่นอน นั่น ๓ ปีมาแล้ว การที่จริยามาสองต่อสองกับชายชื่อ นภา ปาจิณนคร เอ เจ้านามสกุลนี้เคยได้ยิน จริยาแต่งงานแล้วหรือ? จริยาหลุดออกจากเหล็กมหึมาแห่งจารีตหยุมหยิมได้อย่างไร...ถ้าไม่หมั้น – ถ้าไม่แต่งงาน? อำนวยต้องพรากจริยาเพราะ “ลัคนา” เป็นวินาศแห่งกัน...

ความเดียดฉันท์ของนภาไม่รอดจากสายตาของจริยาแม้น้อยหนึ่ง ช่วยมิได้แล้ว ริบบิ้นสีแดงที่ผูกรัดการแต่งงานระหว่างนภากับเธอกำลังกลายเป็นสีขาว - ซีด - เปื่อยยุ่ยและกำลังขาด เธอเพิ่งรู้สึกบัดนี้ว่า มีอารมณ์ร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่งเรียกว่า “ความรัก” บนผิวโลก อุปมาดั่งอีเทอร์ เป็นแรงงานที่บริสุทธิ์ ภายในความบริสุทธิ์นั้น เธอตระหนักแจ่มชัดยิ่งกว่า มีอำนวยเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดและพึงเสียสละทุกอย่างให้ที่สุด

ความมืดคลี่คลายกำลังของมันทีละน้อย

“นภาต้องไม่ถือนะคะ” จริยาเริ่มบทบาทประสานมิตร “เราสนิทสนมกันมากค่ะ...อำนวยเสียอย่างเดียวใจน้อย - ดื่มเหมือนปลา”

“ก็สนุกดีแล้วนี่นิด” นภาตอบหัวเราะอย่างฝืนและเปิดเผย พยายามวางตัวอย่างสมควรที่สุดในการสนทนา “บ๋อย” เขาตะโกนเรียก บ๋อยซึ่งเดินผ่านห้อง “ขอเซี่ยงชุนขวดใหญ่ ๑ ขวด โซดา ๕ ขวด”

กินเซี่ยงชุนกับโซดา อำนวยหัวเราะบ้าง

“ขอโทษนะนิด....ดื่มนี่ก่อนก็ได้ครับ คุณนภาผมมีติดตัวเสมอ “เขาล้วงขวดขาวเป็นขนาดเล็กๆ มีชื่อ “โอ เดอ วี” วางบนโต๊ะเปิดและริน

“ให้นิดรับก่อนค่ะ อ้ำ” จริยาตั้งต้นบทบาทถึงที่สุด รับเหล้าที่ยื่นไปให้นภาจากมือ อำนวยดื่มรวดเดียวตลอด ไม่ไอ ไม่ระคายคอโดยที่เธอไม่เคยดื่มมาเลย นภาตะลึงแต่กลับยิ้มอย่างคนเคยใจเย็น เขารับเหล้าจากอำนวยดื่มสองสามครั้งสลับกับจริยาไม่ปริปากพูดและสลับกับอำนวย

รุม แซงต์ ชากส์

บัดนี้แก้มของจริยาร้อนผะผ่าว ตาซึมรางเลือน เธอรู้สึกตัวของเธอว่าเธอต้องเมาหรือมิฉะนั้นก็ทำเมาเพื่อเหตุการณ์ เธอต้องการไปทุกหนทุกแห่งกับอำนวย เธอตัดสินใจแล้ว ที่ที่เธอจะตั้งต้นไปนั้นคือนครราชสีมา ครึ่งทางดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเธอกับนภา ปาจิณนคร

เหล้ารุมขวดเล็กยังน้อยนัก เซี่ยงชุนขวดใหญ่นี่สิคือ “น้ำแห่งชีวิต” อย่างแท้จริง อำนวยสั่งเนื้อทอด ๓ จาน ขณะที่บ๋อยยกโซดามาเขาโยนมันออกทางหน้าต่างทีละขวดกระทั้งหมดทั้ง ๕ ขวด กำลังใจของนภาเริ่มพ่ายแพ้แล้ว เขานิ่ง ซึม ไม่พูด จริยากำลังงงงุนแต่คอตรง เธอกำลังตั้งศา ว่า ใครจะเป็นฝ่ายพูดก่อน พูดอะไรและพูดอย่างไร

อำนวยดื่มเหมือนปลาใหญ่พบน้ำ เขาไม่ยอมดื่มโซดาก็จริงแต่เขากินเนื้อทอดเป็นปริมาณพอที่เขาจะไม่เมาเร็ว ซึ่งเทคนิคของการอื่น เพื่อชะลอเวลาไม่เมาเร็ว นภาไม่รู้เขาดื่มเหมือนกัน ดื่มเหมือนปลา...ปลาตัวเล็กที่จะต้องหิว - ดื่มเพื่อดับความหึงหวงเยี่ยงผู้มีสิทธิ์

นภาคิดว่า ถ้าอำนวยแตะต้องจริยาเพียงนิดหนึ่ง เขาจะต่อยทันที เขาชำเลืองบังคับใจ... “เมีย” ของเขานี่ เจ้าเป็นเพียงเพื่อน “เมีย” ต่อหน้า “ผัว” เจ้าจะถูกต้อง “เมีย” ของข้าไม่ได้เป็นอันขาด

สีคิ้วแล้ว แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดทำอะไรหรือพูดอะไร ความมืดเริ่มกำลังอย่างรุนแรง ทางจะถึงนครราชสีมาเหลืออีก ๒ สถานี นภาทำลายความเงียบขึ้นด้วยคำ “สิทธิ์”

“คุณต้องไม่ลืมว่า เราแต่งงานกันแล้ว - แต่งเมื่อวานนี้ จริยากับผม จริยาเป็นภรรยาของผม”

พลังประหลาดอย่างหนึ่งบังคับให้จริยาเบิกตากว้าง

“ก็ผมได้ว่าอะไรหรือ?” อำนวยถามอย่างบาดใจ

“คุณสนิทสนมกับภรรยาของผมเกินสามี เราจะไปฮันนีมูนกัน และคุณทำสนิทสนมต่อหน้าสามี”

“ประเดี๋ยวก่อน - อ้ำ” จริยาแซงอำนวยพูด พักตร์อันงามปลั่งด้อยสิ่งเสพย์ “นภาดูถูกฉันมากนะ ฉันเรียนให้ทราบแล้วว่า ฉันกับอ้ำสนิทสนมกันมาก เรารักกันหลายปี - หลายปีก่อนที่คุณพ่อคุณมาขอฉัน”

เสียง “ฉัน” อันกระด้างฉับพลันของจริยา คุปตเวทิน ซึ่งพูด “ดิฉัน” เมื่อหลายปีหลายเดือนก่อนกระทั่งคืนวานนี้ ทำให้นภามึนงง เหล้าร้ายทำให้งงยังมิครึ่งเท่า ดูดู๋...ความหยาบคายจากความสวยของอิสตรี สวยยังมิทันข้ามวัน – เจ้าความสวยที่ไม่เคยหยาบแข็งกระด้างเมื่อต้องกระด้าง อา - ช่างน่าเกลียด น่าเดียดฉันท์เสียนี่กระไร

“แต่ทำไมคุณยอมแต่งงาน?” นภาฝืนถาม

“เพราะกรุงเทพฯ ยังไม่เจริญนักในเรื่องแต่งงาน” จริยาตอบกระชาก ความรักที่แท้จริงของหญิงสามารถประหารทุกสิ่งได้ “นภาต้องไม่นึกว่า ฉันเป็นผู้หญิงแปดสาแหรก ดื่มเหล้านิดแล้วแกล้งเมา หรืองกเงินเหมือนเริงรมย์ผีๆ สางๆ ฉันมีการศึกษาสูงพอ”

“ฉันเคยพูดหรือ?” นภาโกรธจัด เปลี่ยนสรรพนามทันควันเหมือนกัน “...แต่ฉันรักจริยา”

“เชอะ รักจริยา” หญิงสาวลืมตัว “ขอบใจ แต่เป็นเถอะ ขอพูดว่าที่จะพูดต่อไปนี้ไม่ใช่เพราะรักตัวเกินปกติชน ฉันก็ไม่ผิดอะไรกับผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง - มีแก้ม มีตาที่คุณชมบ้าๆ บอๆ... ต่อหน้าอ้ำนี่แหละ ฉันเคยเป็น “เมีย” คุณหรือยัง ตลอดการแต่งงานที่ผ่านมาคืนเดียว”

นภานิ่งไม่พยายามที่จะพูด ความรู้สึกเสียท่าแก่หญิงที่ตนแต่งงานด้วยนั้นมีมากมาย เขาหมดสิ้นถ้อยคำ ดื่มเหล้าอีก แต่ก็ไม่พูด

จริยากุมมือขวาของอำนวยที่อยู่ข้างๆ

“ฉันขออุทิศจุมพิตครั้งหนึ่งในคืนวันแต่งงานให้คุณพ่อ” น้ำตาแห่งการเสียสละของจริยาไหลริน “คุณพ่อเคารพประเพณีแต่งงาน ซึ่งเกี่ยวก้อยกับคุณคืนวานนี้ ฉันมีเกียรติต่ำที่สุดโดยเป็นเจ้าสาว เจ้าสาวที่เสียเพียงจุมพิตผาดผิวเผินเพียงครั้งเดียว...ครั้งสุดท้าย ฉันจะแยกคุณที่นครราชสีมา”

“คุณนภา...” อำนวยบีบมือของจริยา “เรารักกันมากก็จริง รักกันก่อนคุณมาก แต่ผมไม่ต้องการทำลายความสุขความหวังของคุณ คุณได้ลงทุนไปแล้ว จริยาเป็นภรรยาของคุณตามประเพณี คุณพ่อของจริยาก็ยินยอม” เขาหยุดระยะ บีบมือจริยาแน่นและแรงขึ้น “...ในกรุงเทพฯ คุณต้องไม่นึกว่าผมไม่เป็นที่ปรารถนาของสังคม ผมเป็นบัณฑิตทางธรรมศาสตร์ คุณคงรู้ ผมมีสตางค์ คุณพ่อของจริยากับผมไม่มีข้อขุ่นเคืองใดๆ เลย...”

“เรื่องของเราไม่เลว” นภาตัดบท

“ไม่เลวซี อ๋อ แน่นอนละ เรื่องของเราไม่เหมือนหนังสืออ่านเล่นเลวๆ เลย เราเป็นตัวละครที่อยู่นอกหนังสือ”

“ผมก็จะพูดอย่างคุณเหมือนกัน คุณอำนวย จริยากับคุณมีความรู้พอที่จะไม่หาว่าผมเป็นตัวละครพ่อค้าเร่ซื้อความรักขาย ในชีวิตของผมจะเกลียดอะไรเท่าความอื้อฉาวไม่มี ใจของผมสูงพอที่จะเห็นถึงคุณค่ารักที่บริสุทธิ์ ทุนจิตใจของผมน้อยกว่าราคาจริง ถึงจะกักขฬะอย่างไรมาแล้วแต่หนหลัง แม้คุณกับจริยาไม่รู้ ผมก็ใจสูงพอที่จำกัดความกระหายได้ ผมไม่อาจจะทำลายหรือแย่งความสุขของใครได้เหมือนคุณ ขอโทษ ที่ผมพูดรุนแรง”

“พอสมกับผม” อำนวยตวาด “คุณต้องไม่ลืมว่า คนอย่างผมไม่อาจมีชีวิตได้ด้วยการเสียสละอย่างจำเป็นของคนอื่น ผมตรงพอและผมเจริญพอ”

“คุณจะฆ่าผมหรือ?” นภาสวนควัน

“ทำไมผมจะต้องการตะราง ผมต้องการตกลงอย่างสุภาพบุรุษ”

“เดี๋ยวนี้ยังมิใช่ยิ่งกว่าสุภาพบุรุษอีกหรือ? คนอย่างผมไม่มีความรักเป็นทั้งหมดของชีวิตกระทั่ง spare ให้ไม่ได้”

จริยากัดฟัน รั้งอำนวยซึ่งผุดลุกขึ้นให้นั่งลง

“ยัง” เสียงของจริยาเคียดแค้น “ภริยาและลูกของคุณล่ะ?”

“ใคร - บอก?” นภาตะกุกตะกัก ทรุดตัวนั่ง ตากระด้างสำแดงพิรุธเต็มที่ในสีหน้า

“คุณเอง ทำไมคุณช่างไม่รักไม่สงสารภริยาและลูกของคุณบ้าง คุณนภา? นี่หรือคนใจสูง? นี่หรือยิ่งกว่าสุภาพบุรุษ เลือดเนื้อเชื้อไขของคุณ - แน่นอนเหลือเกิน เขาจะต้องรักคุณมากกว่าใครทั้งโลก เขาต้องรอคอยเพื่อรับความอบอุ่นจากคุณทุกชั่วโมง ฉันขอโทษ แม้สัตว์มันก็ยังรักลูกและรักสิ่งที่สามารถให้ลูกมันมีขึ้นอย่างหวงแหน เช่น เสือ หมี หมาจิ้งจอก มันยังหยิ่งในดิรัจฉานสภาพของมันโดยไม่ยอมเคล้าเคลียตัวเมียอื่น สัตว์ป่าไม่ปรากฏว่าแย่งความสุขทางกามจากเพื่อนสัตว์ คุณควรรู้ มันรัก มันทะนุถนอม มันเอาอกเอาใจเมียกับลูกของมันดั่งชีวิต ...มันจะกัดสัตว์อื่นที่มาแย่งความรักของมันด้วยความโหดร้ายทั้งหมด คุณเคยเห็นสัตว์ใดจำกัดกามกระหายทรามกว่าคน?”

ไฟฟ้าในนครราชสีมาเรื่อเรืองเหมือนประทีปในยามเที่ยงคืน รถ จักรยาน ๓ ล้อวิ่งช้าๆ จริยาสอดแขนกับอำนวย แนบหน้าลงกับชายแขนเคล้าคลึง

“นิดมึน อ้ำจ๋า แต่รู้สึกตัวดี นิดขอโทษที่พูดรุนแรงเมื่อครู่นี้ ยกโทษให้นิดนะ...ความรักบังคับให้นิดพูด” น้ำตาของหญิงสาวอาบแก้ม ขมับเต้นแรง เธอกดข่มมโนภาพของความหลังที่สมบูรณ์ที่สุดกับประเพณี สะอื้นโดยมิเงยหน้า

“ผมควรขอบคุณเสียอีก โปรดให้เกียรติผมเถิดยอดรัก เรารักกันมากเกินกว่าที่จะมีคำเช่น - ขอโทษ” เสียงฝ่ายชายตื้นตัน ยกมือที่เย็นเกือบสั่นของหญิงสาวแนบอก

“เราจะไปไหนดี นิด?”

“ทุกแห่งในโลกค่ะ..ขอให้มี simplicity and you and love and me.”

“ขอบคุณที่สุดแล้ว คุณพ่อ?”

“ท่านสุขแสนสุขกับวัดและโหราศาสตร์แล้ว”

“เจ้าบ่าวของนิดล่ะ?”

“นิดมีเจ้าบ่าวคนเดียว คือคนนี้”

“หมายถึงตานภา”

“Poor wretch คนอย่างนั้นจะรู้ไปไหน เขาก็กลับไปหาหอกข้างแคร่ของเขาซิคะ”

“เออ หอกข้างแคร่ จริงซีนะ” อำนวยหายใจวาบ “แล้วเรา...เรา จะอยู่ไหน?”

“ที่ไหนก็ได้ ดวงใจของนิด แม้กระท่อมที่จนกว่าขอทาน ว่าแต่อ้ำเถอะ ต้องการนิดอย่างไร? จะเอ็นดูนิดเหมือนแม่ไหม?”

“โธ่...นิด” ชายหนุ่มหมดคำตอบ โอบไหล่หญิงสาวอย่างตื้นตัน ก้มศีรษะชิดบริเวณไหล่ ประณีตยิ่งกว่าคนมีสติเลิศ พลางก้มลงหยิบหนังสือในตะกร้า บังเอิญเป็นเล่มที่จริยากอดมาแต่สามเสน

“This Above All” เขาพึมพำ รู้สึกว่าจริยารัดแขนขาแน่นมากขึ้น ก็พอดีรถจักรยานวิ่งเข้าใกล้ซุ้มชุมพล รูปท้าวสุรนารียืนตะคุ้มใต้กลุ่มดาว อากาศสดชื่น ลมหวนบริสุทธิ์ จริยา คุปตเวทิน...การเสียสละของเธอน่าบูชาและน่าเลียนตามเสียนี่กระไร”

ลงใน “สามนิพนธ์" พ.ศ. ๒๔๙๓

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ