แมงแดง

เมื่อไปเที่ยวจังหวัดเชียงรายครั้งหลัง คุณแก้ว มานพ เจ้าของโรงบ่มยาเวอจิเนียหนุ่มชวนคนหลายคนไปเที่ยวตลาด

“ไปล่าแมงแดง” เขาพูดยิ้มอย่างร่าเริงเสมอ

“อะไร?” ข้าพเจ้าถามพาซื่อ

“แมงแดง” เขาตอบ

“นั่นน่ะซี...”

เขาหันหน้าไปถามสหายรูปร่างใหญ่โต คือคุณอเล็กซานเดอร โทรางกูร เป็นทำนองสงสัยว่าข้าพเจ้ามาจาก “ป่าไหน” จึงไม่รู้จักแมงแดง

“อยากรู้ไหมเล่า?” เขาถามอีกหัวเราะตามเคยและฉุดข้าพเจ้าขึ้นรถจี๊ปเล็กไปโดยไม่ฟังเสียง

อากาศตอนค่ำในจังหวัดเชียงรายฤดูนั้นหนาวจับใจ รถวิ่งเร็ว ภาพเมืองเชียงรายทั้งเมืองดุจจะปลิวเข้าสู่ตา เป็นเมืองชายแดนที่ด้อยทางสถาปัตยกรรมแม้กระทั่งตัวศาลากลางจังหวัด ตึกมีหลังเดียวคือศาลากลางจังหวัดทรงประหลาด เหมือนผ้าที่เก่าจนไม่มีสี จะว่าเป็นแบบไหนไม่ได้ทั้งนั้นเพราะไม่มีแบบและไม่เป็นแบบ จะว่าเป็นตึกทำนองก่ออิฐถือปูนก็ดูจะใหม่กว่า วัดก็เล็กน้อยกระจิดหริดแม้จะเคยเป็นวัดเจ้าคณะจังหวัดก็ตาม ยิ่งถนนรอบวัดรอบตลาดยิ่งเล็กน่าพิศวง สงสัยว่ามหานครพ่อขุนมังรายเก่ามิใช่นครใหม่ ทั้งนี้เพราะคนใจใหญ่จะสร้างเมืองน้อยอยู่ย่อมไม่พอตัว ยิ่งเป็นเมืองชายแดนในสมัยปัจจุบัน...เทศบาลควรจะสำนึกถึงตัวอย่างเมืองชายแดนในเมืองขึ้นต่างๆ ต้องแต่งเมืองพอที่จะรับแขกเมือง ต้องให้เมืองสง่างามสะอาดสะอ้านสมกับเป็นส่วนหนึ่งของคำ ‘เอกราช’

“ไม่เห็นมีอะไร!” ข้าพเจ้าบ่น

“แมงแดงรึ!” คุณแก้วหัวเราะ “ค่ำๆ มันไม่ค่อยแดง ต้องดึกสักหน่อยสีสวยนัก”

ข้าพเจ้าพอเข้าใจรางๆ

“ผมไม่ค่อยชินหนาวขนาดนี้ อย่าทิ้งกันล่ะ”

“ทิ้งได้รึ มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกัน สนุกน่านานๆ ทีคุณมาก็ต้องให้สนุกเต็มที่”

“ดิฉันรับแขกที่ดิฉันเชิญ”

เป็นถ้อยคำที่แปร่งหูและแปลกพอที่ควรจะเล่าสู่กันฟัง ผู้พูดเป็นคนสวยมาก รูปร่างโปร่ง ผิวละเอียดอ่อนขาวเป็นนวลใย ดวงหน้าดวงตาจะงามเพียงใดไม่ต้องกล่าวถึง ผมดัดทรงนำสมัย เสื้อผ้าที่สวมยิ่งนำสมัยยิ่งกว่าผม

“คุณคนนี้มาจากกรุงเทพฯ ไม่รู้จักเชียงรายจึงนำมาให้รู้จัก” คุณแก้วนำทาง

“ดิฉันชื่อจันทร์อ่อน บ้านเราชื่อราตรี คุณชื่ออะไรคะ?” เป็นสำเนียงภาคกลางชัด ข้าพเจ้าบอกชื่อของข้าพเจ้า และคุณแก้วเติมวุฒิเสียหรูใหญ่ จันทร์อ่อนนิ่ง

“คุณรู้สมญาพวกดิฉันอย่างที่ใครในเมืองเรียกหรือยัง?”

ข้าพเจ้ายิ้มมองดูคุณแก้วพยักหน้า

“มีคนอย่างคุณมาที่นี่หลายคน พูดเก่งแต่ค่อนข้างไม่สุภาพ ถือเอาเมาเป็นเกณฑ์และไม่เชื่อคำว่า ‘ดิฉันรับแขกที่ดิฉันเชิญ’ เลยไล่ไป ดิฉันไม่แคร์ว่าเขาจะไปเขียนว่าดิฉันอย่างไร”

คุณแก้วพูดตลอดเวลา แกคงเมานิดๆ

ข้าพเจ้านิ่งไม่พยายามจะพูดหรือสนใจกับคำพูด บุหรี่หมดไปแล้วมวนหนึ่ง สองมวน สามมวน...

“ทำไมนิ่งล่ะคะ? เขาว่าคนนิ่งน่ะน่ากลัว” จันทร์อ่อนหันมาทางข้าพเจ้า ประกายตาคมกล้า ริมฝีปากสีแดงจัดนั้นอ่อนไหวเหมือนดวงจันทร์ต้องปลายสนสะบัด

“กำลังเพลิน”

“ดิฉันชอบคุณเสียแล้ว! คุณเป็นนักประพันธ์ชั้นไหน?”

“ถ้าจะมีชั้นก็เห็นจะสุดโต่ง คุณแก้วพูดเกินความจริง” ข้าพเจ้าพูดเสียงสั่นเพราะหนาว “ที่เขียนก็เขียนเล่นๆ”

“มาลี! หยิบรุมขวดใหม่ซิ” จันทร์อ่อนเรียกคนของเธอให้นำเครื่องดื่มกันหนาวมา เปิดและรินขอให้ดื่มพร้อมกับเธอ

ทางผ่านของแอลกอฮอล์ที่ซึมเข้าไปในประสาท ไม่มีที่พำนักพักพิงมันไหลเข้าไปเรื่อยลึกและมีความสุข ภาพคุณแก้วซึ่งอยู่ใกล้ๆ ห่างไกลออกไปทุกที เวลายิ่งผ่านไปจำนวนแก้วยิ่งผ่านไป ความรู้สึกสุขของข้าพเจ้ายิ่งทวีขึ้น แก้วแล้วแก้วเล่าความหนาวค่อยๆ กลายเป็นผีเสื้อบินออกไปทุกทิศทุกทางดวงพักตร์ของจันทร์อ่อนยิ่งกว่าเดือนเต็ม...

ข้าพเจ้าเพิ่งรู้สึกตัวตอนสายวันรุ่งขึ้นว่า นอนสลบอยู่บนตักของจันทร์อ่อนตลอดคืนในคืนนั้น!

เมื่อลืมตาขึ้น รู้สึกเจ็บที่แก้ม แสงตะวันเรื่อๆ ไม่ผิดอะไรกับแสงนัยน์ตาของลูกไก่ที่เพิ่งเจาะออกจากเปลือกไข่

“อูมเหมือนเด็ก! ตื่นหรือยังจ๊ะพ่อหนูน้อย!”

มือสองข้างแตะลงกับพื้นที่นอน ความสะอาด ความใหม่ หมอนใหม่ ฟูกหนา ผ้าห่มใหญ่...ตาลืมโพลง ข้าพเจ้าผลุดลุกขึ้นทันใด

“ผมอยู่ไหน?”

“บ้านอ่อน! คุณแก้วและเพื่อนของคุณหนีไปหมด นี่เป็นบ้านอ่อน” เป็นเสียงที่แปร่งหูแต่อ่อนหวานจากอิสตรี...จำพวกกึ่งปีศาจ!

“อ่อนอะไร?”

“จันทร์อ่อน เพื่อนใหม่ของคุณ หายงงเถอะค่ะดิฉันรู้สึกว่าคุณอาจจะหิว”

หญิงสาวพยุงร่างของข้าพเจ้าให้นั่งตรงจับผ้าห่มจนพ้นร่าง เชียงราย ... คุณแก้ว แมงแดง...

หญิงรูปร่างเหมือนงาช้างซีเรียนสลักผู้นี้หรือเป็น ‘แมงแดง’?

นัยน์ตาคมซึ้งดุจดอกสักที่แรกปลิ กลีบตาอ่อนไม่ผิดอะไรกับหยดเหมยผิดฤดู จมูก คาง แก้ม ผมงามกลมกลืนยิ่งกว่านางงามภาคเหนือคนใด ที่จับความรู้สึกของข้าพเจ้าเต็มอารมณ์คือส่วนสูงระหงสมส่วน เช้าวันนั้นเจ้าของนามจันทร์อ่อนสวมเสื้อนอนสากลสีเหลืองอ่อน

“เขาไปกันหมดหรือ?”

“ค่ะ”

“ผมต้องกลับลำปางเช้านี้และถึงเชียงใหม่มะรืนนี้” ข้าพเจ้ารู้สึกตัว

“แต่เดี๋ยวนี้เก้านาฬิกาครึ่งคงไม่ทัน” เธอพูดพลางเอาอ่างล้างหน้าพร้อมทั้งแปรงสีฟัน ‘ใหม่’ ยาสีฟัน น้ำหอมอาโวซ๊อตร ผ้าเช็ดหน้า มาให้ข้าพเจ้า “ทำไมไม่คิดจะคุยกับอ่อนสักหนึ่งวัน ลำปางแค่นี้”

มองดู “ปิ๊กมาเลี่ยน” ของเชียงรายอย่างขอบบุญขอบคุณ ข้าพเจ้าจำการยิ้มอันทุเรศของตนมิได้ ล้างหน้าเสร็จ อาหารเช้าที่อร่อยอย่างไม่เคยนึก ข้าพเจ้าจึงนั่งดูจันทร์อ่อนหยิบโน่นหยิบนี่จนกระทั่งเสร็จและโผมาข้างเคียง

“เบื่อไหม? รำคาญไหม? อ่อนเหมือนพบชีวิตใหม่ ดูเท้าฉันซิคะ มันเย็นแต่แน่นสนิท คนอย่างอ่อนนี้ภาษาสูงๆ เรียกว่าอะไร?”

“สุภาพสตรี” ข้าพเจ้าตอบแต่โดนจันทร์อ่อนจับคางให้มองตรง

“ไม่ใช่! ในโลกน่ะมนุษย์อย่างอ่อนมีตำหรับเรียกอะไรอย่างหนึ่ง อ่อนได้ยินนานมาแล้ว รัฐมนตรีคนหนึ่งมาที่นี่โดยไม่ได้รับเชิญ” เธอเอ่ยชื่อรัฐมนตรีคนนั้นให้ข้าพเจ้าฟัง “มัน...เขาโกรธใหญ่ เอ่ยคำนั้นออกมา”

“เห็นจะเป็นคำว่า ส่วนพิการของสังคม” ข้าพเจ้าไม่แน่ใจ

“ค่ะ...โอ! ใช่ค่ะแล้วคุณเห็นอย่างไร อ่อนเป็นส่วนพิการของสังคมจริงๆ หรือ?”

“ผมเองไม่เคยคิด แต่เห็นในหน้าหนังสือว่าอย่างนั้น”

“ดิฉันเคยไปกรุงเทพฯ หลายครั้ง เพื่อความสมบูรณ์ของสังคมที่สุด! ครั้งแรกไปเรียนพอจะเข้ามหาวิทยาลัยก็เป็นมาเลเรีย กรุงเทพฯ มีคลองสกปรกและยุงมากเหลือเกิน ครั้งที่สองไปหลง ครั้งที่สามไประเริง ครั้งต่อๆ มาด้วยความเบื่อหน่าย เกลียดชังชีวิตของสังคม เช่นที่เคยใกล้ชิดกับเจ้ารัฐมนตรีคนนั้น ดิฉันสมบูรณ์กว่า มันต่างหากเป็นส่วนพิการ ความใจแคบ ความขลาด และความโลภเห็นแก่กามารมณ์เป็นศาสนา...ดิฉันอยากขอร้องให้คุณกลับไปเขียนด้านหนังสือเด็กๆ เหล่านั้น”

“เข้าที” ข้าพเจ้าอุทาน

“เข้าทีซิคะ ตั้งแต่สมัยกรีกดิฉันได้ยินมา มนุษย์อย่างพวกดิฉันเป็นอาภรณ์ประดับนคร! สูงหรือต่ำเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คุณก็คงจะรู้แม้กรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีนิคมแพ้แม้ในครราชสีมา! ถ้าเขียนดีๆ ประชาชนอาจจะเห็นว่า อาชีพของพวกดิฉันเป็น institution อย่างหนึ่ง” เธอเอ่ยคำต่างประเทศคำนี้อย่างชัดและถูกต้อง “ความเจริญขาด institution อย่างนี้ไม่ได้”

“คุณคงมีความสุขมากในอาชีพและความเข้าใจเช่นนี้”

“ความสุขคืออะไรคะ?” จันทร์อ่อนจูบข้าพเจ้าตรงริมฝีปากและหัวใจ

ท่านผู้อ่านที่รัก ถ้าเป็นท่าน ท่านจะตอบจันทร์อ่อนอย่างไร สมมุติท่านจะตอบว่า “ความสุขคือความพอใจ” ซึ่งเป็นคำตอบที่ใครก็คิดว่าค่อนข้างฉลาด แต่จันทร์อ่อนย้อนว่า “ใครบ้างในรูปวิญญาณของปุถุชนที่มีความพอใจ” ท่านจะตอบได้ยากขึ้น

“ความสุข คือความทุกข์” ข้าพเจ้าลองตอบเล่นๆ

“ตรงใจ! นั่นแหละความจริงอย่างยิ่งของชีวิต” เธออุทาน “อ่อนอยากให้คุณอยู่ที่นี่สักเดือนหนึ่ง...ดูอ่อนขายร่าง นับเงิน ความทุกข์! อ่อนมักจะพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ถ้าพอใจจะซื้อร่างกายดิฉัน คุณจะต้องจ่ายเงินเสียเงิน ราคาดิฉันสูงหรือสูงที่สุดย่อมแพงที่สุด ราคาถูกๆ ก็มีนับแต่ มาลี, ลัดดา, ทรงงาม, อรุณ ฯลฯ และที่อื่น แต่คุณซื้อวิญญาณของดิฉันไม่ได้เลย! ๑,๐๐๐ บาท กับ just สิ่งนั้น และความทุกข์ล่ะ! ในห้องนี้มีนิยายนับด้วยร้อย เสียดายที่เชียงรายไม่มีนักประพันธ์”

ประโยคท้ายนี้ข้าพเจ้าไม่รับรู้ เชียงรายเป็นเมืองไกล แต่เท่าที่เคยแว่วและเห็นในหนังสือพิมพ์ “ชาวเหนือ” ก็คลับคลาว่ามีปากกาคมกล้าเกิดขึ้นหลายอำเภอที่ซ่อนคมไม่รู้เห็นอีกเล่า บางทีจันทร์อ่อนจะหมายถึงนักประพันธ์ขนาดได้ยินชื่อก็สั่นพักตร์กระมัง

“คิดอะไร? เห็นอ่อนน่ากลัวน่าเกลียดมากหรือ?” หญิงสาวเอนร่างลงบนตักข้าพเจ้า “เปลี่ยนกันบ้างเมื่อคืนนอนบนตักอ่อนตลอดคืน”

“คิดถึงคำที่คุณว่า เชียงรายไม่มีนักประพันธ์” ข้าพเจ้าประคองศีรษะจันทร์อ่อนให้ลาดตรง นักประพันธ์ก็เป็น Institution อย่างหนึ่ง เป็นอาภรณ์นครอย่างคุณว่า โดยไม่มีไม่ได้ดุจเดียวกัน เชียงรายมีเหมือนกัน แต่เขายังดังไม่พอที่เราจะได้ยิน และที่ดังๆ อาจไม่ใช่นักประพันธ์ก็ได้”

เธอเรียกชื่อข้าพเจ้าเบาๆ

“อยู่กรุงเทพฯ อยู่ลำปางได้ยินชื่อจันทร์อ่อนไหม?”

“ผมเหมือนเป็ด จะรู้จะได้ยินก็แต่คนเล็กคนน้อย...จุ๊ย! ไม่ได้ถ่อม ถ้าไม่ได้คุณแล้ว ฟ้าเมืองเชียงรายก็จะมืดทั้งเดือน”

“จันทร์อ่อนก็คงไม่มี! นี่แหละนักประพันธ์- - - ฟ้าเมืองเชียงรายจะมืดลงทั้งเดือน พูดต่อซิคะ - - - อะไรล่ะ ดาวสิ้นแสง ลมสิ้นกำดัด ต้นไม้ยอดโรยเฮ้อ! สบายใจจัง”

“ผมคงเป็นตัวประหลาดอะไรตัวหนึ่งที่คุณไม่เคยพบ”

จันทร์อ่อนโกรธข้าพเจ้าเต็มที่ ผงกขึ้นนั่งตรง

“ดิฉันทำตนเหลวไหลมากหรือคะ?”

ข้าพเจ้าตกใจบ้างเล็กน้อย อย่างน้อย ณ ที่นี้ชายหนุ่มคนใดได้รับความสนใจใส่ใจอย่างข้าพเจ้า เขาคงไม่อิจฉาสวรรค์ งามไปเสียทุกอย่าง ห้อง เครื่องเรือน เจ้าของห้อง อากาศ อารมณ์ ถ้าและจะจากไป เขาคงจะจากไปอย่างลูกจากแม่ รองลงมาก็อย่าง ‘ครั้งหนึ่งอันไม่เคยลืม’ แต่ที่ข้าพเจ้าพูดอย่างนั้นก็เพราะเสียดายเวลา ข้าพเจ้าเป็นคนชั่ว ไม่เคยเห็นผู้หญิงงามคนใดดีงามไปกว่าดอกไม้ดอกหนึ่ง ใครจะเด็ดใครจะเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ธุระของข้าพเจ้า แต่ไมตรีจิตอันแท้จริงเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง โสเภณีหรือภรรยารัฐมนตรี เป็นคำสั่งธรรมดาของกรรมลิขิต ถ้าท่านกินอาหารปรุงด้วยไก่ ๕ ตัวเป็นอาหาร ๕ จานอย่างบอกกาจจิโอว่า ผู้หญิงทุกคนศักดิ์และสกุลเป็นดุจเดียวกัน ประการที่ข้าพเจ้าถือตัวก็คือไม่เคยคิดอย่างปลูตาร์คว่า ผู้หญิงงามสรรพเมื่อดับเทียน

พยายามจะจุมพิตที่หัตถ์จันทร์อ่อน เธอกลับกระชากไปอย่างน่ากลัว

“อย่าให้เราจากกันเพราะเข้าใจอย่างนี้ ผมจะจากคุณได้อย่างไร แม้คุณจะไล่หรือเรียกตำรวจมาจับ ผมคิดถึงงานและหน้าที่ คุณจะให้ผมขอโทษไหม?”

หญิงสาวนิ่ง อารมณ์ร้ายอ่อนลง

“ถ้าเช่นนั้น ผมขอกลับเดี๋ยวนี้”

“โดยไม่มีจันทร์อ่อนเลย” เธอร้องไห้ หันหน้าไปทางตะวันออก

“จะมีทุกเดือนก่อนเดือนเพ็ญ ถ้าคุณอนุญาต”

“ขอบคุณ แต่กลับเถอะคุณพูดเพราะจนเกินไป ขออย่าลืมว่า ชีวิตที่แท้จริงคือความสุขกึ่งทุกข์” เธอหันมาเผชิญข้าพเจ้า ยืดกายงามขึ้นเต็มร่าง “เมื่อครู่นี้คุณใคร่จะจูบอ่อนที่ปลายมือ บัดนี้เลือกจูบได้ตามจะรัก”

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ