- ความนำ (คำนำในการพิมพ์ครั้งแรก)
- จากทฤษฎี สู่ปฏิบัติ
- เสาชิงช้า
- สามเสน
- สุภาพบุรุษจากนครศรีธรรมราช
- วิญญาณที่ท่องเที่ยวไป
- แมงแดง
- ชายผ้านางสีดา
- สถานที่รับแขก
- เมืองปริญญา
- แนนซี
- กรุงเทพอยู่แห่งหนใด
- อ้อยกับกล้วย
- รำพึงมาที่ลำปาง
- ครึ่งทางดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์
- กรุงเทพฯ กับศิริกาญจน์
- เอแลน บาลอง
- รวงทอง
- มารเกริต เมืองหยงลิม
- คืนหนึ่ง ณ สุสานสวรรค์
- ลมร้อนในเหมันตฤดู
กรุงเทพอยู่แห่งหนใด
เพราะของทุกอย่างต้องมีสัญลักษณ์ เขาจึงพยายามเสาะแสวงหาว่า สัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ นั้นอยู่ณแห่งหนตำบลไหน แต่ทว่าคำตอบที่ได้รับ - เป็นที่พอใจ เพราะ..?
“แก๊ก”
“แก๊ก”
“อย่ากักนะ เล่นสกปรกละก็เป็นเกิดเรื่องเด็ด”
“แก๊ก-ดึกๆ ดุจริงพี่ชาย”
“เอ้าลงให้เสียที เดี๋ยวตาลายชกฟ้าชกฝน”
“ไม่ใช่ชกฟ้าชกฝน ชกคนกัก- ที่แกล้งกัก” เสียงนี้ทั้งแสดงความงัวเงียและสุราพาล เสียงฝนกลบเสียงรถซึ่งกำลังวิ่งอย่างเต็มที่
“แก๊กอีก! เอ! หรือตาเราลาย”
“ระวังคุณจะต้องชกตาคุณเอง- แก๊ก”
“เฮ้ย! นี่มันแก๊กทั้งวงนี่หว่า!”
อุทานตอนนี้ดังพอที่จะปลุกสุภาพสตรีคมขำนอนเยื้องที่นั่งตรงข้าม เธอคิดว่ามันดังเกินสมควร
กระเป๋าหลายใบของใครต่อใครถูกยืมไปตั้งเป็นม้านั่งและที่สำคัญก็คือ กระเป๋าใบใหม่ของเธอถูกขอยืมไปรองก้นนายเสียงกัมปนาทโดยไม่บอกกล่าว
เมื่อเธอลุกขึ้นขอทางผ่านไปห้องน้ำ หนุ่มเจ้าของเสียงกัมปนาทเลิกคิ้ว ถามมิตรสหายโดยไม่มีเสียง
“ใคร”
“ไม่รู้” หลายคนตอบโดยไม่ใช้เสียงเหมือนกัน สั่นหัวบ้าง ยักไหล่บ้างแบมือบ้าง–
“เอ้า! เล่นต่อ อีกสองชั่วโมงสว่าง”
“แก๊ก!”
“แก๊ก!”
“กิน” ชายหน้ามนใหญ่เจ้าของไฟที่ดีที่สุดรวบเงิน
๑
การเล่นไพ่อย่างสว่างคาที่เป็น “กีฬาธรรมดา” ในขบวนรถด่วนสายเหนือ ชั้น ๑ ทุกเที่ยว การเล่นเป็นไปทำนองครึ่งเล่นครึ่งจริง ที่อาจ แก้ตัวว่าครึ่งเล่นนั้น คือว่าแก้เหงา ไพ่ทำให้เพลินยิ่งมีการเอาพนัน เอาสุรา แม่โขงยิ่งว่าเพลิดเพลินใหญ่มิไยที่เสียงเอะอะเกะกะนั้นจะก่อความรำคาญแก่เพื่อนผู้โดยสารอย่างไร เจ้าหน้าที่รถไฟก็ไม่ว่า ตำรวจก็ไม่ว่า และที่เล่นกันจริงจังก็คือเป็นการพนันร้ายแรงที่ลืมตัว นายแพทย์ ผู้แทน พ่อค้า ครู ฯลฯ ที่ “เสียคน” เพราะไฟในรถด่วนมีแทบทุกด่วน
หนุ่มเจ้าของเสียงกัมปนาทผู้เป็นพ่อค้าตัวอย่างผู้เคราะห์ร้ายอีกคนหนึ่ง ที่กำลังเสียเงิน และจะเสียอย่างย่อยยับ หากไม่มีการทวงกระเป๋าจากสุภาพสตรีเจ้าของ
ใครจะรู้ว่าไม่มีการรวมหัวเพื่อ “ตุ๋น” ใครสักคนหนึ่ง!
“ดูเหมือนกระเป๋านั่นของดิฉันใช่ไหมคะ?” เธอถาม
“ครับ! ผมไม่รู้จะขอโทษคุณอย่างไร ที่บังอาจยืมมาสนุกโดยไม่บอกกล่าว”
เขาวางไพ่ ขอทางเพื่อนและยกกระเป๋าไปที่เดิม แต่ก่อนถึงที่เขาต้องชะงักเพราะข้างกระเป๋าปรากฏเป็นรอยเปิดอ้าน้ำหนักตัวของเขานั่นเอง! นั่งทับมันมาร่วม ๑๐ ชั่วโมง
“เสียรูปหมด! เต็มทีจริง–ต้องให้ช่างแก้”
“ไม่ทันหรอกค่ะ ดิฉันตั้งใจจะลงที่อยุธยา เสียไปบ้างเล็กน้อย ไม่เป็นไรค่ะ”
“แต่มันเป็นเจตนาผมขโมยของคุณไป ขอโทษอีกครั้งเถิดครับ คุณจะลงทำธุระอะไรที่อยุธยา?”
“คุณแม่มาบวชน้องที่วัดสุวรรณ ที่จริงดิฉันควรไปกรุงเทพฯ เช้า วันนี้ ไม่เป็นไรค่ะเรื่องกระเป๋า ดิฉันจะให้ช่างซ่อมเอง-“
“ผมมีความผิดหลายอย่างมาด่วนนี้” เสียงของเขาแผ่วเบาลงน่าสงสาร “หนึ่งทำเสียงดังปลุกคุณตื่นขณะที่หลับสนิท สอง ขโมยกระเป๋าไปนั่งจนกระเป๋าเสียรูป สาม เล่นไพ่เสียไปหลายพัน”
“เที่ยวๆ คุณเล่นเสมอหรือคะ?”
“ผมเป็นชาวเชียงราย เพิ่งจะมาซื้อของกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก ยังไม่รู้ว่ากรุงเทพฯ เป็นอย่างไร-อยู่แห่งหนใด-”
“ไม่น่าเชื่อ! ถ้าไม่เคยมากรุงเทพฯ หรือไม่รู้จักเลย คุณจะซื้อของได้อย่างไร?”
“ก็ต้องซื้อความโง่เป็นระยะ”
“ดูซิคำตอบของคุณ! ไม่ปดหรือปิดบังอะไรดิฉันนะคะ–ดิฉันชื่อสมภรณ์”
“ผมยังมีความผิดกับคุณอยู่ ความผิดเก่ายังไม่หาย จะทำความผิดใหม่ก็ดูกระไร”
๒
“นี่น้องชายดิฉันชื่อ ลิลิต เราจะช่วยชี้กรุงเทพฯ ให้คุณดูจะให้คุณพักบ้านของเราที่ราชวิถี”
สมภรณ์สงสารชายหนุ่มอย่างจับใจ หน้าตาของเขาซื่อ ดวงตาเกือบไม่เดียงสา ผิวพรรณความเป็นลูกมีเลือดผู้ดี ชายหนุ่มผู้บอกชื่อของเขาว่า “คำพัน” เป็นเจ้าของโรงบ่มยาเวอร์จิเนียสองแห่งเป็นโสด มีการศึกษาสูงสุดเท่าที่เชียงรายจะสามารถให้เขาได้ คำพันรับคำเชิญของหญิงสาวอย่างขอบบุญขอบคุณ
แต่สมภรณ์จะรู้จักกรุงเทพฯ แท้จริงหรือ?”
หัวลำโพงไม่ใช่กรุงเทพฯ
เขาดิน สภาผู้แทนราษฎร วัดพระแก้วมรกต หลักเมือง ฯลฯ ไม่ใช่กรุงเทพฯ เลย!
ตลอดเวลาที่พักบ้านของสมภรณ์ คำพันได้รับความเอาใจใส่ดังแขกผู้เป็นญาติ หลังจากไปอยุธยาเพื่อบวชพี่ชายของลิลิตเพียง ๒ วัน หญิงสาวได้พาชายหนุ่มไปซื้อของต่างๆ ตามที่เขาต้องการ ราคาสินค้าเหล่านั้นทำให้เขาแปลกใจ เพราะบางอย่างถูกกว่าที่ผู้จัดการของเขามาซื้อตั้ง ๒-๓ เท่าตัว การซื้อสินค้าในเมืองหลวงนั้นมักเป็นเรื่องเส้นผมบังภูเขา ของที่น่าจะแพงที่สุดกลับถูกที่สุด ส่วนของที่น่าจะถูกกลับแพง ทั้งนี้ย่อมสำคัญที่ผู้รู้ซื้อหรือไม่รู้ซื้อ
แต่บางลำภู บางรัก สี่พระยา สีลม ท่าเตียน ก็มิใช่กรุงเทพฯ อยู่ดี
“ผมรู้สึกอย่างนั้น!”
“ก็ตำบลสถานที่ต่างๆ เหล่านี้แหละรวมกันเป็นกรุงเทพฯ” สมภรณ์อธิบายอย่างเยือกเย็น เธอไม่อาจปฏิเสธว่า “ความรักแรกพบ” เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ดุจอ่านหนังสือ
“ผมหมายถึงสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ-หมายถึงแคเร็กเตอร์ซึ่งควรจะลึกซึ้ง เห็นทันทีรู้สึกทันที แต่ผมไม่เห็นกรุงเทพฯ ที่บางลำภูเลย ถ้าคุณไปเชียงใหม่คุณจะเห็นเชียงใหม่ที่ตลาดวโรรส”
“ชลบุรีเห็นจะอยู่ที่โรงน้ำปลา!” หญิงสาวหัวเราะ
“แน่นอน! ขอแต่อย่าบอกว่าแมลงวันกับยุงคือกรุงเทพฯ เท่านั้น!”
๓
ในระยะอีก ๖ เดือนต่อมา คำพันลงมากรุงเทพฯ เพื่อซื้อของและเพื่อความรักของเขาหลายครั้ง ทุกครั้งแม้จะหมั้นกับสมภรณ์แล้ว เขาก็ไม่หายพิศวงเรื่อง “กรุงเทพฯ อยู่แห่งหนใด”
เขาถามครูเทศบาล
สมภรณ์ถามอาจารย์มหาวิทยาลัย
ตำรวจ เสมียน เลขานุการรัฐมนตรี รัฐมนตรี!
และคนแจวเรือจ้างและโสเภณี ไม่มีใครรู้! ก็ใครเล่าจะรู้!
เขาประกาศให้รางวัลผู้สามารถตอบความสงสัยของเขาในหน้าหนังสือพิมพ์ ๑ เดือน ๓ เดือน ๖ เดือน ไม่มีใครตอบเป็นที่พอใจเลย
“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ” สมภรณ์ปรารภอย่างท้อแท้ “กรุงเทพฯ คือทุกๆ อย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวัน”
“ไม่ใช่! ของทุกอย่างต้องมีสัญลักษณ์ ไม่มีไม่ได้ แม้ประเทศของเราก็ยังมีข้าวกับพระพุทธศาสนา กรุงเทพฯ ก็ต้องมี” คำพันไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจ “ที่รัก ถ้าคุณเพลีย คุณเบื่อ ก็ขอให้ผมเสาะแสวงหาตามลำพัง”
“ใช้ได้หรือคะ? ดิฉันไม่ได้เพลียและไม่ได้เบื่อสักนิด หาอีกเถอะค่ะ ดิฉันจะช่วยเหลือถึงที่สุด” ไม่รู้ว่าใครเอากำลังใจอะไรมาหนุนให้พูด บางทีอาจเป็นความฝืนครั้งสุดท้าย สมภรณ์มีความรู้สึกอย่างสามัญธรรมดาเกี่ยวกับกรุงเทพฯ บ้านเกิดเมืองนอนเช่นเดียวกับพระนคร คนอื่น เมืองท่า เมืองฟรี จะเอาสัญลักษณ์มาแต่ไหน
ทิวทัศน์นั้นลึกเข้าไปในคลองน้อย และคืนนั้นเดือนกำลังหงาย ต้นมะพร้าวสูงโน้มลงจดปลายทางเกือบถึงลำน้ำเกือบไม่มีที่ว่างก่อเป็นเงายาวพาดสลับกับแสงสะท้อนของความสว่างอ่อนๆ บนต้นไม้อื่น–
ยิ่งลึกเข้าไปยิ่งแสนสุข คล้ายกับจะพ้นไปจากโลก!
ลมโชยมาค่อนข้างเบา โดดเดี่ยว โรแมนติก!
อา! กรุงเทพฯ เจ้าอยู่แห่งหนใดหนอ?
ลง “บางกอกสมิต” รายปักษ์ พ.ศ. ๒๔๙๒