สถานที่รับแขก

(เรื่องนี้เขียนในขณะป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลบางกระสอ นนทบุรี จะนำลงในหนังสือใดไม่ปรากฏ ทราบแต่ว่าตอนที่ส่งไปนั้น ไม่ได้ใช้ชื่อนี้ แต่ใช้ชื่ออื่น)

คืนวันนี้เป็นคืนเดือนหงาย พยอมรู้สึกว่าแสงเดือนที่ส่องผ่านหน้าต่างมานั้นเหมือนสิ่งที่มีวิญญาณร่าเริงและสดชื่น ซึ่งปลุกให้เธอตื่นขึ้นมองดูนาฬิกาข้างฝา เห็นเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี แสงนวลของเดือนนอกบริเวณสุกสกาวยิ่งนัก แม้ความเงียบจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายกับปราศจากชีวิต แต่พยอมสารภาพว่าเป็นคืนที่เธอมีความสุขอย่างล้นเหลือ อิ่มอกอิ่มใจในความสงบและเสรีภาพราวกับไม่เคยพบปะมาแต่หนหลัง ขณะที่พยอมยิ้มระรื่นกับนวลเดือนนั้นจิตใจโหมวูบลงสู่จุดหนึ่ง จุดนั้นใครก็ทายผิดพลาดมิได้ว่ามิเป็นจุดหนึ่งแห่งชีวิตสาว

ขณะนี้ เขาผู้นั้นอยู่แห่งหนใด?

มีเสียงจิ้งหรีดผ่านกระแสลมมาแต่ไกลคล้ายกับจะบอกว่าเขานั้นอยู่สุดเสียงกู่ มีภูเขาใหญ่กั้นหลายสิบลูก มีป่าไม้สูงขวางหน้าหลายสิบป่า หนองลึกและเลนตมยังแบ่งกั้นกีดกันเขาให้ห่างไกล พยอมหายใจแรง เขาไม่อยู่ห่างไกลหรอก กมลเอ๋ย เธอเหมือนอยู่ใกล้ริมดวงตา เธอรู้ดีว่าฉันไม่เคยรักใครมาก่อนเลย เธอพยายามปลอบใจเธอเองดั่งนี้ และฉันถึงเชื่อว่าเธอรักฉันจริงๆ แม้เราจะพบประกันสองสามครั้งและเขียนจดหมายถึงกันเพียงสองสามหน

ในชั่วขณะจิตนั้น หญิงสาวคิดถึงคนรักของตนอย่างจับใจ อุปมาดั่งแม่นกที่ลูกโทนของตนบินหายไปโดยไม่ทราบถึงสาเหตุ พยอมกำสรดความรู้สึกอย่างไร ได้วาดออกเป็นรูปจดหมายเป็นลำดับดังต่อไป

คนที่พยอมรัก

คิดถึงพยอมอย่างไรหนอในคืนวันเดือนหงายนี้ ได้ยินเสียงหายใจ อย่างกระเส่ารักของพยอมที่มีถึงกมลบ้างหรืออย่างไร? ไม่มีความทารุณโหดร้ายอะไรหรอกที่แยกเราออกจากบุญคู่ ไม่ใช่ความเข้าใจผิดหรือมีบุคคลที่สามที่มาแยกเราจนไกลสุดแสนไกล กมลกับฉัน โธ่ ชีวิตที่เข้าใจกันจนเป็นที่อิจฉาแก่คนอื่น ชีวิตรักที่จวนจะออกปากขอหมั้นและบอกวิวาห์กันอยู่แล้ว เหมือนสายฟ้าฟาดยามผิดฤดูกาล หน้าที่ได้แยกกระชากเอากมลของฉันไป ฉันไม่คิดตำหนิกมลแม้แต่น้อยหนึ่ง เรื่องนกน้อยย่อมมีรัง จะมีคู่ ถ้าไร้ที่อยู่และไร้การงานอันควรเชิดหน้าชูตาในสังคม ใครเล่าจะมิฉิน

ฉันระลึกได้แต่อำนาจชิงดวงตา ความสุขและความเศร้ามหันต์ในชั่วโมงที่รอแก วินาทีนั้นไม่ผิดอะไรกับตกลงในห้วงทะเลลึก ฉันอยากจะออกไปที่หน้าต่างรถลูบไล้แขนของกมลที่ยื่นออกมาและจุมพิตแขนนั้นเบาๆ สักครั้งหนึ่ง แต่กมลก็เห็นอยู่แล้วว่ามีคนเต็มทั้งสถานี ถึงกระนั้นฉันยังกล้าพอ ฉันผวาไปที่หน้าต่างรถจริงๆ เมื่อรถเริ่มเคลื่อนที่ ถ้าไม่เกรงพ่อแลแม่ทางบ้านสักนิดเดียว ฉันคงติดตามกมลไปแล้ว โดยไม่แยแสต่อขนบประเพณีใดๆ เลย

ฉันได้ยินเสียงแผ่วเบาเพียงแต่ว่า ฉันจะได้รับจดหมายจากกมลเดือนละครั้ง ซึ่งฉันได้แต่คอย และตลอดเวลาสามเดือนไม่เคยปรากฏว่าอุตรดิตถ์มีจดหมายของกมลส่งผ่านมา มันเป็นธรรมเนียมของผู้ที่จากไปหรืออย่างไร ที่มักจะปลอบใจคนซื่อผู้อยู่เบื้องหลังว่า จะเขียนจดหมายมาก็อย่างหนึ่ง จะส่งของส่งสิ่งจำเป็นมาก็อย่างหนึ่ง คนที่เธอคงรักบ้างได้ยินมามากเสียเหลือเกิน กมลจ๋ามันทำให้คิดว่าคำปลอบของกมลนั้นหลอกลวง บางครั้งก็คิดว่าชีวิตรักของฉันเป็นการใฝ่สูงจนเกินศักดิ์ เธอดุจมาจากแหล่งสูงเสียเหลือประมาณ ฉันเป็นคนป่าดอย แต่กมลก็รู้ดีว่าไม่เคยมีใครเคยหักห้ามความรักได้ - ฉันบอกไม่ถูกว่าทำไมฉันจึงรักจึงหลงกมลถึงเพียงนี้ ฉันอยากบอกกมลว่าความรักที่ฉันมีต่อกมลนั้นไม่เพียงแต่สะอาดและบริสุทธิ์อย่างเดียวเท่านั้น หากลึกซึ้งที่สุด และมีอิทธิพลที่สุดไม่เลือกว่าจะเป็นชาตินี้หรือชาติใด

ในคืนวันต่อมา เดือนยังคงสุกสกาวไม่ผิดกับคืนก่อน พยอมนอนไม่หลับ เธอเริ่มรู้สึกว่าบ้านใหม่ที่เธออยู่นี้ช่างเงียบเหงาวังเวงเสียจริงๆ พออาทิตย์ตกดินแล้วดูเหมือนไม่มีอะไรมีชีวิตอยู่ เธอคิดว่าช่างเป็นความละเอียดลออของชาวอุตรดิตถ์อย่างยิ่งที่เลือกทำเล “สถานที่รับแขก” ไม่ใกล้ไม่ไกลจากชุมชน วันแรกที่พยอมเริ่มเข้ามาพำนักพักพิง เธอชอบต้นก้ามปูใหญ่สองสามต้นหน้าบริเวณบ้าน กิ่งของมันยาวและแข็งแรง ใบดกและดูเป็นพุ่มหนา มองดูแต่ไกลจะเห็นเป็นรูปฉัตรซึ่งปิดบังแสงตะวันและให้ความร่มรื่นแก่นานาอาคันตุกะ

เสียงนาฬิกาเรือนเก่าเดินคล้ายกับเร่งรีบ ความกระวนกระวายของหญิงสาวเพิ่มพูนขึ้นดุจเดียวกับอาการไข้ที่ไร้ยา อีกสักครู่หนึ่งเธอก็ผล็อยหลับไป และฝันไปว่าชายยอดที่รักติดตามเธอมาแต่มหานคร กมลไปถามถึงเธอที่บ้านเก่า จากบ้านเก่าเขามาบ้านใหม่ด้วยอาการของแม่นกที่ติดตามพบลูกนกที่หลงทาง

ภาพของกมลที่หย่อนกายลงบนเก้าอี้รอคอยหญิงสาวนั้นเป็นภาพที่ทำให้เธอร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง กมลผอมดำและเหี้ยมเกรียม หน้าตาสกปรกมอมแมม ทรวดทรงหมดราศีลงสิ้นเชิง - ผิดกับกมลคนก่อนอย่างคนละคน เขาแปลกใจที่เขานั่งนิ่งเสมือนไม่ได้ยินเสียงของเธอเลย พยอมจึงผวาทรุดตัวลงแทบเท้าของชายหนุ่ม เธอยกมือทั้งสองข้างวางลงบนเข่าเขา แต่ความมหัศจรรย์พลันบังเกิดขึ้น ร่างของพยอมเหมือนอยู่ห่างๆ กมลสักร้อยโยชน์พันวา ทั้งๆ ที่มือของเธอวางบนเข่าของเขาแล้ว!

เธอร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังอีก แต่กมลคงเงยหน้านิ่ง เขาเป็นใบ้ไปแล้วหรือ? เขามาอุตรดิตถ์อีกทำไมถ้าไม่มาเพื่อเรียกร้องเอาความรักเก่าคืน? ในดวงตาของพยอม กมลยังเป็นคนเราดีๆ นี่เอง ไม่ใบ้ไม่บ้าอย่างแน่นอน ดูซิ เขาลุกขึ้นแล้ว เขาควักบุหรี่ออกจุดสูบและเดินวนเวียนไปมารอบบริเวณ ด้านหน้า “สถานที่รับแขก” เอ! นี่เขาคอยใคร? กมลจ๋า นี่เธอไม่ได้มาหาพยอมหรอกหรือ? ฉันอยู่นี่อยู่ห่างจากเธอไม่กี่นิ้วเลย ตาของเธอเป็นอะไรไป? หูของเธอ... โธ่! กมล คิดถึงความรักของฉันบ้างเป็นไร ฉันคอยเธอแทบทุกลมหายใจเข้าออก ฉันไม่เคยรักใครอื่น เธอซบหน้าลงกับฝ่ามือ ได้ยินเสียงของฉันบ้างไหม? หรือเธอแกล้ง? มาถึงแล้วยังไม่ทิ้งการทรมาน นี่พยอมของเธอ เป็นอะไรไป?

ตกใจตื่นขึ้นจากความฝัน มีเสียงแว่วมาตามลม เธอรู้สึกว่าเหงื่อไคลไหลออกมาเต็มหน้า พอสำรวมความรู้สึกได้ดังปกติ เธอก็เริ่มเขียนจดหมายฉบับใหม่มีใจความว่า

ดวงใจของพยอม

นี่กมลตามมาหาพยอมจริงๆ หรือ? มีคนเล่าลือกันว่ากมลตายแล้วที่สิงคโปร์ กมลไปแต่งงานที่นั่น ฉันไม่เสียใจในการแต่งงานของกมลเลย ผู้ชายกับกามารมณ์เป็นสิ่งที่ผู้หญิงให้อภัยมาทุกกาลทุกสมัย แต่ฉันไม่เชื่อเรื่องที่กมลตาย เมื่อสักครู่ฉันฝันเห็นกมลมาที่นี่ เป็นกมลคนละคนกับคนที่ฉันเคยรู้จักรูปร่างภายนอกของมนุษย์เราเป็นอย่างไรช่างมันเป็นไร ขอแต่ให้หัวใจของพยอมซื่อสัตย์เปลี่ยนแปลงมิได้ก็พอแล้ว แต่กมลประจักษ์ต่อเหตุการณ์อย่างไรไหม? ฉันเรียกเธอกี่สิบคำ ฉันพยายามกอดพยายามจูบ มือของฉันไขว่คว้าอยู่เหนือเข่า แต่มันคล้ายกับกมลตายดังคำเล่า หรือไม่ก็ฉันตายไปแล้วจริงๆ กายเราทั้งสองถูกต้องกันมิได้เลย เหมือนอยู่ห่างไกลกันสุดที่จะประมาณคิด ยิ่งฉันติดตามใกล้เธอเพียงใดเธอยิ่งอยู่ห่างเท่านั้น นี่เป็นแต่ความฝันอันแสนประหลาด ฉันไม่เชื่อเรื่องคนตายเท่านั้นเห็นคนเป็นได้ และไม่เชื่อเรื่องวิญญาณครอบงำโลกนี้ด้วยดุจนายมีอำนาจเหนือบ่าว

จดหมายฉบับนี้เป็นฉบับที่สองแล้ว ยอดรัก ฉันไม่รู้จะส่งไปให้เธอ ณ แห่งใด แม้แต่กรุงเทพฯ ฉันก็รู้จักเพียงสองสามเขต ยิ่งเธอไปอยู่สิงคโปร์เห็นจะหมดปัญญาส่งให้ได้ถึงตัว แต่ฉันจะเก็บไว้อย่างสุดทะนุถนอม ฉันคิดว่าความรักของเราแผกกว่านิทานรักของใครๆ

ขอไม่ลืมกมลทุกวันทุกชั่วโมง โดยฉันไม่เชื่อว่าความรู้สึกอันนี้จะมีวันสลายได้

พยอมรู้สึกโผเผตอนเช้าตรู่สองวันมาแล้ว แต่ต้องนอนตื่นสายถึง ๑๐.๐๐ นาฬิกา มีบางขณะเธอคิดถึงคำพระสอน ที่ยืนยันว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั้นมีทุกข์” แต่มิได้คิดถึงด้วยศรัทธา ความรักของเธอที่มีต่อกมลเป็นความสุขอันยอดเยี่ยม ชายหญิงใดที่ได้รู้สึกรัก จะผิดอะไรกับสิ่งมีวิญญาณที่ไร้ซึ่งของขวัญ แม้จะพลาดหวังมีอุปสรรคดังที่กมลพลาดจากเธอไป พระรู้หรือว่า “ทุกข์อันเกิดจากความรักนั้น มันเป็นทุกข์อันแสนสุข”?

บ่ายที่ ๓ วันนี้พยอมได้ใช้เวลาตรวจดูบ้านใหม่อย่างละเอียดลออ บ้านของเธอเป็นบ้านเล็กเกือบที่สุดในละแวก “สถานที่รับแขก” พยอมอยู่คนเดียว พ่อแม่ของพยอมคงอยู่ที่บ้านเก่าซึ่งใหญ่โตกว่าบ้านใหม่ของพยอมหลายเท่าตัว ตรงประตูบ้านของพยอมมีต้นพุทธรักษาสองสามต้น ปลูกอย่างเสียไม่ได้ ถัดออกไปทางซ้ายขวา มีต้นอ้อป่าขึ้นระเกะระกะ ต้นมะขามเทศเตี้ยๆ มีแซงเป็นหย่อมๆ รอบบริเวณแทนรั้วบ้าน พยอมตั้งใจจะปลูกต้นประดับบ้านเหล่านี้ให้สวยงาม เธอจะเลือกพันธุ์ไม้อย่างดีมาจากตลาดเพราะเธอไม่รู้ว่าจะอยู่ในบ้านน้อยนี้อีกกี่ปี กมลจะกลับมาหาเธอที่บ้านนี้จริงดังฝันหรือไม่? หรือว่าเธอจะต้องติดตามกมลไป

พยอมรำพึงถึงบ้านพลางเกิดความทะเยอทะยานจะดัดแปลงซ่อมแซมมันให้สวยงามน่าเอ็นดูน่าอยู่ยิ่งกว่าบ้านของชาวสวรรค์ เธอจะลงมือทุกสิ่งทุกอย่างเอง อันที่จริงความทะเยอทะยานอันนี้มีในหญิงสาวหลายปีมาก่อนแล้ว เธอเกลียดความซอมซ่ออย่างที่สุด มีบ้านเหมือนมีรัง มีรอยปะรอยชันแตกระแหงไปทั่วทั้งตัวเรือน รอบๆ บ้านของพยอมมีบ้านขนาดใหญ่และขนาดกลางแทบจะเต็มทั้งละแวก เป็นบ้านที่กันตาย ปลูกอย่างหลับหูหลับตาปลูก จะหาความสง่าความงามสักหลังหนึ่งก็ทั้งยาก บางบ้านหลงใช้แต่สีทา บางบ้านคลัง สร้างเอาความใหญ่โตเป็นเบื้องหน้า และบางบ้านไม่ใช่บ้านจะมองทั้งผาดทั้งพิศก็ตาม

มีสิ่งหนึ่งที่ก่อความเศร้าวังเวงแก่หญิงสาวอย่างยิ่งคือผู้คนในละแวก “สถานที่รับแขก” นี้ช่างมีน้อยเสียเหลือประมาณ พยอมเชื่อว่าอย่างน้อยบ้านหลังหนึ่งต้องมีคนอาศัยอยู่คนหนึ่งไม่มีบ้านร้างแม้จะเป็นบ้านเล็กสักเพียงใดก็ตาม การที่ “สถานที่รับแขก” ไม่มีผู้คนมากมายดังที่คิด ทำให้พยอมรู้สึกกลัวเป็นบางครั้งบางคราวอยู่เหมือนกัน เธอคิดถึงสัญชาตญาณของสตรี จะเป็นแม่เป็นคู่รักหรือเป็นดรุณีในวัยต่างๆ ก็ย่อมต้องมีเพศชายให้ความคุ้มครองปกปักรักษา หญิงใดชื่อว่าเป็นสามัญปกติชนแล้ว ย่อมไม่ดื้อดึงจะอยู่โสดหรือโดดเดี่ยว มีคู่เหมือนมีชีวิตดุจเทพบุตรและเทพธิดา แม้นดื้อดึงดันจะอยู่คนเดียวจนวันตาย ชายก็เหมือนช้างสารหรือกระทิงเปลี่ยวที่ตายง่าย หญิงจะผิดอะไรกับโสเภณีที่จะโต้แย้งถกเถียงอย่างไรก็ไม่พ้นครหาเรื่อง “ฉลาดกับความรัก”

คำนึงถึงตรงนี้พยอมกลับขึ้นสู่เรือน มือหนึ่งถือจดหมายสองฉบับเก่ามาทบทวนอ่าน อีกมือหนึ่งสำรวมเขียนจดหมายฉบับที่ ๓

ชีวิตของพยอม

จะหนีพยอมไปไหนเย็นวันนี้? พยอมหมดความเชื่อถือเรื่องเวลา กระทั่งเชื่อว่ากมลอยู่กับพยอมที่อุตรดิตถ์นี่ ไม่ใช่สิงคโปร์ ภรรยาของกมลก็คล้ายกับพยอมเกือบไม่มีผิด เขารักกมล ปรารถนาให้กมลมีความสุข เขาจึงปล่อยให้กมลมา ฉันสงสัยตัวของฉันเองในเรื่องที่กมลไม่ยอมพูดแตกต่างกับจดหมายที่กมลเขียนมารู้จักฉันเมื่อเห็นฉันในเทศกาลเปิดฤดูหีบอ้อยน้ำตาลของโรงงาน อะไรทำให้กมลช่างพูดถึงเพียงนั้น จดหมายก็มีความรำพันอ่อนหวานยาวสี่หน้ากระดาษ เพียงแต่ขอรู้จักกมลต้องลงทุนมากมายกว่าสองสามเท่า มาบัดนี้กมลกลับกลายเป็นคนละคนไป ถ้าจะให้ฉันทายความแปลกประหลาดอันนี้ให้ซึ้งถึงสาเหตุไม่ฉันหรือกมลก็มีอันเป็นไปอย่างน่าสลดใจ กมลอาจจะมาเยี่ยมฉันเพียงวิญญาณเปล่าหรือฉันตายแล้วได้แต่เรียกร้องให้กมลมา

โลกคนตายกับโลกคนเป็นมีแต่คัมภีร์นั้น มีแต่ว่ากันว่าผีนั้นมีแต่ไม่เคยมีร่างประจักษ์ ฉันกู่เรียกเธอทั้งที่อยู่ใกล้ก็เหมือนไกลกายเกือบจะชิดกันก็กลับเป็นความจริงว่าห่างกันดุจอยู่คนละฟากมหาสมุทร นี้จะหมายความว่าใครตาย เธอหรือฉัน ยอดรัก?

จากผู้ที่เชื่อว่าความรักคือความทุกข์อันแสนสุข

กมลของพยอม

คืนวันนี้คิดถึงกมลมากเหลือเกิน คิดถึงแล้วมีความสุขอย่างล้นเหลือ กระทั่งอดใจหักห้ามไม่เขียนถึงกมลไม่ได้ ความสุขอันนั้นคล้ายกับความสุขครั้งปฐมวัยเมื่อได้ยินเพลงชื่อ “เมรีแห่งอารกายจากข้างบ้าน เป็นเพลงสั้นที่เศร้าและหวานสุดรำพัน ถามใครก็บอกว่าเพลงนี้เป็นเพลงเก่า แต่ความไพเราะอันแท้จริงหาความเก่ามิได้มิใช่หรือ? จำได้ว่าฟังเพลงนี้ขณะใดเป็นต้องทรุดกายลงทันที

กมลต้องไม่ลืมว่าพยอมของกมลเขียนจดหมายแล้วอ่านเองมองดูท้องฟ้าหานกจะฝากสั่งดาวใดก็ไม่เห็น แม้ใจจะขาดเพราะคิดถึงกมลด้วยความรักก็ได้แต่รำพันเพียงถ้อยคำ อยากจะขอร้องหนังสือพิมพ์ให้เมตตาเสาะหาเพลง “เมรีแห่งอารกาย” มาเล่นผ่านทางวิทยุบ้าง จะได้ขอร้องว่าให้แก่ยอดรักผู้ไม่มีวันจะกลับมา เพราะปรารถนาจะให้กมลได้ฟังเพลง “เมรีแห่งอารกาย” จริงๆ แม้กมลจะได้ฟังเพลงมีชื่อลือนามนี้กี่ร้อยกี่พันหนแล้วก็ตาม

ฉันตั้งใจว่าจดหมายฉบับที่สี่นี้จะเป็นฉบับสุดท้าย ฉันรักกมลมากเกินกว่าที่จะรัญจวนให้ความเป็นจริงของชีวิตกลายเป็นอารมณ์ เมื่อไม่มีเธออยู่ใกล้เคียง ความรักก็มีแต่ความเลือนลอยแม้แต่จะไม่สนใจไยดีกับกามารมณ์ แต่ความได้อยู่ใกล้กับกมล การได้ยินเสียง และความเชื่อมั่นว่ากมลคือส่วนใหญ่ของการคุ้มครองปกป้องชีวิตนี้ ก็ทำให้ปราโมทย์ว่า เกิดมาในเพศตรงข้ามกับบุรุษนั้นไม่เกิดเปล่า ถ้ากมลจะตำหนิว่าช่างเป็นความรักที่อ่อนแอเห็นแก่ตัวเสียนี่กระไร ฉันก็มองไม่เห็นทางที่จะปฏิเสธเลย บางทีกมลอาจเห็นใจในธรรมชาติของความรักที่ต้องมีธาตุของการเห็นแก่ตัวบ้างไม่มากก็น้อย แต่ธาตุที่กล่าวมานี้ทุกยุคทุกสมัยยังไม่เคยเห็นเพศแม่คนใดหลบหลีกไปได้พ้น

เรื่องกมลแต่งงานแล้ว เรื่องการทำมาหากินเพื่อความเป็นหลักฐานโดยทุนของภรรยา เรื่องความจำเป็นที่ต้องเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่ต่างถิ่น คิดๆ ดูก็ตื้นตันใจ กมลเป็นคนอื่นเกือบร้อยทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ที่มาเกี้ยวพาราสีฉัน เขียนจดหมายถึงฉันเป็นเรื่องสามัญธรรมดาอย่างไม่สมควรเป็นเรื่องใหญ่ โปรดได้เห็นใจดรุณีผู้ซื่อสักครั้งเถิด ฉันไม่เคยฝันที่จะบินสูงถึงเสาหงส์ แต่เพราะโง่ ไม่เดียงสาต่อความรักและชีวิตรัก จะเดิน นอน นั่ง ยืน ก็เห็นภาพของกมลก่อนภาพใดอื่น

ถ้ากมลบังเอิญมาอ่านพบจดหมายเหล่านี้เข้า กมลคงจะนึกแค่สังเกตก่อนอะไรทั้งหมด กมลต้องสงสัยว่า ใครหนอคือหญิงชื่อพยอม ดูช่างเป็นหญิงที่น่ากลัวมากกว่าน่ารัก เรื่องเล็กน้อยเพียงนิดเดียวก็เป็นเรื่องใหญ่ เทศกาลหีบอ้อยโรงงานน้ำตาลปีไหนกันฉันยังไม่เคยเหยียบวังกะพี้ ณ ดินแดนที่ตั้งโรงงานน้ำตาลแม้แต่ครั้งเดียว

เรื่องที่ละเมอเพ้อฝันกี่แสนคำ ใครตายใครเป็นดูยุ่งผิดกับความรู้สึกของสามัญธรรมดา เห็นจะเป็นจดหมายของคนวิกลจริต หรือคนเป็นโรคร้ายรักษาไม่มีวันหาย อุตรดิตถ์จะมีใครบ้างที่สติวิปลาสชื่อว่า “พยอม”

แต่กมลยอดที่รักฉันขอยอมผิดในเรื่องทั้งหมดทุกถ้อยกระทงความ พยอมของกมลเป็นหญิงสาวที่มีความเป็นธรรมดาอย่างสุดแสน หล่อนเป็นคนซื่อและโปรดเชื่อนิดหนึ่งเถิดว่าหล่อนไม่อาจหักห้ามความรู้สึกรักที่มีต่อกมลได้ ใครๆ ในโลกนี้คงไม่อาจหักห้ามดุจเดียวกัน ไม่ว่าความรู้สึกรักนั้นจะเริ่มต้นจากเพศชายหรือเพศหญิงก่อน

พยอมคนอาภัพเป็นใครน่ะหรือ? ไม่ปิดบังกมลหรอก พยอมเป็นบุตรของปลัดจังหวัดอุตรดิตถ์คนรองจากปัจจุบัน เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี จะเริ่มขึ้นเรียน ณ ตึกแห่งความใฝ่ฝันคืออักษรศาสตร์ อีกเดือนเดียวเคราะห์กรรมดุจเดียวกันกับที่ปู่ได้รับก็ตามมาประหัตประหาร พยอมเป็นโรคเนื้องอกมีพิษเต็มทั้งลำคอและตายอย่างฉับพลันในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๔๙๔ นับมาถึงวันนี้ พยอมตายมาแล้ว ๔ วันพอดี

พยอมเพียงแต่เห็นกมลครั้งเดียวที่สถานีอุตรดิตถ์ก่อนพยอมตาย ๒-๓ อาทิตย์ แค่เพียงแต่ครั้งเดียวชั่วเวลา ๑๕ นาที พยอมก็ปลงใจ ความรักไม่รู้เลื่อนลอยมาจากวิมานใดได้โอบอุ้มบังคับดวงใจของพยอมจนลืมตน

“บ้านใหม่” ของพยอมตามที่พร่ำรำพันมาคือหลุมศพห่อสูงเป็นรูปคล้ายแท่นดนตรี ฮาฟาร์ ของเทพธิดาแห่งความหวัง ฉันขอสารภาพเป็นคำรบท้ายว่า ฉันยังรักกมลและขอรักต่อไปจนจะเกิดใหม่

“สถานที่รับแขก” เป็นชื่อป้ายสาธารณะของเทศบาล เป็นที่รับแขกครั้งสุดท้ายของชาวอุตรดิตถ์มานับด้วยจำนวนแสนจำนวนหมื่น ป้ายชื่อป้ายร้านใหญ่โตสะดุดตา ใครก็อาจเห็นโดยง่ายดายข้างทางหลวงทางขวามือระหว่างเมืองลับแลและท่าอิฐ

โปรดเอ็นดูความไม่เดียงสาของคนไม่เคยรัก และโปรดเชื่อเถิดว่าพยอมรักกมลด้วยบริสุทธิ์ใจหาสิ่งใดเปรียบมิได้

ขณะนั้นแสงแดดจ้าต้องหลุมศพเกือบทุกหลุม เห็นเป็นสีขาวโพลงไปหมด แม้สีน้ำเงินและสีแดงที่ผู้เป็นชอบจารึกอุทิศให้แก่ผู้ตาย พยอมซบหน้าลงกับจดหมายสารภาพซึ่งเธอไม่มีโอกาสเขียนใหม่อีก สี่ฉบับเทียวนะยอดรัก แต่มันเป็นสี่ฉบับที่ผู้ถูกเขียนถึงไม่อาจจะเห็นหรือเก็บรักษามันได้เลย รำพันได้ก็สักแต่รำพันไป นี่ไม่มีใครตำหนิการกระทำของเธอหรือ-ถ้ารู้ กุลสตรีที่บอกรักแก่บุรุษเพศอย่างไม่ถูกต้องกับประเพณี?

พยอมสยายผมเดินออกจาก “บ้านใหม่” ของเธอไปเงียบๆ เธอตื่นตระหนกเพราะได้ยินเสียงอึกทึกโหยหวนของแตรวงและขบวนเดินของผู้คนมาแต่ไกล “บ้านใหม่” ของเธอเห็นจะตั้งต้นเริ่มเป็นบ้านเก่า เธอเห็นขบวนแห่ศพใหม่รุกเร่งเข้ามาในสุสาน ยิ่งเข้ามาใกล้เพียงใดก็ดูมีแต่พิลึกโกลาหล คนเป็นทั้งหมดก็แย่งที่นั่งในบริเวณด้านหน้าของ “สถานที่รับแขก” ซึ่งเมื่อสักครู่นี้ใหญ่โตรโหฐานนัก และบัดนี้ดูเล็กน้อย เต็มไปด้วยเสียงนานาพรรณ

เจ้าหน้าที่ผู้ซื่อสัตย์ของสถานที่เริ่มกระทำพิธีเพื่อให้ศพใหม่ได้ขึ้นสู่ “บ้านใหม่” เขาช่างแคล่วคล่องว่องไวและทำงานมีระเบียบดีเสียนี่กระไร ภาพพระเทศน์---เป็นการให้คำสวดครั้งสุดท้ายในโลกเก่า ภาพการยกศพ ตลอดจนภาพความกระปรี้กระเปร่าของนักแตรวง ซึ่งกำลังบรรเลงเพลง สุดท้าย--

อา! ชีวิต นี่แหละคือชีวิต โลกเก่าก็ไม่ผิดกับโลกใหม่ แต่ก่อนตายใครใครไม่มีความรักก่อนเห็นจะมีแต่คนเต็มไปด้วยบาปกรรมอนันตวิบาก เกิดมาต้องไม่แก่เลย เกิดมาย่อมต้องเรียนรักและแต่งงานก่อน เกิดมาต้องเหมือนกับพยอม! หญิงสาวปลอบโยนวิญญาณเดิม ได้พบคนรักและมีคนรักที่เหมาะสม จากนั้นทุกขณะจิตก็มีแต่ความสุข ซึ่งใครๆ ที่รู้เห็นพลอยร่าเริงอิ่มสุขตาม

เสียงแตรวงโหยหวนซ้ำซากดังอยู่อย่างเกือบจะหาจังหวะมิได้ ศพก็ลงหลุมกลบดินจวนจะเสร็จแล้ว แรกพยอมคิดว่าพอกลบศพเป็นหมดเพลง เธอพยายามทบทวนเปรียบเทียบพิธีต่างๆ ในวันแรกที่เธอมากับวันนี้ มีอะไรแผกกันมากมายในเรื่องตามประเพณีไทย เมื่อเรียนอยู่ในกรุงเทพมหานคร พยอมเกลียดหนังสือแจกงานศพยิ่งกว่าอะไรดี พยอมรังเกียจศิลปะคนเขียนชีวิตคนเป็นคนตายที่พิมพ์แจก-เกิดมาดูจะมีแต่ความดี ทั้งซาตานและพระเป็นเจ้าคงเย้ยหยันอย่างที่สุด ความไม่ดี ความโง่ ความอ่อนแอกลายเป็นประเพณีใหม่ ที่ใครจะเขียนเกี่ยวกับใครนั้นมิได้

พยอมจำได้ในวินาทีสุดท้ายที่หันหน้าจากคำ “อรหันต์” มากราบลาพ่อแม่ พลางขอร้องว่า “พ่ออย่าพิมพ์หนังสือแจกงานศพของพยอมเลย พยอมทนต่อความไม่จริงไม่ไหว”

ใครๆ พากันกลับหมดสิ้นแล้ว “สถานที่รับแขก” เงียบเหงาอย่างรวดเร็ว และคงจะอึกทึกโกลาหลอีกไม่นาน พยอมเดินไปเยี่ยมเพื่อนบ้านใหม่อย่างรักษามารยาท เขาคงเป็นใครคนหนึ่งที่แก่ชราแล้ว ตามที่สังเกตดูในขบวนศพออกจะเป็นคนมั่งมีนิดๆ “ขออย่าให้เป็นหนุ่มหรือสาวทรามรักดุจดังตัวเราเลย” พยอมภาวนา เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เพื่อนบ้านใหม่ยังไม่ยอมลุกจากที่นอน - เขาคงเพลียสุดแสนเพลีย ผ้าก็คงปิดหน้าอย่างมิดชิด แต่เห็นได้ชัดจากเครื่องแต่งกายว่าเป็นชายไม่ใช่หญิง พยอมจ้องดูเขาเป็นเวลานาน และร้องขึ้นอย่างสุดเสียงเมื่อเขาเลิกผ้าปิดหน้าออก---

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ