มารเกริต เมืองหยงลิม

“...การอยู่กับความเศร้า-อยู่กับศพ และอีตารักมนุษยธรรมอย่างรองโบล์ ยิ่งจะทำให้เธอเศร้า! อารยธรรมตะวันตกทำให้เกิดความเศร้าสลดมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งพรหมจรรย์ของหญิงสาว! ทำไมเธอไม่อ่านหนังสือชื่อ “จากปีนังถึงเซี่ยงไฮ้” ซึ่งสำแดงว่าโจรและโสเภณีผิวขาวถูกเทิดเป็นกษัตริย์และราชินีอย่างไร!”

มีเสียงตำหนิบทประพันธ์ของข้าพเจ้าเสมอว่าไม่มีอะไรใหม่ มีแต่เรื่องเก่าแก่ซ้ำซาก นั่นแหละท่านมันเป็นเรื่องที่ช่วยได้ยาก เพราะคนเราจะมีเรื่องอะไรไพเราะซาบซึ้งตรึงใจเท่ากับเรื่องจริงเห็นจะไม่มี ข้าพเจ้าเกลียดความไม่จริง ศิลปะแห่งความหลอกลวงและการฉกชิงวิ่งราว เค้าโครงเรื่องของใครอื่นนั้นแม้อาจจะหรูหรือฟลุ๊กมันก็ทำให้เกิดความภาคภูมิใจดำรงอยู่มิได้นาน ความจริงคือความใหม่อยู่เสมอ

เมื่อ ๙ ปีก่อนมานี้ ข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องของสุภาพสตรีผู้หนึ่งในหนังสือพิมพ์ประชาชาติรายสัปดาห์ใต้ชื่อว่า “นิทานเศร้าแห่งไพรนคร” (เขมรเรียก “ไซ่ง่อน” ว่า “ไพรนคร”) เป็นเรื่องของอาจารย์หญิงแห่งมหาวิทยาลัยชาชลูย์โลบาต์และโรงเรียนตาแบรต์ชื่อ “เอียนงาง” ความฉลาดน่าศรัทธาของอาจารย์หญิงผู้นั้น เสน่ห์อันเยือกเย็นและความรอบรู้อันไพศาลของเธอทำให้ข้าพเจ้าหลงรัก เมืองไทยมีสุภาพสตรีทรงความรอบรู้น้อย แต่ในที่สุด เอียนงางก็จากไปแต่งงานกับผู้อื่นด้วยเหตุผล นิดเดียวว่า...ลูกของเธอที่จะมีเธอกลัวที่สุดว่าจะไม่ได้รับการศึกษาเท่าเธอ!

สุภาพสตรีคนที่สองที่เข้ามาพัวพันชีวิตของข้าพเจ้าดุจเทพธิดาและปีศาจ คือ “เอแลน บาลอง” (ได้เขียนกำนัลหนังสือพิมพ์สุภาพสตรีวันมีอายุครบ ๒ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔) เอแลนมาจากปารีสดุจเดียวกับเอียนงาง แต่สวยกว่าและมีความรักชาติผิดปกติ ถึงกับยอมแต่งงานกับใครทุกคนที่มีแผนการณ์ขับไล่ฝรั่งเศสทั้งหมดออกจากประเทศญวน ในที่สุดแม้ความจำเป็นและความสงสารทำให้ข้าพเจ้ารักหญิงประหลาดผู้นี้ เอแลนได้ประหารชีวิตตนเองอย่างวีรสตรีที่คุกล่าว-บาว-แบน

ลืมเล่าความหลังว่าข้าพเจ้าเป็นนักเรียนไทยไปศึกษาวิชาปรัชญาในอินโดจีนฝรั่งเศส ข้าพเจ้าไม่ชอบฟิลิปปินส์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น หรือเมืองจีน ภาษาฝรั่งเศสในกรุงเทพฯ ทำให้ข้าพเจ้าแค้น ต้องการพูดภาษาฝรั่งเศสได้เยี่ยงชาวฝรั่งเศส ต้องการรู้จักโลก ต้องการเกียรติยศด้วยวิชาปรัชญาผ่านจากภาษาฝรั่งเศส ในขณะที่หลงรักเอียนงานและจำเป็นจำใจรัก เอแลน บาลอง ในเวลาต่อมานั้น ข้าพเจ้ามีคนรักในเมืองไทยชื่อ “นวลพรรณ” เรามีความรู้สึกรักกันตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๔ ขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นนักเรียนมัธยมปีที่ ๘ อยู่โรงเรียนเทพศิรินทร์ เธออยู่โรงเรียนเบญจมราชาลัยชั้นมัธยมปีที่ ๖ ในอารมณ์ปุถุชน นวลพรรณเป็นคนประหลาด เธอเป็น “ความรัก” ยิ่งกว่าคนรักทุกวันนี้ใน พ.ศ. ๒๔๙๑ นวลพรรณยังคงโสดและสาว วิญญาณของเราสมรสกัน แต่ชีวิตของเราทั้งสองเศร้าจนเกินไป นวลพรรณและข้าพเจ้าไม่มีวันแต่งงานในความจริงเป็นอันขาด

ชีวิตของข้าพเจ้าทุกวันนี้ ถ้าจะให้เล่าแล้วก็เหมือนนกสีเทาดั่งที่เคยเห็น “บินหลงทางจิบสายฝน” ขณะที่เดินบนทุ่งนาที่แวดล้อมด้วยสุสานกับเอียนงางเวลาค่ำ ณ เมืองไดนินเมื่อ ๑๒ ปีก่อน!

มารเกริต เมืองหยงลิม

เมื่อเอแลนตาย และเอียนงางต้องแต่งงาน มารเกริตคือสุภาพสตรีญวนคนที่ ๓ แม้เป็นชีวิตที่เรียบไม่ผาดเปรียวโลดโผน แต่เป็นคนสุดท้ายที่ควรเขียนเล่าสู่กันฟัง คนโง่อย่างข้าพเจ้ามีความรักอันโง่เขลา เมื่อหลงรักใครก็หลับหูหลับตาคิดและเชื่อว่าคนผู้นั้นมีค่าสูงเป็นเทพธิดา เป็นดวงจันทร์อันอำไพที่ส่องแสงนวลสว่างให้ความสุขแก่มนุษย์ไม่รู้แรม ไม่รู้จักมีความมืดหรือมลทินใด มารเกริต เกิดที่ฮ่องกง ณ ตำบลคอสเวย์เบย์ พ่อเป็นลูกครึ่ง แม่เป็นชาวเมืองหยงลิม ตระกูลผู้ดี เธอเรียนวิชานางพยาบาลที่ฮ่องกง พูดภาษาอังกฤษเก่ง เมื่อพ่อตายเธอกับแม่กลับมาบ้านเกิดเมืองนอน

ในเรื่อง “นิทานเศร้าแห่งไพรนคร” ตอนจะจบเอียนงางเขียนจดหมายถึงข้าพเจ้า นอกจากอธิบายเหตุผลที่บังคับให้เธอแต่งงานแล้ว มีกระดาษอีกแผ่นหนึ่งสอดฝากมาให้ข้าพเจ้านำไปให้มารเกริต ณ โรงพยาบาลเหลียงทึนนึน ไซ่ง่อนใต้ บ้านพักหัวหน้านางพยาบาลเลขที่ ๘ กลุ่ม ๒

ข้อความในกระดาษนั้นมีว่า...

“มารเกริตเพื่อนรัก สุภาพบุรุษผู้นี้มีมาแต่สยามเป็นนักศึกษาปรัชญา และเคยเป็นคนดังที่ฉันสารภาพกับเธอแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะไปดาลัตและเลยไปอยู่เขมร อีกนานปีจึงจะกลับมา ฉันอยากเห็นเขามีความสุข และรู้ดีว่าเขาจะต้องโศกเศร้าเพียงใด หากไม่มีเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง-หากไม่มีเธอ เพื่อนที่เคยเข้าใจฉันดี ชีวิตคือดนตรีวงมหึมาในโลกนี้ บทเพลงนำของอายุสิ้นสุดแล้ว ฉันขอให้เธอช่วยทำให้เขาอย่าเกลียดประเทศญวนมากไป ถ้าเธอเพียงแต่สนทนากับเขาครั้งหนึ่ง เขาเป็นสุภาพบุรุษที่ประเสริฐที่สุดที่ฉันได้รู้จักมา”

สุภาพบุรุษที่ประเสริฐที่สุด! อนิจจา! ความรักคือความเสียสละ! ท่านต้องรู้... คนโง่ที่สุดคือคนที่สุภาพที่สุด! ความรักที่เสียสละเป็นความรักที่ปวดร้าวขมขื่นไม่มีอะไรเทียม ไม่เคยมีความรักบริสุทธิ์ครั้งใดที่ไม่มีความเสียดายรุนแรงพัวพันยึดมั่นอยู่ อย่างไรก็ตาม จดหมายของเอียนงางเป็นจดหมายที่ข้าพเจ้าเข็ดที่จะนำพา ข้าพเจ้าต้องการลืมอาจารย์หญิงผู้นั้น ความเยือกเย็นคือมารยา เท่าที่จำได้เอียนงางมีความรักเล่นทุกครั้ง หลายสิบครั้ง นอกจากครั้งที่เธอต้องการจะแต่งงาน อาจารย์หญิงกับความรัก! เธออาจจะเก่งด้วยประการทั้งปวง น่าเสียดายที่เธอมีปทานุกรมการเลือกคู่เล่มโตจนเกินไป อ่านไม่รู้จนกระทั่งแก่และต้องเหี่ยวแห้งหาคู่ไม่ได้ตามๆ กัน! มารเกริตอาจเป็นอย่างนี้ ผู้หญิงมีธาตุสวาทก้อนใหญ่เหมือนกันหมดไม่ว่าจะอยู่ในดวงใจของหญิงชาติใดสมัยใด ธาตุสวาทก้อนใหญ่นั้นคือความรักเล่น-เงิน ความรักปลอมจนกระทั่งมีบุตรมีธิดา แต่ข้าพเจ้าลืมเอแลน บาลองไม่ลงเพราะความรักชาติของเธอมากมูลล้นค่ายิ่งกว่าความรัก เอแลนเป็นสุภาพสตรีที่ไม่ควรแก่การลืม มารเกริตอาจตั้งต้นดี ความรักเล่นดีทุกครั้งเมื่อตั้งต้น และความรักของนางพยาบาลทั้งรักเล่นหรือรักจริง คือความตายแล้วของความรัก ผู้ถูกอบรมให้ทำงานแต่มนุษยธรรม (โดยไม่เคยรู้จัก “มนุษยธรรมนิยม”) ด้วยหน้าที่ย่อมมีแต่ความรักที่จืดชืดชาเย็น ข้าพเจ้าไม่ต้องการรู้จักมารเกริตหรือนางพยาบาลคนใดในโลกนี้...ถ้าไม่จำเป็น เอียนงางเผาความหวังของข้าพเจ้า-ทำให้รู้สึกตนชัดว่าโง่-ด้วยความง่ายดายและด้วยศิลปะอันเยือกเย็นสุขุม ทำไมข้าพเจ้าจะไปเผาความคิดนึกของตนอีก หลังจากถูกเผามาแล้วจนไม่มีอะไรเหลือให้เผา!

กระทั่งบ่ายวันจันทร์วันหนึ่ง ๒ เดือนให้หลัง ภารโรงชรามาบอกข้าพเจ้าว่า มีสุภาพสตรีมาเยี่ยม ๒ คน เข้าใจว่าคงไม่มีใครอื่นนอกจากแม่กับน้องของข้าพเจ้าตามปกติ แต่เมื่อออกไปห้องรับแขกแม่ไม่มา น้องพาสุภาพสตรีคนหนึ่งมาด้วยพลางแนะนำอย่างระล่ำระลัก เธอเป็นคนโปร่ง สวยผมเกือบเป็นสีทองบอกว่า “มารเกริต”

“มารเกริตหยงลิม” เธอต่อสร้อย “ขอโทษ เธอได้รับจดหมายเอียนงางฝากถึงฉันฉบับหนึ่งใช่ไหม? เสียใจที่เราไม่มีโอกาสพบกัน ถ้าน้องเธอไม่ไปทำฟันที่โรงพยาบาลฉันคงมาไม่ถูก-เอียนงางเขียนถามมาจากเว้เมื่อวันเสาร์ก่อน”

“ใช่!” ข้าพเจ้าตอบ รู้สึกชอบใจสำเนียงฝรั่งที่แปร่งเคล้าสำเนียงอังกฤษ “ขณะนี้อยู่ในห้อง ขอโทษที่งานทางโรงเรียนหนักมากสองสามเดือนนี้ ขอโทษประเดี๋ยว!”

ดวงหน้าของมารเกริตมีสีแดงอ่อนขณะที่อ่านจดหมายแนะนำ หัวหน้านางพยาบาลคนนี้มีกิริยาละมุนละไม่น่าแปลกตา ไม่เหมือนนิยาย ไม่เหมือน “ยักษ์ภายใต้เครื่องทรงขาว” ที่ข้าพเจ้าเคยพบปะเมื่อเป็นเด็กที่เทพศิรินทร์ การเคลื่อนไหวยกไม้ยกมือนั้น ดุจโอบอุ้มด้วยเครื่องลาง เสื้อผ้าโปร่งสีขาวละเอียดเหมือนสีหมวก มีสีชมพูรอบขอบปิดใบใหญ่อย่างกลิ่นรส

“เธอคงมีงานมากทั้งวัน?”

“จ้ะ! หมู่นี้ต้องทำงานหนักเกือบผิดปกติ” เสียงนี้เศร้าและอ่อนเพลีย

“เธอไม่พบข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์หรือ... การฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นวันละ ๒-๓ ราย กระทั่งทนไม่ไหวอยู่กับศพทั้งวัน!”

“แหม! น่ากลัวจริงนะ” ซูซานน้องสาวของข้าพเจ้าอุทาน “อยู่กับศพทั้งวัน”

ในวันพฤหัส ข้าพเจ้าว่างไม่สอนและไม่เรียนหนังสือ ได้ไปเยี่ยมมารเกริตที่โรงพยาบาล ได้พบเห็นเธออยู่ในสภาพยุ่งและทำงานหนัก ต้องคอยถึง ๓๐ นาที เธอพาข้าพเจ้าชมงานในหน้าที่ของเธอ และแนะนำให้รู้จักกับหมอหนุ่มชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่ออองตวันเดอรองโบต์ เป็นหมอที่ประหลาด สูบกล้อง เสียงดัง เรียนวิชาแพทย์ประจำเมืองร้อนโดยเฉพาะ

“การฆ่าตัวตายเป็นปัญหาสังคม...โรงพยาบาลคือคนใช้ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง” หมออธิบายเชิงวิสาสะแต่รู้สึกว่าเสียงกระด้างไม่แยแสเช่นเดียวกับหมอโดยทั่วไป “เราตรวจศพให้เฉพาะแต่รายที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่โรงพยาบาลถ้าเรามีเวลาพอ มนุษยธรรมในความรู้สึกไม่เหมือนกับมนุษยธรรมในความจริง การฆ่าตัวตายเป็นธุรกิจเพื่อมนุษยธรรมอย่างหนึ่งเหมือนกัน!”

มารเกริตสะกิดให้ข้าพเจ้านิ่ง เห็นข้าพเจ้าทำท่าจะพูด แม้ระเบียบภายในโรงพยาบาลจะเข้มงวดสะอาดและสวยงาม ในห้องต่างๆ มีกลิ่นที่ไม่เหม็นสาบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลิ่นคาว สนามหญ้าในบริเวณสะพรั่งไปด้วยดอกไม้นานาชนิดจัดอย่างหรู แต่ความรู้สึกในหน้าที่ๆ กระด้างชาเย็น ทำให้หดหู่ ตามปกติโรงพยาบาลทั่วโลกมักจะใจแคบ พูดถึงมนุษยธรรมมากเกินไป ก็เมื่อความยากจนของมนุษย์ในเมืองญวนมีทางออกทางเดียวคือฆ่าตัวตาย ใครๆ ก็คงไม่ปฏิเสธว่าความตายนั้นคือความสุข ในประเทศที่มีอารยธรรมชั้นสูง ลัทธิฆ่าตัวตายเมื่ออายุ ๗๐ ปี กำลังเป็นความดี มนุษย์เจริญขึ้นมาถึงระดับนี้แล้ว การฆ่าตัวตายคือความดี!

เย็นวันเสาร์ต่อมา เรานัดพบกันที่สวนสาธารณะ มารเกริตสอดแขนของเธอกับข้าพเจ้า

“อีตาหมอรองโบต์ คือคนที่กำลังจะให้ฉันฆ่าตัวตาย” หญิงสาว เริ่มเรื่องน่าสนใจ

“เอ๊ะ! ทำไม?”

“เธอไม่รู้ นางพยาบาลที่นี่เป็นเมียเขาหลายคน! และมีสองคนแล้วที่ฆ่าตัวตาย เพราะแค้นและเพราะละอายมัน เหมือนเจ้าของโรงละครบ้าที่บรูรงคการเนีย มันต้องการนางละครทุกคนเป็นเมีย! เมืองไทยของเธอมีอะไร “เจริญ” อย่างนี้ไหม?”

“เมืองไทยเป็นเมืองพุทธศาสนา มารเกริต แต่อาจจะมีเรื่องใหม่ทุกเมืองเป็นเมืองกาม ความนิยมมีเมียมากการแลกเมีย คนมีผัวลับๆ แล้ว ประกาศว่าตนเป็นนางสาว แต่ฉันมีความรู้เรื่องเมืองไทยน้อย และนี่เธอจะทำงานต่อไปอย่างไร?”

“ฉันกำลังกลัดกลุ้มที่สุด อยากไปฮ่องกงเพราะมีเพื่อนนางพยาบาลที่นั้นหลายคน แต่แม่ไม่อยากไปเพราะคิดถึงพ่อ พ่อตายที่ฮ่องกง แต่ถ้าขืนอยู่ฉันคงไม่พ้นยาลอบประทุษร้ายของมัน เธอคงได้ยินเรื่องนี้สิ...และก็คงฆ่าตัวตาย”

“ทำไมไม่กลับไปหยงหลิม...เธอยังมีแม่? ไปเปิดสถานพยาบาลเล็กๆ ที่นั่น ฮ่องกงก็เหมือนเมืองรีโน แต่งงานง่าย หย่าง่าย ฆ่าตัวตายง่าย...”

“แต่หยงหลิมเป็นบ้านนอกแห้งแล้ง ไม่มีโรงภาพยนตร์ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีประปา ไม่มีเต้นรำ ไม่มีร้านตัดผม และฉันยังสาวทนความไม่สะดวกต่างๆ ไม่ไหว”

“แต่ความรักของแม่เคยทำให้นรกเป็นสวรรค์” ข้าพเจ้าบีบมือหญิงสาวพูดอย่างเคร่งขรึม “ธรรมชาติปรานีมนุษย์ มารเกริตเธอหลงเสียแล้ว ความเป็นอยู่ง่ายๆ คือความงามและความสุขที่สุด ลัทธิรุสโซเป็นลัทธิที่ฉลาด ยิ่งใกล้ธรรมชาติยิ่งฉลาด เธอควรข่มใจในลอนดอน นิวยอร์ค ปารีส คนฉลาดปัจจุบันกำลังบูชารุสโซ ตรงกันข้ามกับในเมืองอารยธรรมอย่างนี้มีแต่ความเข้มเรื่องเงินทอง ความตะกละความทารุณ เธอรู้ดีกว่าเจ้ารองโบต์ของเธอ!”

“ของสัตว์...” เธอแย้งขมวดคิ้วอย่างเย้ยเยาะ มือสั่น

“ผู้หญิงต้องการของปลอมแปลงเพื่ออะไร? เพื่อให้ผู้ชายรัก...เพื่อให้ประคับประคองรักษาความงาม? สิ่งเหล่านี้ไม่จีรังยั่งยืนเลย ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะไปหยงลิม ฉันจะรักแม่ให้มากที่สุด อาจเป็นเพราะฉันไม่เคยเห็นหน้าแม่จริงของฉัน การอยู่กับความเศร้าอยู่กับศพ และอีตานักมนุษยธรรมอย่างรองโบต์ยิ่งจะทำให้เธอเศร้า อารยธรรมตะวันตกทำให้ตะวันออกสลดมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรหมจรรย์ของหญิงลาว! ทำไมเธอไม่อ่านหนังสือชื่อ “จากปีนังถึงเซี่ยงไฮ้” ซึ่งสำแดงว่าโจรและโสเภณีผิวขาวถูกเทิดเป็นกษัตริย์และราชินีอย่างไร! ทุกวันนี้ไม่มีอะไรน่าขมขื่นในตะวันออก เท่ากับความรอบรู้อันไม่เทียมทัน...นี่เธอจะไปหยงลิมเมื่อไหร่?”

“แต่ฉันเพิ่งรู้จักเธอ” มารเกริตแย้ง ดวงตาเป็นประกายชวนเชิญให้น่ารัก

“นั่นไม่สำคัญเธอ สำคัญว่าเสร็จสอบปลายปีนี้ฉันจะไปตากอากาศที่เมืองหวินลองตลอดฤดูร้อน และถ้าไม่ได้งานที่อินโดจีนก็จะกลับบ้าน”

“เธอคงไม่กลับมาที่นี่อีก อิจฉาเธอจริง ฉันได้ยินว่าเมืองไทยเป็นยอดแห่งความริษยาของตะวันออก มีเอกราชและเสรีภาพเป็นฐานของความเจริญ มีมหาวิทยาลัยหรู และกรุงเทพฯ ใหญ่โตเท่ากับฮานอยและไซ่ง่อนรวมกัน”

“แต่มีโรงพยาบาลสกปรกมากที่สุด เปรียบกับที่นี่ไม่ได้เลย ยุงมีมากที่สุดในโลก!” ข้าพเจ้าเล่าตามความเป็นจริง “พูดถึงหยงลิมของเธอเถอะ แม่ปลูกต้นไม้มากไหม? บ้านของเธอเป็นอย่างไร? ฉันไม่คิดว่าเธอจะเหมือนใครเลยนอกจากแม่ ฉันอยากเห็นกับตาว่า แม่ของเธอรักและเอ็นดูเธออย่างไร?”

ขณะที่เขียนถึงตรงนี้ข้าพเจ้าถามตนเองว่า เรื่องความหลัง ณ เมืองหยงลิม ทำให้มีความเศร้าหรือความสุขในการเปลี่ยนชีวิตของหญิงสาวผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังจะทิ้งแม่คนเดียว...ผู้ซึ่งกำลังประมูลความเป็นสาวของเธอสูงเท่าโลก ดวงตาหลงละเมอไปกับความบ้าแห่งอารยธรรมใหม่...ให้กลับบ้านให้เห็นชัดว่าความรักของแม่เป็นอารยธรรมสูงสุดไม่มีอะไรเทียม ไม่ให้พลาดหวังในชีวิต ไม่ให้ฆ่าตัวตาย และขณะนี้เธอผู้นั้นเชื่อฟังและกำลังมีความสุข ข้าพเจ้าภาคภูมิใจ โรงเรียนเทพศิรินทร์สอนข้าพเจ้าแต่ยังเยาว์วัยว่า “อย่าเป็นคนรกโลก”

บ้านของมารเกริตที่หยงลิมเป็นบ้านน้อยน่ารัก ผู้สร้างนับว่ามีรสทางศิลปสูง รู้จักความงามทางสุนทรศาสตร์เป็นอย่างดี แม่ของเธอเป็นสุภาพสตรีผิวละเอียดชอบเลี้ยงนกปลูกต้นไม้เป็นชีวิต ภาพแม่ที่กอดลูกสาวคนเดียวไว้นานโดยไม่ปริปากพูด เป็นภาพของความรักอันบริสุทธิ์เลยบรรยาย เมื่อทราบเรื่องจากปากคำของลูกสาว นางได้กอดรัดข้าพเจ้าด้วยน้ำตาและขอร้องข้าพเจ้าอย่างบังคับ ให้ข้าพเจ้าพักที่หยงลิมอย่างน้อย ๒ คืน มารเกริตก็วิงวอน

“ฉันมีงานสอนที่โรงเรียน ไม่ใช่เรียนอย่างเดียว” ข้าพเจ้าบอก “พักมากที่สุดได้เพียงคืนหนึ่ง”

“ลูกรัก จะสู้อารยธรรมตะวันตกได้ ต้องสู้อย่างเพชรตัดเพชรซึ่งต้องใช้สติปัญญามากมาย และเวลาร่วมศตวรรษ”

แม่ของมารเกริตออกความเห็น “แต่ตะวันออกในส่วนรวมมีสติปัญญาไม่ทันตะวันตก คิดสั้น คิดแคบ มักจะรุนแรงรักชาติ สามีของฉันเป็นคนหนึ่งที่รักชาติด้วยปัญญา กระทั่งต้องหนีไปอยู่ฮ่องกงและไปตายที่นั่น ฉันไม่รู้จะขอบคุณเธออย่างไรที่ทำให้มารเกริตเปลี่ยนใจได้ เธอกับมารเกริตรักกันมานานแล้วหรือ?”

“แม่!” เลือดขับผิวหน้ามารเกริตแดงจัด “จำเอียนงางได้ไหมจ๊ะ? สุจริตเป็นเพื่อนรักของเอียนงางเราเพิ่งรู้จักกัน เอียนงางบอกว่าสุจริตเป็นสุภาพบุรุษที่ประเสริฐ-ก็ประเสริฐจริงๆ”

“เธออย่าทำให้เรื่องเสียซีมารเกริต” ข้าพเจ้าหัวเราะ “เราเพิ่งรักกันครับมาดาม รักกันอย่างเพื่อนสนิทราว ๒ เดือนมานี้!”

ค่ำวันนั้น เสร็จจากการรับประทานอาหารอร่อยฝีมือแม่ของหญิงสาว เราสองคนยกเก้าอี้มานั่งหน้าระเบียงบ้าน มาดามเฉียง-แม่ผู้น่ารักของมารเกริตขอตัวจัดห้องให้ข้าพเจ้า เสียงนกเล็กๆ สีต่างๆ ร้องเบาๆ เหมือนดนตรีเสียงแปลก รอบระเบียงมีกระถางไม้ดอกนานาพรรณวางเป็นระยะ รู้สึกมีความสุขบอกได้ไม่ถูกต้อง

“ฉันจะเชื่อเธอทุกอย่าง สุจริต” มารเกริตอารัมภบทอย่างน่ารัก “แม่รักฉันมาก แม่บอกว่าฉันเหมือนพ่อหลายอย่าง คิ้วอย่างหนึ่งละ สองฝีมือทำกับข้าวอร่อย สามชอบหนังสือแทนเย็บปักถักร้อย ตลอดทางมาจากไซ่ง่อน ฉันกำลังคิดหาวิธีข่มใจ คงทำให้เศร้าใจอยู่บ้างที่เริ่มฝืนแต่ฉันทำได้แน่นอน...เธอทำให้ฉันเห็นแสงสว่างอันใหม่ ซึ่งไม่มีใครเคยให้”

“ขอบใจ! สถานพยาบาลของเธอต้องเป็นประโยชน์แก่ชาวบ้านนอกที่น่าสงสารเหล่านี้มาก ที่ฉันดีใจที่สุดก็คือแม่กับบ้านทำให้เธอสดชื่น เธอรู้สึกตัวไหมเธอเบิกบานและสวยเหมือนเด็กๆ”

“แต่พรุ่งนี้เธอก็จะกลับ...กลับไปอีกไกลโดยไม่มีวันกลับมา”

“กาลและสถานที่ไม่สามารถแปรความจริงได้” ข้าพเจ้าปลอบ “เธอมีหน้าที่ๆ ต้องทำใจให้สูง ต้องเห็นให้ชัดว่าความฟุ่มเฟือยคือความยุ่งและความเศร้าหมอง วัตถุนั้นมีมากเท่าใดยิ่งอยากเปลี่ยนใหม่มากเท่านั้น และอยากมีใหม่กระทั่งเกินต้องการ ซึ่งลงเอยด้วยความอิจฉาริษยา มารเกริต เธอเป็นนางพยาบาลคนแรกและคนเดียวที่ฉันนิยม...ก่อนกลับกรุงเทพฯ ฉันจะมาอีกเธอคงอนุญาต”

“พูดอะไรอย่างนั้น! เธอต้องมา เธอช่วยชีวิตของฉันไว้...แม่จ๋า!” หญิงสาวหันหน้าเรียกแม่ “ความกตัญญูมีค่ามากหรือน้อยกว่าความรักอย่างหนุ่มสาวจ๊ะแม่?”

“อะไรกันความกตัญญู!” นางดุ โผล่ออกมายิ้มและกลับเข้าไปไม่พูดอะไรอีก

“เธอต้องมา! ต้องคิดว่าฉันเป็นน้อง ถ้าเราไม่มีความรักอย่างควรรักกันในโลกนี้! เอียนงางบอกว่าเธอขลาดที่สุดที่จะรักเขา! คนไทยรักบ้านของตนจนเกินไป ไม่กล้าผจญภัย... ไม่คิดว่าโลกนี้ต่างหากเป็นบ้านที่แท้จริง!”

“อาจจะจริง”

“จริงและถูกต้องที่สุด!” มารเกริตจ้องตาของข้าพเจ้า “ถ้าเธอเจ้าชู้คงจะมีผู้หญิงหลายคนเสียดายและเสียใจ แต่ตรงกันข้าม ฝ่ายที่เจ็บใจและเศร้าใจคือเธอ...รู้ไหมเพราะอะไร? เพราะเธอจริงจังกับชีวิตจนเกินไป ไม่มีผู้หญิงคนใดในโลกต้องการเห็นคนที่เขารักเป็นปรัชญาเมธี”

หน้าของข้าพเจ้าชาเหมือนพบเอ๊กซิเดนท์

“มารเกริต ประโยคหลังนี้เธอคิดขึ้นเองหรือเอียนงางสอน?”

“ฉันเคยเป็นตัวของตัวเองเพียงพอ! อาจารย์หญิงในความรักมีแต่การลอกเลียนแบบ ฉันไม่สนใจเลย ความรักของเธอเหมือนดวงดาว มีแต่ระยิบระยับไม่เคยแจ่มสว่างเหมือนดวงจันทร์ ทำไมนะสุจริต เธอไม่กล้าตัดสินใจรักกับใครคนใดคนหนึ่งอย่างจริงจัง? เอียนงางเหมือนฟ้าเมื่อมีฝน แต่ทันทีทันใดเธอก็หลบหายไป! ผู้หญิงเขาต้องการจริงจังกับความรัก วีรบุรุษรักเท่านั้นควรได้ผู้หญิงดีๆ เป็นคู่ขวัญ ไม่มีผู้หญิงใดต้องการจริงจังกับชีวิตมากจนเกินไป...!”

ขณะนั้นมีเสียงดนตรีพื้นเมืองแว่วมาแต่ไกลเป็นเสียงพิณเคล้าเสียงร้องครวญ เต็มไปด้วยความเยือกเย็นไม่ผิดอะไรกับเสียงกล่อมขวัญบทกวีชาวอิสาน มารเกริตสอนให้ข้าพเจ้าฟัง เธอบอกว่าบทเพลงที่ได้ยินนั้นเป็นเพลงกล่อมนกชาวพื้นเมือง

ก่อนกลับกรุงเทพฯ ประมาณ ๒ อาทิตย์ เมื่องานของข้าพเจ้าที่ธนาคารอินโดจีนไม่มีหวังเพราะไม่รับคนไทย ข้าพเจ้าไปลามารเกริตที่หยงลิม เมื่อไปถึงรู้สึกแปลกใจที่บ้านของเธอมีคนพลุกพล่านผิดปกติ สืบถามได้ความว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของนางพยาบาลสาวผู้ใจบุญสุนทาน ภายในระยะ ๖ เดือนที่เธอจัดตั้งสถานพยาบาลขึ้น งานของเธอสำเร็จผลเป็นอย่างดี เป็นที่พึ่งของชาวเมืองไม่ว่าใกล้หรือไกล เจ้าบ่าวของเธอคือคนไข้ของเธอคนหนึ่ง เป็นลูกชายคนเดียวของพ่อค้ายางไม้เมืองเดียวกันตกม้า และมาให้มารเกริตรักษา

ข้าพเจ้ารีบเดินเลยไปทันที ไม่ทราบว่าคืนนี้จะพักนอน ณ แห่งใด ถ้าไม่นั่งๆ นอนๆ และเดินจนสว่างจนกว่ารถจะออกไปไซ่ง่อนเช้ามืดวันรุ่งขึ้น ถ้าโผล่เข้าไปในบ้านคงจะโกลาหลกันแน่นอน ความสุขของผู้อื่น! ข้าพเจ้าเสียสละมาแล้วครั้งที่หนึ่ง ทำไมจะเสียสละอีกไม่ได้เล่าในครั้งที่สองหรือครั้งต่อไป..?

ในตอนดึกเกือบเที่ยงคืน ข้าพเจ้าจะหวลกลับมาอีกตั้งใจเพียงจะบอกลาหากโอกาสมี ได้ชวนเด็กหนุ่มในร้านขายอาหารคนหนึ่งร่วมทางไปด้วย แต่พิธีแต่งงานยังไม่สิ้นสุด เสียงมโหรีขับกล่อมได้ยินมาแต่ไกล ภายในบ้านยังมีคนอีกหลายคน แสงสว่างสวยงามยังไม่ซีดสลัว บนท้องฟ้าดวงจันทร์ส่องแสงนวลสว่างแม้ไม่เต็มดวง

ข้าพเจ้ายืนมองดูด้วยใจเศร้าอย่างแสนสุข มารเกริตเพื่อนรักขอให้เธอมีความสุข ฉันเชื่อว่าคู่ชีวิตของเธอเป็นคนดี สำหรับฉันคงไม่ได้มีอะไรดังใจหวังจนวันตาย ชีวิตคือดนตรีที่เศร้า-เล่นไม่มีวันหยุด...”

เมื่อหันหลังกลับจะเดินไปร้านขายอาหารก้าวยังไม่ทันถึงสามก้าว ร่างขาวโพลนของมารเกริตโผล่ออกมาจากมุมบ้านต่างคนต่างสะดุ้ง และมองกันนานโดยไม่พูดอะไร ข้าพเจ้ายื่นมือออกขอจับแสดงความยินดีก่อน

“ในที่สุดเธอก็กลับมา กลับมาในวันที่ฉันกำลังมีความสุขแต่เธอเศร้าเสียใจ กลับมาทำไม?”

“ถ้ารู้ ฉันจะไม่กลับมาเลย” ข้าพเจ้าตอบ

“โอ! คนใจร้าย! เธอกับความรักเป็นบทบาทที่เลวเสมอ จะโกรธก็เชิญเถอะ ฉันเขียนจดหมายถึงเธอกับซูซานถึง ๓ ฉบับ เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ฟัง เล่าถึงความรักอย่างสามัญธรรมดา ขอให้เธอมาก่อนฉันจะตัดสินใจแต่งงาน ฉันและเขาเป็นคนธรรมดาที่สุด...”

“เธอคิดว่าฉันมาทวงความรักหรือมาต่อว่าเธออย่างนั้นหรือ?” ข้าพเจ้าพูดด้วยอารมณ์ปกติ “ฉันไม่เคยรับจดหมายแม้ฉบับเดียว ซูซานไปดาลัตตั้ง ๓ เดือน ฉันมาลาเธออีก ๒ อาทิตย์จะกลับกรุงเทพฯ ฉันมีความสุขมากที่เธอพูดถึงความรักอย่างสามัญธรรมดา การแต่งงานมีบุตร มีธิดาเป็นของขวัญพิเศษของพระผู้เป็นเจ้า ฉันดีใจจริงๆ ไม่ใช่เศร้าใจ ฉันคุ้นเคยกับความเศร้ามามากพอกระทั่งไม่มีความเศร้าอีก เธอมีโชคดีที่มีโอกาสประคับประคองอารยธรรมใหม่เต็มตามหน้าที่... เป็นหน้าที่น่าภูมิใจที่สุด กลับเข้าไปเถอะ ลาก่อน...ลาแม่ด้วย”

“แต่เธอจะนอนที่ไหน เธอไม่เข้าไปในบ้านหรือ?”

“อย่าลืมว่าโลกนี้คือบ้าน ลาก่อน”

“ราตรีสวัสดิ์” มารเกริตพูดลาอย่างเยือกเย็น “แต่สุจริต ฉันต้องการอะไรจากเธออย่างหนึ่ง ฉันไม่ต้องการจากเธอง่ายจนเกินไป

“ได้! เธอต้องการอะไร?”

“จุมพิตเพื่อความทรงจำชั่วนิรันดร์ จุมพิตหนึ่งโปรดให้”

เสียงเพลงกล่อมนกอันเยือกเย็นกว่าคราวก่อนดังออกมาจากบ้านแต่งงาน ที่สาวเจ้ากำลังอยู่ในวงแขนของชายหนุ่มแปลกหน้า น้ำตาพรหมจรรย์หยดลงมาเปียกอกสองสามหยด ริมฝีปากของเธอเย็นเหมือนแท่นหินกามเทพในพิพิธภัณฑ์ ข้อความของเพลงนั้นรัญจวนยิ่งนัก รำพันว่า

“เมฆหมอกหนีความร้อนไปอยู่ที่สูง สู้พระอาทิตย์มิได้ตอนกลางวัน แต่กลางคืนลงมาชิดรวงรังของเรา ทำให้เราหนาว ยังไม่รีบนอนให้อบอุ่นอีกหรือ? ดึกสงัดถึงเพียงนี้”

“โอ! ความสุขเยี่ยงคู่ผัวเมีย”

เมื่อมารเกริตผละออกไป เนื้อเพลงนั้นจบลงว่า

“ลาก่อน กลางคืน เราขอลืม เจ้าก่อน”

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ