สามเสน

เมื่อจากบ้านนอกมาศึกษาวิชาต่อในกรุงเทพฯ ใหม่ๆ ข้าพเจ้าฝันถึงสามเสน เพราะชื่อนี้ก้องอยู่ในโสตประสาทมาตั้งแต่เรียนประถมปีที่ ๑ ในหนังสือชื่อ “พลเมืองดี” ของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดีเล่ม ๑ หน้า ๑ มีบ้านหลังหนึ่งอยู่ตำบลสามเสน กรุงเทพฯ สามีภรรยาเจ้าของบ้านชื่อนายมั่นกับแม่คง รักธรรม มีหลานชายชื่อนายเถื่อน พ่อไปค้าขายอยู่เมืองเหนือ วันหนึ่งไปตีผึ้งในป่าถูกหมีกัดตาย ต่อมานายเถื่อนพ้นจากความเป็นป่าเถื่อน รู้จักเมืองไทยและโลกจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “นายเมือง” ฯลฯ เรื่องของลุงป้ากับหลานชายในเรื่องที่กล่าวชื่อมานี้จับใจข้าพเจ้ายิ่งนักเพราะเหมือนตน ความเป็นเด็กบ้านนอก มากรุงเทพฯ วันแรกสวมกางเกงแพรแดง เสื้อคอมนกับเกือกญี่ปุ่นความป่าเถื่อนของตน-มโนภาพที่เห็นกรุงเทพมหานครเป็นเมืองสวรรค์ ฯลฯ เหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้ากระหายอยากพบปะนายเมืองก่อนใครทุกคน แม้เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี

ลงจากสถานีรถไฟและหยุดพักผ่อนเพียง ๓ ชั่วโมง ข้าพเจ้าชวนเพื่อนร่วมเดินทางจากบ้านนอกขึ้นรถเล็กไปสามเสน ตลอดเวลาที่นั่งบนรถเจ๊กนั้นจิตใจคิดถึงแต่นายเมือง นายมั่นกับแม่คง รักธรรม ที่หน้าบ้านมีสระปลา ข้าพเจ้ามีความรู้บอกเจ๊กได้เพียงเท่านี้

อากาศเดือนเมษายนในกรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๔๗๒ ร้อนและอบอ้าวเหมือนเบียดเสียดในโรงภาพยนตร์ชั้นหนึ่งปัจจุบันนี้ รถเจ๊กพาเรามาถึงสถานที่แห่งหนึ่งบอกเราอย่างเหน็ดเหนื่อยเต็มทีว่านี่แหละสามเสน ข้าพเจ้าปลาบปลื้มดีใจเป็นที่สุด รีบชำระสตางค์เดินไปถามหาบ้านนายมั่นและแม่คง รักธรรมทันที ที่ที่เริ่มต้นถามนั้นจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นศรีย่าน บ้านแล้วบ้านเล่าไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อ แม้จะเถียงอ้างว่าเจ้าพระยาพระเสด็จฯ เสนาบดีใหญ่ที่กระทรวงศึกษาธิการท่านบอกว่ามีก็ตาม บางบ้านคิดว่าเรามาขอทานเพราะท่าทางเร่อร่าทั้งสำเนียงพูดภาษาไทยภาคกลางยังไม่ชัด เคราะห์ดีที่ไม่ถูกหาว่าเป็นขโมย...จากบ้านหนึ่งไปสู่บ้านหนึ่ง เจ้าของบ้านชื่อนายมั่น! ภรรยาชื่อแม่คง! หน้าบ้านมีสระปลา! หลานชายชื่อนายเมือง!

ไม่มีใครบอกเราได้เลยว่าบ้าน “รักธรรม” นั้นอยู่แห่งใดแม้จะใช้เวลาเดินหาร่วม ๔ ชั่วโมงในวัยไม่เดียงสานั้น ข้าพเจ้าอุทาน “เสียดายจริง ถ้าไม่พบในวันนี้ ขอกลับมาหาใหม่ในวันหลัง”

สิบเก้าปีต่อมาหลังจากเหตุการณ์ครั้งกระนั้นจนปัจจุบันนี้ บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังทำงานอยู่ในตำบลสามเสน กรุงเทพฯ หน้าที่ทำการเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา มีท่าเล็กๆ ยื่นออกไปเป็นท่าน้ำนั่งเล่น และวันนี้ขณะที่คอยผู้จัดการขายของบริษัทแห่งหนึ่งจะมาเยี่ยม มีสุภาพสตรีผู้หนึ่งนั่งตรงข้ามข้าพเจ้าเธอผู้นี้เป็นชาวสามเสนมาแต่บรรพบุรุษอยู่บ้านเลขที่ ๕๖๑ ถนนนครไชยศรี สามเสนใน ที่หน้าบ้านมีสระปลา!

เธอชื่อลินจงเป็นแม่หม้าย สาวสวยและทรงเครื่องเพิ่งแต่งงานได้ ๖ เดือน สามีก็เดินทางไปต่างประเทศและไม่กลับมาเป็นเวลาร่วม ๒ ปี ลินจงเคยเรียนอักษรศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปีที่ ๓ และแต่งงานอย่างกะทันหันก่อนจะสอบปลายปี ลินจงมีอายุอ่อนกว่าข้าพเจ้า ๖ ปีและเธอไม่แต่งงานใหม่ เพราะเชื่อว่าวันหนึ่งประสิทธิ์สามีของเธอต้องกลับมา เธอและสามีแต่งงานกันด้วยความรักปฏิเสธการทาบทามสู่ขอทุกรายหลายรายมาแล้วด้วยเหตุผลที่เธอยังซื่อสัตย์ต่อสามี เขายังไม่ตายวันหนึ่งเขาต้องกลับมา!

ในการรู้จักของเรานั้นลินจงว่าเธอรู้จักข้าพเจ้าทางหนังสือหนังหามาร่วม ๑๐ ปี เธอบูชาความซื่อของข้าพเจ้าและของทุกคนที่ยิ้มเยาะกับความโกลาหลของโลกอยู่เสมอ เธอบอกว่าข้าพเจ้าเหมือนบริษัทประกันชีวิตสาวของเธอได้อย่างมั่นคงแข็งแรง เพราะข้าพเจ้าไม่เจ้าชู้ ไม่เคยเกี้ยวเธอในครั้งแรกและในครั้งต่อมา มีแต่ความคิดเห็นให้เธอแตกสติปัญญาทุกครั้งที่พบปะวิสาสะ ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ลินจงเรียกข้าพเจ้าว่า “แด๊ดดี้” ซึ่งแปลก บางทีก็นึกขำ บางทีก็อดฉิวมิได้เมื่อคิดว่าตนยังไม่เคยแต่งงาน ไม่เคยมีบุตรภรรยา

ต่อหน้าข้าพเจ้าเธอเรียกตนเองว่า “ลูกสาว” หรือ “ด๊อตตี้” ลินจงเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ณ โรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดในสามเสน

“จะให้ดิฉันทำอย่างไร?” ลินจงจู้จี้กับเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายเกี่ยวกับชายที่หมายปองเธอคนหนึ่งชื่อกมล “คุณแม่เกิดพอใจถึงกับอนุญาตให้มานอนที่บ้าน ดิฉันรับว่ากลุ้มใจที่สุดวันนี้ เลิกสอนหนังสือก็รีบมาทันที...คุณแม่หลงเงินไม่มีหาย”

“คุณยังเชื่อความรักของคุณหรือไม่?” ข้าพเจ้ารำคาญ

“นี่ถามจริงหรือถามเพราะอารมณ์ขุ่น?”

“ถามเพราะรักลินจง”

“ความรักเปลี่ยนได้ง่ายๆ หรือคะ?”

“คุณรู้สึกอย่างไรในตัวนายเศรษฐีกมล?”

“เหมือนคนบ้า โอ้อวด ฟุ้งซ่านหยาบคายเปรียบกับแด๊ดดี้ห่างกันสัก ๑๐๐ โยชน์”

“ไม่ได้ให้เปรียบกับฉัน! คนแก่มักถูกประชดเสมอแต่เห็นคุณไปไหนกับเขาหลายครั้ง”

“สามครั้ง! ทุกครั้งมีคนไปด้วยหลายคน ไม่เคยไปไหนสองต่อสองแม้กึ่งครั้ง”

“ก็ไม่ต้องแยแส นอนก็นอนหลับหูหลับตาเสีย” ข้าพเจ้าซื้อรำคาญ ซึ่งลินจงจับหางน้ำเสียงได้

“งั้นลินจงจะกลับ”

“จะมาอีกเมื่อไหร่...หรือจะให้ไปเยี่ยมที่บ้าน?”

“แด๊ดดี้ไม่เคยไปที่บ้านตั้งหลายเดือน” สิ่งนี้คลอเคลียเต็มทีแสดงว่าลินจงหนักใจจริง

“สองเดือน เย็นนี้บ่ายห้าโมงไปแน่ อาจไปกินข้าวด้วย ลินจงต้องให้อภัยที่จิตใจของฉันหมู่นี้เหมือนเป็ดตกโคลนมันยุ่งเหยิงเหนะหนะไปหมด

ร่างงามชดช้อยของลินจงลับหลังไปสักครู่ใหญ่ ความว่างเปล่าที่ขาดความละมุนละไมเบื้องหน้า ทำให้ข้าพเจ้าถอนใจ อยากจะวิ่งไปชวนลินจงมานั่งอีกสักครู่น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสีไพร แต่ก่อนจะนึกคิดต่อไปก็แลเห็นภาพ “ลูกเขาเมียเขา” ลอยมาตรงหน้าอย่างชัดเจน

สามเสนยอดรัก!

ในที่สุดข้าพเจ้าคิดและเชื่อว่าตนเองเป็นพลเมืองดีคนหนึ่งไม่น้อยกว่านายเมืองเหมือนกัน สิบเก้าปีบัดนี้ข้าพเจ้ารู้จักตรอกเล็กตรอกน้อยทุกตรอกในสามเสนในและสามเสนนอกเหมือนรู้จักโลกในเวลาที่ว่างงาน ข้าพเจ้าเคยชวนลินจงไปดูชีวิตด้านในต่างๆ ของกรุงเทพฯ จากสะพานยาว, สำเพ็ง, นางเลิ้ง ซึ่งไม่ค่อยมีใครสนใจคนไทยทุกคนเลี้ยงยุง ๑๐,๐๐๐ ต่อเดือนอย่างไร ความสกปรกอื่นๆ ความยากจนบ้านคู่ผัวตัวเมียมีอาณาเขตบ้านสองศอกเศษ ผู้ชายเหล่านั้นบางคนเพิ่งสึกออกจากเปรียญมาก็มี...ภาษิตนกน้อยทำรังแต่พอตัวทำให้สังคมไทยตกต่ำถึงเพียงนี้

ข้าพเจ้าเลยเล่าความไม่เดียงสาของข้าพเจ้าให้ลินจงฟัง ซึ่งเธอหัวเราะก๊ากใหญ่ เธอแสร้งล้อว่าจำเจ้าเด็กบ้านนอกตัวทุเรศสองคนได้ คนใช้ของคุณพ่อเป็นคนเปิดประตูบ้าน เธอกำลังอาบน้ำแลเห็นความเปิ่นอย่างร้ายที่ตรงเข้ามาถามเรื่องความจริงจากหนังสือ แต่อย่างไรก็ตามแม้ไม่เคยพบนายเมืองตัวจริง ท่านเจ้าพระยาพระเสด็จฯ ทำให้การอบรมสั่งสอนของลุงป้าของนายเมืองไม่ตาย ของดีจริงหรือความดีจริงต้องเป็นอมตะ ความฉลาดที่มีศีลธรรม ความรอบรู้และการเจรจาที่ไม่เหลวไหล ฯลฯ ทำไมข้าพเจ้าจะยึดถือเอานายมั่นเป็นหลักมิได้เล่าสามเสนสุดที่รัก!

เย็นวันนั้นข้าพเจ้าไปหาลินจงเวลาบ่ายห้าโมงตรง

“เทโพตัวใหญ่ขึ้น สระสะอาดกว่าแต่ก่อน แต่ม้านั่งตัวนี้ตะปูหลุดไปตัวหนึ่ง ดอกดาวเรือง...”

“แด๊ดดี้” ลินจงส่งเสียงละห้อย

“ว่าไง! เออ! วันนี้ลินจงแต่งตัวสวยจริง”

“คนกำลังกลุ้มจะตาย ดิฉันจะยอมให้คนบ้าๆ มาเห็นดิฉันตื่นจากที่นอนไม่ทันล้างหน้าอย่างไร! มันเลว มันบ้าที่สุด!”

“ก็เอาที่ล้างหน้าไปไว้ในห้องนอน”

“เดือดร้อนคนใช้สารพัดสิ อารมณ์ดีแล้วบอกลินจงดีๆ เถอะค่ะจะทำอย่างไร?”

“คุณแม่อยู่ไหนเดี๋ยวนี้”

“คุมคนครัว! แกงฉู่ฉี่เตรียมให้นายกมล...ทนไม่ได้จริงๆ ดิฉันจะไปนอนโรงเรียนก็เดือดร้อนใครต่อใคร เห็นจะต้องรับเชิญเจ้าคุณลุงไปสอนหนังสือที่สงขลา”

“ก็คิดถึงแย่”

“แด๊ดดี้น่ะรึ! ถ้าไม่ไปหาก็ไม่มีวันมา” ลินจงน้อยใจ “ได้ข่าวว่าดูหนังวันละ ๓ รอบก็มี หลงแม่เอสเธอวิลเลียม-ร่างเหมือนยักษ์ หลงแม่อินกริด เบอกแมน คนมีลูกตั้งกี่คน!”

“ใครมาบอกนะพับผ่า! ไปดูหนังไม่ชวนลินจงไปด้วยก็หมดรสเรื่อง ‘โชแปง’ วันนั้นไงเล่า” ข้าพเจ้าเอาใจ

“ก็หลงแม่หัวล้านโอบีรอนอีก”

“ไม่ใช่หลง! ชอบการวางตัวของเขาเท่านั้น อีกอย่างหนึ่งถึงจะหลงดาราภาพยนตร์ก็ไม่ผิดศีลธรรม เขาจะมีลูกมีผัวอยู่ห่างไกลกันคนละมุมโลก เวลาเล่นเขาหอบหิ้วอะไรมาเมื่อไหร่ ลินจงรู้ดีว่าถ้ากรุงเทพฯ ไม่มีภาพยนตร์ก็ไม่ผิดอะไรกับเมืองป่า”

“ทำไมไม่พูดถึงเรื่องลินจง?”

“ก็พูดแล้วเมื่อครู่นี้ บอกว่าวันนี้แต่งตัวสวย”

“ไม่ใช่ เรื่องเกี่ยวกับนายกมล”

“เขาจะมานอนที่บ้านจริงๆ หรือ?”

“ค่ะ มาแล้วหนึ่งวัน ดิฉันไม่อยากจากคุณแม่แต่อยู่ไม่ได้ถ้ามีนายบ้าคนนี้มาอยู่ด้วย”

“พูดกับท่านตรงๆ ไม่ได้หรือ? คนแก่ชรามักจะเห็นผิดเป็นชอบไปไม่ได้นาน เป็นถึงอาจารย์แล้วพูดให้แม่ของตนไม่รู้เรื่องก็แย่”

“พูดแล้วท่านไม่ฟัง ท่านว่าเบื่อผู้ชายที่มาเกี้ยวพาราสีลูกสาวท่านเป็นปี ๆ ท่านอยากให้ลินจงแต่งงานเร็วที่สุด ท่านกลัวใครจะมาแย่งนายกมลไป”

คำพูดเหล่านี้เป็นถ้อยคำที่บาดใจยิ่งนัก กลัวผู้หญิงมาแย่งผู้ชาย! ความตั้งใจดีของคุณแม่!

“ถ้าประสิทธิ์อยู่เขาจะนับถือคุณแม่อย่างไร...?” ตอนนี้ลินจงพูดทั้งน้ำตา เป็นภาพที่น่าสงสารจับใจ ทำให้ข้าพเจ้าซึ้งในความรักของเธอไม่มีอะไรเทียม

“ลุกขึ้นไปหาคุณแม่กัน เรื่องเท่านี้ฉันจะพูดเอง”

ลินจงกับสามเสน!

นี่ข้าพเจ้าคิดนึกขึ้นมาอย่างไรในเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของคนอื่น? ขณะที่เดินไปบนบ้าน ข้าพเจ้าคิดถึงฐานะที่แท้จริงของข้าพเจ้า ลินจงเป็นอะไร? คุณแม่ของเธอ คนงกเงิน..! แต่ความสงสารในความรักของลินจง ทำให้ข้าพเจ้าต้องพยายามอย่างผู้ใจสูง ลินจงนับถือข้าพเจ้า ต้องพยายามที่สุดที่จะเพียงแต่ให้สัตว์ผู้ยากพ้นทุกข์ แม้ไม่มีความชำนาญอะไรมากมายนัก เพราะข้าพเจ้ารังเกียจคำอวดตัวที่ว่า ข้าพเจ้าผ่านงานมามาก มีความชำนาญมาก รู้เรื่องต่างๆ มาก แต่ข้าพเจ้ามีเหตุผล ลินจงเป็นสุภาพสตรีที่น่าคบค้าสมาคม ความอ่อนหวานของเธอ แม้ไม่สู้จะสวยนัก การวางตัวและการเคลื่อนไหวยกไม้ยกมือ ควรรักควรถนอมน้ำใจอย่างยิ่ง จะกระไรกับคุณแม่ของเธอซึ่งลายเงินทำให้ตาลายเลือนลางไป ข้อสำคัญที่สุด ลินจงยังคงซื่อสัตย์ต่อประสิทธิ์สามีเดิมอยู่

คุณแม่ของลินจงรู้ดีว่าลินจงมีความรู้สึกอย่างไรกับข้าพเจ้า ท่านรังเกียจข้าพเจ้าครั้งแรกเมื่อมาเยี่ยมท่านใหม่ๆ ด้วยสาเหตุนิดเดียวว่า ลูกสาวของท่านกำลังไร้คู่และข้าพเจ้ายังไม่แต่งงาน

ข้าพเจ้าพบคุณแม่ของลินจงหน้าห้องครัว จึงได้ชักแม่น้ำท่าจีนกับแม่กลองให้ท่านฟังก่อน...กระเทียมราคาถูก เทียนไขราคาแพง สบู่ดีๆ ราคาแพงยิ่งขึ้นเพราะมะพร้าวอนุญาตให้ส่งต่างประเทศได้ น้ำตาลชวากำลังตีตลาดน้ำตาลไทย เบนซินตลาดมืดกำลังราคาสูงและทุกสิ่งทุกอย่างที่รัฐบาลควบคุมเป็นต้องแพงเพราะมีรางวัลน้ำชาให้ข้าราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกองกลางถึง ๑๐๐ ล้านบาท เงินเดือนไม่พอกิน คนทำงานก็มากมีแต่ความเกียจคร้าน ในที่สุดก็เริ่มเรื่องลินจงจะไปอยู่สงขลา ทำไมคุณแม่ไม่ห้ามปราม!

“เอ๊ะ! เพิ่งรู้ เขาบอกคุณเมื่อไหร่?”

“อาทิตย์หนึ่งได้ครับ” ข้าพเจ้าเล่าตามเหตุผลของข้าพเจ้า “เห็นบอกว่าคุณลุงเร่งรัดขอร้องกับอาจารย์ใหญ่ทางนี้”

“จะทิ้งแม่ได้อย่างไร? มีเรื่องอะไร เห็นจะเป็นเรื่องตั้งใจดีที่เคยพูดกันไว้...คุณยังไม่รู้! จะหนีแม่ไปได้อย่างไร ลินจง! ลงมาข้างล่างประเดี๋ยว”

เห็นหน้าของบุตรีหมางเมินอย่างไม่เคยพบ ผู้เป็นแม่สะท้อนใจ

“ลูกจะไปสงขลาเมื่อไหร่? ทำไมไม่บอกแม่?”

“ก็หนูบอกคุณแม่เรื่องนั้นแจ่มชัดแล้ว คุณแม่ไม่ยอมฟัง ทั้งไม่มีทางแก้ไขจึงโทรเลขไปสงขลา”

“อ้อ! โทรไปเอง ทำไมเขาเสียหายอะไร?”

“พูดเรื่องหนูเถอะค่ะ มะรืนนี้จะออกเดินทาง แด๊ดดี้จะไปส่งหนูถึงเพชรบุรี” ลินจงกราดเลยมาถึงข้าพเจ้าอย่างฉลาด

“ก็แล้วแม่...”

“หนูจะไปสัก ๑ เดือน ถ้าสบายดีจะขึ้นมารับคุณแม่ หนูบอกตรงๆ ค่ะ หนูเกลียดกรุงเทพฯ... ทั้งเกลียด ทั้งรังเกียจ มันรกรุงรัง รีๆ ขวางๆ ถ้าไม่รีบเปลี่ยนสถานที่เห็นจะตรอมใจตาย”

ได้ยินลูกสาวคนเดียวพูดจะตรอมใจตาย นางใจหาย ข้าพเจ้าสังเกตดูรู้สึกว่าลินจงคงไม่ได้พูดกับคุณแม่อย่างจริงจัง แต่ด้วยเหตุผลที่ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นก่อนแนะนำเมื่อมีโอกาส ตักเตือนเมื่อมีช่องทางอำนวยให้ และสนับสนุนลินจงในการไปตลอดเวลา ผลที่สุดลินจงก็จากไปสงขลา โดยที่เจ้าคุณลุงไม่รู้เนื้อรู้ตัว และอาจารย์ใหญ่ทางสามเสนเพิ่งจะรู้วันรุ่งขึ้น

ข้าพเจ้าไปส่งลินจงเพียงนครปฐม เพราะงานเกี่ยวกับบริษัทบีบบังคับ และสามารถกลับกรุงเทพฯ ได้ค่ำวันนั้น ถ้าไปส่งลินจงถึงเพชรบุรี นอกจากต้องลางานโดยไม่จำเป็น ข้าพเจ้าเข้าใจอารมณ์ลินจงดี คนไม่เคยเกี้ยวลินจงอย่างข้าพเจ้า! ถ้าจะเกี้ยว-บอกเพียงว่า “ลงแค่ประจวบเถอะลินจง-และศีลธรรมเอ๋ยขอลาก่อน” ข้าพเจ้าอยากรู้ ใครจะทำอะไร-คนผู้สังคมไม่ปรารถนา! แม้มหาเศรษฐีในโลกจะกล้าทำอะไร! แต่ความรักและความบูชาศีลธรรมทำให้ข้าพเจ้าสงสาร หญิงสาวทั่วโลกมักมีความสงสารเกินความควรจะสงสาร ในการที่ลินจงสารภาพว่ายังรักสามีอยู่ ในการที่เธอต้องพรากจากสามีและยังไม่เชื่อว่าสามีตาย พันธะอันนี้น่าจับใจนัก นี่ละกระมังที่ทำให้ลินจงไว้ใจข้าพเจ้าอย่างถึงขนาดยิ่งกว่าแม่บังเกิดเกล้าของตนเอง

หลังจากลินจงจากไปได้อาทิตย์หนึ่ง สามเสนเงียบเหงาไป ถนนนครไชยศรีดูหมองเศร้า แม้นกเล็กๆ ตามกิ่งก้ามปูและพุทราก็โผเผไม่ร่าเริง รสบัสทำงานดุจรถผี! รถรางชั้นหนึ่งพิงพนักหลังไม่ได้ เพราะบริษัทไม่ยอมจ่าย-ลูกสลัก ยุงมีมากขึ้น! เสียงวิทยุโหยหวลเหมือนพระสวดกล่อมคนตาย-เวลากลางคืนเย็นแฉะแห้งแล้ง ยิ่งเมื่อถูกโอบคลุมด้วยไฟฟ้าสีเรืองเก่าๆ เหมือนเทียนใต้ถุนบ้านคนขอทาน ยิ่งรันทดใจ

ที่บริษัทมีจดหมายของลินจงมาถึงข้าพเจ้าฉบับหนึ่ง

“แด๊ดดีที่คิดถึงที่สุด เป็นทูตให้ลินจงมาสงขลาทำไม? รู้ไหมแหลมสนสงขลานี่แหละจะเป็นจุดเปลี่ยนแห่งชีวิต เรื่องบ้านพักทุกอย่างเรียบร้อยดี เจ้าคุณลุงเอาใจกระทั่งเวลาสอน แต่เรื่องของชีวิตดูเหมือนจะทารุณโหดร้ายพูดไม่ถูก ลินจงพบคนๆ หนึ่งที่นี่เหมือนประสิทธิ์ทุกอย่างนับแต่ท่าทางสูงต่ำ ตลอดจนน้ำเสียง เราพบกันที่สนามเทนนิสที่เขาน้อย และวันนั้นเราทั้งสองไม่ได้เล่นเลย เหมือนประสิทธิ์ของลินจงจริงๆ แต่เขาบอกว่าเขาไม่เคยเห็นลินจงเลยในชีวิต เขาเพิ่งมาจากสิงคโปร์ไปเรียนการค้าที่นั่นหลายปี ชื่อกำจร ขณะนี้หัวใจของลินจงยิ่งกว่าร้าวราน เรารักกันดุจมีพรลึกลับเมื่อแรกเห็น ด๊อตตี้ของแด๊ดดี้กำลังจะเสียคน ไม่รู้จะตัดสินอย่างไรถูก ดูมีอะไรมืดๆ มัวๆ รอบข้าง เห็นจะถึงครั้งสุดท้ายของลินจงแล้ว ถ้ายังสงสารลินจงอยู่โปรดตอบจดหมายด่วน หากมาสงขลาไม่ได้ ไม่มีใครเห็นใจลินจงเท่าแด๊ดดี้เลย ฝากกราบมาด้วยความรักและนับถือยิ่ง

อา! ชีวิต ผู้หญิงอย่างลินจงจะมีกี่ร้อยกี่พันในโลกนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอไม่รู้สึกตัวคือการเตรียมรักเพื่อเสี่ยงรัก!

ตามปกติ ความเป็นสาวหมายถึงการพร้อมอยู่เสมอที่จะเป็นเครื่องเล่นของพระผู้เป็นเจ้า-ความรัก ความสุข และการท่องเที่ยวไป เหมือนดอกไม้แรกตูมสัมผัสกับแสงอาทิตย์อ่อน รสรักแสนสุขนั้นเหมือนประกายโลดเต้นรอบดวงใจ แต่คนที่อยู่ในฐานะอย่างข้าพเจ้าสิ ช่วยให้พ้นความกลัดกลุ้มเปราะหนึ่งแล้วคิดว่าพ้นอก กลับตระหวัดมาเป็นเปราะสอง ความรักเมื่อแรกเห็น เป็นอย่างไรก็สุดรู้ เคยได้ยินแต่ว่าพิษสงของมันฉกรรจ์ ทำลายได้ทั้งสิ้นไม่ว่าศีลใหญ่ข้อไหนแห่งธรรม!

ข้าพเจ้าจะตอบจดหมายลินจงอย่างไรดี หรือจะนิ่งไม่ตอบเฉยๆ เพราะใช่คานที่จะสอดหมูหาม คนอย่างลินจงแม้จะใจร้อนใจเร็ว แต่มีแววแข็งไม่วู่วามเสียวแสยงด้วยจริตจะก้าน ความรักที่เธอมีต่อประสิทธิ์สามีเดิม เป็นความรักที่น่าบูชาน่าริษยา มีรูปบนเตียงนอน! มีรูปในกระเป๋าถือ มีรูปบนโต๊ะสอนหนังสือ มีจดหมายฉบับแรกในล็อกเก็ตติดกับทรวงอก ผู้สู่ขอหลายรายดีกว่าประสิทธิ์ทั้งคุณสมบัติ ทรัพย์สมบัติและรูปสมบัติ แต่ไม่มีรายใดที่เธอจะแยแสเอนเอียง แต่รายกำจรนี่แปลกกว่ารายอื่น ตามฟังเล่าในจดหมายเพราะกำจรเหมือนประสิทธิ์ในตาของลินจงอยู่มาก แต่ที่จะให้เหมือน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เห็นจะหายากถ้าไม่เพิ่มประมูลขึ้นด้วยอารมณ์รัก

ข้าพเจ้าตอบไปสั้นๆ แต่เพียงว่า

“ลินจง ชีวิตของคุณย่อมเป็นอิสระในอนาคต ความรับผิดชอบทุกอย่างหลังจากการแต่งงาน การตัดสินใจตลอดจนการบังเอิญ-ขอให้ใช้ความรอบคอบให้มากที่สุดในคราวสำคัญนี้ เป็นห่วงอยู่เสมอ”

อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาคุณแม่ของลินจงมาหาข้าพเจ้าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่บริษัท ยื่นโทรเลขของลินจงให้ข้าพเจ้าดูโดยไม่ยอมนั่ง ใจความในโทรเลขนั้นว่า

“แม่โปรดมาสงขลาด่วนนี้ หนูจะแต่งงาน”

“ทำได้! ลูกของแม่ไปได้ยังไม่ถึงเดือน แต่งกับใครก็ไม่รู้ แรกฉันสงสัยว่าเป็นคุณ”

ข้าพเจ้ายิ้มเชิญให้นั่ง-แต่ไม่ยอม

“ฉันจะไปสงขลาพรุ่งนี้ ไปเครื่องบิน ขอโทษที่เข้าใจคุณผิด มีอะไรจะฝากถึงเขาขอเอาไปบ้านค่ำนี้ ถ้าทันฉันจะไม่ให้แต่งงานเป็นอันขาด ฉันจะบอกว่าประสิทธิ์มาคอยที่สามเสน”

เวลาล่วงไปอีกหลายวัน ข่าวคุณแม่ของลินจงและตัวลินจงหายเงียบไป ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าลินจงคงแต่งงานเรียบร้อยแล้วและมีเหตุผลฉกรรจ์ (นอกจากการเงิน) ที่ทำให้คุณแม่ของเธอยินยอม ปักษ์ใต้กับความเป็นโสด ใครเป็นโสดนานเท่านานต้องไปทิ้งที่ปักษ์ใต้! เพื่อนของข้าพเจ้าบางคนบินไปหมั้นผู้หญิงปักษ์ใต้ และยังบินไปแต่งงาน เหมือนชมคนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่ง เสน่ห์ของปักษ์ใต้มีอุดมสมบูรณ์ กระทั่งข้าพเจ้าเคยพิศวงอยู่ครามครัน ลินจงอยู่เป็นดาราในพระนครมานานปี คนดีในกรุงมีไม่น้อย กลับไปลงเอยอย่างง่ายดายที่สงขลา แต่ที่ข้าพเจ้าแปลกใจก็คือ ถ้าลินจงเปลี่ยนชีวิตใหญ่หลวงถึงเพียงนั้นทำไมไม่บอกให้ข้าพเจ้าทราบ

แต่ลินจงแต่งงานใหม่จริงๆ ทุกคนในกรุงเทพฯ เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์เช้าว่ามีการสมรสอย่างหรูหรารายหนึ่งที่สงขลา มีรายชื่อของข้าหลวงประจำจังหวัดและคุณแม่ของลินจงเป็นเจ้าภาพมีรำวงประกวดแฟนซีทีหลัง ขนมวิวาห์จาก “สมโภช” ในพระนคร เสร็จจากแต่งงานแล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ปีนัง

มีคำกล่าวว่า “ความรักย่อมมีโลกใหม่ก่อนฮันนีมูน” นี่เป็นความจริงยิ่งนัก ลินจงไม่ต้องการความคิดการแนะนำใดๆ จากข้าพเจ้าอีกแล้ว สามีของเธอเป็นแทนในทุกสิ่งทุกอย่าง เออ! หมดสิ้นภาระกันเสียทีก็ดี คนอย่างข้าพเจ้าพระผู้เป็นเจ้าอิจฉาริษยานัก เมื่อลินจงมีสุขข้าพเจ้าก็สบายใจ ถ้าจะมีอะไรเสียดายเกี่ยวกับลินจงอยู่บ้างที่เธอจากไปไกลก็คือ การขาดคู่เดินเล่นในตอนเย็น ลินจงเดินงามวางตนงามไม่มีใครเปรียบเทียบได้ เราเคยเดินเล่นกันไกลๆ จากสถานีสามเสนบนหน้าไปสู่ความสุขได้ทุกๆ ทิศ

แต่อย่างไรก็ตามในที่สุดนั้น ผู้หญิงกับความรักก็ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจาก “ความยุ่งยากและอากาศร้อน” ซึ่งเวลาทำให้เลือนลางไปเหมือนสีของดอกไม้ต้องแสงแดด

ปลายสัปดาห์ที่ทราบข่าวของลินจงนั้นเอง เหตุการณ์ประหลาดก็บังเกิดขึ้น ประสิทธิปรากฏตัวที่สามเสน! ลินจงและสามีใหม่กลับจากปีนัง!

คุณแม่ของลินจงซึ่งกลับมาจากสงขลาได้สามวันวิ่งมาหาข้าพเจ้าดุจไฟกำลังไหม้บ้าน...เห็นข้าพเจ้าเป็นคนดับเพลิง!

“จะให้ฉันทำอย่างไรกับประสิทธิ์ มันมาจากออสเตรเลีย ไปตั้งสองสามปีเพิ่งจะมาวันนี้ จดหมายฉบับเดียวก็ไม่เห็นส่งมา ลินจงกับกำจรก็จะมา...ตาย! ถ้าพบกันมิเกิดเรื่องใหญ่โตหรือ?”

ขณะที่พูดถ้อยคำเหล่านี้ แม่กับลูกเหมือนกันไม่มีผิด นางเมืองคนใหม่ของสามเสน! แต่คุณแม่ของลินจงไม่เอ่ยถึงนายกมลเลย วันมาจากสงขลาก็ไม่เอ่ย ชะรอยจะชอบอกชอบใจเขยใหม่จนลืมเก่า ชะรอยกำจรจะมีเงินมากมายมหาศาลทำให้ท่านฝันจะตายนอนตาหลับ อนิจจังของท่านคือความมั่งมี เวลาตายท่านคงอยู่ในโลงทอง ในวันเผามีหนังสือปกแข็งชุดพระราชนิพนธ์โยนให้แขกแย่ง!

ข้าพเจ้าถามอย่างสังเวช

“เมื่อไหร่ลินจงมาถึงธนบุรี”

“เย็นนี้” พลางนั่งลง เห็นข้าพเจ้าใจเย็นถึงขนาด

“ประสิทธิ์ยังอยู่ในห้องนอนของลินจงมีข้าวของมามากมาย ตายแล้ว! บ้านเคยอยู่เย็นเป็นสุขแตกกันแน่ช่วยฉันหน่อยซี”

“ไปรับลินจงกับผมที่สถานีเย็นนี้” ข้าพเจ้าออกความเห็น

“ประสิทธิ์ก็จะไป ฉันบังเอิญพลั้งปากออกไปเพราะตกใจ”

“งั้นผมจะไปนครปฐมเดี๋ยวนี้” ข้าพเจ้าตัดสินใจไม่ทราบว่าอะไรทำให้พูดเช่นนั้น “ต้องให้รู้ล่วงหน้าลองซิว่าเขาทั้งสองจะทำอย่างไร”

สั่งงานและลางานครึ่งวันแล้ว ข้าพเจ้าจับรถยนต์ไปนครปฐม ไปดักรถด่วนสายใต้ก่อนบ้านของลินจงจะแตก!

“แด๊ดดี้!” เสียงของลินจงตะโกนเรียกข้าพเจ้าอย่างน่าฉุนปลายรถ

“ขอแสดงความยินดีด้วยมากๆ ลินจง”

“นี่กำจรสามีของลินจง”

เราทั้งสองจับมือกันอย่างฉันท์คนจะเป็นญาติ กำจรเป็นชายหนุ่มผิวผู้ดี ท่าทางสุภาพอ่อนโยน ข้าพเจ้าขออนุญาตพูดกับลินจงสองต่อสองทันที

“คิดถึงลินจงมากไหม? เราตั้งใจจะ Surprise แด๊ดดี้ ลินจงบอกทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวแก่แด๊ดดี้ให้กำจรฟังเลยพลอยโปรดแด๊ดดี้ใหญ่ เพราะรู้ว่าอย่างไรก็ต้องดีอกดีใจกับเรา ขอบคุณจริงที่ส่งลินจงไปสงขลา และยังมารับถึงนครปฐมอีก!”

“ลินจง ฉันมีข่าวไม่สู้ดี ขณะนี้ประสิทธิ์มาคอยคุณที่บ้าน เขามาจากออสเตรเลีย...”

“จริงหรือคะ!” ลินจงตกใจหน้าซีดสลดฉับพลัน

“คุณแม่ให้ฉันมาถามคุณว่าจะทำอย่างไร? ท่านกลัวบ้านจะแตก นี่ฉันลางานมา เย็นนี้ประสิทธิ์จะมารับคุณที่ธนบุรี”

“โอ! ไม่ไหว” พลางซบหน้าลงร้องไห้ “โปรดเรียกกำจรที ฉันจะพบกับประสิทธิ์อย่างไร...จะเอาแผ่นดินไหนซ่อนหน้า?”

เมื่อกำจรทราบเรื่องชายหนุ่มก็ตกใจไม่น้อยกว่าภริยา พูดไม่ออก

“ลงรถที่นครไชยศรี” ข้าพเจ้าตัดสินใจกลัวบ้านจะแตกจริงๆ

“เอาการ์ดฉันไปขอพักที่บ้านพี่สาวข้าหลวงราชทัณฑ์คืนหนึ่ง พรุ่งนี้ฉันจะมารับจะปรับความเข้าใจให้ประสิทธิ์ทราบ รถจะมารับคุณที่ท่าข้ามแม่น้ำ ๑๐ โมงตรง ไปคิดตัดสินใจให้ดีๆ”

ลินจงโผกอดข้าพเจ้าแน่น ร้องไห้จนตาแดง

“หมดที่พึ่ง แด๊ดดี้ ลินจงอยากตาย ชีวิตอย่างนี้ควรตาย โปรดช่วยให้ลินจงพ้นทุกข์อีกครั้ง ถ้าหนังสือพิมพ์รู้-ตาย! จะอยู่กรุงเทพฯ ได้อย่างไร?”

“ทำใจเย็นๆ ไว้ ไม่ให้ถึงล้มถึงตายหรอกน่า อย่าพูดเรื่องตายๆ มากก็แล้วกัน”

“คุณเป็นอะไรกับลินจง-เป็นพี่ชายกำจรรึ?” ประสิทธิ์โกรธข้าพเจ้าที่สุด เมื่อขอปรับความเข้าใจกับเขาที่บ้าน เป็นสิ่งแน่นอนที่เขาไม่พอใจอย่างเอกอุ เพียงแต่สองอาทิตย์เท่านั้นก่อนกลับมา ภรรยาที่เขารักกลับไปแต่งงานกับชายอื่น

“เรานับถือกัน” ข้าพเจ้าตอบอย่างละอายแก่ใจ “ผมไม่ใช่พี่ของกำจร ความจริงก็น่าที่จะให้โจทก์จำเลยพบกันเอง ผมไม่ควรยุ่งถ้าไม่ฆ่าแกงกัน”

“ช่วยไม่ได้! เมียของผม” ประสิทธิ์ตวาดอย่างน่าเกลียด “ผมขอโทษ ผมไม่มีเวลาพูดกับคุณเลย อยากพบแต่ลินจง”

“ดีเหมือนกัน! แต่อย่าลืมว่าคุณไม่เคยเขียนจดหมายถึงเขาเลย ตลอดเวลาสองปีเต็ม คืนนี้ลินจงกับกำจรพักที่ราชบุรี” ข้าพเจ้าจำต้องพูดเช่นนี้

“พ่อแม่ของกำจรอยู่ที่ราชบุรี บ้านหน้าศาลจังหวัด”

รุ่งขึ้น ข้าพเจ้าไปรับสองผัวเมียที่นครไชยศรีและสั่งให้รถบึ่งเลยไปศรีราชา

“ประสิทธิ์ไปราชบุรี ฉันบอกว่าผู้ปกครองของกำจรอยู่ที่นั่น คุณทั้งสองไปอยู่ที่ศรีราชาพักหนึ่ง เอาการ์ดของฉันไปพักที่บ้านนายอำเภอศรีราชา บ้านพักอื่นๆ คงเต็มหมด ฉันจะลงที่ปากน้ำเพราะมีงานที่บริษัทค่ำนี้”

“พี่สาวข้าหลวงราชทัณฑ์ใจดีเหลือเกินค่ะ ต้อนรับเราดีที่สุด บอกว่าแด๊ดดี้ไม่ไปเยี่ยมท่าน ๓ ปีแล้วเห็นแต่การ์ดกับแขกแปลกหน้า”

“ตัดสินใจอย่างไร-คุณกำจร?”

“หมดหนทางครับ แด๊ดดี้ไม่เคยช่วยอะไรผมเลย โปรดช่วยสักครั้งเข้าตาจนจริงๆ”

“ลินจงยิ่งซ้ำร้าย” หญิงสาวมองดูหน้าข้าพเจ้าดุจเพ่งพระผู้โปรด “บอกกำจรว่า ตายได้ดีที่สุด”

“เต็มทีจริง คิดออกแต่เรื่องตายก็มืดหมด คิดเรื่องให้อยู่ซิ ทำใจให้ดีๆ ไปนอนคิดอีกสองสามคืน”

“ผมมีธุระสำคัญที่กรุงเทพฯ เหมือนกัน” กำจรเอ่ยอย่างเศร้า “ให้ลินจงพักที่ศรีราชาสักหนึ่งอาทิตย์ ผมจะให้ตำบลบ้านเผื่อมีอะไรเกิดขึ้น ขอแด๊ดดี้ช่วยให้ถึงที่สุด”

“ก็ต้องตรองหาทางออกที่สงบ อย่าให้ถึงฆ่าแกงกันได้แหละดี ประสิทธิ์โกรธคุณมากลินจง เขาไม่ฟังเสียเลยหาว่าฉันเป็นพี่ชายของกำจรบ้าง อื่นๆ ที่ไม่ควรเล่าบ้าง ฉันจะมาเยี่ยมคุณวันเสาร์ ลินจง” ข้าพเจ้าอำลา

ข้าพเจ้าขอตัวนายอำเภอศรีราชาผู้บ่นพึมพำตามหลังว่า “มันมีแต่เรื่องคนอื่นรุ่มร่ามเสมอ ทีไอ้เรื่องของมันไม่ยักมี จะได้ช่วยให้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที บ้าจริง! เลยไปเยี่ยมลินจงในห้องด้านหลัง

พอเปิดประตูเข้าไป ลินจงก็ผวามาที่อกสะอึกสะอื้น

“ลินจงกลัว...อยากตายที่สุด! กำจรก็ไม่เห็นมา นายอำเภอและคุณนายดีต่อลินจงมาก...ไม่เห็นจะพึ่งใครได้นอกจากแด๊ดดี้”

“นิ่งก่อน เรียนผูกได้ต้องแก้ได้ กำจรตัดสินใจอย่างไร”

“เขาขลาดยิ่งกว่าลินจง ดีแต่กอดและจูบ...”

“สำหรับลินจงเองคิดอย่างไร?”

“หมดทาง แล้วแต่แด๊ดดี้...แต่วันนี้กำจรทำไมไม่มาวันเสาร์?”

“เอ! ข้อนี้ไม่ได้เตรียมตัวตอบ เห็นจะมีธุระมากกระมัง?”

“แล้วจะให้ลินจงทำอย่างไร อยู่เป็นนักโทษอย่างนี้หรือ?”

“ไปอยู่กับประสิทธิ์ปีหนึ่ง อีกปีหนึ่งอยู่กับกำจร...”

“บ้าที่สุด” ลินจงผละไปจากข้าพเจ้า “นี่เตรียมจะจัดการกับลินจงอย่างนี้จริงๆ หรือ? เห็นลินจงเป็นอะไรไป”

“ก็ยังดีกว่าเรื่องอิลราช...” ข้าพเจ้ายิ้ม “หรือจะเอาวิธีการของ พมพิลาไล ปล่อยให้ความเป็นสาวลอยไปตามบุญตามกรรม แต่ประสิทธิเห็นจะเป็นขุนแผนก่อน เสียดายที่กำจรไม่มีเมีย-”

ลินจงยิ้มเนือยๆ อ่อนระโหยรู้ว่าข้าพเจ้าล้อ ลุกมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามข้าพเจ้าเหมือนที่ท่าน้ำที่สามเสน ลมทะเลพัดดุจอยู่ในโลกสูง นกนางนวลบินโฉบปลาเป็นฝูงเห็นแต่ไกล บางตัวร่อนเป็นรูปเรือใบ-แตะติดอยู่ขอบฟ้า กลิ่นกรรณิการ์สวรรค์ขณะนั้นไม่ทราบว่าโรยรินมาจากแห่งใด

“ลินจงของแด๊ดดี้--” ข้าพเจ้าสงสาร “ปลงใจตกหรือยังว่ารักใครมากที่สุด?”

“พูดไม่ถูกค่ะ เหมือนกันอย่างแกะ แปลกอยู่นิดเดียวที่กำจรมีฟันทอง”

“จะหย่ากับกำจรเพราะมีฟันทองมิได้หรือ?”

“แล้วกลับไปอยู่กับประสิทธิ์ ทั้งๆ ที่กำจรยังอยู่...ทนไม่ได้ค่ะ! คน อื่นอาจจะทนได้ แต่ดิฉันทนไม่ได้จริงๆ ได้ยินเรื่องเมียน้อยยังอุดหู”

“งั้นเอาใหม่ คุณรักตนเองมากอย่างไร...ไม่เกี่ยวกับอภิธรรม?”

“มากค่ะ”

“เปรียบกับที่รักกำจรรักประสิทธิ์รักตัวคุณเองอะไรมีกำลังมากที่สุด”

“ลินจง” เป็นคำตอบที่ห้าวหาญฉาดฉาน

“ได้ทีละ ให้ยึดคำตอบนี้เป็นหลักฐาน คุณกล้าตัดสินใจในจุดเปลี่ยนของชีวิตคนเดียวได้หรือไม่?”

“ได้ค่ะ แต่ต่อไปไม่ได้ค่ะ”

“ทำไม”

“เช่นเรื่องที่ตัดสินใจจะไปแต่งงานกับกำจรไม่ปรึกษาแด๊ดดี้เลย เลยยุ่งจนบัดนี้ ถ้าปรึกษาแด๊ดดี้และเห็นด้วยแล้ว ดิฉันทำได้ทุกอย่างได้ค่ะ...ได้อย่างแน่นอน”

“ถ้าเช่นนั้น สมมติให้ประสิทธิ์เป็นเลขจำนวนหนึ่งเท่ากับ x กำจร เป็น y” ข้าพเจ้าเริ่มสมการแห่งชีวิต “ให้ x-0 ให้ x-y ซึ่งคุณก็รู้ว่าเท่ากับ อะไร แล้วหาเลขสมมติขึ้นใหม่ คือ x ให้ความจำเป็นเท่ากับ +...เข้าใจไหม?”

“ค่ะ...” ลินจงหน้าแดงอย่างประหลาด ไม่ทราบว่ามองเห็นทางแก้สมการอันเดียวกับข้าพเจ้าตรงกันหรือไม่

“จำเป็นให้ฉันหาเลขจำนวนใหม่ให้ไหม?” ข้าพเจ้าย้ำ

“จะเรียนให้แด๊ดดี้ทราบทางจดหมายค่ะ”

“เห็นไหม เท่านี้ก็หมดเรื่อง สบายใจทั้งสองฝ่ายไปล้างหน้าไป๊! ประเดี๋ยวนายอำเภอและคุณนายท่านจะมาชวนไปเกาะลอย”

อีกสองสามวันต่อมา จดหมายของลินจงฉบับที่ ๒ มีมาถึงข้าพเจ้าอีก เกือบมิต้องเปิดอ่านก็ทายความสำคัญออก ความว่า

“ศรีมหาราชา, แด๊ดดี้คนเดียว ลินจงได้ก่อทุกข์กังวลให้แด๊ดดี้หลายครั้ง จนรู้สึกตนอ่อนแอและหวาดกลัวอยู่เสมอว่าจะต้องประสบกับปัญหาแก้ไม่ตกตลอดไปและคงทุกข์ทรมานเป็นที่สุด ถ้าไม่มีคนสามารถแก้ไขได้อยู่ข้างเคียง ขณะนี้ลินจงคิดเลขจำนวนใหม่ออกได้แล้ว...แลเห็นเป็นภาพที่สวยสดงดงาม และจำเป็นจริงๆ อยากจะได้โปรดให้อภัยในความโฉดน่าเดียจฉันท์ที่แล้วมาขอโทรเลขตอบกำหนดวันมารับลินจงไปอยู่บ้านพระไมตรีราชรักษาที่พัทยา นายอำเภอรับรองเรื่องหนังสือหย่าทั้งคู่ว่าจะจัดโดยอำนาจนายอำเภอศรีมหาราชาภายในหนึ่งอาทิตย์ คิดถึงแด๊ดดี้มากที่สุด ฝากจุมพิตแรกมากับดวงใจ”

ขณะที่น้ำหน้าท่ากำลังไหลขึ้น อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะไหลหลง เสียงเรือไอเครื่องดีเซลขึ้นล่องดั่ง Overture ของโชแปง เรือระมาดใหญ่งามดุจปั้นด้วยสีผึ้งในทะเลฝันสีน้ำเงินอ่อนรอบระเบียงบริษัทเสียงนกกระจอก แซ่ซ้องเสมือนนกกางเขนหลงแสงอรุณรุ่ง

อา! สามเสนที่ลืมไม่ลง ที่หน้าบ้านมีสระปลาพ่อบ้านแม่บ้านชื่อแด๊ดดี้กับดอตตี้ มีลูกสาวคนโตชื่อ “นิด” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเยาวมาลย์ “นิด” มีน้องชายชื่อน้อย ซึ่งจะเรียกเมื่อเดินไปโรงเรียนได้ว่า “สามเสน”

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ