รวงทอง

ความรักของหญิงสาวผู้มีความสวยอย่างเยือกเย็น บริสุทธิ์และกล้าหาญ สามารถหยุดยั้งสงครามที่เปลืองชีวิตมนุษย์นับแสนลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ...นี่หรือคือ - ความรัก ...หรือนวนิยาย

ท่านผู้อ่านยังพอจำชื่อ “เอแลน บาลอง” วีรสตรีชาวญวนได้กระมัง? ในบทที่หนึ่งและบทที่สองตามคำเล่าของ “สุจริต ธำรง” นักเรียนไทยที่มีชีวิตในอินโดจีนฝรั่งเศส ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ “สุภาพสตรี” ท่านคงจำได้ว่า เอแลนเป็นสุภาพสตรีในร้านสบู่ใหญ่แห่งบูรวาร์ด อายุ ๑๘ ปี มีน้องสาวชื่อ “ซูซาน” แม่เป็นชาวญวนแท้ แต่ชื่อ “เออเชนิ รีวีแอร์” พ่อเป็นชาวญวน ตระกูลดึกดำบรรพ์สืบมาแต่ “องโตย บาลอง” ข้าราชการผู้สูงศักดิ์แห่งราชวงศ์เหยียง

เอแลนได้รับการศึกษาจากปารีส สำเร็จหลักสูตรอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ฝ่ายหญิง ๓ ปีมาแล้ว เธอสวยเพียงใด มีทัศนะเรื่องโลกและชีวิตเป็นเสน่ห์เพียงใด ใครได้พบปะวิสาสะแม้ครั้งหนึ่งจะลืมไม่ได้เป็นอันขาด

บุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเอแลนคือ “เตื่อง-วาน-เหยา” บุตรชายโทนของเศรษฐีนีตาพิการแห่งเมืองหมีทอ เตื่องเป็นมิตรร่วมสำนักปรัชญากับสุจริต ณ วิทยาลัยเอี่ยง-เจิ๊ง-ทั่น เขามีรูปร่างขาวและเหลืองจัด เช่นเดียวกับชาวญวนชั้นสูงทั่วไป ชอบแต่งตัวแบบอังกฤษ ผ้าผูกคอปมเล็กชิดครีบปลาและปล่อยยาวตามปกติ เตื่องทำคะแนนสอบได้มากกว่า ๙๖ เปอร์เซ็นต์เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาศาสตร์ปรัชญาและประวัติศาสตร์ เขาหลงรักเอแลนเพราะเห็นว่า หญิงสาวมีความใหม่มีความวิตถารอย่างน่าพิศวง ส่วนเอแลนรักชายหนุ่มจากความนิยมที่ลึกซึ้งตรงกันข้าม เธอบูชาคนเก่งและความเก่งทั้งสองสิ่งนี้ไม่กล่าวถึงศัตรูของการต่อสู้และความทะเยอทะยานคือความมั่งมีซึ่งเตื่องมีอย่างบริบูรณ์นั้น เอแลนเชื่อว่าความรักของเตื่องกับเธอสามารถจะทำให้ญวนมีเอกราชได้ ความรักที่ช่างศักดิ์สิทธิ์มีมหิทธานุภาพ ความรักของวีรสตรี-เปรียบกับความรู้สึกของโลกและปารีส เหมือนความรักของนกคู่หนุ่มสาว ที่รีบแยกพ่อแม่ไปทำรังตามป่าธารก่อนแต่งงาน

นาฏกรรมแห่งชีวิตของเอแลน บาลอง อนิจจา เลือดที่สืบมาแต่ “องโตย-บาลอง” ผู้เปี่ยมศักดิ์ช่างเหมือนกับชีวิตของ ชองเตอร์แรนด์กอร์เดย์ และชอง คาร์ก ความรักที่เหยียบเกียรติอันต่ำส่วนบุคคลไว้แทบเท้า ความรักที่ต้องการเสียสละให้เฉพาะแต่ประเทศชาติ หญิงใจสูงเช่นเอแลนนี้-ในสมัยแห่งความเคราะห์ร้ายขมขื่นนี้ จะมีในโลกสักกี่คนหนอ!

ท่านที่เคยสนใจในดิถีรักของเอแลน คงทราบต่อมาว่า เบื้องปลายชีวิตของเธอจบลงด้วยการกินยาตายที่นิคมนักโทษ “ลาว-บาว-แยน” ดินแดนที่โหดร้ายที่สุดของอินโดจีนฝรั่งเศส เอแลนตายในวันรุ่งขึ้นที่ไปถึงศาล พิเศษพิพากษาจำคุกเธอ ๕ ปี ในฐานที่ได้ฆ่านายตำรวจลับ ๒ คนบาดเจ็บสาหัสอีก ๑ คน รวมทั้งได้ประหารหญิงซึ่งเป็นที่มาของการฆาตกรรม คือ “มารี-ยัง-โฮน” โสเภณีขั้นสูงแห่งสถานเต้นรำตาบาแรง ภรรยาของเตื่อง เอแลนตามไปประหารมารีที่นครหมีทอ กระสุนทะลุทรวงอกของ “หญิงชั่วชีวิตหนึ่ง” ผู้นั้นกระทั่งศพงอแข็ง ซุกลงข้างตู้นิรภัยใหญ่ศีรษะเต็มไปด้วยเลือด ริมฝีปากเขียวอ้าเผยอฟันเหลือง ความจริงเธอต้องการฆ่าเตื่องก่อนมารี แต่เขาสามารถหนีไปได้เสียก่อน

มาดามเหย่าเล่าให้สุจริตฟังหลังการฆาตกรรมว่า “ชีวิตของเตื่องเหมือนฝาโลงที่ปิดไม่สนิท เขารู้มากเกินกว่าที่จะตายได้อย่างสงบ มันคงจะเปิด เปิดเข้าได้อีกในไม่กี่วัน ป่าช้าเมืองหมีทอจำต้องแบกภาระ--สิ่งที่หาค่ามิได้เลย--อีกสิ่งหนึ่ง

ขณะที่เล่าน้ำตาได้เอ่ออาบลูกตาพิการของหญิงชรา อย่างแค้น อย่างเสียดาย และอย่างเศร้า

ประมาณสองอาทิตย์ก่อนที่เอแลนจะตัดสินใจเรื่องการฆาตกรรม เธอมาพบสุจริตที่บ้านถนนชาสลูป์โลบาต์ และเล่าถึงความตั้งใจของเธออย่างเด็ดเดี่ยวเปิดเผย สุจริตรู้ดีว่า เตื่องเป็นนักศึกษาชั้นสูงที่ปฏิบัติตามความรู้มิได้แต่ประการใดเลย ยิ่งกว่านั้นยังมีสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของเตื่อง ซึ่งเอแลนไม่รู้แต่ควรรู้คือเสพฝิ่น

ฝิ่นคือยาที่สามารถประคองชีวิตของผู้มีวัณโรคปอดให้มีอายุยืนไปได้อีก จากปีหนึ่งถึงสองปี นี่คือเหตุผลของเตื่อง ส่วนการที่เขาผละจากวงแขนที่เต็มไปด้วยคำมั่นสัญญาและความร้อนเร่าของเอแลน ก็เพราะเขาเชื่อ อเล็กซองดรู ดูมาส์ในคติว่า “โสเภณีมีความรักเหมือนกัน” ในนิยายเอกของดูมาส์ชื่อ “ดามโจกาเมลิยาส์”

จากทฤษฎีลงมาสู่ปฏิบัติ-เตื่องได้แต่งงานอย่างเงียบๆ กับมารี เตื่องทำทั้งๆ ที่รู้เขาเมาฝิ่นและเมาอารยธรรม เขารู้ว่าอุดมคติเป็นทั้งสมบัติ และเป็นทั้งการกระทำของเทพบุตร เป็นสิ่งที่ทำได้ยากสูงและเสียสละ ซึ่งจะต้องไม่ใช่เขา!

ในเมื่อชีวิตของเขาจบลงที่กล้องฝิ่น มีมารีผู้เลอโฉมเตรียมตับหมูสดสับละเอียดนอนรับใช้อยู่ข้างเคียง อารยธรรมของเขาก็คือความมืดมัว นับตั้งแต่วัยหนุ่ม เขาก็มีการตามใจเป็นนาย มีความสุรุ่ยสุร่ายเป็นบ่าว ครั้งแรกที่เขาและสุจริตย่างเข้าไปในร้านของเอแลน เขาซื้อสบู่หอม “เลอก๊กลุกซ์ปริเว” ซึ่งเป็นสบู่ที่มีราคาแพงที่สุดถึง ๒๔๐ ก้อน โดยมีเหตุผลเพียงแต่ว่า “การรู้จักกับหญิงสาวทุกคนในครั้งแรกนั้น คือการจุมพิตดวงตาของเธอด้วยเงินตรา”

เอแลนเล่า–เธอก็เช่นเดียวกับสุภาพสตรี “ดีที่สุด” ทั้งหลาย เธอจะเป็นดวงดาวในท้องฟ้าเกินวัยสวาทนั้นไม่ได้เป็นอันขาด สตรีคือความอบอุ่นแห่งชีวิตบุรุษซึ่งมักจะเรียกความอบอุ่นเช่นนั้นว่า "ความรัก” เอแลนต้องการเตือนสติชายหนุ่มซึ่งการเตือนอันเป็นประหนึ่งสัญชาตญาณแห่งเพศหญิงนั้น ก็คือการตกหลุมหนาม–โดยที่เตื่องเป็นคนขุด!”

ในบ่ายวันนั้นทั้งเตื่องและสุจริตกำลังออกจากการชมภาพยนตร์เรื่อง “อัตลองติค” ที่คาเกา

เมื่อสุจริตถูกรั้งไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวที่เจ๋อเลิ้งเขาก็ได้ค้านเตื่องอย่างรุนแรง

“เธอบาปหนัก เตื่อง ทำไมเมื่อเธอไม่จริงอะไร–เธอไปสร้างความหวังแก่หญิงที่ประเสริฐที่สุดเพื่อประโยชน์อะไร? อย่าลืมว่าชีวิตของเอแลน นอกจากครึ่งที่อ่อนแอที่สุดนั้นอยู่ที่เธอ อีกครึ่งหนึ่งคือประเทศญวน”

“แต่ผู้หญิงคือเครื่องจักรสำหรับความพลาดหวัง” เตื่องตอบซื้อความรำคาญ “เอแลนฉลาดพอและสวยพอที่จะรักใหม่ได้เสมอ” สำนวนของบาลซาคที่เตื่องจบเรื่องของเอแลนเช่นนี้ทำให้สุจริตชะงัก

“เธอคิดเช่นนี้ และเธอพูดกับเอแลนเช่นนี้จริงๆ หรือ?”

“ความรักที่แท้จริงคือการโกหกเพื่อนเอ๋ย---ถ้าเธอสำรวจประวัติศาสตร์ของความรัก เธอจะเห็นจริง ฉันโกหกเอแลน ก็หมายความว่าฉันรักเขา แต่หากฉันพูดว่า ฉันรักเขา นั่นจะหมายอะไรมิได้นอกจากว่า ฉันโกหกเขา”

นี่คือความจริง ท่านผู้อ่าน ดิถีรักของคนทุกคนไม่เหมือนกัน เดี๋ยวนี้เราต้องการความจริงที่แปลกและมหัศจรรย์ แต่กับดิถีรักของเตื่อง-วาน-เหยา นั้นมันเป็นความจริงเพียงคารม โดยซ่อนความต้องการที่ลึกลับอย่างหนึ่งไว้เบื้องหลัง ซึ่งเมื่อค้นพบแล้ว และนำมาเปรียบกับการเสียสละของเอแลนแล้ว สิ่งนั้นก็ช่างเป็นสิ่งโสมมและต่ำช้าอย่างที่สุดเสียจริงๆ!

เบื้องหน้าของเอแลน สุจริตได้ป้องกันเพื่อนของเขาอย่างซื่อและเต็มที่ เอแลนโกรธจัด ตอนหนึ่งเอแลนได้พูดอย่างรุนแรงว่า

“สุจริต เธอศึกษาปรัชญาเพื่อที่จะเข้าใจความรักและผู้หญิงอย่างโง่เขลาเช่นนั้นหรือ?”

“เอแลน---!” ชายหนุ่มอุทานอย่างข่มสติ รู้สึกตนโกรธอย่างไม่เคยเป็น

“เธอดูถูกเพศหญิง” หญิงสาวไม่ยั้งและพูดต่ออย่างรวดเร็ว “เธอ เตื่อง เฉา เฉินและเพื่อนของเธอถือว่า เพศหญิงคือเพศที่ต่ำที่สุด ใจง่ายที่สุด”

ตั้งแต่เริ่มรู้จักกันมา ไม่มีครั้งใดที่เอแลนจะลืมตัวและรุนแรงถึงเพียงนี้ ดวงพักตร์ของเธอก่ำไปด้วยโลหิต ปากและมือสั่นระริกหลังจากสะกดอารมณ์ผ่อนเบาลงแล้ว เขาก็ได้เอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ

“เรามีเพียงสองเพศ เพศทั้งสองคือพ่อและแม่ของเรา ไม่มีเพศไหนสูงต่ำกว่ากัน หากเสมอกัน---” ไว้ระยะคิดชั่วครู่หนึ่ง “การขอร้องไม่ให้ฆ่าเตื่องก็เพราะฉันเห็นว่า ชีวิตคนนั้นไม่มีคุณค่าควรแก่อิสรภาพของชาติ ไม่ได้ดูถูกเธอ ครั้งหนึ่งเธอเล่าว่า อุดมคติของเธอไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่การแต่งงาน ไม่ใช่เตื่อง หากสูงกว่านั้น สูงถึงขั้นข่มความรู้สึกทางเพศ และสูงกว่าความโสมมเช่นนั้น---”

ดวงตาเอแลนเต็มไปด้วยคำสารภาพ เธอนิ่งอึ้ง เขาจึงพูดต่อ

“ฉันรู้ว่าฉันแพ้เตื่อง เพื่อนรัก ตลอดชีวิตของฉันเป็นคนโง่และไม่เคยได้ชื่อว่าฉลาดเรื่องผู้หญิง---”

“ยกโทษให้ฉันนะ สุจริต ฉันขอโทษ” หญิงสาวพูดอย่างจริงใจ “พูดถึงเรื่องเธอบ้างเถอะ---กลับไปเมืองไทย มีใครต้องการเธออย่างจริงจังบ้าง?”

“รับปากฉันก่อนว่าเธอจะหยุดคิดเรื่องเตื่อง”

“แต่ฉัน---ฉันรักเขา ความรักเป็นชีวิตที่ลึกซึ้งเหลือเกินสำหรับความบริสุทธิ์ ฉันไม่เหมือนมารี-ยัง-โฮน ความรู้สึกรักมันเหมือนน้ำประปา–เหมือนฝนในฤดูฝน–”

“เข้าใจ เอแลน เข้าใจเธอดีที่สุด”

“มีใครบ้างต้องการเธออย่างจริงจังในเมืองไทย?” ระยะสะอื้นน้อยๆ ของผู้ถามขณะที่เบือนหน้าหนี ถามย้ำถึงความหลังของชายหนุ่ม น้ำเสียงแผ่วเบาและรัญจวน

“ไม่มี เอแลน” เขาตอบอย่างสะกดและใคร่ครวญ “ถ้าจะมีก็คงเป็นครูเก่าคนหนึ่งที่เชื่อว่าฉันอาจจะทำความสำคัญอะไรได้บางอย่าง...ซึ่งฉันไม่รู้”

“แต่คู่รักของเธอ เตื่องเล่าว่าชื่อ ‘นางราม’ เป็นสุภาพสตรีที่มีการศึกษาสูง ใจคอเด็ดเดี่ยว ฉันอยากรู้จักเหลือเกิน”

“เขาตายนานแล้ว!” เสียงของเขาพิรุธเจือความสั่นสะเทือน “เขาไม่มีชีวิตอยู่ในโลก ซึ่งเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงได้นานเช่นที่เราทนกันอยู่นี้”

“จริงซินะ คู่รักของเธอคิดถูก ความตายคือความสุขที่สุดของผู้ที่ซึ้งถึงความสุข” หญิงสาวนึกนิยม “เธอเคยอ่านเรื่อง “ลีลูลี” ของโรแมง โรลลองด์มิใช่หรือ? ตอนหนึ่งที่ว่า ‘ใครจะมีความสุขมิได้ จนกระทั่งเวลาที่สุดท้ายของความตายมาถึง’ เป็นประโยคที่น่าวิจารณ์มาก คู่รักของเธอ–เขาช่างคิดช่างฝัน และมีความวิตถารเหมือนฉันไหม?”

“ขณะที่รักกันอยู่ เขาพูดเสมอว่าชีวิตเหมือนหอยที่เกาะอยู่บนผิวโลก จะทำดีที่สุดหรือเลวที่สุดเพียงใดก็ตาม สิ่งที่เหลือสุดท้ายก็คือเปลือกหอยที่มีแต่เพียงธาตุดินและปูน–”

“แต่เขาคงเป็นหอยตัวเมีย”

“เขาเป็นเทพธิดาไปแล้ว เอแลน... เขาเกิดมาจากความบริสุทธิ์เว้นแต่ที่มารักฉัน ซึ่งเขาถือว่าเป็นความมัวหมองน่าสยะแสยง เขาอยู่บริสุทธิ์ ไปบริสุทธิ์ เชื่อไหม--- ความรักของเราจบลงด้วยการจุมพิตแผ่วเบาที่สุดตรงนิ้วเท้า”

“ใครจุมพิตใคร?”

“หอยตัวผู้จุมพิตหอยตัวเมีย!”

เอแลนหัวเราะก้องกังวานอย่างยิ้มเยาะ ลืมเตื่องสนิท และพูดเป็นทำนองปลอบโยน

“ความหลังเศร้านะ สุจริต ความหลังของบุคคล...ที่เป็นเด็กอ่อนในความรักเช่นเธอ...ยิ่งเศร้าและประหลาด ทำไมเมื่อไม่มีใครต้องการเธออย่างจริงจังในเมืองไทย ทำไมเธอไม่อยู่กับเราที่นี่ เมืองญวนเหมือนเมืองไทยทุกอย่าง และเธออาจจะมีความสุขตลอดชีวิตเหมือนพวกเรา ซึ่งได้กลายเป็นชาวไทยที่สามเสนในเมืองไทย เธออาจจะแต่งงานกับพวกเราดังนิทานเรื่อง ‘ยาดีน’ ร้อยกว่าปีมาแล้ว ที่สมาคมนักประพันธ์หนุ่ม เธอได้ยินชื่อ ‘โฝ-บัน-ดึก’ มิใช่หรือ?”

“เคย เอแลน เราเคยรู้จักกันและเคยเล่นปิงปองด้วยกันสองสามคราว”

“โฝสนิทสนมกับฉันตามควร เขาเกิดที่ห่าโหนย เรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยและสอบไล่ชั้นสุดท้ายตก ๒ ปี เพราะมันสมองของเขาเต็มไปด้วยทรรศนะทางอักษรศาสตร์ มีหลายคนชม โฝเป็นนักเขียนชั้นสามเพียงสองปี เดี๋ยวนี้เขาสามารถเป็นนักเขียนชั้นหนึ่ง เรื่อง ‘ยาดีน’ ของเขามีชื่อเสียงโด่งดังมาก น่าแปลกไหม สุภาพสตรีที่เป็นตัวเอกของเรื่องเป็นคนไทยชื่อ ‘รวงทอง’ เป็นบุตรีขององค์บดินทร์แม่ทัพไทยเรืองนาม”

“รวงทอง!” สุจริตสนเท่ห์งงงุน

“จ้ะ ชื่อ ‘รวงทอง’ จริงๆ ฉันออกเสียงชัดแน่ ฉันรู้สึกว่าชื่อนี้มีความหมายไพเราะเยือกเย็นอะไรสักอย่างหนึ่ง”

“ในพงศาวดารไทยไม่เคยปรากฏว่าองค์บดินทร์มีบุตรชื่อรวงทอง”

“แต่บางครั้งบุคคลที่เชื่อว่าตนรู้ดีที่สุดในวิชาการอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจจะโง่อย่างถนัดในวิชาการนั้น” หญิงสาวค้าน จัดเจนและคมคาย “เช่นเชื่อในเอกสารฝ่ายเดียวไม่รอบรู้หรือไม่กว้างขวางพอ รวงทองอาจจะเป็นวีรสตรีในความฝันของโฝ-บัน-ดึก ใครจะพิสูจน์? เขาอาจจะเห็นว่าพันธภาพแห่งอักษรศาสตร์ไทยและญวนไม่เป็นแก่นสาร จึงผูกนิทานขึ้น ทำนองเดียวกับมิกูเอลเดอแซร์วองต์ ลามาร์ตีน ลาเจอล็อฟ หรืออาจจะเป็นบุตรีองค์บดินทร์จริง ใครจะรู้? สงครามไทยญวนขับเคี่ยวกันเป็นเวลานานปี รวงทองมีอายุเพียง ๑๖ ปี ในนิทานที่ไม่ตาย...ที่ยาดีน”

สุจริตหน้าชาด้วยรู้น้อย เขาสงสัยยิ่งขึ้น

“เล่าเรื่องของรวงทองเถอะ” เขาขอร้อง

“นิทานของโฝไม่ใช่เรื่องเก่าสำหรับเธอนะ?”

“ฉันไม่เคยอ่านเลย” เขาสารภาพ “เห็นบุคลิกลักษณะของโฝ ไม่เชื่อว่าจะมีความลึกซึ้ง น่าศึกษาหรือน่านิยม วรรณคดีญวนนอกจากเรื่อง “ลุก-วาน เทียน” และ “กิม-วั่ง กี่ว” แล้ว ฉันรู้น้อยที่สุด”

จ้องดูความกระหายของชายหนุ่มอย่างซื่อและเห็นใจชั่วครู่หนึ่ง เอแลนเริ่มเล่าเรื่อง ซึ่งเป็นบทหลังหรือบทสุดท้ายใน “กรุงเทพฯ...นครแห่งความหวัง”

“โฝเหมือนภาพปีศาจของอาลชีเปียด ความลึกซึ้งจริงๆ มักซ่อนอยู่ในความน่าเกลียดน่าสะพรึงกลัวโดยมีความละเอียดอ่อนความไม่แกล้งรู้และความเงียบเป็นอาภรณ์ของความกระหายหลบซ่อนอยู่ คิดดูซิ สงครามไทยและญวนได้หยุดชะงักลงครั้งนั้น เพราะการเสียสละของหญิงคนเดียว คือรวงทอง--- หญิงที่มีแต่ความสวยอย่างเยือกเย็น บริสุทธิ์ กล้าหาญ--- สงครามที่ต้องเปลืองชีวิตมนุษย์ ๑๕๐,๐๐๐ คนทั้งสองฝ่าย การเงินทางฝ่ายญวนก็เสียหายมากกว่า ๔,๗๐๐,๐๐๐ เหรียญ ศพนอนกองท่วมอาณาเขต เลือดดังแม่น้ำ ช้างและม้าต้องกลายเป็นอาหารของหนูและตัวหนอน ซึ่งเป็นสูตรที่ต่ำเพียงใดสำหรับมนุษยธรรม!”

เอแลนหยุดอัสสะ แหงนพักตร์อันงามประหนึ่งจะปลงสังเวชต่อพิภพ

เพื่อเอาใจหญิงสาว สุจริตขับโคลงของอาร์โกส์ท่อนหนึ่งว่า Qu'importe la de faite, Qu'importe la victoire? La bataille das hommes N'est Qu' un voin simulacre!

“ความพ่ายแพ้หรือชัยชนะมีค่าอะไร? สงครามแห่งมนุษย์ไซร้เปรียบเหมือนเงา”

“ต่อท่อนที่สองซีจ๊ะ ฉันชอบเรนเน อาร์โกส์เหมือนกัน โคลงของเขาเหมือนเรื่องต่อไปของรวงทอง”

เขาจับมือหญิงสาว ความสนใจแล่นไปจับอยู่ที่คำว่ารวงทอง พลันขับโคลงบทที่สองต่อ

Qu' un empire s'il restera la terre,

Tourjours par'te et paree dans ses meme frontieres

Que la terre a son

Tour soit frappe' dans sa course, il restera l'espace et ses grappes de mondes.

“แม้อาณาจักรพินาศ โลกยังอยู่ ไม่รู้เปลี่ยนอาณาเขตเพียบเรียบร้อยดูถึงโลกลู่แตกล้างจากโคจร ยังอวกาศมั่นดำรงคงกันอีกหลายโลก...”

“เอาละ! โปรดเล่าเรื่องรวงทองต่อ มิเช่นนั้นเรื่องจะไปกันมาก”

“เธอจำแม่น ขับเพราะ” หญิงสาวชมนิดหนึ่งก่อนดำเนินเรื่อง “เรื่องถึงไหนล่ะ มนุษยชาติกับบทกวีทำให้ลืมชาติเสมอ?”

“เธอกำลังปลงสังเวชต่อสูตรมนุษยธรรม”

“ตอนนี้เริ่มสนุก ก่อนที่การรบอย่างแตกหักจะเกิดขึ้นเหนือแม่น้ำไพรนคร รวงทองพบองเตรืองยิน นายทหารใหญ่ฝ่ายญวน ซึ่งเป็นลูกชายของแม่ทัพที่ ‘ยาดีน’ รวงทองเป็นจารสตรีฝ่ายบิดา โฝบรรยายภาพตอนก่อนพบไว้งดงามเหลือเกิน รวงทองจมน้ำกลางแม่น้ำในตอนดึกสงัด ที่ที่จมนั้นอยู่ตรงหน้าสวนดอกไม้ของแม่นมของเตรืองยิน แกรักดอกไม้ของแกโดยไม่ยอมอพยพ เตรืองยินแอบมาหาแกเสมอ เขาเป็นนายทหารที่ประหลาด ใคร่ในความวิเวก! เบื่อหน่ายสงคราม สงสารมนุษยชาติ! และใคร่เห็นประเทศทุกประเทศในโลกมีสันติภาพอันไม่รู้สลาย--ซึ่งเขาก็ไม่มีวิธี”

“ชีวิตของธรรมชาติก่อนที่รวงทองจะจมน้ำนั้น โฝบรรยายไพเราะที่สุดว่า”

“ดวงเดือนสว่างเสมอตะวันบ่าย แม่น้ำใสกระทั่งเห็นปลาและปีกของนกหลับบนรัง เรือของหญิงสาวแล่นแหวกน้ำเงียบเหมือนมีดตัดกระแสน้ำ หญิงสาวตอบชายหนุ่มผู้ช่วยชีวิตตนอย่างตะกุกตะกัก กลิ่นดอกไม้ในสวนหอมตลบยั่วยวนใจ พรหมจารีและความเงียบ พลันแสงเดือนที่เป็นครูของความรักก็เริ่มสอน”

อารมณ์ของเอแลนกำลังลอยไปตามรสแห่งคำ

“สอนอะไร?” เขาถาม

“สอนถึงชีวิตของความรักและความลึกลับของความงาม”

“ฉันอยากจะได้ยินการบรรยายของโฝจากเธอ เอแลน เธอเหมือนพิณ แม้ขับแต่เพลงเลวๆ ก็น่าฟัง”

“ขอบใจ เรื่องก็พูดคล้ายเธอนี้เหมือนกัน-คำบรรยายของโฝเริ่มต้นจากดวงเดือนดังนี้”

“เวลาเรียนรากเหง้าของชีวิต รักคือเวลาดึก อยู่ตามลำพังกับครู ยึดกายสูงสุด อ้าปากกินแสงเดือน และหลับตา สถานที่รอบตัวควรแวดล้อมด้วยดอกไม้ ให้จับกลิ่นดอกที่หอมที่สุดเป็นกำลังใจ อ้าปาก และสูดแล้วหลับตาอีกจนกระทั่ง ควันสีขาวเหมือนหมอกในฤดูหนาวเกิดรอบหัวใจ ลืมตาขึ้น! ชีวิตของความรัก–เริ่มปฏิสนธิ”

“ในที่สุด–?” สุจริตถาม

“รวงทองก็แต่งงานกับวีรบุรุษของเธอท่ามกลางดอกไม้ที่สวยที่สุดในยาดีน สี่สิบวันต่อมาข่าวของการแต่งงานกระจาย เตรืองยินถูกจับศาลทหารกล่าวหาว่าเขาเป็น “โจรฉกรรจ์แห่งสงคราม” โดยที่เขาถือสันติภาพเป็นอาวุธ ในฐานะที่เตรืองยินเป็นเชื้อพระวงศ์ หว่างเด๊จึงเสด็จมาตัดสินเรื่องนี้ด้วยพระองค์เอง ครั้งแรกทรงบังคับให้หย่าร้าง แต่เมื่อทรงพบกับรวงทอง และหญิงสาวทูลปฏิเสธ ก็ทรงเปลี่ยนพระทัยให้ประหารเตรืองยินต่อหน้าพระพักตร์

“รวงทองยืดหยัดข้างหว่างเด๊ในวันประหาร ความรักของเธอคือพลังทั้งปวงของโลก ก่อนที่เพชฌฆาตจะลงดาบ หญิงสาวสลัดหลุดจากผู้คุมเข้ากันเตรืองยิน และโดนฟันศพขาดสองท่อนตรงบั้นเอว–”

“เตรืองยินคงรอดตาย?”

“นาฏกรรมเช่นนี้ก็เหมือนกับเรื่องที่ดีที่สุดของยุโรป” เอแลนตอบ “เขารอด–แต่จดหมายของแม่ทัพญวนที่ให้เตรืองยินถือไปก็ได้ถึงมือแม่ทัพไทย พร้อมทั้งศพของรวงทองนั้น และ–นิยมกันว่าเป็นเพชรน้ำหนึ่งของอักษรศาสตร์ญวน จับใจ ยาวซึ้ง และเต็มไปด้วยอิทธิพล สงครามได้ชะงักลงกระทั่งเซ็นสัญญาสงบศึก–ที่กรุงเทพฯ เธอไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยหรือ?”

“ไม่มีและไม่เคย นี่พูดสำหรับฉัน” ชายหนุ่มฟังเรื่องของ “รวงทอง” อย่างชมชื่น

“ชาวญวนทั่วไปนิยมการเสียสละแบบรวงทองนี้มาก ในชีวิตของฉันก็หวังเสมอว่า จะเป็นอย่างรวงทอง เธอละสุจริต ในชีวิตของเธอไม่หวังเป็นวีรบุรุษของหญิงใดบ้างเลยหรือ?”

“ฟังเรื่องของรวงทอง เกิดความรู้สึกเพื่อประวัติศาสตร์ แต่เอแลน ฉันไม่มีหัวใจ ไม่มีความรัก ฉันมองเห็นว่าชีวิตของฉันไม่ผิดอะไรกับนกพิราบที่หลงฝูงมันจะบินดูอยู่ไม่กี่ปีก็ต้องตกลงเป็นภักษาหารของสัตว์อื่น”

หัวใจเธอมีสิ่งที่เธอขาดคือ ความมีชีวิตจิตใจ” หญิงสาวอธิบาย “ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเธอไปรักหญิงที่เห็นทุกหนทุกแห่งและตนเองเป็นหลุมศพ ศาสนาของเขาคือการทรมานหรือการฆ่าตัวตาย”

“นงรามฆ่าตัวตาย–”

“นั่นน่ะซี เขาต้องการเป็น ‘เปลือกหอยตัวเมีย’ เร็วเกินไป! ฉันไม่อยากให้เธอบินไปไกลอีกเลย เธอควรจะอยู่กับมนุษย์และเป็นอย่างมนุษย์ อีกประการหนึ่ง ดิถีหนุ่มของเธอเศร้าและขมขื่นมามากแล้ว–ทำไมนะสุจริต ทำไมเธอจะต้องบินไปอีกไกล?”

“ฉันไม่รู้ เอแลน บรรยากาศแห่งชีวิตมันมืด ฉันไม่รู้ว่าจะบินไปไหน และทำไม”

“ก็ถ้าเช่นนั้น–” หญิงสาวผ่อนอัสสะ “ทำไมเธอไม่บินไปยังรังของความรักที่ที่เธอไม่มีวันเป็นภักษาหาร - รังที่มีแต่ความอบอุ่นของแม่นก - ในอกหญิงหนึ่งเช่น - เช่นฉัน ถ้า–ถ้า–ฉัน จะมีความอบอุ่นเพียงพอ ฉันจะไม่ยอมให้เธอพลัดหลงไปจากซุ้มปีก ฉันจะขอให้ความมีชีวิตจิตใจให้อุดมคติเยี่ยงมนุษย์ ให้ความสุข ให้ความรักซึ่งจะไม่ยอมเป็นที่สองของนงราม”

ประกายของความกล้าหาญและความมั่นหมายเจาะจงเปล่งออกทั่วสรรพางค์กายของเอแลน สุจริตนั่งลง ณ เบื้องเท้าของหญิงสาว จิตสะเทือนไปด้วยประกายสวาท ซึม– งง

เตื่องกับมารี!

เขากับเอแลน–เขาไม่ใช่คนดี เขารู้ในชีวิตนี้เขาไม่สามารถเป็นวีรบุรุษของหญิงใดได้เป็นอันขาด!

นงรามกับหลุมศพ! นงราม ณ นครราชสีมา–หญิงคนแรกในดิถีรักของเขาในกรุงเทพฯนงรามเป็นสุภาพสตรีที่ฉลาดอย่างไม่มีขอบขีดจำกัด ชอบแต่งตัว ชอบสนทนา ชอบเจ้าชู้ ซึ่งในสุดท้ายความฉลาดเช่นนั้นแนะให้เธอฉลาดเกินไป สองหัตถ์จึงเต็มไปด้วยความรัก–ฉลาดเกินกว่าที่จะหนีไปเป็นชี หากเธอไม่รีบฆ่าตัวเสียอย่างเศร้าและอื้อฉาว

ชายหนุ่มจมนิ่งในความเงียบ ทบทวน ขณะนั้นเบื้องหน้าของเขายังเป็นสวรรค์ของดิรัจฉาน ปลาสีเงินและสีทองคงวิ่งไล่กันรอบศาลขงจื๊อในอ่างแก้ว นกสีชมพูของแม่ซึ่งซื้อมาจากเมืองหยงลิมบินไขว่ในกรงกลม รังของมันมีหญ้าย้อยออกมาเหมือนเคราสีเทาของชาวอินเดียขอทานที่ตลาดใหญ่

ในวินาทีที่เลื่อนลอยที่ล่าที่สุดนั้น หญิงสาวถามขึ้นอย่างอ่อนหวาน

“นั่งอยู่เช่นนี้ เธอมีความสุขมากหรือ?”

“สุขที่สุด เอแลน” เขาจุมพิตหัตถ์ของหญิงสาวที่ลูบศีรษะ “ฉันไม่เชื่อว่าเทพธิดาที่ชนะการประกวดนัยน์ตางามที่ดาลัตเมื่อต้นฤดูหนาว จะประทานโชคสูงสุดถึงเพียงนี้”

“ฤดูหนาวที่ดาลัต โอ! สุจริต” หญิงสาวอุทานพลางลดตัวลงข้างเตียง แนบแก้มชิดกับแขนของเขา “ฉันเคยเป็นเทพธิดา! วันนั้นฉันเก็บความอิจฉาริษยาของหญิงสาวคู่แข่งขันนับด้วยพัน ไม่มีใครคิดว่าฉัน จะชนะจีโอแจ๊ตแห่งบริษัทชาร์แนร์–ถึงข่าวสังคมใน ‘โลปินนีอง’ และ ‘ดุคยานาม’ ก็ให้เกียรติแก่จีโอแจ๊ต แต่พูดถึงคราวเข้าจริงจังสิ โอ ฤดูหนาวที่ดาลัตฉันไม่เคยมีความสุขที่บริสุทธิ์ถึงเช่นนั้นเลย นี่อีกไม่กี่เดือนก็ฤดูหนาว”

ฉับพลัน ในอารมณ์สวาทที่แสนสุข หญิงสาวก็เอนกายลงใช้ตักเขาแทนหมอน พนมมือ ยิ้มแต่น้อย ริมฝีปากรูปหัวใจระเรื่อด้วยภาพฝัน

“เอแลน ยอดรัก เธอเหมือนรวงทอง ดวงตาของเธอเหมือนดอกไม้ในฝันทั้งหมดของเตรืองยิน”

เหมือนแรกพำนักในวิมานอันสดชื่นของเทพธิดาเหนือยาดีนสุจริต จุมพิตดวงตาที่คมวาวทั้งคู่ แก้มพวงขาวสะอาดเบื้องขวาแนบสนิทบนหน้าอกซ้าย และเหมือนเสียงของวีนัสในยามปฐมวัย เอแลนสำรวลเสียงสูงแหลมและเบา หากเสียงกังวาน ระรัวจับใจและความรู้สึกทำให้นกสีชมพูตัวเมียซึ่งเบิ่งตะลึงตั้งแต่แรกเซถลาไปปะทะอกตัวผู้ หญ้าย้อยเส้นหนึ่งสะเทือนขาดหล่นลง

“แต่งงานแล้ว เราจะไปไหนที่รัก?”

“กรุงเทพฯ เอแลน กรุงเทพฯ คือนครแห่งความหวัง เป็นนครที่สันติภาพกำลังมีอิทธิพลมากที่สุดในโลกนี้ เรามี ‘ดาลัต’ ในเมืองไทยที่เธอจะเป็นเทพธิดาได้ทุกฤดู ที่นครใหญ่ทางภาคเหนือคือเชียงใหม่ มีดอยสุเทพเป็น ‘ยาดีน’ เพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาวของเราคือดอกกุหลาบที่สวยที่สุด บานโตที่สุดและหอมที่สุด–ฉันเป็นเตรืองยิน แม่นมผู้เป็นพยานรักของเราคือเทพธิดา ในร่างของเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ผู้ผ่านไปแล้ว”

อนิจจา! ความหลัง และกรุงเทพฯ นครแห่งความหวัง นครที่สันติภาพกำลังมีอิทธิพลมากที่สุดในโลกนี้!

ข้างบนบ้าน เสียงแม่กล่อมซ็ากกรีนด้วยเพลง “ทอยหร่อยอันเยือยิน” หรือ “เพียงแต่ฝัน” เศร้า เบาและไพเราะ

ลงใน “นิกรวันอาทิตย์” พ.ศ. ๒๔๘๖

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ