วัน ๗ ๑๕ฯ ๒ ค่ำปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘

เรืออรรคราชวรเดช ปากน้ำเมืองจันทบุรี

ณ วัน ๗ ๑๕ ๒ ค่ำปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘

เราออกเรือจากเกาะกระดาษ พอพระอาทิตย์ขึ้นพ้นน้ำ มาตามระยะทางที่ว่ามาแล้ว อยู่ในน่าเกาะช้าง เวลา ๓ โมงพบเรือเทียมลมถือหนังสือคุณสุรวงษ์มาให้เราฉบับหนึ่ง ได้รอเรือรับหนังสือแล้วเดินต่อมา เวลาเที่ยงเข้าแหลมสิงห์ ทอดสมอในปากน้ำ ตรงน่าป้อมที่เขาทำพลับพลาเล็กๆไว้รับ เมื่อเรือเราจอดแล้ว พระยาจันทบุรี๘๕ ลงมาหาที่เรือ เราถามเขาถึงการต่างๆ ในที่ลูกค้าได้ค้าขายแลหนทางที่จะไปเที่ยวดูในเมืองนี้ อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงกลับไป บ่าย ๒ โมงครึ่งเราจะกินเข้า พอจีนเจียะนายอากรเตาสุราบ่อนเบี้ยมาหา เอาของกำนันมาให้เรา ได้ถามถึงสุราในเมืองนี้ เขาว่ามีสุราต่างประเทศมาจำหน่ายมาก น่ากลัวเงินจะตก แล้วแจ้งความต่อไปว่าอัฐโสฬศที่จะใช้ในตลาดนั้นมีน้อยนัก ราษฎรจะซื้อของแลสุรายาฝิ่นก็ไม่มีอะไรจะทอน มีความลำบากมาก มาอ้อนวอนจะขอให้ใช้ปี้ก็เกรงจะผิดพระราชบัญญัติไม่อาจใช้ เราได้รับเขาว่าจะถามพระยาจันทบุรีดู ถ้าไม่มีจำหน่ายเราจะให้เรือเทียมลมไปเอามาแต่กรุงเทพฯ ให้ทันใช้ จีนเจียะคนนี้อยู่ในพระยานรนารถ๘๖ก่อน เราได้ให้เสื้อแพรเขาตัวหนึ่ง

ครั้นบ่ายเกือบ ๕ โมงเรากินเข้าแล้ว วันนี้กินเข้าช้าไปเพราะเขียนหนังสือเมล์ เราเขียนถึงคุณสุรวงษ์ ๓ ฉบับ สมเด็จกรมพระ๘๗ ฉบับ ๑ พระยาพิพิธโภไคยให้ส่งอัฐและโสฬศออกไปฉบับ ๑ เจ้าคุณกลางฉบับ ๑ เรือไปบางกอกนั้นเห็นว่าเรือเทียมลมพึ่งมาถึงใหม่ เรือปานมารุตออกมาอยู่ที่นี่ถึงสามวันแล้ว ด้วยฝ่าลมข้ามไปเกาะกระดาษไม่ไหว จึงให้เรือปานมารุตไปแทนเรือเทียมลม กรมอดิศรได้ไปจัดเรือให้ออกใน ๕ โมงเย็นวันนี้ ต่อกินเข้าแล้วจึงแต่งตัว ลงเรือไปขึ้นที่ตพานพลับพลาป้อมไพรีพินาศ น้ำเชี่ยวทีเดียว ท่านกรมท่าแลพวกกรมท่ากับกรมการเมืองจันทบุรีมาคอยรับอยู่ที่ท่า เราขึ้นไปนั่งบนพลับพลา พูดกับท่านกรมท่าด้วยเรื่องจะจัดคนขึ้นไปวันที่เขาพลอยแหวน ให้ทหารกับปลัดกรมแลจ่าตำรวจ แลตำรวจเลวที่มาในเรือเขจรขึ้นไปคอยรับก่อน แต่ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์กับเจ้ากรมปลัดกรมตำรวจที่มาในเรือเราอิก ๓ คนนั้น คอยไปพร้อมกับเราเอง พระอินทรเทพนั้น เราสั่งไม่ให้ไป เพราะที่บนนั้นกรมท่ารับเลี้ยง เราให้พระอินทรเทพคอยหาให้กินอยู่ที่เรือ ครั้นปฤกษากับท่านกรมท่าแล้ว เราเดินไปดูปีกกาป้อมข้างล่าง ที่ปีกกานั้นก่อถมดินเปนใบเสมาป้อมอันใหญ่ๆ ยาวสัก ๕ ศอกหนาสัก ๒ ศอกคืบ เรียงไปกับแผ่นดินคล้ายกับปีกกาเมืองสมุท โอบไปประจบเข้าทั้ง ๒ ข้าง โดยยาวประมาณสัก ๒ เส้น แล้วเดินขึ้นไปเขาสูงประมาณสัก ๓๐ วา มีใบเสมาป้อมก่อไปตามไหล่เขาอิกชั้นหนึ่ง ข้างบนนั้นเปนพระเจดีย์ ว่าพระพิพิธเมืองตราดมาสร้างไว้ เปนพระเจดีย์ตามธรรมเนียม เราเดินขึ้นไปถึงทักษิณพระเจดีย์ชั้นบน แลดูวิ้วตลอดมาทางทเลแลด้านน่าเขาทิศตวันออก แต่ทิศเหนือนั้นบังต้นไม้ ทิศตวันตกเปนเขาแหลมสิงห์ที่ป้อมตั้งนั้นเอง.

ในเวลานั้น เราได้พูดกับพระยาจันทบุรี เขาว่าปีนี้น้ำไม่สู้มาก พอดี นาเข้างามได้ผลมาก แลนาที่ปากน้ำก็มีมาก ใน ๒ ปีนี้หักร้างถางพงเติมขึ้นอิกหลายเจ้าของ ป้อมทั้ง ๒ ป้อม คือ แหลมสิงห์ที่เราขึ้นเดี๋ยวนี้ กับป้อมที่หัวโขดเปนแหลมเยื้องขึ้นไปกว่าป้อมนี้หน่อยหนึ่งนั้นทำแต่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่๘๘ แต่ยังเปนพระคลังอยู่ ออกมาขัดตาทัพแล้ว ทำเมืองขึ้นใหม่ที่เนินวง เพราะเวลานั้นที่กรุงวิวาทกับญวนด้วยเรื่องอนุเมืองเวียงจันท์เปนต้นเหตุ จึงขาดไมตรีกัน ทางนี้เปนทางญวนมา จึงให้สร้างป้อมแลเมืองขึ้นไว้ให้มั่นคงเปนที่รับข้าศึก สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ตั้งทำเมือง ให้สมเด็จเจ้าพระยาเดี๋ยวนี้ทำป้อมนี้ แต่ท่านให้พระยาอภัยพิพิธ (กระต่าย) บิดาพระยาจันทบุรีเดี๋ยวนี้เปนผู้ทำ ป้อมหัวแหลมนั้น เจ้าคุณทิพากรวงษ์ แต่ยังเปนจมื่นราชามาตย์เปนผู้ทำ ป้อมนั้นทำก็คล้ายๆกับที่ปากน้ำเจ้าพระยาไม่ผิดอะไรกันนัก แต่ยังไม่มีชื่อ มาเมื่อทูลกระหม่อมยังทรงผนวชอยู่นั้น เสด็จออกมาทอดพระเนตรเห็นป้อมถามชื่อไม่มี จึงประทานชื่อป้อมเขาแหลมสิงห์นั้นว่า (ป้อมไพรีพินาศ) ป้อมหัวแหลมนั้นว่า (ป้อมพิฆาฏข้าศึก) แลป้อมทั้ง ๒ นี้มีที่ไว้ดินดำแลปืนพร้อม มาครั้งทูลกระหม่อม เสด็จมา ท่านทรงเห็นว่าไม่มีราชการสิ่งใดแล้วป้อมก็ทรุดโทรมมาก จึงรับสั่งให้ขนปืนไปไว้เสียที่เมือง ป้อมนั้นจึงเปนป้อมเปล่าทั้ง ๒ ป้อม โรงทหารที่ในป้อมนั้นก็ทรุดโทรมไปหมด แต่ป้อมไพรีพินาศนั้นไม่มีโรงทหารมาแต่เดิม เมื่อมีราชการเหมือนเมื่อครั้งมีข่าวอังกฤษเตรียมทัพเรือที่เกาะหมาก ตื่นกันคราวนั้น ก็ตั้งรักษาป้อมนั้นแขงแรงทีเดียว แล้วเราเดินกลับลงมาถึงชั้นกลาง เดินไปที่นอกใบเสมาป้อมที่นั้น แลเห็นภูมิพื้นแผ่นดินมากกว่าบนพระเจดีย์ เราเรียกพระยาจันทบุรีไปถามเรื่องต่างๆ แลดูไปข้างปากอ่าวนั้น เห็นเกาะเล็กอยู่ในอ่าวทีเดียว เรียกว่าเกาะจุลาแลต่อไปนั้นเกาะเปริด ข้างทิศตวันออกนั้น เขาสระบาปเปนเทือกกันมา พระยาจันทบุรีว่าตรงเขาศิลาแดงๆ มานั้น เปนที่น้ำตกคลองพลิ้ว ในเขาสระบาปมานั้นเรียกเขาจำฮ่าน ที่พื้นแผ่นดินเปนนาตลอดทั้งนั้น แลดูทิศเหนือนั้นเห็นเขาสูงใหญ่ เรียกเขาสอยดาว อาลบาสเตอร์เขาว่าสูง ๔๗ เส้น ๑ วา แลเขานี้พระยาจันทบุรีว่าถ้าจะไปทางประมาณ ๑๒๐๐ เส้นเศษ ต้องเดินขึ้นไปชายเขาทางไกลแล้วไปถึงกลางๆเรียกเขาลูกบาด ว่าเปนอัศจรรย์มาก เขานั้นมีศิลารางเปนพื้นกว้างประมาณ ๒ เส้น แล้วมีศิลาเปนสี่เหลี่ยมคล้ายกับรูปลูกบาดทีเดียว แต่ด้านตวันตกนั้นไม่สู้ตรงอยู่หน่อยหนึ่ง กว้างประมาณห้าวาสี่เหลี่ยม มีศิลากลมเปนเหมือนเตาม่อรับศิลาสี่เหลี่ยมที่เปนรูปลูกบาดตั้งเปนศิลาพื้นอิกชั้นหนึ่ง ที่ใต้ลูกบาดเตาม่อรองนั้นแลเห็นโปร่งตลอด ที่ศิลาพื้นรองข้างล่างกว้าง ๒ เส้นนั้น เมื่อ ๒ ปี ๓ ปีมานี้ราษฎรตื่นกันว่ามีรอยพระพุทธบาท เพราะเดิมนั้น พระสงฆ์เข้าไปกรุงเทพฯ ถ่ายรอยพระพุทธบาทที่เมืองสระบุรีมาให้คนทั้งปวงดู สมุน (เปนหมอสำหรับไปทำ พิธีในที่ต่างๆตามป่าซึ่งคนจะไปทำการในป่าไม่ให้มีอันตราย) เปนคนเคยไปที่เขาลูกบาด มาเห็นรอยพระพุทธบาทที่ถ่ายไปนั้น จึงบอกว่าที่เขาลูกบาดมีอยู่คล้ายกับอย่างนี้ แล้วพาคนไปดู มีพระสงฆ์แลราษฎรไปนมัสการมาก พระยาจันทบุรีได้ทราบความ จึงได้ออกไปดูเห็นรอยนั้นยาวประมาณ ๓ ศอก กว้างประมาณศอกเศษ เปนลายในศิลาขดๆ แต่ไม่เปนรอยนิ้ว มีพระสงฆ์ไปลงทุนสร้างโรงครอบไว้ ยังอิกรอยหนึ่งอยู่ในศิลาเปนที่ใกล้ๆกัน แต่ไม่ใคร่จะเปนรอยพระบาท ที่เขานั้นไม่เปนศิลาเทือกเดียวกัน เหมือนเขาทเลแลเขาอื่นๆ เปนศิลาก้อนโตๆ ซ้อนๆ กันอยู่โดยมาก มีศิลาก้อนหนึ่งใหญ่เอนลงมาเหมือนหนึ่งจะล้ม มีรอยเหมือนหนึ่งมือคบรับไว้ เราได้ถามพระยาจันทบุรีว่า ตัวพระยาจันทบุรีเองเห็นอย่างไร เขาว่าเมื่อจะไปนั้นได้อธิฐานว่า ถ้าเปนรอยพระพุทธบาทแท้แล้ว ขอให้นิมิตรสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฎสักอย่างหนึ่ง เมื่อไปถึงก็ไม่มีนิมิตรสิ่งไรปรากฎเลย ได้ไปอยู่ในที่นั้นถึง ๒ วัน ครั้นเมื่อจะกลับมาเห็นเปนรูปพระพุทธรูปปรากฎที่ศิลาลูกบาด แต่ห่มผ้าเหมือนพระญวน ได้เห็นด้วยกันหลายคน แล้วเขาเอากล้องส่องจับดู ก็ไม่แลเห็นสิ่งไร ตัวเขาเองก็เห็นว่าโตเกินขนาดนัก ไม่น่าจะเชื่อว่าเปนพระพุทธบาท แต่คนที่นับถือนั้น เปนตาแปรธาตุไปด้วยกันหมด เห็นไปต่างๆตามชอบใจ แต่ก่อนนั้นมีคนขึ้นถึงวันละพันหนึ่งพันเศษ แต่เดี๋ยวนี้น้อยไป ที่ในใต้แผ่นศิลาซึ่งเปนพื้นรองเตาม่อรับลูกบาดนั้น มีถ้ำ ถ้าคนจะลงไปในนั้นได้ประมาณ ๑๕๐ คน จนบัดนี้ก็ยังมีคนไปอยู่เสมอ แล้วเราแลดูมาข้างซ้ายอิกหน่อยหนึ่ง เปนลำแม่น้ำเห็นตลอดไปหลายคุ้ง แม่น้ำนั้น ปลายน้ำไปตกเมืองปาจิณบุรี เขาว่าน้ำลงขอดอยู่ในศอกหนึ่ง หย่อนศอกบ้าง เดี๋ยวนี้เปนโขดเกิดขึ้นมากกว่าแต่ก่อน แต่เพียงพระยาจันทบุรีคนนี้มาเท่านี้ก็เกิดโขดขึ้นจนต้นไม้งอกหลายแห่ง ในแม่น้ำนั้นข้างบนๆขึ้นไปเปนทรายทั้งนั้น ต่อมาใกล้ๆทเลจึงเปนเลน เรากลับจากป้อมลงมาที่พลับพลาแล้ว ขอให้ท่านกรมท่าช่วยทำกรงหมี ซึ่งพระยาจันทบุรีเขาให้เรา เราจะเอาไปในเรือด้วย หมีนั้นเปนลูกหมีสุนักข์เล็กทีเดียว ที่พลับพลาเขาทำโปร่งๆดี เอาอย่างทำนองฝีมือท่านกรมท่าที่ทำอ่างศิลา มีโต๊ะเก้าอี้ตั้งบ้างเล็กน้อย ที่น่าพลับพลาในระหว่างตพานข้างน่ากับข้างในต่อกันนั้น เขาทำกรงในน้ำขังจรเข้ไว้ตัวหนึ่ง แต่เปนจระเข้เล็กทีเดียว เราลงเรือตีกันเชียงขึ้นไปดูป้อมพิฆาฏข้าศึก แล้วล่องกลับลงมาแวะที่เรือไรซิงซัน เฝ้าเสด็จยายอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วกลับมาถึงเรือย่ำค่ำครึ่ง พอมาถึงเรือสักครู่หนึ่ง ท่านกลางมาหา เอาหัวเนื้อมาให้หัวหนึ่ง มีเขาติดทั้งสองข้าง บอกว่าบ่าวเก็บได้ที่เกาะกระดาษเมื่อวานนี้ เราให้กาพย์ติดไว้ที่ฝาห้องเรืออรรคราชตรงตู้เขียนหนังสือ วันนี้ท่านกลางกินเข้ากับเราด้วย พระยาจันทบุรี เอาด้วงมาให้อย่างหนึ่ง เรียกว่าด้วงหวาย แต่เราไม่ได้เห็นว่ารูปร่างเปนอย่างไร ครั้นเห็นแล้วกลัวจะกินไม่ได้ แต่พระยาจันทบุรีสรรเสริญว่ามันยิ่งนัก เราให้คุณแพหั่นเสียให้เลอียด แล้วผัดมากินมันดีจริงๆ เวลา ๔ ทุ่มเศษเข้านอน ทอมอเมตเตอร์ วันนี้ร้อนมาก ๘๖ ดิครี เมื่อบ่ายนี้ร้อนนัก เหมือนน่าร้อนทีเดียว เวลาวันนี้เดือนหงายงาม ครั้นจะอยู่จนดึกหน่อยหนึ่ง ก็พรุ่งนี้จะตื่นแต่เช้า จึงต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ.

  1. ๘๕. พระยาวิไชยาธิบดีศรีณรงค์ฦๅไชย ผู้สำเร็จราชการเมืองจันทบุรี (โต)

  2. ๘๖. พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (เถียน)

  3. ๘๗. สมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอชั้น ๒ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์

  4. ๘๘. สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงษ์ (ดิศ)

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ