วัน ๓ ฯ๓ ๒ ค่ำปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘

ทางไปที่น้ำตกคลองนารายน์ เขาสระบาป

ณวัน ๓ ๒ ค่ำ ปีชวด อัฐศก ๑๒๓๘

แต่เช้าพระอินทรเทพพาจีนโป๊ เปนหลวงวิเศษนาวากองส่วยมาดวังน่า กับจีนจำปา เอาของมาให้ เราให้เสื้อแพรคนละตัว แล้วลงเรือโบดไปเวลา ๒ โมงเศษเกือบครึ่ง แต่คนที่มาในเรือเรานั้น ต้องเหมือนกับวันที่ไปเขาพลอยแหวน ด้วยเรือกันโบ๊ดที่มีเรือเล็กสำหรับใช้เมื่อวานนี้นั้นออกไปอ่างศิลาเมื่อเช้าแล้ว เพราะท่านกรมท่าว่าพนักงานที่อ่างศิลาไม่มี เรือที่ตำรวจไปนั้นต้องใช้เรือในเมืองจันทบุรีนี้เอง มาถึงตรงปากคลองพลิ้ว ๒ โมง ๕๔ มินิต ทางในแม่น้ำต่อขึ้นมาพ้นจากที่เคยมาแต่ก่อนนั้น เปนเกาะในกลางน้ำสองเกาะ ต่อมาอิกนั้นแม่น้ำแคบลงมาก มีนาริมแม่น้ำหลายแห่ง เห็นเปนท้องทุ่งว่างไป ไม่มีต้นไม้ ไปไกลๆโดยมาก แล้วแม่น้ำคดไปคดมา ลำแม่น้ำกว้างประมาณ ๑๕ วา ๑๖ วา เมื่อเราจวนจะถึงนั้น ฝั่งข้างซ้ายมือมีต้นไม้ ดูภูมที่เหมือนบางปอิน เมื่อน้ำเสมอตลิ่งแม่น้ำจะกว้างราวกันกับคลองกลางเกาะบางปอินฤๅย่อมกว่าสักหน่อยหนึ่ง ถ้าเห็นที่นี่แล้วนึกถึงบางปอินทีเดียว เรามาถึงพลับพลาบ้านวังหินเวลา ๔ โมง ๑๐ มินิต คิดเวลาเรามาแต่เรืออรรคราชได้โมง ๑ กับ ๕๐ มินิต เปนทาง ๕๖๙ เส้น ที่พลับพลานี้วางแปลนคล้ายๆกับแต่ก่อน แต่ที่นี้เขาใช้ไม้ระกำมาก ตพานน้ำทั้งข้างน่าข้างในเขาใช้ไม้ระกำเปนฉนวน พลับพลานั้นพนักทำด้วยไม้ปล้องเล็กๆ เอาหวายขดติดเปนรั้วเหล็กตามเสานั้นประกอบไม้เปนโค้ง หลังโค้งนั้นทำเปนลายผูกด้วยหวายโปร่งๆ ดูก็งามตี เรานั่งบนพลับพลาพูดกับพระยาจันทบุรีจนจัดคนพร้อมแล้ว เราลองให้พาม้าเข้าเทียบกับเกย ม้าไม่ยอมเข้าจอดเกย แต่เมื่อจะลงม้านั้นเราได้ลองดูแต่วานนี้ ก็เข้าเทียบได้เรียบร้อย ดูสบายดีกว่าลงกับพื้นดินชอบกลอยู่ เราต้องขึ้นม้ากับพื้นตามเคย ออกเดิน ๔ โมงครึ่ง ตามทางที่เราไปวันนี้ตั้งแต่พลับพลาวังหินไปดูเปนทุ่งนาตลอดแลจนสุดตา ในขณะนี้พอเขาเกี่ยวเข้าแล้ว เห็นฟ่อนเข้ากองอยู่เปนแห่งๆ ผึ่งแดดไว้ บางทีทำเปนลอมไว้บ้างก็มี บางแห่งก็นวดแล้วเข้าเปลือกยังกองอยู่ เราไปตามทุ่งนาอย่างนี้นานจึงถึงกอไผ่และต้นไม้มีบ้างแต่ไม่หนานัก นอกต้นไม้นั้นไปมีลำคลองแต่ไม่สู้ใหญ่ น้ำไหลเชี่ยว เรียกว่าอู่ตะเภา ข้ามตพานนั้นไปเปนทุ่งนาต่อไปอิก คราวนี้เราเข้าไปในหมู่ไม้อิก เห็นมีต้นกล้วย ริมทางเปนบ้านคน มีไร่ยาบ้างเล็กน้อย แต่ไม่เปนไม้หมู่ใหญ่ไปกี่มากน้อย ต่อไปก็ออกทุ่งนาอิก เมื่อแลดูข้างขวามือในกลางทุ่ง เราเห็นมีต้นไม้หย่อมหนึ่งมีหนองน้ำกว้างใหญ่ เห็นศาลาหลังคามุงกระเบื้องอยู่หลังหนึ่งกับตพาน เราให้ไปถามชาวบ้านบอกว่าเรียกหนองรี แต่ในที่ท้องนาเหล่านี้ เห็นเปนทางน้ำไหล บางทีก็เปนห้วงน้ำบ้างมีอยู่บ่อย ๆ เห็นจะเปนห้วงน้ำมาจากลำสระบาปมาก ในหนทางที่ไปนั้น ไม่เห็นเปนป่าที่เงียบเลย คนเดินไปมาแลมานั่งดูอยู่ข้างทางแห่งละมากๆ แต่เปนปลาดอยู่หน่อยหนึ่งเราเห็นเข้าในท้องนายังพึ่งเปนรวงอยู่ใหม่ๆก็มี ลางทียังไม่เปนรวงก็มี เห็นเขาจะได้อาไศรยน้ำในลำธารด้วย แต่ต้นไม้โตเล็กเกร็งๆ แต่เปนท้องนามาอย่างนี้จนพ้นหลัก ๑๕๐ เส้นไปหน่อยหนึ่ง จึงเปนต้นไม้มาก เปนหมู่บ้านคน เมื่อเวลานี้เรามาถึงคลองอิกคลองหนึ่ง คือคลองนารายน์นั้นเอง บ้านคนเรียกว่าบ้านพเนียด มีวัดเปนโบสถ์ฝากระดาน หลังคามุงกระเบื้องอยู่ที่ข้างทางวัดหนึ่ง ชาวบ้านว่าวัดเนินสูง

ต่อไปนั้นบ้านคลองนารายน์ บ้านสระบาป ในหมู่บ้านเหล่านี้มีต้นกล้วย ต้นหมาก ต้นมะพร้าว แล้วไร่พริกไทยไร่ยาสูบถั่วต่างๆ แต่ที่เราเห็นถนัดนั้นต้นหมากเปนมากกว่าอื่นๆหมด ไปจากหมู่บ้านเหล่านี้หน่อยหนึ่งก็ถึงพลับพลาเชิงเขาอยู่ข้างซ้ายมือ ข้างขวามือนั้นมีราษฎรมานั่งดูทั้งหญิงชาย แต่ผู้หญิงที่นี่เห็นสวมเสื้อมาก เหมือนกับลาวทรงดำ ใช้ผ้าสีน้ำเงินตัดเปนเสื้อกระบอกดุมจีนบ้าง เสื้อเอวบ้าง เราไม่อยากจะหยุดพักที่พลับพลาให้ช้าเพราะหนทางไกล เรามาถึงที่พลับพลานี้ ๕ โมง ๔๕ มินิตแล้ว เราจึงเลยขึ้นไปที่เขาทีเดียว หนทางต่อขึ้นไปนั้น ขึ้นเขาสูงขึ้นไปชันกว่าที่พลิ้ว แต่หนทางใหญ่เหมือนเพ็ชรบุรี ม้ารถไปได้สบาย ไปประมาณ ๒๐ เส้น ที่นั้นเขาตัดต้นไม้ถางที่ข้างขวามือกว้างไว้หน่อยหนึ่ง มีฉลากปักไว้ว่า “ทางรถสิ้นเพียงเท่านี้”

ต่อไปนั้น เปนทางแคบลงกว่าที่มาแล้ว ๒๐ เส้น มีก้อนศิลาตั้งอยู่ตามทางมาก มีทางเฉภาะม้าเดินเรียงตัวเหมือนกับทางพลิ้ว แต่ที่นี่ไม่ได้ยินเสียงน้ำพุเร็วเหมือนกับที่พลิ้ว ต่อไปพ้นที่หยุดรถสักหน่อยหนึ่งจึงได้ยินเสียงน้ำ แต่ทางนี้เปนทางไปในซอกเขาต่อเขาต่อกัน มีอากาศว่างมาก ไม่เหมือนกับทางพลิ้ว ทางที่พลิ้วนั้นต้องเลียบเดินไปกับเชิงเขา ดูแคบกว่านี้ ไปทางอิกประมาณสัก ๗ เส้น ถึงปรำที่เขาทำไว้รับ ยกพื้นเหมือนกับเตียงลครฤๅกี๋น่าโต๊ะ มีบันไดลงน้ำแลแคร่ฟากวางเปนชั้นๆไปตามก้อนศิลาลงถึงน้ำสองทาง ยังอิกทางหนึ่งนั้นออกจากน่าปรำเดินไปสักสองสามก้าวถึงตพานข้ามไปที่พระเจดีย์ของทูลกระหม่อมทรงสร้างไว้ เมื่อเสด็จมาครั้งก่อน ลำธารที่ตรงนั้นกว้างประมาณ ๑๕ วา เปนกว้างกว่าทุกแห่ง ที่ทำพระเจดีย์นั้นถมด้วยก้อนศิลา อยู่ในระหว่างกลางลำธารน้ำเดินสองข้าง พระเจดีย์นั้นมีฐานชุกชีกำแพงแก้วชั้นหนึ่งสูงประมาณ ๒ ศอกเศษ องค์พระเจดีย์สูงประมาณ ๓ วา เขามาซ่อมแซมถือปูนใหม่ ที่ตรงน่าปรำของเราออกไป มีศาลา ๓ ห้องเฉลียงรอบหลังหนึ่ง เปนที่สำหรับกันกับพระเจดีย์ เขากั้นผ้าใบไม้ไว้เปนที่ข้างใน เราไปนมัสการพระเจตีย์ แล้วเดินลงไปที่ลำธาร นั่งอยู่ที่ศิลาก้อนใหญ่ซึ่งเขาว่าเปนที่ทูลกระหม่อมได้เสด็จไปประทับที่นั้น เราไม่เห็นว่าเปนการปลาดอัศจรรย์อะไรเลย เพราะไม่ได้เห็นที่น้ำตก เหมือนหนึ่งกับเกาะช้างแลที่พลิ้ว เปนแต่ลำธารกว้างกว่าที่พลิ้วหน่อยหนึ่ง แต่น้ำน้อย มีศิลาเปนก้อนๆ น้ำไหลตามซอกข้างศิลา เหมือนอย่างกับที่เขาทำไว้สำหรับคนที่ไปกับเราอาบที่พลิ้ว เราได้ผลัดผ้าลงอาบน้ำในที่นั้น ตรงที่อาบนั้นน้ำฦกสักศอกเศษ มีปลาเล็กๆว่ายมากเหมือนกับที่พลิ้ว แต่เสียงน้ำที่ไหลนั้นไม่ดังเหมือนที่พลิ้ว เพราะศิลาที่กระทบน้อย เปนแต่น้ำไหลโจ๊กๆ ไปตามธรรมเนียมมาก แต่หมอสายสรรเสริญว่าน้ำดีกว่าที่พลิ้ว ที่จริงนั้นก็จะดีกว่าสักหน่อยหนึ่งจริงๆ แต่เห็นจะไม่ถึงความเห็นของหมอสาย เพราะที่พลิ้วนั้นหมอสายไปอาบที่ท่าไพร่ บอกว่าเหม็นคาวเหมือนหนึ่งกลิ่นหอย แต่ที่เราอาบนั้นเปนต้นน้ำที่สุด เห็นจะไม่มีใครอาบน้ำสูงกว่าเรา ดูน้ำก็สนิทดีอยู่ แต่เสียอยู่หน่อยหนึ่ง ที่ลงไปอาบในน้ำไม่ได้ เพราะแครที่เขาทำนั้นอยู่กับปากอ่างที่รับน้ำตกทีเดียว น้ำฦกเปนนักเหลือกำลังที่จะทนได้ เราไม่อาจลงไปอาบ ถ้าจะอาบในลำธารเหมือนกับที่นี่ก็ลงไปได้เหมือนกัน เราได้ถามพระพิพิธภักดีถึงที่น้ำตก เขาว่ามีทางไปแต่ไกล ถ้าจะออกแต่เช้าก็จะถึงสักบ่าย ๓ โมง แต่เปนทางเดินลำบาก ตัวเขาเองก็ได้ไปครั้งหนึ่ง ทางไกลเดินไปไม่ถึง แต่บางคนว่าไม่สู้ไกลนัก เขาว่าถึงน้ำตกนั้นก็สู้พลิ้วไม่ได้ แต่คุณแพไปอาบน้ำที่พลิ้วแล้วกลับมาบอกว่าสู้สระบาปไม่ได้ เราได้มาครั้งหนึ่งที่สระบาปนี้ แต่ยังเล็กนักจำไม่ได้ ก็ไม่อาจเถียง ครั้นมาถึงที่สระบาปนี้ เราไล่เลียงดูอิกก็ว่าที่พลิ้วไม่ได้เข้าไปเห็นที่น้ำตกเลย เพราะต้องปีนศิลาเข้าไปลำบากลื่นนักด้วย ถึงท่านกรมท่าเองมาที่พลิ้วสามหนแล้วก็ไม่ได้เคยเข้าไปเห็นน้ำตก คราวนี้จึงต้องลงแพไปดู ถ้าจะว่าโดยน้ำตก ๔ ตำบลที่เราเห็นคราวนี้แล้ว ที่เกาะช้างเปนที่งามกว่าทุกแห่ง บางคนว่าพลิ้วงามกว่า ความเห็นข้างที่ว่าพลิ้วนั้นน้ำงามนัก เพราะไม่มีที่น้ำไหลเปนเกลียวเลย ดูเปนฝอยจนน้ำนั้นขาวเหมือนกับนมวัว ที่ก็สูงน้ำก็มาก แต่ที่เกาะช้างนั้นที่ศิลาที่น้ำตกงาม ถึงที่สีพยานั้นก็งาม แต่ไพร่ไป เพราะเปนน้ำไหลมากับแผ่นดินแล้วตกลงไปในที่ศิลาพัง ที่จริงเราเห็นอย่างนั้น เพราะเวลาที่เราเดินไปดูนั้นไปบนเนิน เห็นธารน้ำที่ไหลมาข้างบนก่อนจึงเห็นน้ำตก ถ้าจะเดินไปแต่พื้นดินตั้งแต่โรงจีนปลายลำธารที่เราว่าไว้ในวันก่อนก็คงจะเห็นงามไม่ไพร่ แต่น้ำเวลาที่เราไปเห็นนั้นขุ่น ดูไม่สู้งาม แต่ถ้าจะว่าไปน้ำพุของเราในบางกอกที่น้ำใสกว่านี้เห็นจะไม่มี ที่สระบาปนี้จะดีกว่าแห่งไรฤๅจะเลวกว่าแห่งไรเราไม่อาจพูดได้ เพราะไม่ได้แลเห็นที่น้ำตกแก่ตา เปนแต่คำเขาว่า แต่ถ้าจะพูดเอาแต่เพียงตาเราได้เห็นแล้ว เห็นว่าเปนเลวกว่าทั้งหมด แต่น้ำเห็นจะดีกว่าทุกแห่ง เราอาบน้ำแล้วนั่งอยู่ที่ก้อนศิลาริมน้ำหน่อยหนึ่ง ที่ตรงนั้นเปนที่น้ำไหลแรง เราเอาหินก้อนเล็กๆ ตั้งกันน้ำลองดู ให้น้ำไหลมากระทบดูก็เปนน้ำตกเล็กๆ งามดีได้ เราพูดถึงน้ำตกทั้ง ๔ ตำบลนี้ เห็นว่าควรจะคัดโคลงของกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งท่านทรงไว้ในลิลิตเตลงพ่ายมาลงไว้ด้วย พอจูงให้หนังสือของเราเพราะขึ้นอิกสักหน่อย โคลงนั้นว่าดังนี้.

๏ ทุกสถานธาเรศแม้น แมนผจง ไว้ฤๅ
หวังจักไว้ให้สรง เซราะน้ำ
ปางร้างอรอนงค์ แหนงโศก
สรงบ่สร่างใจช้ำ เช่นน้ำสระสมร

ครั้นเราแต่งตัวแล้วสักครู่หนึ่ง ก็กลับไปพลับพลา อนึ่งในระยะระหว่างทางที่เราขึ้นไปนั้น มีไร่พริกไทยอยู่สองแห่ง อยู่ริมพลับพลาเรามาแห่งหนึ่ง บนเขาแห่งหนึ่ง แต่ที่บนเขานั้น เราเดินผ่านมาไม่ได้แวะ เพราะหมายว่าจะไว้ถวายเสด็จยายท่านเก็บ ภายหลังเราได้ถามดูว่าท่านไม่ได้แวะที่นั้นเลย เพราะเวลาบ่าย ๕ โมงแล้ว แต่อย่างนั้นยังกลับมาถึงเรือยามหนึ่ง เรามาถึงพลับพลาบ่ายโมงครึ่ง เมื่อนี้เราได้เร่งให้กรมพิชิตลองว่าโคลงดู กรมพิชิตว่า

๏ สระบาปบาปสร่างสิ้น ฉันใด
สระบ่สระโศกใน อกบ้าง
สระสร่างแต่กายใจ ยังขุ่น เขียวแฮ
สระจะสระโศกร้าง รุ่มร้อนฤๅมี

เราก็ได้ว่าบ้าง เหมือนกันกับกรมพิชิต เพราะชื่อว่าสระบาปนั้นเปนท่าที่จะว่านิราศอยู่ จึงเปนนิราศไปทั้งนั้น.

๏ สระบาปบาปก่อนสร้าง ปางใด
สระบ่สระทรวงใน สร่างสร้อย
สระสนานยิ่งอาไลย นุชนาฏ
สระช่วยสระบาปน้อย หนึ่งให้สบนาง

กินเข้าแล้วมีคนมาหามาก คือคุณปริก พายายทับทิมเอาพลอยกับด้ามมีดกัลปังหามาให้ แต่มีสำคัญอยู่ที่กากกรุนอันหนึ่ง มีบุศย์ติดอยู่ในนั้น เราให้เงิน ๓ ตำลึง แล้วพระไพพายายหงวนแม่จีนกี๊ จีนกิด จีนเกีย มาหาเรา เอาผ้าพื้นกับพลอยต่างๆ มาให้ แต่ที่เปนสำคัญนั้นบุศย์น้ำทองยอดหนึ่ง ของจีนกี๊ให้ เกือบเท่ากับพลอยในตรานพรัตน น้ำก็งามดี เราเห็นว่าพลอยจันทบุรีจะเปนอย่างตีอยู่เพียงนี้ ได้ให้เงินเขาชั่งหนึ่งเปนรางวัล กับให้ยายหงวนอิก ๕ ตำลึง แต่ลูกอิกสองคนนั้นเราจะให้เสื้อ ต่อเมื่อไปเมืองพรุ่งนี้ แลหลวงพานิชานุรักษ์เอาของกินมาให้กับจีนซัง จีนซึง เอาหนังเสือยิงได้ที่พลิ้วมาให้ผืนหนึ่ง แขกเอาโกเมนยังไม่ได้ฝนมาให้อิกเมล็ดหนึ่ง เราให้เงินกับเจ๊กสองคน ๒ ตำลึง แขก ๑๐ ตำลึง แต่หลวงพานิชานุรักษ์นั้นเราให้ไปรับเสื้อที่เมืองใหม่ นายแฉ่งบุตรพระยาจันทบุรีเขาเอาบ่างมาให้ตัวหนึ่ง บ่างนี้เราได้เห็นทีหนึ่งแล้วแต่ใกลๆ เมื่อไปปินังเขาเอาเก้าอี้ผูกคานหามพวกเราสองสามคนขึ้นไปบนเขา ที่เลบเตอร์แนนเกาวนาอยู่ ทางนั้นชันแลไกลยอกย้อนมาก ขึ้นไปเกือบสองชั่วโมง จึงได้ถึงเรือนเลบเตอร์แนนเกาวนา เราได้ขึ้นไปนอนค้างอยู่บนนั้นคืนหนึ่ง หนาวนักต้องผิงไฟ เมื่อไปกลางทางเสียงชะนี จักรจั่นร้องแซ่ไป เปนป่าเปลี่ยวทีเดียว ต้นไม้ก็สูงมาก เมื่อนั่นเราได้เห็นสัตว์อย่างนี้โผไปตามต้นไม้ซึ่งห่างกันประมาณ ๔ วา ๕ วา ท่านกรมท่าบอกว่าบ่าง แต่เราไม่ใคร่จะเห็นตัวถนัด มาคราวนี้จึงได้เห็นถนัดทีเดียว ดูหน้าตาจะว่าคล้ายชมดก็ได้ ขอบตาเปนวงดำโต แต่บั้นล่างป่องมากอยู่สักหน่อยหนึ่ง ที่ท้องสองข้างนั้นเปนพังผืด แผ่ออกได้เหมือนปีก ถ้าจะโผโปตามต้นไม้ก็โผไปได้ไกลๆ เพราะพังผืดสองข้างนั้นอุ้มลมอยู่ แล้วเราเดินออกจากประตูข้างพลับพลา ไปที่ไร่พริกไทยซึ่งเราบอกมาแต่ก่อนนั้น ที่ไร่นั้นมีพริกไทยที่ยาวเต็มค้างแล้วบ้าง ครึ่งหนึ่งบ้าง ที่ปลูกใหม่ๆก็มี ประมาณสัก ๓๐๐ ค้าง ๔๐๐ ค้าง กำลังเปนลูกอ่อนๆ ที่ดินนั้นเปนดินขาวร่วน ถึงจะปลูกต้นไม้อื่นๆ ก็เห็นจะงามเหมือนกัน เรากลับจากที่ไร่พริกไทยนั้น มาที่พลับพลาสักครู่หนึ่ง ก็กลับขึ้นม้าเวลาบ่าย ๓ โมง ๒๖ มินิต เราลืมเล่าถึงพลับพลาที่นี้ไป เค้าเงื่อนแปลนนั้นก็เหมือนกับพลับพลาก่อนๆ แต่พลับพลานี้ แผลงออกไปอิกที่กระบวนไม้ระกำ เหมือนหนึ่งปรำที่เคยใช้ใบไม้นั้น ที่นี้เขาใช้ไม้ระกำผ่าซีก วงปรำลูกใช่มนๆ มีผ้าม่านห้อยสำหรับบังแดด ที่ที่เคยใช้ลายในพลับพลานั้น ที่พลับพลานี้มีลวดลายวิจิตรกว่าแต่ก่อน กับข้างหลังพลับพลานั้นเขาขุดเปนลำรางฦกประมาณ ๙ นิ้ว ๑๐ นิ้ว กว้างคืบหนึ่งคืบเศษ แหวะมาจากลำธารสระบาป แล้วขุดเปนบ่อลงไว้พอให้ขังน้ำตักใช้ ต้องขุดเปนรางอิกทางหนึ่ง พอให้น้ำไหลเปลี่ยนไปได้ น้ำก็ไหลมาตามทางที่มา ขังอยู่ในบ่อเต็มแล้วก็ไหลถ่ายไปตามลำรางที่ขุดให้น้ำไป รางนี้เขาเลี้ยวเข้ามาไว้ข้างหลังพลับพลาข้างในใกล้ทีเดียว ปลายรางนั้นขุดอ้อมพลับพลาไปออกริมทาง แลขุดเปนบ่อไว้ ๔ บ่อ ๕ บ่อ รยะห่างกัน ๗ วา ๘ วา พอให้ม้าโคกระบือที่ไปกับเราได้อาไศรยกินน้ำ ทางน้ำที่ขุดไปได้ดังนี้ดูดีจริงๆ ถ้าจะทำไร่ฤๅทำนาในที่ใกล้ๆ นั้นแล้ว จะขุดลำรางให้น้ำเดินไปดังนี้ ก็เห็นจะไปได้ง่ายพอใช้ได้ทีเดียว อนึ่งระยะทางที่ไปนั้นเมื่อเราไปถึงที่แห่งใด ถามชื่อได้แล้วก็ให้กรมนเรศร์จดไว้ทุกคราว แต่กรมนเรศร์ลืมเสียแห่งหนึ่ง ที่คลองน้ำแห้ง เราถามว่าอยู่ที่ไหน กรมนเรศร์จำไม่ได้ แต่เราสังเกตว่าอยู่ใกล้ๆกับพลับพลา ได้ถามพระพิพิธว่าลำคลองน้ำแห้งนี้ปลายไปรวมกับคลองนารายน์ธารสระบาป กับเมื่อมาตามทางนั้น เห็นต้นไม้ต้นหนึ่งดอกงามนัก ท่านกรมท่าเก็บเอาดอกมา เหมือนกับดอกโสกเราปกติ แต่เปน ๒ ชั้น ดอกชั้นบนที่ติดขั้วเปนสีเหลือง เจือแดงมากเหมือนดอกโสกบาน แต่ชั้นล่างเปนสีเหลือง ห้อยด้านยาวเกือบจะเท่ากัน ชั้นบนเหมือนกับเอาด้ายร้อยไว้ดูงามยิ่งนัก เราขอให้ท่านกรมท่าช่วยขุดเอาไปด้วยให้มากๆ จะได้ไปปลูกที่สวนสราญรมย์บ้างที่วัดบางปอินบ้าง กลับมาถึงพลับพลาวังหินเวลาบ่าย ๔ โมง ๔๓ มินิต อยู่ครู่หนึ่งมีขาวบ้านสองสามคนเอาของมาให้ เราให้เงินคนละสลึงบ้างสองสลึงบ้างบาทหนึ่งบ้าง แล้วลงเรือตีกันเชียงมาถึงเรืออรรคราชวรเดชเวลาทุ่มหนึ่งกับ ๒๕ มินิต นายเหมาเอาหนังสือเมล์มาแต่กรุงเทพฯ ห่อหนึ่ง เราได้หนังสือคุณสุรวงษ์แจ้งความว่าพระยาปลัดเมืองนครราชสีมา๙๐ ได้ออกไปถึงเมืองสิงคโปร์แล้วคอยเรือเมล์อยู่จะไปสำปาหลัง แลว่าเกิดเพลิงไหม้ที่กรุงเทพฯ บ้านนายจ่ายงยศสถิตย์๙๑เปนต้นไฟ ๆ ไหม้ลามไปติดเรือนโรงอื่นๆ อิก รวมเรือนโรง ๒๓ หลัง แต่ข่าวสมเด็จเจ้าพระยานั้นยังไม่ได้ ด้วยสายโทรเลขขาด อิกฉบับหนึ่งเปนหนังสือเล็ก เขียนในขณะเรือมา ว่าได้รับโทรเลขจากสิงคโปร์ มิศเตอร์ริศ๙๒ส่งเข้ามา ได้ความว่าสมเด็จเจ้าพระยาไปถึงเมืองกลักตาในวันที่ ๑๗ ไปเดลลีวันที่ ๒๐ เดือนดิเซมเบอร์ สมเด็จเจ้าพระยาแลผู้ที่ไปด้วยมีความศุขสบายด้วยกันทั้งสิ้น กับคุณสุรวงษ์ฝากของกินเมืองจีนมาให้เราด้วยหลายสิ่ง หนังสือนี้มากับเรือภมรแม้นจักร ถึงที่เรือเราจอดเวลาพลบ เรือปานมารุตที่เราให้ถือหนังสือเข้าไปก่อนนั้น ได้พบกับเรือภมรที่อ่างหินเมื่อวันแรมค่ำหนึ่ง เราเขียนหนังสืออ่านหนังสือบ้างเล็กน้อยแล้วกินเข้า เมื่อกินเข้าแล้ว จีนเก๊าเปนบ่าวเดิมของเรา เขาเคยไปมาหาอยู่แต่ก่อน บ้านอยู่เมืองเก่า เอาเนื้อไม้มาให้เราท่อนหนึ่งใหญ่ยาวมาก ได้วัดลองดูยาว ๔ ศอกคืบ ๔ นิ้ว กลมรอบคืบ ๙ นิ้ว หอมดี เขาว่าหนักสิบเก้าชั่ง ราคาซื้อขายกันชั่งละหกบาท เราเห็นว่าเปนของใหญ่ไม่ใคร่จะมี จึงได้มอบให้มิศเตอร์อาลบาสเตอร์เอาไปไว้มิวเซียม เราให้เสื้อแพรเขาตัวหนึ่งแล้วเข้านอนเวลา ๔ ทุ่มเศษ.

  1. ๙๐. พระยานครราชเสนี (กาจ)

  2. ๙๑. นายจ่ายงยศสถิตย์ (ตู้)

  3. ๙๒. มิศเตอร์ริศ เมืองสิงคโปร์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ