วัน ๔ ๑๒ฯ ๒ ค่ำปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘

เรืออรรคราชวรเดช ที่เกาะช้าง

วัน ๔ ๑๒ ๒ ค่ำปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘

ตั้งแต่เมื่อวานนี้เรือเราเดินดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ในวันนี้เดินประมาณสัก ๘ น๊อตฤๅ ๙ น๊อตได้ เราได้ออกจากช่องเสม็ดย่ำรุ่ง แต่วันนี้เรานอนสายไป จน ๒ โมงเศษจึงตื่นนอน กรมนเรศร์บอกว่าเมื่อรุ่งแล้ว ๕๐ มินิต เรือมาตรงเกาะทลุข้างขวามือ ที่เกาะทลุนี้ แลเห็นหัวเกาะข้างตวันตกนั้น เขาทลุเปนช่องใหญ่ถึงน้ำ ถามนำร่องบอกว่าช่องนั้นกว้างประมาณ ๘ ศอก เรือลอดไปมาได้ เกาะนี้อยู่ตรงแหลมทองหลางออกมา ต่อมานั้นถึงแหลมทรพิน ที่ใต้แหลมทรพินมาหน่อยหนึ่งมีเกาะเล็กเกาะหนึ่ง เรียกว่าเกาะขี้ปลา เมื่อเช้าโมง ๑ กับ ๕๐ มินิตนั้นเรือเราเดินมานอกเกาะมัน ๆ นั้นเปน ๓ เกาะ เรียงเข้าไปข้างฝั่งเปนลำดับกัน เกาะนี้ที่แลเห็นแต่ช่องเสม็ดที่เราออกชื่อไว้เมื่อวานนี้ สามโมงเศษถึงทุ้งกระเบน ที่นี้เก๊า๗๐ว่าริมหาดมีบ่ออยู่บ่อหนึ่งน้ำจืดสนิท มีอยู่เสมอเพราะถูกตาน้ำ ถ้าเวลาคลื่นจัดน้ำทเลซัดถึง น้ำเค็มขังอยู่ในบ่อนั้น ถ้าจะต้องการน้ำจืดก็วิดน้ำเค็มออกเสียให้หมดแล้ว น้ำที่มีมาใหม่ก็จืดกินได้.

๏ ทุ้งกระเบนมีบ่อกว้าง ริมสมุท
เกิดกอบสลิลสุทธ สอาดแท้
พยุพากระพือรุด รลอกท่วม บ่อแฮ
น้ำคั่งเค็มแล้วแม้ วิดขึ้นหายเค็ม
๏ เฉกชนบัณฑิตย์ผู้ ปรีชา
พิเศษสุทธอัธยา ยิ่งล้ำ
โดยพาลประพันธ์พา โทษทุ่ม ถมแฮ
สาวสืบความจริงซ้ำ เสร็จแล้วเห็นคุณ
๏ ชลพาลปานน้ำซึ่ง เค็มเขียว
ยาวใหญ่ไหลเปนเกลียว ว่างโว้ง
ใสจริงแต่จิบเดียว ฤาดื่ม ได้เลย
มากก็มากคดโค้ง คบค้าพาเสีย
๏ บัณฑิตย์จักเทียบแม้น นที จืดฤๅ
เห็นขุ่นจอกแหนมี มากด้วย
กระหายดื่มเย็นดี ดลศุข เกษมแฮ
น้อยยิ่งน้อยนักม้วย มอดได้แทนตัว

ต่อไปนั้นเกาะสบ้า อ่าวหมูมีเขาใหญ่อยู่บนฝั่ง ชื่อเขาบางกะไชย ตั้งแต่เสม็ดมาถึงอ่าวหมู่นี้ มีต้นยางมาก เปนที่ราษฎรทำน้ำมันยาง สี่โมงถึงเกาะนมสาว แหลมสิงห์ปากอ่าวเมืองจันทบุรี พอเรากินเข้าแล้ว ต่อมานั้นมาเกาะจุลา แลเห็นเขาสอยดาวบนฝั่งตรงอ่าวจันทบุรี เรือมาอิกหน่อยหนึ่งมีเกาะสามเกาะเปนหมู่ สองเกาะอยู่น่าเล็ก เกาะใหญ่อยู่ใน เกาะใหญ่ชื่อเกาะปริด เกาะเล็กสองเกาะนั้นชื่อเหมือนกับที่เราเคยจอดที่เมืองสงขลาสามคราว ฤๅสี่คราว เขาเรียกเกาะหนูเกาะแมว เหมือนทีเดียว ต่อมานั้นชื่อเกาะกวาง แล้วเกิดเกาะนางรำแลเห็นข้างฝั่งทั้งนั้น.

อนึ่งตามฝั่งจันทบุรีนี้ เห็นเขาสระบาปตั้งอยู่ตลอดมา เรามาถึงที่นี่เวลาเที่ยง เห็นวิ้วงามนัก ดูเกาะเปนท่วงทีชอบกล เกาะก็งามๆ แต่เสียที่น้อยนักแล้วห่างไป ตั้งแต่เราเที่ยวมาไม่เห็นว่าเกาะในทเลที่ไหนจะงามกว่าเกาะน่าเมืองพังงา ที่นั้นเปนเกาะซับซ้อนกันน้ำก็ฦก เรือไฟใหญ่แล่นลดเลี้ยวไปได้ เปนเกาะหลายสิบเกาะ ดูเหมือนกับอ่างแก้วที่พระพุทธรัตนสถาน แต่อ่างแก้วเขายังจะน้องกว่าสักสามเท่า งามเหมือนกับแกล้งวางไว้ให้เปนระยะเรียบเรียงเปนชั้นๆกัน ในระยะยิงสลุต ๒๑ นัดแล้ว แทบไม่ใคร่จะขาดเสียงเลย เราได้ขึ้นไปแต่เกาะใหญ่ตรงน่าที่เรือเราจอดตรงปากคลองพังงา เปนที่คนอยู่ทำมาหากินมาก ถึงในลำคลองที่เข้าไปนั้นก็เปนเขาอยู่ริมคลองทีเดียว ถ้าจะแหงนขึ้นไปดูยอดเขาต้องตั้งหน้าขึ้นสูง เปนเขตรแดนต่อกันกับเมืองนครศรีธรรมราช ที่บนเขานั้นมีเลียงผาชุม เขาไล่ได้บ่อยๆ ด้วยเขานั้นชันเหมือนกำแพง เมื่อเราไปอยู่เขาก็เอามาให้เราได้กิน ที่ตีนเขาบางแห่งตกลงมาในคลอง เปนเหมือนกับรากเขาจะขาดเข้าไปสัก ๕ ศอก ๖ ศอก ๗ ศอก ๘ ศอกก็มี ถ้าแลดูข้างบนตั้งแต่ที่ขาดไปนั้น เปนเขาใหญ่แท้ ๆ แต่ลงมาข้างล่างเหมือนกับเฉลียงเรือนหลังคาตัด มีน้ำในนั้น เรือเข้าจอดอาไศรยร่มได้สบายเหมือนกับจอดในโรงเรือดูปลาดจริงๆ ว่าเปนท่าฤๅเปนเพิงก็ไม่ใช่ ด้วยเปนที่เปิดเสมอกันไป เหมือนกับเพดานเฉลียงไม่มีเสา เปนอัศจรรย์นัก แลที่นี้ขึ้นไปข้างบนบกต่อไปก็เปนเขารอบเมือง จะเหลียวไปข้างไหนก็เห็นเปนเขาไปทุกทิศ เห็นในเดี๋ยวนี้นั้นเลวกว่าหลายสิบเท่า แต่ก็ดูงามดี ที่นี้เปนปากน้ำเมืองขลุง เขาเรียกว่าปากน้ำเวน มีเกาะจิกอยู่ตรงน่าเหมือนลับแล มีเกาะเล็กอยู่อิก ๒ เกาะติดกันไป ต่อมานั้นบางกระดาน เขาบนฝั่งที่แลเห็นอยู่ด้วย เขาเรียกว่าเขาก้นหอย แล้วต่อมาเปนแหลมลิง เกือบบ่ายโมงหนึ่งเรือมาตรง ข้างซ้ายมือนั้นเกาะปุย ข้างขวามือเปนเกาะช้างน้อย น่าเกาะช้างใหญ่ในกลางเกาะช้างกับฝั่งนั้น มีศิลากลางน้ำเรียกว่าขี้ช้าง เรือผ่านน่าเรือกันโบดศักดิสิทธาวุธมา ในเวลาบ่ายโมงครึ่ง เรือรบแมนยาด แลท่านเล็กอวดว่าถ้าไม่ขึ้นไปดาดฟ้าเรือจะเลยไปเกาะหมาก เพราะพระนายไวยเข้าใจว่าจะไปเกาะหมากทีเดียว พระนายไวยมาถามบอกว่าให้แวะเกาะช้างจึงต้องกลับเรือมา เราแล่นเกินพลับพลาไปแล้ว เราจอดเรือน่าเกาะช้าง เวลาบ่าย ๒ โมงทอดสมอ แลที่เกาะช้างนี้เราได้มาคราวหนึ่งเมื่อปีรกาเบญจศก เกาะนี้เห็นเปนเขาใหญ่มากกว่าเกาะทั้งปวงในฝั่งทเลตวันออก หลายพอดซับซ้อนกัน ที่สูงประมาณ ๒ เส้น ดันไม้ก็ใหญ่ๆ เปนต้นยางโดยมาก มีคนอยู่มากหลายร้อยคน คนที่อยู่นั้นทำการหากินด้วยหาไม้หอม เปนเนื้อไม้กฤษณาเปนต้น แลตัดไม้ ทำหวายพัศเดา ทำพวน ทำรง ทำนา แต่เข้าไม่พอกิน ต้องซื้อเข้าเมืองตราดมากิน แลคนเหล่านี้มักจะต้มเหล้าเถื่อนเหมือนกับคนเกาะสีชัง จำหน่ายแก่เรือลูกค้าที่ไปมาค้าขาย ตั้งบ้านเรือนอยู่ทั้งน่านอกน่าใน แต่ที่คลองมันทรีนั้นเปนคนมากกว่าทุกแห่ง ตั้งบ้านเรือนรายๆกันไป ที่เกาะนี้เสือชุมนัก บ้านชาวเกาะที่อยู่นั้นต้องทำรั้วเสาไม้ใหญ่ๆ คนที่ทำไม้ในป่ามักจะถูกเสือกัดบ่อยๆ เสือนั้นข้ามน้ำไปมากับที่ฝั่งได้เสมอๆ

อนึ่งน้ำตกในเกาะนี้หลายแห่ง ที่เปนคลองก็มีมาก ทั้งน่านอกน่าใน ที่เปนน้ำตกใหญ่นั้นเรียกคลองมะยม เปนที่คนเคยไปมาเที่ยวเล่น ในเกาะนี้เปนด่าน มีนายด่านเปนพระสาครคชเขตร แต่เดี๋ยวนี้ตัวเขาไม่ได้มาอยู่ที่เกาะช้างนี้ อยู่ข้างฝั่ง เปนแต่มาตรวจการเปนคราวๆ ในวันนี้เวลากินเข้ากลางวันแล้วสักสองโมงครึ่ง เราลงเรือโบดลำเล็ก เพราะเรือ ๑๒ กันเชียงที่เคยใช้นั้น จะให้เรืออรรคราชลากมาไม่ได้ด้วยลมจัดนัก เรืออรรคราชก็เปิดเพดาน ครั้นจะลากมากลัวจะแตกด้วยเรือชำรุด ให้เรือภิรมย์เร็วจรลากมา เรือทั้งปวงนั้นฝ่าลมมาไม่ไหว ยังไม่มาถึงหมด มีแต่เรือเรากับเรือรบลำหนึ่งเท่านั้น เรือโบดในเรือที่นั่งมีใช้ได้ ๓ ลำ กับเรือโบดเรือรบลำ ๑ ก็ใช้ไม่ใคร่ได้รั่วนัก เพราะฉนั้นต้องเอาเรือโบดสำหรับเรือที่นั่งอรรคราชลำ ๑ ไป ในวันนี้คนไปมากเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ สรรพเพธนั้นเราสั่งให้เขาพาผู้หญิงขึ้นไปบนบก แต่กรมขุน ท่านเล็ก กรมนเรศร์ กรมอดิศร กับพระนายไวยถือท้าย ไปขึ้นที่พลับพลา พระยาตราด๗๑เขาทำไว้วันที่บ้านคลองมันทรี มีตพาน ๒๒ ตพาน พลับพลานั้นทำหลังใหญ่หลังหนึ่ง กับหลังเล็กเปนช่อฟ้าใบรกา อยู่ตรงฝังทเลอิกหลังหนึ่ง กับฝาลดเลี้ยวชอบกลมาก แลมีรั้วรอบข้างหลัง มีที่ขังสัตว์ ปลูกต้นไม้ พลับพลาฝาเฝืองนั้นล้วนแล้วแต่ไม้ระกำทั้งสิ้น เขาช่างทำหมดจดดีกว่าทุกพลับพลาที่มาแล้ว ปูด้วยเสื้อลายทั้งนั้น เพราะเปนถิ่นที่เขาทำเสื่อ พระยาตราดกับกรมการมาคอยรับอยู่เปนอันมาก เราขึ้นไปบนพลับพลา ดูพลับพลาแลของต่างๆ พูดกับพระยาตราดด้วย พระยาตราดแลกรมการเขาเอาของต่างๆ มาให้หลายสิ่ง แต่ที่เปนของปลาดนั้นดินนวลฤๅดินสอพอง พระยาตราดเขาว่ามีในแถบนี้เปนสามอย่าง ที่อ่าวสลักเพชรนั้นขาวมาก อิกแห่งหนึ่งแหลมมะขาม อิกแห่งหนึ่งที่เกาะปุยอยู่ในเขตรเมืองตราดนี้ ดูดินสอพองนั้นเหมือนดินสอพองเมืองลพบุรี แต่ขาวมากบ้างน้อยบ้าง กับเขี้ยวปลาพยูน ๔ เขี้ยว แต่เขี้ยวปลาพยูนนี้เห็นเขาจะนับถือกันอยู่ เขาว่าไว้ในโคลงโบราณว่า

๏ ปลอกคร่ำด้ามมีดเขี้ยว พยูนหาย
ตัวไม่คิดเสียดาย แต่ด้าม
มาดแม้นว่าใครขาย ของเก่า
แม้ว่าทองเก้าก้าม ชั่งให้จงเสมอ

กับหอยตาวัวตัวหนึ่งโตจริงๆ ยังไม่ได้เคยเห็นเลย วัดดูกว้างถึงสามนิ้ว กับกระเบียดหนึ่ง ยาว ๓ นิ้ว ๓ กระเบียด รูปพรรณสัณฐาน ก็เหมือนกับหอยตาวัวตามธรรมเนียม โคลงสำหรับหอยปลาดนี้เราทำขึ้นใหม่ว่า

๏ ปูหอยเห็นใหญ่เตื้อง เต็มโต
พรรณเพศหอยตาโค เขื่องโข้ง
วางตาหมากรุกโท ตาแทบ เต็มเฮย
หนักหนุ่ยจำหนับโค้ง สิบนิ้วโดยวง

กับหอยแลเบี้ยขัดผ้า เสื่อ ผ้านุ่ง แลของต่างๆ กับต้นมลิใหญ่ ๒ ต้น กวาง ๒ ตัว เขาสนตะพายเชื่องทีเดียว ของเหล่านี้ผู้ที่เอามาให้นั้น คือผู้ช่วยแลพระสาครคชเขตร กับกรมการผู้น้อยอิกหลายนาย เราอยากจะไปที่น้ำพุคลองมะยมอิกสักครั้งหนึ่ง จึงสั่งให้พระยาตราดกับกรมการลงไปหาที่เรืออรรคราชเวลาค่ำ แลลงเรือมา เรือมีอยู่ลำเดียวแต่เรือเรา นอกนั้นลงมารับคนผ่อนขึ้นไปอิก ครั้นจะรอให้พร้อมกัน ก็เห็นว่ากว่าจะไปถึงแลกลับมาจะต้องค่ำ ด้วยเวลานั้นบ่าย ๓ โมงเศษแล้ว จึงต้องไป ขณะนั้นพอเรือเข้ามาอิกลำหนึ่งแต่รั่วเต็มที ไม่ใคร่จะมีใครไปมาก มีแต่กรมพิชิต เทวาธิราช กับอ้ายเที่ยง๗๒ เอาเครื่องแต่งตัวไป ในเรือเรานั้นเอาจมื่นสราภัยเติมไปด้วยอิกคนหนึ่ง เพราะต้องการปืน กับสวัสดิลงไปด้วย เรือเราออกไปไกลแล้ว แต่เรือลำหลังยังไม่ได้ออก ในขณะนั้นพอเรือเขจรมาจอดที่ แต่เรือไรซิงซันนั้นเห็นแล้วยังไม่ถึงที่ คลื่นมีมากหน่อยหนึ่ง ท่านเล็กกับกรมขุนสวิง แต่ท่านเล็กจะแกล้งฤๅจริงไม่รู้ ตีกันเชียงมาประมาณชั่วโมงหนึ่งถึงปากคลอง แต่น้ำน้อยเปนศิลาพ้นน้ำมากน่ากลัวเรือจะรั่ว ต้องเอาคนลงประคองเข้าไป ท้ายครือศิลา คนในเรือต้องผ่อนไปนั่งตลอดลำ พอประคองเข้าไปได้ ครั้นถึงที่หาดเคยขึ้นแต่ก่อน เขาไม่ทำทางลงมาถึง กลับไปทำตพานไว้ข้างบนเคอะแท้ ๆ ต้องเข็นเข้าไป เปนศิลาก้อนโตๆแลคมด้วย เรือครือๆเข้าไปจะจอดตพานก็ไม่ได้ ด้วยตพานนั้นเขินน้ำ ทำเวลาน้ำขึ้น ครั้นเวลาน้ำลงก็เปนศิลาแห้งทั้งนั้น ถึงโดยจะมีน้ำเรือก็เห็นจะเข้าไปไม่ถึง ต้องจอดกับศิลาพอก้าวไปเปนระยะ แต่ศิลานั้นตะไคร่น้ำจับลื่นมาก ต้องอาไศรยกระลาสีเข้าสองข้าง พยุงไปพอถึงฝั่งทีละคน ในขณะนั้นเรามีไปด้วยกัน ๙ คนทั้งสวัสดิ ฤๅจะนับเปน ๘ คนครึ่งก็ได้ มีปืนเอกษเปรดกระสุนแตกบอกหนึ่งสำหรับมือเราถือ กับปืนวินเชศเตอร์กรมอดิศรถือบอกหนึ่ง จมื่นสราภัยถือบอกหนึ่งสำหรับมือเราถือ คนหนึ่ง ๑๒ นัด กับท่านเล็กมีโกเล็กนิดอิก ๒ บอก แต่กรมขุนท่านไม่เชื่อปืนท่านเล็กเลย รวมปืนไว้ใจได้ ๓ บอก เห็นคนยังน้อยด้วยเปนที่เปลี่ยวไม่มีใครไปอยู่ก่อนเลย ที่นี้ก็เปนถิ่นเสือแท้ๆ ด้วยเรามาคราวก่อนก็เห็นรอยตีนมาก แล้วเวลาเย็นเสด็จยายท่านกลับมา ก็ได้ยินเสียงใกล้ๆทีเดียว.

อนึ่งเราไปแวะที่หาดทรายน่านอกเมื่อคราวก่อนนั้น ขึ้นบกด้วยกันประมาณสัก ๒๐ คน เดินมาเห็นรอยตีนตามหาดหลายแห่ง แต่แห่งหนึ่งนั้นริมน้ำใหม่ๆ ในเดี๋ยวนั้นทีเดียว น้ำทเลลบยังไม่หมดเปนรอยตะกายเข้าป่าไป แต่เข็ดมาแต่คราวก่อนอย่างนี้ คราวนี้จึงเอากลาสีขึ้นไปด้วยอิก ๔ คน กับเรา ๙ คน เปน ๑๓ คนด้วยกัน ปล่อยให้อยู่เรือ ๒ คน เดินทำเสียงดังขึ้นไป ครั้นจะรอก็กลัวจะค่ำ เมื่อเดินไปได้หน่อยหนึ่ง ได้ยินเสียงร้องทีหนึ่ง เปนเสียงเสือแต่ไกลๆ เราได้ยินแล้วร้องเอ๊ะขึ้น ก็พากันโห่ร้อง ได้ยินเสียงร้องอิก ๒ หน แต่เสียงคนกลบกันไป ไม่ใคร่จะได้ยินเสียงสนัดนัก แต่พอได้ยินด้วยกันหมด ประเดี๋ยวหนึ่งเสียงเหมือนไม้หักโผงแล้วหายเสียงไป แต่พวกคนที่นั้นเขาว่าเสียงโผงนั้นเปนเสียงนกลวะ เราไปด้วยกันตกใจทุกคน แต่สามหนก่อนนั้น เข้าใจว่าเปนเสียงเสือแน่ ถึงคนที่นั้นเขาก็ว่าเสือ กลัวผู้ที่อ่านหนังสือนี้จะสงไสยว่าไม่จริง ตามแต่จะเห็นเถิด ถ้าลองไปดูเห็นจะได้ยินบ้าง แล้วก็พากันแขงใจเดินต่อไป ต้องร้องเอะอะไปไม่วายเสียง ทางคราวนี้เขาทำกว้างประมาณ ๖ ศอก ไกล ๑๒ เส้นเศษไม่เหมือนครั้งก่อนๆนั้น ไม่ได้ให้เขารู้ตัวเลยว่าจะมา มาถึงแล้วก็แวะขึ้นกระนั้นเอง หนทางแคบต้องปืนป่ายไปในรกน่ากลัวมากกว่านี้ แลทำตพานข้ามลำธารเรียบร้อยทีเดียว เราไปถึงแล้วปืนขึ้นไปบนเขาที่ตรงน่าน้ำพุ ดูในที่น้ำตกนั้น ข้างบนเปนซอกเขาลงมา แต่ยังไม่เห็นทางน้ำ เพราะสูงเกินไนตาที่จะเห็นลงมาอิกชั้นหนึ่ง เปนพื้นราบมาจนถึงน่าผาจึงเปนน้ำตกอยู่ ๒ ทาง ทางหนึ่งใหญ่ ชั้นหนึ่ง กว้างประมาณศอกหนึ่ง แล้วกระทบศิลาชั้นที่ ๒ น้ำกระจายออกสักสองศอก กระทบชั้นที่สามต่ำลงมาสักศอกหนึ่ง น้ำกระจายเปน ๔ ศอก แล้วตกลงถึงศิลากลมสูงกว่าน้ำในอ่างประมาณศอกหนึ่ง จึงตกลงในอ่าง ศิลาทางน้ำตกที่ว่าแล้วนี้ กับที่จะว่าอิกสายหนึ่งนั้น เปนศิลาสูงกั้นอยู่อิกข้างหนึ่ง จึงเปนสายน้ำไหลมา แต่น้อยกว่าข้างที่ว่ามาแล้ว ตกลงมากระทบชั้นที่ ๓ ของสายโน้น ประจบกันเปนสายเดียว ที่รองนั้นเปนอ่างกว้างประมาณ ๙ ศอก ๑๐ ศอก ยาวประมาณ ๕ วา ได้หยั่งดูฦก ๕ ศอกคืบ มีทางน้ำข้างซ้ายอิก แต่น้ำงวดไม่เต็ม ตั้งแต่น้ำไหลข้างบนจนถึงอ่าง สูงประมาณ ๓ วา ที่ปากอ่างข้างนอก ต่อลำธารนั้นมีศิลาบัง เปิดช่องกว้างประมาณ ๓ ศอก น้ำบ่าลงมาทางช่องนั้นล้นสูงกว่าปากอ่างสักคืบหนึ่ง แล้วตกลงไปชั้นต่ำที่เปนลำธาร ต่ำกว่าปากอ่างประมาณ ๔ ศอกหย่อน ต่อนั้นไปเปนลำธารคดเคี้ยวไป กว้างบ้างแคบบ้าง ที่กว้างที่สุดประมาณ ๔ วา ที่แคบที่สุดประมาณ ๘ ศอกบ้าง ๖ ศอกบ้าง ดูที่น้ำตกแล้วไหลลงมากระทบศิลางามนัก เสียงดังคึกๆอยู่เสมอไม่ขาด น้ำนั้นสอาดใสเปนจืดสนิท แต่สังเกตดูเหมือนจะน้อยกว่าปีรกาที่มาคราวก่อน

อนึ่งถ้าจะว่าไปก็คล้ายกับที่ปินัง (ฤๅเกาะหมาก) คิดเอาเกาะช้างเปนปินัง เอาฝั่งแขวงเมืองตราดเปนปรอวินเวเลศลี ดูตอนที่โน้นจะใกล้กว่านี้แต่ไม่มากนัก ที่เขาซึ่งเปนที่อยู่เลบเตอร์แนนต์เกาวนานั้น ที่เชิงเขาใกล้ทางจะขึ้นไป มีน้ำตกเหมือนกัน แต่น้ำน้อย ลำธารนั้นก็สั้นกว่านี้ ที่อ่างรองนั้นเขาก่อเสริมพอกันน้ำขังไว้ได้มาก แล้วเจาะเอาท่อติดฝังเปนรางมาใช้ได้ทั่วบ้านทั่วเมืองตลอดปีไม่ขาดเลย พวกเราที่ไปพากันไต่ขึ้นไปบนเขา เมื่อเวลาบ่ายขึ้นไปนั้นเห็นรอยตีนสัตวต่างๆ มีอยู่ที่ศิลาก็มาก เปนรอยตีนเสือใหญ่ก็มีหลายรอย แล้วให้กระลาสี ๒ คนขึ้นไปนั่งคอยระวังทางต้นไม้บนยอดเขา พระนายไวยขึ้นไปด้วย เห็นเปนรอยตะกายดินใหม่ๆ เขาว่าดูเหมือนเสือ ด้วยเปนเวลากินน้ำ ตื่นเสียงโห่ก็ตะกายหนีไป เราคิดว่าได้ไปที่นั้นถึง ๒ ครั้ง ไม่มีสิ่งไรเปนสำคัญ จึงคิดว่าจะทำเกรน (กองศิลาเปนที่รฦก) แต่จะทำโตก็ไม่ได้ เพราะคนไปก็น้อยที่ก็เล็ก จึงให้จมื่นสราภัย กรมพิชิต พระนายไวย กรมอดิศร กับกระลาสี ๒ คนช่วยขนศิลาก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง เราเอากระดาษของกรมนเรศร์เขียนหนังสือ ในหนังสือนั้นว่า

“เราสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าแผ่นดินสยามรัชกาลที่ ๕ ได้มาถึงที่นี้ ๒ ครั้ง ๆ หนึ่งเมื่อปีรกาเบญจศก จุลศักราช ๑๒๓๕ กับครั้งนี้วัน ๔ ๑๒ ๒ ค่ำปีชวดอัฐศกศักราช ๑๒๓๘ เราทั้งปวงบรรดาที่มาพร้อมกันได้ลงชื่อไว้ในท้ายหนังสือนี้”

จุฬาลงกรณ์

ภาณุรังษี

กรมหมื่นนเรศร์วรฤทธิ์

กรมหมื่นพิชิตปรีชากร

กรมหมื่นอดิศรอุดมเดช

กรมขุนบดินทรไพศาลโสภณ

ภาษกรวงษ์

เจ้าหมื่นไวยวรนารถ

แล้วพระนายไวยศรัทธาให้ตลับยาสูบเงินนอกตลับหนึ่งมาวางหนังสือลงในนั้น แล้วบรรจุไว้ในถ้วยน้ำชาของเรา ซึ่งมีตรา เอาจานปิดข้างบนตั้งลงกับพื้นเขา แล้วศิลาก้อนใหญ่บ้างเล็กบ้างกองทับไว้ ที่ตั้งเกรนนี้อยู่บนฉง้อนศิลาที่เราไปนั่ง แต่เรานึกกลัวอยู่หน่อยหนึ่งว่าถ้าใครรู้เข้าแล้วจะไปรื้อเอาตลับไปกินเสีย.

อนึ่งเราออกชื่อกรมพิชิตลืมพูดไปว่า ได้ไปถึงเมื่อไร กรมพิชิตนั้นลงเรือลำที่เราว่าไว้แต่ก่อนว่า มีเรืออิกลำหนึ่งไปกับเทวาธิราช หลวงศัลยุทธ คุณแพ อ้ายเที่ยง ไชยันต์ แต่อ้ายเที่ยงกับเทวาธิราชนั้น หอบผ้านุ่งอาบน้ำเครื่องแต่งตัวกับขันไปด้วย คุณแพพอไปถึงก็อาบน้ำเครื่องแต่งตัว แต่พวกเราที่ไปไม่มีใครได้อาบ เมื่อกำลังก่อเกรนเกือบจะแล้วนั้น ท่านกลางกับเจ้าพวกเรือเขจรขึ้นไปถึง สักครู่หนึ่งกาพย์กับทหาร ๒ คนเดินโซเซไป แต่กาพย์นั้นกางเกงเปื้อนเปรอะเต็มที ถามเขาว่าเดินทางบก ตั้งแต่พลับพลาคลองมัทรี ไปทางแคบกว้างสักศอกๆเศษ มีบ้านรายๆไปสัก ๒๐ บ้าน ต้องข้ามห้วยเล็กๆ ๒ แห่ง แล้วจึงไปข้ามลำธารคลองมะยม ต้องลุยน้ำไป ทางตั้งแต่พลับพลาถึงที่น้ำตกประมาณ ๒๕๐ เส้น กาพย์ไปถึงประเดี๋ยวนี้ พวกเราก็พากันมาพบ กมลาศ หมอสาย หลวงพินิจ๗๓ หลาน๗๔ เจ้าเพ่ง นายพิน๗๕ กับทหารอิกหลายคน ที่ต้นทางเกือบจะถึงที่น้ำตก แล้วพากันเดินกลับมา พบอาลบาสเตอร์กับหมอ๗๖ ที่ท่า แล้วพวกลำเราก็ลงเรือ เอากาพย์กับเจ้าเพ่งมาด้วย ๒ คน แต่พวกเหล่านั้น ต้องคอยเรืออยู่ เราออกมาถึงปากคลอง น้ำลดน้อยลงเรือติดออกไม่ได้ กระลาสีลงลากเรือก่อนก็ยังไปไม่ได้ คราวนี้ผู้ดีต้องลงด้วยกันหมด เว้นแต่เราคนเดียวนั่งมาในเรือสบาย เรือออกถึงปากคลองพากันขึ้น พบเรือเจ้าพระยาภาณุวงษ์คอยอยู่ที่ปากคลอง เราชวนกันตีกันเชียงพูดกันมา จนถึงเรืออรรคราชเวลาย่ำค่ำครึ่ง แต่ยังไม่มืดทีเดียว

อนึ่งกรมพิชิตเขาทำโคลง ว่าด้วยเกาะช้างหลายบท ว่าดังนี้

๏ เกาะช้างแลเล่ห์ช้าง ตัวเปน
หลายส่ำซับซ้อนเห็น คล่ำคล้ำ
แม้ยลเมื่อยามเย็น อย่างคช โขลงแฮ
ยามเมื่อลงเล่นน้ำ เนื่องผู้พังกรี
๏ เสด็จถึงถิ่นที่ท้อง แถวธาร ถั่งฤา
นามมะยมห้วยลหาน แห่งนี้
ทรงสฤษดิปาสาณ ก่อกอบ ไว้แฮ
หวังเพื่อภายน่าชี้ เรื่องรู้ราวความ

อนึ่งเรื่องนี้เราไม่พูด เพราะไม่เปนการปลาดสิ่งใด แต่ครั้นมีโคลงแล้วจะต้องเล่า แต่ขอเสียอย่าว่าตื่นพระบารมีตัวเอง ไม่ตื่นดอกรู้แล้ว ด้วยคนนำร่องนั้นว่า เสือหนีไปจากเกาะ ๑๗ ตัว เพราะรู้ข่าวว่าจะเสด็จมา พูดนั้นอยู่ข้างจะตื่นพระบารมีแก่ แต่ที่จริงนั้นเสือเคยข้ามไปข้ามมา เหมือนกับเราว่าไว้ข้างต้นมาแล้ว กับครั้งนี้คนมาตัดไม้ทำทางอื้ออึงด้วย เห็นจะเปนอย่างนั้นเสือจึงไป กรมพิชิตเขาก็รู้แล้ว แต่จะทำโคลงเล่นพอเปนที่สบาย ไม่มีอะไรจะว่าก็ว่าไปกระนั้น เขาว่าดังนี้.

๏ ฟังยินชาวบ้านเล่า แถลงความ จริงแฮ
ว่าสิบเจ็ดเสือดาม ป่ากว้าง
ก่อนพระจะถึงคาม เขตรที่ นี้แฮ
ยำพระเดชเจ้าช้าง ปลาดข้ามชลหนี

กรมหมื่นพิชิตเขาว่าโคลงได้ดีๆมาก ความที่จริงนั้น โคลงนี้ไม่เปนการเสียประโยชน์ต้องตรึกตรองอะไรมากนักจนเสียการงาน เปนแต่สำหรับผู้ที่รู้หนังสือรู้เอกโทสันทัด ทำเล่นพอเปนการสบายแต่เราก็นึกวิตกอยู่ ว่าจดหมายของเรานี้มีบทกลอนมาก ท่านทั้งปวงผู้ที่เห็นก็จะพากันว่ามัวเมาด้วยการคิดกาพย์กลอน แต่ไม่เมาเลย ซึ่งลงไว้ด้วยนั้นเพราะจะให้มีปลาดๆ เหมือนหนังสือภาษาอื่นๆ เขาก็มีกลอนบ่อยๆ ไม่ได้นั่งฝันนอนฝันด้วยกาพย์กลอนอะไรเลย.

เวลาเกือบยามหนึ่งกินเข้า แล้วเขียนหนังสือนี้อยู่จนเวลาดึก ด้วยเรื่องราวยืดยาวนัก ท่านเล็กกับกรมขุนก็ง่วงโซเซขึ้นไปนอนเสีย ยังอยู่แต่กรมนเรศร์คนเดียว กับกรมพิชิตตื่นนอนลงมาทีหลัง มานั่งอยู่ด้วยอิกคนหนึ่ง

อ้อลืมเสียอิกอย่างหนึ่ง วันนั้นจมื่นสราภัย ได้กล้วยไม้มา ๒ อย่าง กับเราพบที่กลางทางอิกอย่างหนึ่ง เปนกล้วยไม้แท้ใบเหมือนกล้วยเล็กๆ แต่มีประเหลืองๆ ดูงามดี สมกับชื่อที่เรียกว่ากล้วยไม้ แต่ดอกจะอย่างไรไม่รู้ ให้กาพย์ทำกระเช้าใส่ แต่กล้วยไม้อย่างใบกล้วยไม้นั้น จะเปนฤๅไม่เปนก็ไม่รู้ ด้วยขึ้นอยู่บนต้นไม้สูง เมื่อตัดลงมารากขาดยับเยินเสียมาก มาถึงเรือแล้ว ว่าทองแถมฝากมาอิกต้นหนึ่ง เวลา ๕ ทุ่ม ๒๐ มินิตเข้านอน ทอมอเมตเตอร์ลง ๗๙ ดิครี ๆ

อนึ่งตั้งแต่มาคราวนี้ เมื่อเช้าวันนี้ ทอมอเมตเตอร์ตกต่ำกว่าทุกวันเพียง ๖๘ ดิครี

  1. ๗๐. นายเก๋ามหาดเล็กข้าหลวงเดิม คือพระขลุงบดีศรีมหาสมุท

  2. ๗๑. พระยาพิพิธพิไสยสุนทรการ ผู้ว่าราชการเมืองตราด (เอี่ยม)

  3. ๗๒. หลวงนายสิทธิ์นอกราชการ (เที่ยง)

  4. ๗๓. พระยาอภิรักษ์ราชอุทยาน (ชแล่ม)

  5. ๗๔. เจ้าพระยาเทเวศรวงษ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว. หลาน)

  6. ๗๕. นายพิน

  7. ๗๖. หมอกาแวน

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ