วัน ๑ ฯ๑ ๒ ค่ำปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘

ตามทางไปเขาพลอยแหวน

ณ วัน ๑ ๒ ค่ำปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘

เราลงเรือโบดเช้าโมงครึ่ง วันนี้กรมพิชิต กมลาศ มาลงเรือเรา เราเอาพระปลัดไปด้วย จะได้ไต่ถามการในเมืองจันทบุรี เรือเทียมลมจูง ๒ โมง ๑๐ มินิต เรามาพ้นแม่น้ำแยกไปคลองหนองบัว มีทางไปถึงเมืองขลุง เมื่อก่อนเรามาถึงที่นี้ ลมจัดมีคลื่นสาดเข้าในเรือ คนที่เรือเปียกบ่อยๆ ตั้งแต่พ้นคลองนี้มาแล้วไม่มีคลื่น แลกลางทางนั้นมีลำคลองตัดฟืนหลายแห่ง เวลา ๒ โมงครึ่ง เลี้ยวแหลม มาเห็นเขาพลอยแหวนสนัดทีเดียว ๓ โมงเช้ามาถึงคลองไปแขมหนูออกถึงทเล มีด่านตั้งไว้แต่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มาอิกหน่อยหนึ่งข้างฝ่ายตวันออกมีคลองครุ ไปตกบางโตนด ๓ โมง ๑๕ มินิตมาเห็นเรือกระมุท ซึ่งท่านกรมท่าจอดอยู่ที่ท่าเสาธง ที่ริมฝั่งมีเสาหงษ์อยู่ข้างซ้ายมือ แล้วเข้าคลองบางกะจะ ข้างฝั่งตวันออกมีศาลเจ้าและศาลาอยู่ข้างซ้ายมือ ต่อนั้นมามีโรงเรือนประมาณ ๒๐-๓๐ หลัง เรือเราจอดที่ตพานน่าพลับพลา เห็นพระยาจันทบุรีมาคอยรับอยู่ เราขึ้นนั่งพักบนพลับพลา ที่พลับพลานั้นทำเปนปรำ แต่ยกพื้นชั้นบนกว้างประมาณ ๓ วา กั้นฝากลางเปนข้างน่าข้างในมีพื้นลด ข้างน่าข้างในประมาณ ๕ ศอก ฝาไม้ระกำที่ข้างน่าเปิดโถงใช้พนัก ขดด้วยหวายดูงามดี มีเกยหุ้มด้วยไม้ระกำ รอบพลับพลานั้นมีปรำใบไม้ รวมเรามาในแม่น้ำตั้งแต่เรืออรรคราช คิดเปนทางโมงหนึ่ง กับ ๕ มินิต ถึงพลับพลาบางกะจะ ต้องรอให้จัดกระบวนหน่อยหนึ่ง มีม้าพระยาจันทบุรีเข้ามาหา ๕๐ ม้า กับรันแทะอย่างเก่าก็มี ที่เขาทำเก๋ง คล้ายกับรถฝากระจกดูงามทีเดียวก็มีตำรวจทหารกับเจ้านายขุนนาง บางคนมาด้วยม้า บางคนมาด้วยรันแทะ เราเดินข้ามตพานเขาทำใหม่มาที่ริมถนนนั้น เห็นเกยอย่างใหม่ ไม่ได้เคยเห็นมาแต่ก่อนเลย เขาทำเปนยกพื้นยาวประมาณ ๓ ศอกคืบ กว้างศอกคืบ สูงศอกคืบ ๖ นิ้วถึงพื้น ข้างน่านั้นมีหลักมุมสองข้างๆหลังมีเก้าอี้ คล้ายกับเก้าอี้ข้างตพานน้ำตามที่เห็นในบางกอกบ่อยๆ ที่หัวเกยสองข้างนั้นเปนบันได ๓ คั่น ถามเขาว่าเปนเกยม้า เปนความคิดของพระยาจันทบุรีให้ทำเอง ของเขาก็ชอบกลอยู่ แต่เราไม่ต้องการที่จะต้องลำบากขึ้นบันได แลต้องเอาม้ามาเทียมเกย เราขึ้นม้าพิรุณรัศมีออกเดินมาตามทาง หลานขึ้นม้าถือดาบเรามาด้วย เห็นเปนโรงจีนเปนร้านขายของทั้งสองข้างมากหลายสิบโรง แต่เห็นเปนฝาปูนอยู่โรงหนึ่ง ทางคดไปคดมา ๓ ทบ ๔ ทบจึงหมดโรง แต่เราเห็นคนที่ยืนตามโรงนั้น เปนจีนแทบทั้งนั้น ไม่ใคร่เห็นมีไทย เว้นแต่ผู้หญิง เมื่อต่อมานั้นเปนเดินต้องขึ้นทางสูง เหมือนขึ้นเขาหน่อยหนึ่งพอถึงหลังที่ราบ คราวนี้เราเห็นตึกจริงๆ เปนเก๋งจีนศาลเจ้าอยู่ ๒ หลัง มีโรงงิ้วแลโรงใกล้เคียงหลายโรงอยู่ข้างขวามือ เมื่อแลไปข้างซ้ายเราเห็นเปนโรงขายของกินโรงหนึ่ง เห็นมีหมูเป็ดไก่มาก แต่จะเปนโรงหมี่ ฤๅของอะไรเจ๊กๆไม่ทราบ เราเดินม้าต่อมาออกที่เตียน ที่นั้นพื้นเปนหญ้า แลมีต้นไม้เปนหย่อมๆไป มีน้ำหนองบ้างดูงามดี ถ้าเปนฤดูฝนหญ้าไม่แห้งจะงามกว่านี้ ดูคล้ายกันที่เมืองราชบุรีที่เขาสัตนารถ แลในที่ๆเราผ่านมาเดี๋ยวนี้เห็นเปนสูงๆต่ำๆ เปนฮองซุ้ยที่ฝังศพจีนมากหลายแห่ง เหมือนกับที่เมืองมละกา ที่มละกานั้นมากกว่านี้ ดูก่ายกันไปทั้งเนินทีเดียว ดูภูมที่คล้ายกับที่นี้ด้วย ทางที่มานั้นสีดินแดงๆแทบจะเท่ากับสีอิฐเก่าๆ อย่างเช่นถนนน่าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ตามข้างทางนั้นมีโรงจีนบ้างเปนระยะมา มีไร่อ้อยหลายแห่ง ที่น่าไร่อ้อยนั้นเปนไร่ยาสูบบ้าง ไร่ถั่วบ้าง นาเข้าก็มีบ้าง ที่เปนค้างพริกไทยก็มีโดยมาก ริมๆหนทางมีต้นมะพร้าวมาก เข้ามาในหมู่ไม้อิกหมู่หนึ่งก็ออกที่เตียนเปนไม้หย่อมๆมา ทางที่เราไปนั้นเปนกลางเตียน ดูทางก็จะทำง่ายๆ เปนแต่ถากหญ้าเกลี่ยดินเสียบ้างเล็กน้อยก็เปนแล้วกัน ด้วยที่นั้นราบไม่สูงต่ำอะไรกว่ากันนัก เรามาใกล้ถึงเชิงเขาแล้ว ขึ้นไปเปนทางลาดสูงขึ้นไปทีละน้อย ทางนั้นคล้ายกับเขาสัตนารถที่สมเด็จเจ้าพระยาทำใหม่ แต่ไม่มีศิลา กับต่ำไม่ลงรอบเขาเหมือนเขาสัตนารถ เห็นจะทำได้ง่ายนัก มาถึงหลังเนินมีพลับพลา ๒ หลัง พลับพลาใหญ่ กระบวนทำคล้ายกับที่ท่าบางกะจะ แต่โตกว่าไม่เปนปรำ เปนหลังคาปั้นหยา ๒ หลัง ฝานั้นทำดีทีเดียว ที่พลับพลาอิกหลังหนึ่ง ทำเปนเนินสูงขึ้นไปอิกหน่อยหนึ่ง ทำนองเปนพลับพลายก แลดูแผ่นดินได้ตลอด เราเห็นเขาวางที่แลทำการดี เห็นว่าพระยาจันทบุรีนี้เขาเปนช่างอยู่ จึงวางทีได้ดีทีเดียว เมื่อเรายังไม่ขึ้นมาถึงหลังเนินนั้น ดูเหมือนกับจะไม่สูงนัก ด้วยที่เรามาตามทางนั้นลงทีละน้อยๆ ไม่ทันรู้ว่าตัวมาถึงที่สูงมาก เราขึ้นบนพลับพลาแลดูเห็นที่เรายืนอยู่นั้นเปนเขาสามยอด ยอดสูงเปนพระเจดีย์ รูปร่างอะไรก็ไม่รู้ ยอดกลางเปนที่เรานั่ง ยังมีอิกยอดหนึ่งสูงกว่าในที่ทำพลับพลานี้หน่อยหนึ่ง ยังมีเนินต่ำอิก ถ้าดูบนที่สูงแทบจะเห็นเหมือนดินต่ำ ที่พื้นแผ่นดินแลลงไปดูนั้น เห็นเปนไร่อ้อยมาก เมื่อเรามากลางทางนั้น เห็นหลังคาโรงหีบน้ำตาลโรงหนึ่ง แต่ไม่ใกล้กับทางเรามา มีไร่อ้อยบังอยู่ ในรอบเขาพลอยแหวนนี้ พระยาจันทบุรีแจ้งความว่าเปนที่พวกจีนทำไร่อ้อยไร่พริกไทยยาสูบ แลถั่วต่างๆรอบไปทั้งนั้น เรานั่งอยู่บนพลับพลา มีลมจัดนักทีเดียวเย็นสบาย ถึงเดินทางมาก็มีลม แดดไม่ร้อนจัดนัก แล้วเรามานั่งที่พลับพลา มีจีนชาวบ้านผาล้อมดูเรามาก จีนจูบ้านสีพยาเอาพลอยที่ขุดได้เมล็ดหนึ่งใหญ่ พระยาจันทบุรีก็ว่าไม่เคยเห็นโตอย่างนี้ เราเห็นกับท่านกรมท่าว่าดูเหมือนกับแก้วผลึก แต่เนื้อสนิทหนามาก กับพลอยแดงหลายเมล็ด กากกรุน พานหนึ่ง มาให้เรา ๆ ให้เงินเขายี่สิบบาท ขอบใจที่เขามาให้ อนึ่งเราได้ถามพระยาจันทบุรี ด้วยวิธีขุดกากกรุนนั้น เขาว่าทำกันในเดือนสิบเวลาดินชื้น ขุดลงไป ๕ ศอกบ้าง ๖ ศอกบ้าง อย่างฦก ๘ ศอกบ้าง ๙ ศอกบ้าง ได้กากกรุนแล้วไปต่อยทำที่มีพลอยขายพลอย ตัวกากกรุนนั้นขายอย่างแพงชั่งละสามบาท อย่างพูมเจ็ดสลึงแปดสลึง แต่เดิมมานั้นมีกองส่วยกากกรุน ครั้นมาถึงแผ่นดินทูลกกระหม่อม ว่าแขกข้าหลวงเดิมคนหนึ่งมาขอผูกเงินหลวง ๕๐ ชั่ง ไม่ให้คนอื่นขุด แต่นั้นมาส่วยก็เลิกไปสมทบหมู่อื่นๆเสีย แขกนั้นทำไม่ตลอดก็เลิกไป ส่วยก็ไม่ได้ตั้งขึ้นใหม่ ราษฎรใครอยากทำก็มาทำไม่ต้องเสียอะไร เปนแต่ถ้าได้ใหญ่โตต้องไปบอกเจ้าเมือง ราษฎรยังมีมาทำกันอยู่มาก เราขึ้นอยู่บนเนินนี้ ดูเห็นภูมิ์แผ่นดินงามมาก ตรงทิศอิสาณนั้นเขาใกล้อยู่ ๒ เขา แต่เตี้ยๆเรียงกันไปเรียกว่าเขาบายศรีเขา ๑ เขาสระแก้วเขา ๑ ข้างทิศบุรพานั้นเห็นเขาเปนเทือกกันไป จนตลอดเห็นทเลทีเดียว เกาะในทเลก็เห็นหมด ในเวลานี้เราเห็นโรงหีบโรงหนึ่ง กำลังจะมุงหลังคา เพราะฤดูนี้เกือบจะตัดอ้อยได้แล้ว โรงหีบเหล่านี้มีหลายเจ้าของ ทำน้ำตาลขาวน้อย ทำน้ำตาลแดงมาก เรามานั่งอยู่พลับพลาเล็ก พระยาภาษรับจดหมายพระครูสังฆปาโมกข์ กับถานานุกรม จัดของกินต่างๆเปนผลไม้มาให้ แล้วเราเดินไปข้างหลังพลับพลา เห็นมีเรือนมุงกระเบื้องไม่มีฝา ๒ หลัง เราเรียกพระยาจันทบุรีมาถามว่าวัด เราก็ไปที่บันไดชานกุฎี พระสมุห์ชมเปนเจ้าวัดออกมาหาเรา ๆ ถามถึงวัดนี้ว่าสร้างเมื่อไร เธอบอกว่าพระยาจันทบุรีซึ่งเปนพระยาไกรโกษา เปนผู้สร้างพร้อมกับพระเจดีย์บนยอดเขา สร้างประมาณ ๓๕ ปีมาแล้ว พระสงฆ์ในเวลานี้มี ๑๒ รูป ในพรรษา ๑๔ รูป ๑๕ รูป ที่บิญฑบาตนั้นหาง่าย ด้วยบ้านคนอยู่รอบเขา พระยาจันทบุรีว่ารวยกว่าที่อื่นๆ เสียอิก ที่พระเจดีย์สูงนั้นเขาก็ทำทางไว้ แต่เราไม่ขึ้นไป เพราะเห็นว่ามีแต่พระเจดีย์องค์เดียว แดดร้อนนัก พระสมุห์ชมเอากากกรุนก้อนใหญ่ๆมาให้เราด้วย ๕ ก้อน เราได้ถวายเงินแก่พระสมุห์ ๓ ตำลึง อนุจร ๑๑ องค์ๆละบาทหนึ่ง แล้วเรากลับมาถึงพลับพลา ท่านกรมท่าเลี้ยง คุณปริกเปนผู้ทำครัว บรรดาคนที่มาได้กินหมดไม่ต้องเอาเสบียงมาแต่เรือ แล้วนายแฉ่งบุตรพระยาจันทบุรีเอากากกรุนก้อนเล็กๆมาให้ถาดหนึ่ง กับจีนโป๊เปนชาวบ้านบายศรี เอาบุศย์น้ำทองยังไม่ได้เจียรไนมาให้เมล็ดหนึ่งน้ำงาม กับกากกรุนพานหนึ่ง แลของอื่นๆ เราให้เงินสามตำลึง แล้วพระปลัดเอามาให้อิก แต่ของเขาก้อนใหญ่ๆมาก เราเดินลงไปดูที่บ่อขุดกากกรุนตามเชิงเขามีหลายบ่อ แล้วกลับขึ้นมาตามเขานอกทางเดิม ในจดหมายซึ่งเราว่าไว้เมื่อขึ้นไปด้วยเรื่องหนทางนั้น ขาดไปหลายอย่าง เมื่อเรากลับมาถึงที่นั้นจึงนึกได้ ที่กลางทางนั้นมีต้นไทรเรียงๆกันไป ๔ ต้น แต่ต้นสุดท้ายนั้นใหญ่ มีศาลา ๒ หลัง ดูร่มสบายนัก เมื่อไปเราพบอาลบาสเตอร์ หมอกาแวน กับกมลาศ กรมอดิศรยืนอยู่ที่นั้น กับรถคุณปริกไปถึงกลางทาง พอเราไปต้องรออยู่ ครั้นเมื่อกลับมาแดดบ่ายร้อนมาก เราได้อาไศรยร่มต้นไทรนี้สบายจริงๆ กับเราไม่ลืม แต่เปนเพราะไม่รู้ จึงไม่ได้พูดถึงลำธาร เพราะหมายว่าเปนแต่หนองน้ำลำห้วยเล็กน้อย ครั้นเมื่อเรามาเกือบจะลงเนินที่มีศาลเจ้า ตามที่เราว่ามาแล้วนั้น เลี้ยวขวามือทางเรากลับมานี้ ที่น้ำตกบ้านสีพยา เมื่อเราเห็นที่นี่แล้วจึงนึกถึงตามทางที่เรามานั้น เราไม่ได้พูดถึงที่สำคัญเลยในที่ๆเราว่าเปนหญ้าเตียน แลมีที่ฝังศพจีนนั้น ใกล้ทางเราเดินไปไม่ห่างนักเห็นได้สนัด เปนธารน้ำมีศิลาเปนระกุระกะน้ำไหลเชี่ยวมาแต่ตื้น เดินข้ามได้สบาย ฟากธารข้างโน้นนั้นเปนเนินสูงลาดๆขึ้นไป เปนหญ้าแพรกปูกว้างใหญ่ดูงามนัก ธารนั้นน้ำนั้นมาแต่หนองผักบุ้งเปนน้ำพุมาในดินไหลมาตามลำธารนี้ ถึงที่เกือบจะตกเนิน ที่นั้นเปนศิลาแลง ดูเหมือนกับพังลง ธารนั้นไปขาดอยู่เพียงที่พัง น้ำไหลตกลงเปนน้ำตกเหมือนกับเกาะช้างแต่น้อยกว่า ถ้าเดินไปข้างบนดูเหมือนกับเปนเหวใหญ่ เปนซอกฦกลงไป ต่อเดินมาข้างๆ จึงเห็นว่าเปนน้ำตกลงมาจากพื้นสูงประมาณ ๓ วาศอกเศษ แล้วเปนธารสูงๆลดต่ำลงไปทุกที น้ำไหลแรงเสียงดังเหมือนกับที่น้ำตกอื่นๆ บางแห่งก็เปนที่ฦกเปนอ่างขังน้ำอยู่บ้างพอล้นเต็มแล้วก็ไหลไป มีต้นไม้ใหญ่ริมนั้น เขาทำแคร่ที่นั่งเปนลดน่านั่งเล่น เราเดินไปปลายธารนั้นตกแผ่นดิน มีบ้านจีนอยู่บ้านหนึ่ง แล้วเรากลับเดินเลียบธารมาถึงที่ตกมีทางพอปีนขึ้นไป ใต้น้ำตกนั้นเปนถ้ำ ถ้าจะว่าเปนเหมือนกับกล้องส่อง ฤๅจมูกคนก็ได้ น้ำไหลไปข้างบน ใต้นั้นถ้าจะนั่งได้ประมาณสัก ๗ คน ๘ คนพอสบาย น้ำตกลงข้างน่า ถ้าที่อย่างนี้มีอยู่ใกล้ๆเรือนเราสักแห่งหนึ่งเห็นจะดี ในถ้ำนั้นถ้านั่งอ่านหนังสือแลเขียนหนังสือคนเดียวสองคนจะสบายมาก แต่น้ำนั้นดูไม่สู้สะอาด ขุ่นๆไป ฤๅจะเปนเมื่อเวลาเราไปม้าลงกินน้ำไม่ทราบ แต่น้ำนั้นไม่เย็นเหมือนเกาะช้าง เราออกจากที่นั้นมาถึงพลับพลาบางกะจะ ๓ โมงครึ่ง พระครูสังฆปาโมกข์ กับปลัด แลวิไนยธร วิไนยธรรม สมุห์ ใบฎีกา มาหาเราที่พลับพลานี้ด้วย เราถวายเงินพระครูสังฆปาโมกข์สี่ตำลึง พระปลัดสามตำลึง พระวิไนยธร พระวิไนยธรรม พระใบฎีกา องค์ละตำลึง แล้วสั่งให้พระครูเข้าไปกรุงเทพฯ จะให้ตาลิปัตรรองตราเกี้ยวยอด บอกแล้วนิมนต์ให้กลับไปวัด อนึ่งเราให้ชาวร้านเอาพลอยกับผ้าพื้นมาขาย เราซื้อพลอยสีต่างๆหลายสิบเมล็ดกับผ้าพื้น แต่พลอยนั้นมักจะมีพลอยหุงปลอมมาบ้าง ไม่ใคร่จะเปนศิลาแท้ ต้องระวังหน่อยหนึ่ง แลเวลานี้ขายได้ราคาแพงที่สุดด้วยเราซื้อ อนึ่งจีนกั๊กเอาพลอยมาให้ เราให้เงินสามตำลึง แล้วลงเรือกลับตีกันเชียงมาเวลา ๕ โมง แต่เรือไฟนั้นต้องลอยลงไปอยู่ล่างเพราะน้ำน้อย เราต้องตีกันเชียงไป เรือ ๑๒ กันเชียงแต่บันทุกคนมามากตีไปแต่ ๖ กันเชียง ต้องลดคนลงเสียครึ่งหนึ่ง แรงน้อยกว่าเรือ ๖ กันเชียงตามธรรมเนียม เพราะเรือเราใหญ่กว่า ๖ กันเชียง ระยะทางที่ไปวันนี้พระยาจันทบุรีจดหมายมาว่า ตั้งแต่เรืออรรคราชไปถึงน่าบ้านบางกะจะ ๕๐๒ เส้น ตั้งแต่พลับพลาไปทางบก ๙๒ เส้น รวมทางเรือทางบก ๕๙๔ เส้น เรามาในเวลาค่ำลงแล้ว ทุ้ยกับเจิมช่วยตีกันเชียงคู่น่าอิกคู่หนึ่ง หมอสายตีเข้าคู่กับกะลาสีอิกคนหนึ่ง เมื่อนั้นเรือเราขึ้นเปน ๑๐ กันเชียงเดินกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว แต่ทุ้ยนั้นเทวราชเปลี่ยนเมื่อจวนจะถึง เมื่อเรือเราผ่านเรือรบและเรือไรซิงซันเขาจุดดอกมะตาด มาถึงเรืออรรคราชเวลาทุ่มหนึ่งกับ ๒๐ มินิต พอเราอาบน้ำแล้วสักสองทุ่มเศษ ไปดูพวกญวนเขาตกปูทเล เราอยากดู แต่วานนี้สั่งไม่ทัน ที่เขามาตกกลางคืนวันนี้ก็ผิดเวลาๆ เขาตกเช้ามืดน้ำขึ้น ในเวลานี้เปนเวลาน้ำลงมากทีเดียว เราลงไปที่หัวโขดป้อมพิฆาฎข้าศึก พบเรือพระยาราชพงษากับเรือพวกตกปู แต่เรือโบดเราเข้าไม่ถึงน้ำตื้นนัก เราลงเรือกับพระยาราชพงษา พระยาภาษ กาพย์ สวัสดิ์ ไปที่แร้วเขาปักเรียง ๆ ห่างกันประมาณ ๔ วา ๕ วา เมื่อเวลาจะชักนั้นต้องชักขึ้นมาเร็วๆ ถ้าชักช้าๆ ลากเบาๆ ไม่ได้ คันแร้วนั้นยาว ๘ ศอก ตัวแร้วถักด้วยป่านกว้างประมาณกำมาหนึ่ง แร้วนั้นไว้ต้นคันเห็นจะพอเรี่ยๆกับแผ่นดิน มีเหยื่อเกี่ยวก้อนโตๆ ถ้าปูมากินเหยื่อแล้วชักแร้วขึ้น ปูก็ติดขึ้นมากับแร้วด้วยตามขัดในช่องตาแร้ว ถ้าชักช้าไปก็หลุดไปเสีย เราได้ลองชักดูทีไม่ได้ติดมานั้นมาก ได้สองตัว ชักช้าไปตกน้ำเสียสามตัว กาพย์กับพระยาภาษก็ได้ลองชักเหมือนกัน ได้บ้างไม่ได้บ้างเพราะไม่ชำนาญ แต่ขุนราชรศคนธ์เขาชักได้บ่อยๆ ครู่เดียวได้ถึง ๑๑ ตัว ๑๒ ตัว เราได้ถามถึงวิธีหากินในเรื่องดักปูนี้ ขุนราชเขาบอกว่ามีเรือ ๒ ลำ แร้วลำละ ๔๐ อัน ชักได้วันหนึ่งสองร้อยเศษ เหยื่อนั้นใช้เนื้อไก่สด ที่ตกอยู่ทุกวันนี้ไก่วันละ ๔ ตัว เราถามเขาว่าปูขายราคาอย่างไร เขาว่าร้อยละสองสลึงเฟื้อง เราสงไสยนัก ถ้าจะคิดกับราคาไก่ก็จะขาดทุนมากทีเดียว เขาว่าไก่ที่นี่ตัวละสองไพ สี่ตัวสลึงเปนทุน ถ้าได้เงินสองร้อยห้าสลึง มีกำไรวันละบาทดังนี้ ไก่ที่นี่ถูกจริงๆ ไม่เหมือนกับบางกอก ถ้าบางกอกทำอย่างนี้บ้างแล้ว จะขายปูให้ถูกด้วยเห็นจะทนไม่ไหวเลย แต่ถ้าจะทำแล้วขายปูให้แพง เหมือนราคาที่บางกอกปูสี่ตัวเฟื้อง กับไก่ตัวละสลึงหนึ่งฤๅสลึงเฟื้อง คงยังจะมีกำไรมากกว่าที่นี่ ๒ เท่า ๓ เท่า คนซึ่งหากินเหล่านี้เปนคนเข้ารีดส่วยกฤษณา ขุนราชรศคนธนี้เปนนายกอง วันนี้ก็เปนวันสะบาโต แต่เปนวันราชการ เขาจึงรับมาทำ เราเอาปูถวายเสด็จยายที่เรือไรซิงซันแล้วกลับมาเรือ วันนี้พวกเราที่ไปเหนื่อยด้วยกันทุกคน บางคนก็หลบเสียบ้างก็มี เรากินเข้าเกือบ ๔ ทุ่ม แล้วพระยาราชพงษาพาจีนบุญฮวดเจ้าภาษีฝิ่นเอาของกินมาให้ กับขุนราชรศคนธ์ที่เราออกชื่อมาแล้วนั้น เอาเสื่อมาให้หลายม้วน เราให้เสื้อแพรเขาคนละตัว ถามเขาด้วยการภาษีฝิ่นที่นี่ เขาว่าแต่ก่อนฝิ่นเถื่อนมาก แต่เดี๋ยวนี้สงบไป อนึ่งจีนเจ้าของรั้วปลาริมเรือเรานั้นเขาเอาปลามาให้ทุกวัน สองคืนมาแล้ว เราจึงให้เงินเขาแปดบาท วันนี้เราได้กินขนมจ้าง ไม่เหมือนกับที่เคยกินมาแต่ก่อนเลย ไม่มีเมล็ดเข้าแลเหนอะหนะ เหมือนตามที่เคยกินมา เขาทำดีนัก ของคุณแพเอามา ว่าน้องสใภ้เมียพระยาอภัยสงครามเอามาให้ เราไปเที่ยววันนี้ได้ทำงานด้วยตลอดทาง กรมพิชิตเอาสมุดเล่มนี้ไปด้วย จึงได้เขียนหนังสือเสมอ แต่มาถึงเรือแล้วเราหาวนอนนัก เข้าที่นอนห้าทุ่มเศษ ทอมอเมตเตอร์ ๘๒ ดิครี อนึ่งเรามาคราวนี้ ไม่ใคร่จะได้กินนกเลย มีแต่ปลามาก เมื่อวานซืนนี้ได้กินนกเปล้าของพระอินทรเทพเท่านั้น มาวันนี้นายเหมาเขาไปได้นกเขาที่ไหนมาให้สองตัวก็ไม่ทราบ กับนกพิราบท่านกรมท่ามาให้ ๒ ตัว ฤๅ ๓ ตัวเท่านั้น.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ