วัน ๔ ฯ๔ ๒ ค่ำปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘

เมืองจันทบุรีวันไปเมือง

ณวัน ๔ ๒ ค่ำ ปีชวดอัฐศกจุลศักราช ๑๒๓๘

เวลาเช้าเราแต่งตัวแล้วออกมานั่งกินเข้า ท่านกรมท่าให้คนพาจีนเก๋า ว่าเปนคนเดิมอยู่ในจางวางช้าง๙๓ มาหา เอาหมูมาให้ตัวหนึ่ง มีหนังสือสำหรับตัวตั้งแต่ปีฉลูสัปตศกศักราช ๑๒๒๗ เปนหนังสือจางวางช้างนำว่าเปนข้าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ถ้าจะมาค้าขายมีถ้อยความสิ่งใด ขอให้ท่านเจ้าเมืองกรมการช่วยสงเคราะห์ด้วย ลงตราจางวางช้างเปนสำคัญ แต่จีนคนนี้จะได้ไปหาเราฤๅไม่ได้ไปหาเราจำไม่ได้เลย ด้วยเปนการช้านานมาแล้ว เราให้เสื้อแพรตัวหนึ่งกับเงิน ๓ ตำลึง ตาเจ๊กนั้นเอาลูกมาถวายตัวด้วยอิกคนหนึ่ง เรากินเข้าแล้วลงเรือโบดไปเวลา ๒ โมงครึ่ง คนที่ลงเรือมากเต็มตามเติม พอออกเรือไปลมจัดนัก พอเรือขวางลมกินเพดานชั้นบน หลักที่ขึงเพดานหักเพดานลงน้ำไป หลังคาชั้นล่างซึ่งเปนเสาทองเหลือง เหล็กแกนหักโย้ไป น้ำก็เปนคลื่นจัด เราเห็นจะไปไม่ได้ด้วยเรือนั้นชำรุดมากอยู่ แล้วเรือเพียบนักด้วยคนมาก จึงได้กลับมาขึ้นที่เรืออรรคราช เรียกเรือบุษบาแบ่งกลีบ มาผ่อนเจ้าแลทหารไปเสียบ้าง คงอยู่แต่ท่านเล็ก กับกรมพิชิต หมอสาย พระยาภาษ กับพระนายไวยถือท้าย กระลาสีนั้นเอาไว้แต่ ๖ คน แล้วเรือบุษยาแบ่งกลีบลากไป คลื่นจัดสาดขึ้นในเรือบ่อยๆ ทั้งเรือไฟเรือโบดหน้าตาเปียกเปนน้ำเต็มไปทั้งนั้น ต่อพ้นบางแสลมไปแล้วคลื่นจึงสงบ เรารับกรมนเรศร์ลงมา เพราะจะแต่งหนังสือไปพลาง กรมนเรศร์เปนผู้จดหมายระยะทางไว้ แต่วันนี้เราจะเขียนเองไม่ทัน ด้วยปากไก่ที่เคยใช้หมุนไม่ขึ้นเสียไป หมึกก็น้อย ที่เขียนก็ไม่ถนัด จึงให้กรมพิชิตเขียนด้วยสมุดดำก่อน เราเปนผู้บอกความ เขียนมาตามทางจนตลอด เพราะระยะทางเมื่อวานนี้ยังค้างอยู่มาก เราตั้งใจว่าวันนี้จะเขียนเรื่องจันทบุรีให้มากสักหน่อยหนึ่ง จึงรีบเขียนระยะทางวันนี้เสียให้แล้วโดยเร็ว แลระยะทางซึ่งเราไปวันนี้ก็เหมือนกับวันก่อนที่ว่ามาแล้ว เราไม่อยากพูดซ้ำซากต่อไป แต่เมื่อวานนี้เรายังไม่เข้าใจอยู่หน่อยหนึ่ง เมื่อเวลาเกือบจะถึงพลับพลาวังหิน เราเห็นเปนที่เนินสูงมีศิลาแดงๆ เก๋งขาวๆ สองหลัง เราไม่รู้เลยว่าเปนสิ่งไร เพราะพระปลัดไม่ได้ลงเรือไปด้วยเหมือนวันแรก คนนำร่องก็อยู่เสียเรือไฟ จึงไม่ได้ถาม มาวันนี้เรารู้เปนแน่ว่าที่นั่นคือเนินวงที่เปนเมืองใหม่ เห็นเก๋งขาวๆ สองหลังคือซุ้มประตูเมือง เมื่อเราพ้นพลับพลาวังหินไปหน่อยหนึ่ง เห็นเรือนจากหลังคาปั้นหยาใหญ่อยู่หลังหนึ่ง เล็กหลังหนึ่ง อยู่ข้างน่า แต่ไม่มีฝา เปนเรือนทำค้าง หมอสายบอกว่าเปนบ้านพระชลธาร ต่อไปนั้น เวลา ๕ โมงถึงโรงสุราจีนเจี๊ยะ ไปอิกหน่อยหนึ่งพอเลี้ยวแหลมก็ถึงเมืองเก่า เห็นบ้านญวนเรียงไปตามริมแม่น้ำข้างซ้ายมือกว่าร้อยหลังเรือน ข้างขวามือก็มีบ้านรายๆ ที่ริมแม่น้ำ น่าบ้านเหล่านั้นปักธงญวนเปนระยะกันไป ตลอดน่าบ้านมีผู้หญิงผู้ชายแลเด็กแต่งตัวเปนญวน ลงมายืนดูเราที่ริมน้ำหลายร้อยคน มีเด็กๆมากนัก ในเวลานั้นเรือเราไม่มีเพดานแดดร้อนเต็มที แต่เรามีร่มไป หมอสายเปนผู้กั้น พอหมดบ้านญวนก็ถึงตพานฉนวนน้ำข้างขวามือ ฟากแม่น้ำข้างหนึ่งนั้น มีศาลเจ้าอยู่หลังหนึ่ง ปักธงน่าศาลเหมือนกัน ต่อไปอิกหน่อยหนึ่งนั้นเปนวัดกาธอลิก แต่เราไม่เห็นโบสถ์ถนัด ได้ยินแต่เสียงกลองเสียงระฆัง แลมโหรี ที่วัดมีพลุจุดหกนัด เราขึ้นไปบนตพานแล้วจุดพลุขึ้นอิกหกนัด พบหยายืนอยู่กับแม่ยาย แลเมียพระพิพิธ ๆ คนนี้เปนพี่น้องกับท่านใหญ่๙๔ ท่านเคยพาแสงคนนี้ไปหาเราที่บางกอกครั้งหนึ่งแล้ว มาวันนี้เขาเอาทองก้อนหนึ่งมาให้เราหนัก ๑ บาทสลึงเฟื้อง บอกว่าเปนทองได้ที่นี่ กับพลอยโกเมนสองเมล็ด เมล็ดหนึ่งใหญ่ทีเดียว เมล็ดหนึ่งย่อมหน่อยหนึ่ง เปนของหายาก กับพลอยสีดอกตะแบกเมล็ดใหญ่เมล็ดหนึ่ง พลอยสีดำๆ เมล็ดหนึ่ง เปนพลอยโตๆทั้งนั้น เราหยุดพูตอยู่กับเขาหน่อยหนึ่งแล้วขึ้นเสลี่ยงไป พวกที่ไปด้วยกับเรานั้นเดินไปทั้งสิ้น พอเราออกไปพ้นที่ตพานนั้นหน่อยหนึ่งก็พบเรือจีนเก๊ง เขาออกมายืนอยู่น่าโรง ที่โรงนั้นเห็นมีของขายต่างๆ มาก เราพูดด้วยคำหนึ่งแล้วก็เลยไป หนทางนั้นกว้างประมาณ ๙ ศอก ๑๐ ศอก เปนพื้นทรายเมล็ดใหญ่เรียบร้อยดี สองข้างทางมีโรงบ้างตึกบ้าง เปนที่ขายของ มีของต่างๆ ขายสนุกสนานมาก เราไปหน่อยหนึ่ง มียายญวนแก่คน ๑ เอาบุคกับดอกยิโถดอกหนึ่งใส่พานมาทูลหัวไว้คอยให้เราที่กลางทาง เราให้รับไปแล้วให้เงินไป ๔ บาท เมื่อมาเกือบจะถึงปลายถนน เราจึงพบตึกยายหงวน ตึกของแกหมดจดดี มีของขายก็มาก เราไปต่อไปอิกจนที่สุดถนนที่มีโรงค้าขายสองข้างทางประมาณ ๑๒ เส้น แล้วกลับมาพบพระยาจันทบุรีตามเราไป แต่เมื่อเราไปถึงน่าท่าพระพิพิธเปนผู้รับรอง ด้วยบ้านเขาอยู่ที่นั่น เมื่อเราไปนั้นตามตึกตามโรงสองข้างทาง เขาตั้งโต๊ะบูชาหลายสิบโต๊ะ บางแห่งก็มีน้ำร้อนน้ำเย็นหมากพลูเลี้ยงคนที่ตามเราไปด้วย แล้วเราก็มานั่งอยู่ที่ตพานน้ำ ได้ให้เงินแก่แสงมารดาภรรยาพระพิพิธ ๒ ตำลึง กับให้เสื้อจีนกี้ จีนกิด จีนเกีย คนละตัว กับพวกจีนบ้างไทยบ้าง ญวนก็มี เอาพลอยแลบุศย์มาให้ เราได้ให้เงินคนละมากบ้างน้อยบ้างตามสมควร แล้วกลับมาลงเรือขึ้นไปทางเหนือน้ำตรงน่าโบสถ์กาธอลิก เห็นบาทหลวงมานั่งอยู่ที่ตพานสามสี่คน มีมโหรีทำอยู่ที่นั่นด้วย ตัวโบสถ์นั้นยาวใหญ่เปนหลังคามุงกระเบื้องเกล็ด หันน่าลงแม่น้ำ แต่ข้างน่าโบสถ์นั้นเราเห็นก่ออิฐใหม่ๆ ยังไม่แล้ว ตรงกลางนั้นสูงขึ้นไป จะเปนหอระฆังฤๅอะไรไม่ทราบ ก่อขึ้นไปได้เกินอกไก่โบสถ์สักหน่อยหนึ่ง ที่นั่นเขาเอาไม้ขึ้นไปผูกชักธงไม้กางเขนใหญ่ เมื่อเราไปถึงเขาชักธงสลุตทั้งไปทั้งมา ตามโบสถ์แลตพานนั้น มีธงต่างๆปักไว้มาก เราผ่านไปทางนั้นเขาตีกลองระฆังแลมโหรีจุดพลุอิก ๖ นัด ตีกันเชียงขึ้นไป พ้นน่าวัดเห็นบ้านตึกหลายหลัง เราคเนเห็นว่าจะเปนบ้านพระพิพิธ ด้วยเขาบอกว่าอยู่ใกล้วัดฝรั่ง ต่อขึ้นไปนั้นอิกก็มีตึกบ้างรายๆ ข้างฝั่งซ้ายมือนั้นเปนหลังตลาดที่เราได้ขึ้นไปแล้ว เราตีกันเชียงไปจนถึงวัดโบสถ์ ซึ่งเปนที่เนินสูงทีเดียว ข้างขวามือนั้นวัดจันทร์ตรงกันข้าม แลกลับเรือที่นั้น ล่องลงมาพบท่านกรมท่ากลางทาง ซึ่งท่านกรมท่าไปไม่ทันนั้น เพราะเรือไปติดแห้งอยู่ เราได้พบกลางทาง เธอบอกว่าจะไปทางลัดแล้วอาไศรยให้เรือไฟข้างหลังเขาจูงไปจึงได้ช้าอยู่ เมื่อเราผ่านน่าวัดมาเขาก็ทำรับเหมือนแต่ก่อน แล้วเราเอาเรือบุษบาลากเรือเรา ท่านกรมท่าขึ้นเรือไฟมาด้วย ล่องลงมาถึงปากคลองน้ำใสทางจะไปเมืองใหม่ เวลาบ่ายโมง ๑ เรือกลไฟจะเข้าไปลำบาก เรารอเรือรับท่านกรมท่ากับเจ้านายลงไปในเรือกับเราด้วย ตีกันเชียงเข้าคลองน้ำใส ไปอิกหน่อยหนึ่งก็ถึงตพานน้ำ เรือจอดที่ตพาน เราขึ้นบกไปเวลานั้น หลานเอาม้ามาคอยรับ เมื่อเรายืนอยู่บนเกยม้านั้น แลข้างขวามือเปนถนนตลอดไปถึงเนินวง ข้างซ้ายมือนั้น เห็นมีตพานเสาไม้แก่นใหญ่ๆ ข้ามลำคลองน้ำใส มีพนักลูกกรงทำเรียบร้อยดียาวเกือบเส้น ๑ แต่ยังไม่แล้วตลอด แลดูไปฟากข้างโน้นมีถนนต่อไป เราถามพระปลัดแจ้งความว่า เปนถนนทำขึ้นใหม่ พระยาจันทบุรีทำไว้แต่เมื่อมีตราออกมาว่าเราจะมาเมืองจันทบุรีแต่ครั้งก่อน เมื่อ ๒ ปี ๓ ปีมาแล้ว ทางไปถึงเมืองเก่า ๑๒๐ เส้น เราได้สั่งเขาว่าทางทำขึ้นไว้ก็ดีแล้ว อย่าให้เปนแต่ทางรับเสด็จคราวหนึ่ง ให้รักษาไว้ให้เปนประโยชน์แก่ราษฎรด้วย ที่ยังค้างอยู่ก็ให้ทำเสียให้แล้วๆ เราขึ้นม้าไปทางเมืองใหม่ เห็นมีบ้านน้อยทีเดียว ที่ริมบ้านพระยาจันทบุรีนั้น เห็นมีตลาดอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วก็เปนที่บ้านพระยาจันทบุรีแลบ้านพระปลัด เปนบ้านใหญ่อยู่สองบ้านเท่านั้น ที่บ้านพระยาจันทบุรีนี้ เดิมเปนที่สมเด็จองค์ใหญ่ เมื่อออกมาตั้งทำเมืองอยู่นั้นท่านได้ตั้งอยู่ที่นี้ แล้วก็ตกเปนที่บ้านพระยาอรรคราชนารถภักดี เมื่อมาเปนพระยาจันทบุรี ครั้นพระยาจันทบุรีคนนั้นไปเปนอรรคราชแล้ว พระยาจันทบุรีคนนี้มาเปลี่ยนก็อยู่ในที่บ้านนั้นต่อมา ต่อนั้นไปก็เปนทุ่งนาทาง ๒๐ เส้นถึงเนินวง เมื่อแลดูไปแต่ไกลๆ เห็นใบเสมาป้อมก่อด้วยศิลาแลง ตัวเนินนั้นก็เปนดินแดงดูคล้ายๆ กับป้อมเดลลิเมืองอินเดีย แต่ที่นั่นเขาไม่ได้ใช้ศิลาแลง เขาใช้ศิลาแดงก่อเปนกำแพง หนาสูงใหญ่ดูงามนัก เมื่อเราไปถึงเชิงเทินนั้น เห็นมีคูกว้างประมาณ ๑๑ วา ๑๒ วา แต่ต้นไม้ขึ้นปรกลงไปเสียมาก ที่ยังว่างอยู่นั้นน้อย ไม่สู้กว้างนัก แล้วเราขี่ม้าขึ้นไปตามหนทางเปนเนินสูงชันขึ้นไปหน่อยหนึ่งจึงเข้าประตูเมือง ที่ตรงประตูนั้นก่ออิฐบังดินเชิงเทินสองข้างประตูทำเปนซุ้มหอรบ แล้วเราขี่ม้าเข้าประตูไปลงที่เชิงเทิน ขึ้นบนพลับพลาที่เขาทำไว้รับเราบนเชิงเทินนั้น เมื่อเราขึ้นไปยืนอยู่บนพลับพลา ได้แลเห็นทางไกลมากทีเดียว ด้วยเปนที่สูง ที่ป้อมนี้วางท่าดีนัก ทางปืนก็ไปได้ไกลมาก เชิงเทินนั้นขุดดินคูแลดินริมเชิงเทินข้างในขึ้นถมสูง ๗ ศอก กว้างขาดหลังเชิงเทิน ๓ วา ๒ ศอก แล้วจึงลาดลงมา ใบเสมาป้อมนั้นก่อด้วยแลงทั้งสิ้น ใบหนึ่งยาวประมาณ ๕ ศอก หนาสัก ๒ ศอกคืบ มีบันไดยันข้างหลังกว้างประมาณ ๒ ศอกเศษ เราได้ให้จมื่นสราภัยยืนเทียบกับ.ใบเสมาลองดู สูงพอเสมอศีศะอยู่ในประมาณ ๓ ศอกคืบ เราก็กินเข้าบนพลับพลานั้นแล้วแจกเสื้อสักหลาดให้กรมการสัก ๑๕-๑๖ คน พระปลัดเขาเอาม้ามาให้ม้าหนึ่ง กับแหวนพลอยแดงทับทิมนาวงใหญ่ยอดหนึ่ง พระพิพิธภักดีเขาก็ให้เหมือนกัน แต่ย่อมกว่าของพระปลัด กับผ้าไหมสี่ผืนทอที่เมืองนี้ดูงามดีนัก นอกนั้นก็ให้ของต่างๆ ตามธรรมเนียม แต่พระยาจันทบุรีนั้นเราชอบใจความคิดของเขาที่ได้จัดการรับรองเรามาก ถึงการที่เขาทำนั้นเปนแต่การเล็กน้อยไม่เปนการใหญ่สิ่งไร พลับพลาฝาเลื่อนก็เปนแต่ปรำเล็กๆทั้งนั้น แต่เขาได้ออกความคิดของตัวเขามาก ในที่รับทุกแห่ง ดูเปนนักเลงหมดไม่เคอะสักแห่งหนึ่ง ถ้าเขาทำสิ่งไรไว้ที่แห่งใดก็เฉภาะที่เราจะต้องไปฤๅจะต้องการที่ตรงนั้นทุกสิ่ง ไม่ได้ทำไว้ค้างให้ลำบากเปล่าๆ สักอย่างหนึ่งเลย ท่วงทีวางแผนที่ดีนัก จะต๊กว่าคนกรุงเทพฯ ที่ได้เห็นการใหม่เสียอิก เพราะเขาได้ตั้งใจคิดรอบคอบจริงๆ ไม่มีแห่งไรขาดไม่มีแห่งไรเหลือสักอย่างหนึ่งเลย เราขอบใจเขามาก ไม่ได้เตรียมสิ่งไรซึ่งมีราคามาให้เลย เราจึงได้เอาซองบุหรี่นากที่เราใช้เองนั้น ให้เปนรางวัลกับเขาซองหนึ่ง แล้วขึ้นม้าเดินไปตามริมกำแพง หมายจะไปเที่ยวให้รอบเมือง แต่หนทางนั้นเปนหนทางแคบเล็ก เราจึงให้กาพย์กับพระยกรบัตรไปดูทำแผนที่เมืองมาให้เรา กาพย์ยังไปทำแผนที่อยู่ เราจึ่งไปตามหนทางใหญ่ข้างวัดโยธานิมิตรที่ถนนนั้นสูงขึ้นไปทุกทีจนถึงกลางเนิน เราไปใกล้ศาลเจ้าหลักเมืองอยู่ข้างซ้ายมือ ในหนทางซึ่งไปนั้นเห็นมีบ้านราษฎรหลายบ้าน มีสวนหมากมะพร้าวกล้วยแลไร่ยาไร่แตงเปนอันมาก แต่ที่ในเมืองนี้เราเห็นสัปรศเปนดงไปทีเดียว ถึงตามหนทางที่เราไปสวนวันก่อนมาแล้วนั้น ข้างหนทางก็มีสัปรศบ่อยๆ แต่ในเมืองนี้เปนมากนัก ที่ตรงกับดงสัปรศออกไปนั้นเปนไม้ไผ่เลี้ยงกอตรงๆ เรียงเปนแถวยาวทีเดียวดูงามดี ที่ศาลเจ้าหลักเมืองนั้นกำแพงก่อด้วยแลงสูง ๒ ศอกคืบ มีศาลเจ้าอยู่ในนั้นหลังหนึ่ง กับมีโรงอะไรอกสองหลังไม่รู้ เห็นมีแต่เครื่องบนอยู่อิกหน่อยหนึ่งก็ถึงกำแพงด้านหลัง เราขี่ม้าขึ้นไปบนเชิงเทินแล้วลงจากม้าขึ้นไปยืนอยู่ที่ริมหอรบซุ้มประตู เมื่อแลดูออกไปนอกกำแพง เห็นเขาพลอยแหวนถนัด เขาว่าทางไปแต่เนินวงนี้ ๙๒ เส้น ประตูที่เราไปยืนอยู่นั้นเปนทางเกวียนทางคนเดินไปมาถึงที่ในเมือง แลดูตั้งแต่ประตูออกไปจนถึงพลอยแหวนนั้น เห็นมีต้นหมากต้นมะพร้าวมากตลอดไป ได้ถามหลวงมหาดไทย เขาว่าเปนดังนี้ตลอดไปเกินเขาพลอยแหวนไปมาก แลดูเข้ามาข้างในที่ตรงเรายืนนั้น เห็นถนนสูงขึ้นไปทุกที ต้นไม้สองข้างครึ้มงามนัก ทำให้เราคิดถึงเมืองมละกาซึ่งได้ไปเห็นไม่ผิดกันเลย กับที่แผ่นดินเมืองจันทบุรีนี้คล้ายกันกับที่แผ่นดินในสตริดเซตตะละแมนไม่ผิดกันเลย เมื่อแลดูแผ่นดินก็สูงๆ ต่ำๆ มีเนินบ่อยๆ เหมือนกัน ที่เนินนั้นก็เปนดินแดงเหมือนสีอิฐป่น ที่พื้นราบเปนดินขาวร่วนเปนที่ดินอุดม ถ้าจะต้องการน้ำขุดลงไปที่แห่งไรก็ได้น้ำดีทุกแห่ง ถึงบนเนินวงนั้นขุดบ่อลงไปก็ได้น้ำแต่ต้องลึกถึง ๗ วาสองศอกฤๅ ๘ วา ราษฎรใช้น้ำบ่อทั้งนั้น เรากลับลงมาจากเชิงเทินแล้ว ขึ้นมาเลียบไปตามริมเชิงเทินหน่อยหนึ่ง จึงตัดเข้าในหมู่บ้านตามทางคนเดิน เห็นมีบ้านกรมการเปนเรือนฝากระดานมีอยู่สามหมู่ ไปอิกหน่อยหนึ่งถึงที่ไว้ดินดำและไว้ปืนใหญ่ปืนน้อย มีปืนเหล็กปืนทองใหญ่ๆ หลายสิบบอก ที่ไว้ดินดำนั้นมีกำแพงก่อด้วยแลงสูง ๔ ศอก มีโรงสามห้องเฉลียงรอบไว้ดินดำและปืนเล็ก เราอออกจากที่ไว้อาวุธเดินมา ตามสองข้างทางนั้น มีต้นชาเปนรั้วยาวทีเดียว ดูสีเขียวแก่งามนัก มาอิกหน่อยหนึ่งถึงศาลากลาง ทำไว้โตใหญ่แต่ชำรุดไป เพราะเจ้าเมืองกรมการไม่ได้เข้ามาว่าการที่นั่น มีกังวลด้วยราษฎรอยู่เสียที่เมืองเก่า มาอิกหน่อยหนึ่งถึงวัดโยธานิมิตรกำแพงก่อด้วยแลงรอบ ในวัดนั้นมีโบสถ์หลังหนึ่งขื่อสามวาห้าห้อง เฉลียงรอบ มีกำแพงแก้วสองชั้น หลังโบสถ์นั้นมีพระเจดีย์กลมอยู่องค์หนึ่ง สูงแต่พื้นดินขึ้นไปประมาณ ๑๐ วา มีการเปรียญและกุฎีฝากระดาน มีพระสงฆ์อยู่ ๒๐ รูป ที่วัดแลเมืองนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ ออกมาสร้างไว้สำหรับป้องกันข้าศึกศัตรูฝ่ายตวันออก เมื่อปีมะแมสัปตศกจุลศักราช ๑๑๙๗ ที่เมืองเก่านั้นตั้งอยู่ที่หมู่บ้านคนเดี๋ยวนี้ แต่ซึ่งมาสร้างเมืองที่เนินวงนั้น ด้วยสมเด็จเจ้าพระยาท่านเห็นว่าเปนที่ไชยภูมิ์ดี จึงได้สร้างป้อมเชิงเทินลงไว้ ประสงค์ว่าจะให้ราษฎรแลร้านตลาดมาติดในที่นี้ แต่ราษฎรที่มีถิ่นฐานเปนพากภูมแล้วก็ไม่ถอนมาได้ คงอยู่ที่เดิม เปนแต่ราษฎรใหม่มาทำเรือกสวนไร่นาก็มีบ้าง เพราะฉนั้นจึงเปนเมืองใหม่เมืองเก่า แต่ที่กำแพงวัดกำแพงเมืองซึ่งใช้แลงโดยมากนั้น เพราะแลงที่เมืองจันทบุรีนี้มีแทบทั่วไปทั้งนั้นเปนพื้นเมือง ที่เนินวงนั้นมีมากแล้วทำง่าย วิธีที่ทำแลงนั้นได้ถามพระยาจันทบุรีได้ความว่า ถ้าที่เปนแลงดาดอยู่บนแผ่นดิน ก็ใช้ละแมะเปนเหล็กมีด้ามสับลง จะเอากว้างยาวเท่าไรก็ได้ แล้วเอาชแลงงัดขึ้นมาแต่งตัวด้วยผึ่งแลขวาน ถ้าเปนแลงแก่แขงกว่าแลงอ่อนต้องใช้สกัด ลางทีถ้าแลงนั้นอยู่ฦก ต้องขุดลงไป ๒ ศอก ๓ ศอก แล้วก็ทำเหมือนกันกับแลงบนดิน ทุกวันนี้ที่ราษฎรซื้อขายกันอยู่ ต่อมีผู้ไปสั่งให้ทำจึงได้ทำ คนที่ทำนั้นเปนพวกจีนบ้าง ไทยบ้างกับพวกชอง ขนาดที่ทำกันอยู่นั้นน่ายาวศอก ๑ กว้างคืบ ๑ หนา ๑๐ นิ้ว ถ้าเปนแลงอ่อนราคาร้อยละ ๕ บาท ๖ บาท เพราะไม่สู้ทนทำง่าย ถ้าแลงแก่ราคาร้อยละ ๘ บาท ที่ในเมืองจันทบุรีเดี๋ยวนี้เขาใช้ก่อเตาทำรากตึกอยู่โดยมาก ถ้าแลดูไกลๆ งามเหมือนกันศิลาแดงเมืองจีน แต่เข้าไปใกล้ดูครุคระไป ด้วยเนื้อหยาบเหมือนอย่างกับกรวดติดกันเปนแผ่น เราออกจากประตูเมืองลงมาท่าน้ำ วันนี้กรมขุนท่านขี่ม้า แต่เมื่อแรกขึ้นไปนั้นท่านเดินขึ้นไป เมื่อจะไปดูเมืองแลกลับมา เราเห็นว่าทางไกลจึงชวนท่านให้ขี่ม้า ๆ ตัวนี้สนิทนักเหมือนกับเต่า กรมม้าเขาเรียกกันว่าม้าประธม เพราะเราเคยไปป่าแล้ว ม้าตัวนี้ผูกเปนพระที่นั่งรองเสมอ ถ้าออกเดินแต่เช้าๆหาวนอนนัก เรานั่งหลับตาไป ลางทีก็เคลิ้มได้บ้าง คราวนี้เขาก็ผูกมาเปนที่นั่งรองด้วย เราจึงให้กรมขุนท่านขี่ อนึ่งท่านกลางไม่ได้ขึ้นไปวันนี้ เพราะเธอไม่สบาย กาพย์ที่เราใช้ให้ไปทำแผนที่นั้นยังไม่กลับมา ต่อเรามาถึงเรืออรรคราชแล้วเขาจึงตามมาทีหลัง แผนที่นั้นทำไม่ใคร่จะทัน ด้วยริมกำแพงรกมาก ได้แต่รูปเปนเค้าๆ มาเมืองนั้นโดยยาว ๑๕ เส้น กว้าง ๑๔ เส้น วัดรอบใบเสมาได้ ๖๕ เส้น ๘ วา เราลงเรือตีกันเชียงมาถึงเรืออรรคราชวรเดชเวลาย่ำค่ำ ๑๓ มินิต วันนี้เรานอนดึกกว่าทุกวัน เพราะต้องเลี้ยงโต๊ะในการวันเกิดท่านเล็กแลทำหนังสืออยู่ด้วย ทอมอเมตเตอร์ ๗๕ ดิครี เราเข้านอนเวลาสองยามครึ่ง

การเลี้ยงโต๊ะวันเกิดท่านเล็กในเรืออรรคราชวรเดช ท่านเล็กเกิดเมื่อณวัน ๔ ๒ ค่ำปีมะแม เอกศก จุลศักราช ๑๒๒๑ มาจนถึงวันนี้ ถ้าจะว่าโดยสุริยคติกาลก็ไม่ครบ แต่เธอเคยทำทางจันทรคติกาลอย่างไทยๆ มาแต่ปีกลายนี้ ก็ในวันนี้เปนวันครบตามอย่างเช่นเธอเคยทำมาแต่ก่อน แต่เราอยู่ในปากอ่าวเมืองจันทบุรีแล้วก็กำลังเที่ยวสนุก แต่เช้าชั่วค่ำทุกวัน ถ้าจะหยุดเที่ยวเสียสักวันหนึ่งก็จะได้ แต่เห็นป่วยการเวลา ฤๅถ้าจะทำเอาต่อเมื่อครบตามสุริยคติกาลก็จะได้ แต่เราเห็นว่าเปนเวลาที่จะได้เล่นสนุก ในลำเรือของเราได้เงียบมาในทเลหลายวันแล้ว พอให้คนที่มาในลำเรือมีใจครึกครื้นขึ้นสักวันหนึ่ง แล้วจะได้เห็นการเล่นของเมืองจันทบุรีด้วย เราคิดถึงกำหนดนี้สองวันมาแล้ว แต่ไม่มีเวลาจะจัดการ ถามถึงพิณพาทย์ก็ว่าไม่ใคร่จะมีในเมือง มักมีอยู่ที่บ้านนอก และการที่เราจะจัดนั้นก็เห็นว่าคงต้องเปนการปัจจุบันทั้งนั้นจึงได้นิ่งอยู่ ครั้นวันนี้เราขึ้นไปเมืองจันทบุรี ได้ยินเสียงมโหรีบาทหลวงที่ตพาน ท่านเล็กชอบใจว่าเสียงเบาๆเพราะดี เราจึงสั่งพระยาจันทบุรีให้หามโหรีบาทหลวง แลพิณพาทย์กับเสภาลงไปที่เรืออรรคราช เมื่อเรามาถึงเรือแล้วไม่ได้หยุดพักเลย ขึ้นไปบนดาดฟ้า ให้พระนายไวยยกโต๊ะกินเข้าของเราที่เคยกินอยู่ชั้นล่างขึ้นไปตั้งบนดาดฟ้าอิกโต๊ะหนึ่ง กับโต๊ะที่ขุนนางกินเข้าอยู่บนดาดฟ้าแต่ก่อนโต๊ะหนึ่ง เราจัดเปนที่สำหรับเจ้านายกินสองโต๊ะนั่งได้ ๒๔ คน แล้วเปิดเอากระดานหลังซุ้มจักร เอาโต๊ะน้ำชาสามโต๊ะตั้งเรียงๆกัน แล้วเอากระดานนั้นวางบนโต๊ะ เปนที่ขุนนางกินได้อิก ๘ คน มีโต๊ะเหล็กอิกสองโต๊ะเราให้ตั้งที่ดาดฟ้าข้างซุ้มจักรข้างละโต๊ะ นั่งได้โต๊ะละ ๔ คน ช้อนส้อมมีดจานนั้นต้องไปยืมเรือเขจรเขามาเติมลงบ้าง แต่เครื่องตั้งกลางโต๊ะของเราล้วนเปนทองคำทั้งสิ้น ที่ลงยาราชาวดีก็มี ดีกว่าโต๊ะที่เรากินที่บางกอกใช้แต่เครื่องเงิน คือใช้แต่พานผ้านุ่ง พานหมาก พานกล่อง พานตลับเพชร แลพานอื่นๆ บรรดาที่มีมาใช้ต้องเก็บหมด จัดเอาใบไม้กับผลไม้ใส่ที่พานใหญ่ ใช้จนถึงกล้ายแลต้นกล้วยไม้ ดูก็งามดีอยู่ ที่โต๊ะนั้นมีถ้วยเฉภาะคนละใบๆ ซ่อมช้อนคนละ ๒ สำรับไม่ได้ มีถ้วยตั้งเปนกอง และซ่อมช้อนผลัดทุกคราวเหมือนที่กรุงเทพฯ เครื่องแต่งนั้นจะแต่งเต็มลำก็ไม่ทัน ต้องแต่งครึ่งหนึ่ง เอาธงบริวารผูกตามเสาเพดานเปนม่านสองไข ที่ตรงกลางระหว่างม่านสองไขนั้นมีธงห้อยเปนม่านอิกผืนหนึ่ง ในระหว่างช่องนั้นมีโคมช่องละใบ ที่เสากลางค้ำเพดานแลเสาเรือนั้นมีธงหุ้ม แลผูกเปนม่านสองไขในระหว่างเสาต่อเสานั้น ตรงกลางมีกระเช้ากล้วยไม้ทำด้วยไม้ระกำของกำนันที่เกาะช้าง กาพย์เปเตนต์แขวนช่องละกระเช้า ขาดอยู่อิกกระเช้าหนึ่ง เจ้าของเขาทำขึ้นทันในเวลานั้น มีโคมไฟยาวแขวนสองข้างกระเช้าข้างละใบทุกๆช่อง กระบวนใบไม้นั้นเราให้พระนายไวยใช้คนขึ้นไปตัดมาแต่บนบก แล้วผูกเปนสายยาวๆ โยงก้นโคมแถวกลางไปหาเสาเปนเฟื่องไปจนตลอด ที่โคมริมชายเพดานนั้นมีใบไม้ ผูกเปนพวงภู่กลมๆ ห้อยกั้นโคมทุกๆใบ กว่าจะจัดการแล้วเกือบยามหนึ่ง เราได้มีก๊าดไปเชิญเจ้านายเรือเขจรแต่เวลาเย็น คนในเรือเรานั้นจดชื่อด้วยสมุดดำ แต่งตัวใส่เสื้อนอนทั้งนั้น จำนวนผู้ที่ต้องเชิญนั้น ท่านกลาง ๑ ท่านเล็ก ๑ กรมขุน ๑ กรมนเรศร์ ๑ กรมพิชิต ๑ กรมอดิศร ๑ ทองใหญ่ ๑ กมลาศ ๑ เกษมศรี ๑ ศรีสิทธิ ๑ ทองแถม ๑ ชุมพล ๑ กาพย์ ๑ วรวรรณ ๑ จันทรทัต ๑ ดิศ ๑ โสณ ๑ วัฒนา ๑ ไชยันต์ ๑ หมอสาย ๑ ต๋ง ๑ พระยาภาษ ๑ เทวาธิราช ๑ พระยาอนุรักษ์๙๕ ๑ พระนายไวย ๑ สรรพเพธ ๑ พิเรนทร ๑ ราชวรินทร์๙๖ ๑ นายเหมา ๑ จมื่นสุรเดช ๑ จมื่นสราภัย ๑ อาลบาสเตอร์ ๑ หมอเกาแวน ๑ หลวงพินิต ๑ ไชยพร๙๗ ๑ หลวงศัลยุทธ ๑ หลวงนายฤทธิ์๙๘ ๑ รวมเจ้า ๒๑ ขุนนาง ๑๖ รวม ๓๗ คน แต่ท่านกลางมาแล้วไม่ได้นั่งโต๊ะ จมื่นสุรเดชไม่อยู่ ทองแถมบอกป่วย หลวงศัลยุทธไปอาบน้ำยังไม่มา พอพระยาราชพงษาพามโหรีมา กับพระยาจันทบุรีหาพิณพาทย์มาด้วยอิกวงหนึ่ง แต่พวกเรามานั่งโต๊ะกันแล้ว พิณพาทย์ดึกไปหน่อยหนึ่ง เมื่อเราเข้าไปในที่เลี้ยง ซึ่งตกแต่งไว้นั้นก็ดูงาม เหมือนกับมีงานจริงๆ สักยามหนึ่งเศษเราจึงได้นั่งโต๊ะพร้อมกัน กับเข้าที่กินนั้นถึง ๔ โรงครัว โรงหนึ่งคุณแพเครื่องต้น โรงหนึ่งหลวงนริศร๙๙ เรือเขจร อิกสองโรงนั้นพระอินทรเทพกับจู เราลืมพูดไปถึงคนสองคนนี้ ตั้งแต่มาเที่ยวเมืองจันทบุรี เขาเที่ยวๆกันถึง ๔ วัน คนสองคนนี้ไม่ได้ไปไหนเลย เพราะเราให้คอยทำครัวเลี้ยงอยู่ข้างนี้ เมื่อเวลาคนเหนื่อยๆ กลับมาจะได้กินทันที เขามาลาเราวันหนึ่งว่าจะขึ้นไปตามวันไปเมือง แต่ครั้นเราถามดู ก็ว่าไม่ได้ไปทั้งสองคน โรงครัวสามโรงนี้แบ่งกันเลี้ยงขุนนางทั้งเจ้านายบ้าง หลวงนริศรนั้นเปนผู้สำหรับมาเจือจานกับเข้าที่กินก็มีมาก แต่คนที่สำหรับเลี้ยงนั้นมีมาไม่พอกับที่จะเลี้ยงคราวเดียวพร้อมกันหมด กาพย์เขาเอาทหารมหาดเล็กมาช่วยเลี้ยง แต่เขาแต่งตัวกันสนุก นุ่งกางเภงอยู่แล้วเอาผ้าพื้นพับนุ่งเปนโสร่งสวมเสื้อนอน เอาผ้าเช็ดปากซื้อใหม่ที่เมืองจันทบุรีโพกหัว ดูก็คล้ายๆกับมลายูจริงๆ ด้วยหน้าตาสีสันของเราก็คล้ายๆกันกับมลายู มโหรีบาดหลวงเขาทำเพลงมอญแปลง จเข้หางยาว ลีลากระทุ่ม ฟังก็เปนมโหรีบ้านนอก แต่ใช้ซอจีนเสียงเบาๆ พิณพาทย์นั้นตีสาธุการก่อนแล้วทำเพลงยาว เราเรียกให้เสภามาขับ ว่าเมื่อขุนแผนลักวันทอง ส่งสี่คราว พิณพาทย์รับสองคราว พม่าสามชั้นกับกราวนอก แล้วส่งลีลากระทุ่ม มโหรีรับ ครั้นส่งสี่บทอิกคราวหนึ่ง มโหรีจน พิณพาทย์ต้องรับแทน เราเลี้ยงโต๊ะคราวนี้ ไม่มีแกล์แรตฤๅชรีเหมือนโต๊ะในบางกอก มีแต่แชมเปนเหลืองอยู่ห้าขวด เมื่อกินเข้าแล้วเสร็จ ต้องเทน้ำในถ้วยเสียรินแชมเปนพอได้ดื่มให้พรท่านเล็ก เราให้ของขวัญ แหวนทับทิมนาวงเม็ดใหญ่แก่ท่านเล็กวงหนึ่ง ๕ ทุ่มจึงได้เลิกปาตี เงินงานพิณพาทย์กับมโหรีนั้นเราให้วงละ ๓ ตำลึง กับคนขับเสภาคนหนึ่งเราให้เงิน ๑ ตำลึง ในวันนี้พระยาภาษ หมอสาย กับพระยาจันทบุรี ปุจฉาวิสัชนากันจนดึกทีเดียว.

  1. ๙๓. พระสามภพพ่าย (ช้าง)

  2. ๙๔. หม่อมยิ่ง

  3. ๙๕. พระยามหานิเวศนานุรักษ์ (เผือก)

  4. ๙๖. พระราชวรินทร์

  5. ๙๗. พระยาสีหราชฤทธิไกร (ทองคำ)

  6. ๙๘. หม่อมราชวงษ์เล็ก ศรีสรรักษ์

  7. ๙๙. พระยาทิพโกษา (โต)

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ