วัน ๒ ฯ๒ ๒ ค่ำปีชวดอัฐศก ๑๒๓๘

ตามทางไปที่น้ำตกคลองพลิ้ว

ณวัน ๒ ๒ ค่ำ ปีชวด อัฐศก ๑๒๓๘

เช้าโมง ๑ กับ ๔๐ มินิตเราลงเรือโบด แต่วันนี้เราเข็ดเมื่อขากลับวานนี้ช้านัก เราเอาคนตีกันเชียงมาเต็มที่ ต้องผ่อนเจ้าไปลงเรืออื่นเสีย ๔ คน คือ คัคณางค์ กมลาศ สวัสดิ์ ไชยันต์ กับเทวาธิราช เรือเราคนน้อยกว่าแต่ก่อน แต่เราต้องเอาเรือท่านกลางกับเจ้านายมาพ่วงด้วย เพราะเรือบุษบานั้นต้องลากเรือตำรวจกับเจ้านาย ที่ผ่อนไปจากเรือเราอิกลำหนึ่ง มาตามแม่น้ำระยะทางว่าไว้แล้วเมื่อวานนี้ เวลา ๒ โมง ๑๕ มินิต เลี้ยวแยกเข้ามาทางแควน้ำข้างขวามือเรียกคลองพลิ้ว มาตามทางนั้นมีคลองข้างขวามือซ้ายมือ ๓ แห่ง แต่เปนคลองเข้าไปในนา คลอง ๓ คลองนี้ คลองหนึ่งแลดูตรงเขาสระบาปทีเดียว ดูเหมือนจะเดินไปถึงใกล้ๆ แต่ถ้าเดินไปจริงแล้วจะไม่สู้ใกล้เลย เห็นจะสัก ๒๐๐ เส้นเศษ เรามาเลี้ยวเข้าคลองยายดำ ๓ โมง ๑๕ มินิต จอดที่ตพานพลับพลาเห็นมีวัดๆหนึ่ง แต่เราไม่รู้เลยว่าวัด ดูเหมือนกับบ้าน มีศาลามุงกระเบื้องหลังหนึ่ง นอกนั้นเปนโรงจากทั้งนั้น มีโรงอุโบสถ เขื่อนรอบ มีเสาธงจระเข้ ถามพระยาจันทบุรี ว่าวัดนี้ชื่อวัดท่าเรือ พลับพลานั้นทำเหมือนบางกะจะ แต่ที่กว้างงามกว่าโน้น หันน่าออกตรงทางไปเขา น่าพลับพลานั้นเปนท้องนาทั้งนั้น คนเราหาพาหนะพร้อมแล้ว เราขึ้นม้าพิรุณรัศมีออกเดิน เวลา ๓ โมง ๕๐ มินิต ในทางมาตั้งแต่พลับพลานั้นเปนท้องนา แลดูเห็นทิวไม้ไกลทั้ง ๒ ข้างทาง มาในกลางนาประมาณ ๔๐ เส้นเศษ เข้าในป่าไม้ ตามริมชายไม้นั้นเปนบ้านคน มีด้นมะพร้าวต้นตาลมาก แต่พื้นดินนั้นผิดกันทีเดียวกับเมื่อเราไปเมื่อวานนี้ที่เขาพลอยแหวน ที่นี่เปนดินขาวๆกับท้องนา กำลังราษฎรเกี่ยวเข้าแล้วทำลานจะนวด ดูเหมือนเมืองเพชรบุรีทีเดียว ถ้าจะไม่ได้นึกเทียบเลย ก็คงนีกว่าเปนเมืองเพชรบุรี มาในป่านั้นเปนแต่ป่าต้นไม้เล็กๆ แล้วมีระหว่างเปนทุ่งนาบ้างเปนไร่บ้าง ด้วยไร่แลนาตามเขาเหล่านี้มีรอบไป เขาได้อาไศรยน้ำในลำธารที่เขาสระบาปนี้มาก เราไม่ได้เห็นดอกไม้อะไรเลยในป่านี้เว้นแต่ต้นไม้สองอย่างที่ริมทาง เมื่อเรามาถึงที่ว่างแห่งหนึ่ง พื้นเปนหญ้าแพรกมีต้นไม้อย่างหนึ่งต้นต่ำๆ อย่างสูงที่สุดทีเดียวก็สักศอกคืบใบเปนขนๆ แต่ไม่คาย ดอกตูมคล้ายๆกับดอกบานมิรู้โรย สีบัวโรย รูปร่างก็เท่ากัน ดอกที่บานนั้นเปนสีม่วงเจือแดง ระบายเกสรเปนสีชมภู ต้นเหลือง ปลายดอกโตเต็มที่กว้างสักสองนิ้วเศษ ต้นไม้ที่ว่านี้เปนตัวเมีย ยังมีตัวผู้อิกที่ขั้วเหมือนดอกบานมิรู้โรยนั้น เปนกลีบเขียวหุ้มใบไม้พองเหมือนกับตัวเมียมีมากงามดี เขาเรียกว่าต้นโคลงเคลง กับอีกต้นหนึ่งดอกแดงๆ ต้นสูงเปนไม้ใหญ่เรียกพันจำ กับเราเห็นกล้วยไม้หางสิงห์ห้อยกับต้นไม้เหมือนกับกระเช้ากล้วยไม้ที่พิเรนทร๘๙สานขนาดใหญ่ แล้วมีกล้วยไม้อิกอย่างหนึ่งห้อยลงมา เปนเหมือนกับกลีบน่าผ้ามุ้งสี่อันดูงามจริงๆ เปนของเปนเอง แต่ดูงามเหมือนกับคนช่วยจัดทีเดียว เรามาถึงใกล้เขาเข้ามาอิกหน่อยหนึ่งเห็นเปนที่ดินแดง ในป่านั้นต้นไม้โตๆ สูงลิ่วๆ เราเห็นว่าจะใกล้ธารน้ำแห่งหนึ่ง เพราะถ้าที่ธารน้ำแห่งไรแล้วต้นไม้สูงๆ แล้วใบก็เขียวสดทีเดียว ได้ถามพระยกรบัตรบอกว่าคลองนี้เปนทางน้ำมาแต่อื่น มาถึงบ้านซากซะอมแล้วปลายไปรวมลงคลองน้ำตก เรามาพอพ้นไม้ถึงที่กว้างเห็นมีต้นหมาก ต้นมะปราง ทุเรียน เงาะ เปนอันมาก พระยกรบัตรบอกว่าที่นี่เดิมเปนของนายเภา แต่นายเภานั้นมีที่หลายแห่ง ที่นี่ทิ้งเสียไปทำที่อื่น นายปั่นน้องมาทำอยู่แทน ในที่ต่อสวนมานี้เปนลานกว้างไม่ใคร่มีต้นไม้ ที่นี้เขาทำพลับพลามีรั้วเปนไม้กระยาเลยทั้งๆ ลำเปนค่ายรอบ พลับพลานั้นเปนปรำ ท่าทางก็คล้ายๆกับที่ว่ามาแล้ว แต่ที่นี้แปลกที่เขาขดหวาย เปนหูช้างโค้งแลเปนฝาด้านน่าผูกเปนลายโปร่งอย่างรั้วเหล็กทาขาว เรามาถึงพลับพลา ๔ โมง ๔๕ มินิต เข้าไปน่าพลับพลาหน่อยหนึ่ง เราอยากจะไปให้ถึงที่น้ำตกเสียก่อนจึงจะมาพลับพลา กินเข้าแล้วจะได้กลับไปทีเดียว ด้วยเราเข็ดเมื่อวานนี้กลับไปถึงเรือค่ำลำบากนัก จึงกลับขึ้นม้าไปอิก เมื่อเราเดินไปนั้นเปนทางแคบลงอิกหน่อยหนึ่ง ดินแดงเหมือนเมื่อวานนี้ ที่สูงๆ ต่ำๆ เปนเนินขึ้นไปบ้าง แล้วไปหน่อยหนึ่งได้ยินเสียงเรไรเสียงน้ำพุคึกๆ สังเกตดูเย็นเยือกเข้ากว่าเมื่ออยู่ข้างนอก บัดเดี๋ยวหนึ่งเราเห็นข้างซ้ายมือเปนที่กว้างมีต้นไม้ร่ม มีแคร่ที่นั่งพักหลายแห่ง บ้างก็เปนศิลาก้อนๆที่ควรจะนั่งพักได้ ต่อไปนั้นเปนลำธารศิลาก้อนโตๆ น้ำไหลแรงซอกมาตามศิลาเปนที่อาบได้ ในขณะนี้เราชักม้าเข้าไปดูหน่อยหนึ่ง แต่ไม่เอาใจใส่ที่จะดู เพราะเราหมายจะไปดูที่น้ำตก จึงเดินม้าต่อไปอิกหน่อยหนึ่ง ถึงที่พักเกวียนเขาปักฉลากบอกไว้ ตั้งแต่นั้นต่อไปจึงเปนศิลาก้อนโตๆมาก ม้าไปได้เฉภาะๆตัว สูงขึ้นไปทีละน้อยแต่ไม่สู้ลำบากนัก ทางที่เราไปเดี๋ยวนี้นั้นเปนทางเลียบไปตามลำธาร เปนต้นไม้บังบ้างเห็นลำธารบ้าง ทางไปตั้งแต่พลับพลาถึงลำธารที่น้ำตกเขาวัดได้ ๓๗ เส้น เมื่อถึงที่จะไปน้ำตกนั้นต้องลงไต่ตามบันได ๓ คั่น ๔ คั่นลดลงไป แล้วเดินเลียบฝั่งข้างลำธารไปข้างขวา มีตพานเดินต่อไป ตามหลังศิลาที่เปนก้อนๆ ในลำธารเปนสะพานเลี้ยวไปเลี้ยวมาหลายต่อจึงถึงปากอ่างที่รับน้ำตก เมื่อเราเดินไปในลำธารบนตพานนั้น เสียงน้ำไหลใต้ทางเราเดินกระทบศิลาดังทีเดียว ที่น่าอ่างนั้นเขาทำแคร่ใหญ่ๆปูเต็มน่าอ่างแล้วทำที่เรานั่ง ยกพื้นปูกระดานไว้ที่ข้างฉง้อนเขากว้างยาวประมาณ ๔ ศอกสี่เหลี่ยมหลังคาใบไม้ ถ้าจะดูที่น้ำพุนั้นแล้ว ที่เรานั่งเห็นดีกว่าทุกแห่งหมด เขาทำแพไว้แพหนึ่งสำหรับจะได้ไปดูที่น้ำพุ มีถ่อ ๒ อัน พอเราไปถึงก็ลงในแพนั้นหลายคนด้วยกัน ช่วยกันถ่อเข้าไปใกล้ที่น้ำพุ ดูเห็นน้ำตกลงมาถึงน้ำพื้นล่างประมาณ ๑๐ วา มีศิลาที่กระทบหลายแห่งลงมาจนเกือบจะถึงอ่างนั้น มีศิลาที่กระทบโตกว่าข้างบนหน่อยหนึ่ง น้ำนั้นตกตรงลงมามากกว่าเกาะช้าง ไม่มีที่เปนน้ำไหลตรงๆเหมือนกับเกาะช้างเลยสักแห่งเดียว น้ำตกลงมาเปนฝอยตั้งแต่ยอดเขาจนถึงอ่าง ที่เปนศิลาคั่นอยู่บ้างก็ลงเปนหลายทางลงมาแต่เปนฝอยเสมอกันหมด ถ้าไปที่ใต้ฉง่อนเปนเพิงอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วแลเห็นน้ำเปนลอองเต็มทั้งช่องเขา ที่เปนน้ำพุเหมือนกับลอองน้ำที่ออกจากที่บีบน้ำหอมดูงามยิ่งนัก อ่างที่รับนั้นอยู่กับน่าผา ๓ ด้านๆหนึ่งก็เปนที่น้ำล้นไหลไม่มีทางเดินใกล้อ่างเหมือนกับเกาะช้าง เราให้พิเรนทรหยั่งดูน้ำในกลางอ่างนั้นฦกถึง ๗ ศอกคืบ เย็นเฉียบทีเดียว เราได้เห็นน้ำตกดังนี้มา ๒ แห่ง ๓ แห่ง คือที่ปินังกับเกาะช้างแลสีพยา เห็นไม่มีที่ไหนจะงามกว่าที่นี่เลย ถ้าจะให้เรานั่งดูอยู่ยังค่ำก็แทบจะได้ ด้วยเปนสบายจริงๆ สองข้างที่น้ำตกนั้นเปนน่าผาสูงทั้ง ๓ ด้าน แต่ที่น้ำตกนั้นเปนซอกเข้าไปหน่อยหนึ่ง เปนทางน้ำแลเปนชวากเข้าไปมาก มีศิลาก้อนโตๆซ้อนๆกัน มีเล็กแทรกบ้าง น้ำไหลซอกลงมาตามระหว่างก้อนศิลาที่บังเปนลับแลหลายแห่ง บางแห่งดูน่าจะกลิ้งลงมา ตามหลังเขานั้นมีต้นไม้ใหญ่ร่มเปนสบาย โคลงสำหรับน้ำตกที่พลิ้วเราได้ทำว่าดังนี้.

๏ น้ำพุดุดั้นยอด บรรพต
กระทบเหลี่ยมศิลาลด ล่มพื้น
ขาวดังกษิรรส ริมร่วง โรยแฮ
พร่างพร่างลอองชื้น เช่นน้ำสุคนธ์โปรย
๏ เบื้องล่างอ่างรับน้ำ เย็นใส
เจ็ดศอกคืบแต่ใน ซึ่งซึ้ง
ลำธารชลาไลย ไหลหลั่ง เหลิงแฮ
ลงสู่ครู่เดียวถลึ้ง เหตุล้ำเหลือหนาว
๏ ยามสายกายเร่าร้อน สุริยฉาน
เพียรสถิตย์ปากธาร ที่ใกล้
กลับเปนยิ่งสำราญ ร่มศุข เกษมแฮ
ธารกี่ธารบ่ได้ เทียบพลิ้วเทียมถึง
๏ ชลธารปานน้ำทิพ มาโปรย สรงฤๅ
เสียวแต่นามชวนโหย ละห้อย
เรียกพลิ้วโอ๊ยอกโอย ฉวยบิด เบือนนา
แม้ว่าบิดพลิ้วน้อย หนึ่งแล้วจำตาย

วสันตติลก

๏ ปางเสด็จประพาศสิขรแนว วนะพฤกษราวไพร
นานาคณารุขประไพ ก็คะคฤกคะครึ้มเย็น
๏ ธารพลิ้วก็ถั่งสลิละคลา ประทะผากระโจนเป็น
ห้วงห้วงนทีก็พุกระเซ็น กลเหมุทกโรย
๏ แม้มาทจะร้อนสุริยคลา จระมารหายโหย
เหือดด้วยลอองอุทกะโปรย ขณะนั้นมิทันนาน
๏ เวลาชโลทกะกระทบ คณะก้อนศิลาปาน
เปรียบดังพฤสภกษิรธาร ทลุล้นละลุ่มลง
๏ งามธารชโลทกะประเทศ วนะใดจะเจาะจง
มาเปรียบประเทียบก็บมิคง บมิคู่จะควรเคียง

ก. ม. พ.

พวกเราที่ไปผลัดกันลงแพพอไปทีละ ๖ คน ๗ คน ลางทีมากไปจนแพเกือบจม ท่านกรมท่าก็ยังไม่เคยเห็นเหมือนกัน ลงแพพร้อมกันกับกรมขุน ท่านกรมท่าถือถ่อๆไปเอง แต่กรมขุนท่านว่าดูน่ากลัวศิลาจะตกลงมา แต่ที่จริงนั้นศิลาโตๆ ตั้งอยู่แน่นทีเดียว ดูศิลานั้นสีแดงๆแต่ตะไคร่น้ำจับมาก ในอ่างน้ำนั้นพื้นเปนก้อนศิลากลมๆ ทั้งนั้น เราเอาถ่อหยั่งลงไปต้องยันกับก้อนศิลาให้ถูกในหว่างๆ หาไม่ก็ลื่นไปแล้วก็ทนน้ำไม่ไหว น้ำในนั้นเชี่ยวนัก ในที่ชวากใกล้กับน้ำไหลนั้นมีต้นไม้เล็กๆ ขึ้นรายๆ ดูสีเขียวรบัดงามนัก ด้วยที่เย็นมาก เรานั่งคอยผ้าผลัดอาบน้ำอยู่ครู่หนึ่ง อ้ายเที่ยงจึงไปถึง เมื่อเกาะช้างนั้นเราก็เตรียมผ้าไปด้วย แต่จะอาบน้ำแล้วก็หวาดๆไป เขาว่าไม่ดี เรามาครั้งก่อนก็ไม่ได้อาบ เวลาก็เย็นนักเสียแล้ว น้ำก็เย็นมาก กลัวจะไม่สบายจึงไม่ได้อาบ วันนี้กำลังร้อนแล้วน้ำก็ดี เขาเคยอาบไม่เจ็บไข้สิ่งใด เราผลัดผ้าแล้วชวนท่านเล็กกับกรมนเรศร์อาบด้วย คนอื่นนั้นผ้าเขาไม่มีไปในเวลานั้น จะต้องผลัดกันอาบต่อทีหลัง เราลงในแพกับหลานถือดาบ เจ้าต๋งเธอเขียนรูปน้ำพุ แต่ไม่ใครจะแล้วได้ เพราะเขียนได้นิดหนึ่งก็ถอยแพกลับมาเสีย คนอื่นเปลี่ยนไปอิกเล่า เจ้าต๋งเขียนทุกๆคราวไม่แล้วเลย จนเราอาบน้ำเธอก็ไปด้วย แต่ไม่ได้อาบน้ำ เขียนต่อไปอิก เราช่วยกันถ่อไปจนใกล้ที่น้ำตก เข้าไปไม่ใคร่จะถึงเลย น้ำเชี่ยวนัก เจ้าต๋งเธอไวฉวยได้หวายที่เขาผูกไว้กับศิลามาเหนี่ยวก็ช่วยกันเหนี่ยวต่อๆ ไป แต่กระนั้นยังไม่ถึงได้ห่างอยู่สักสองศอกเศษ แล้วเอาหวายผูกไว้กับแพ เราเอาขันทองตักน้ำอาบ แต่ท่านเล็กกับกรมนเรศร์นั้น เขาโดดลงน้ำโพล่งหนึ่งแล้วก็ขึ้นมา ไม่อาจจะทนอยู่ได้ เมื่อแรกเราไปนั่งอยู่ที่ริมน้ำตกนั้นหนาวนัก มีน้ำเปนลอองมาขึ้นตามตัวแล้วมีลมพัดมาเสมอ เพราะน้ำตกลงมา เหมือนกับพัดเย็นจนท้อใจ อาบจะหนาวนัก แต่ไปแล้วได้นุ่งผ้าอาบก็ต้องอาบ ครั้นเมื่อเราตักน้ำอาบแล้วน้ำนั้นเย็นสบายจริงๆ ดูใจโปร่งทีเดียว ที่หนาวอยู่แต่เมื่อแรกอาบนั้นหน่อยหนึ่ง อาบแล้วแทบจะว่าไม่หนาวเลยก็ได้ เราอาบอยู่ครู่หนึ่งก็ปล่อยแพกลับ มาคราวนี้ไม่ต้องถ่อกี่มากน้อยเลย คอยแต่ค้ำให้ตรงเท่านั้นแพก็ลอยมาเทียบที่เอง แต่งตัวแล้วท่านกลางกับเจ้าเล็กๆ ก็อาบอิกหลายคน แต่เธอไม่ได้ลงแพไปอาบถึงที่น้ำตก เธออาบตามริมๆอ่าง แล้วเราอยากจะสร้างพระเจดีย์ไว้เปนที่รฦกถึงเราได้มาในที่นี้เหมือนกับที่เกาะข้าง แต่ที่เกาะช้างนั้นเปนแต่กองศิลา กลัวจะไม่อยู่นานได้ อนึ่งที่คลองนารายน์นั้นทูลกระหม่อมท่านลงสรงธารก็ทำพระเจดีย์ไว้เหมือนกัน ที่พลิ้วนี้ทูลกระหม่อมท่านไม่ได้เสด็จมา ครั้งนี้เราได้มาถึงที่นี้จึงอยากจะทำไว้ อิกประการหนึ่งที่น้ำตกนี้ทางเข้าไปลำบาก ราษฎรไปไม่ใคร่จะถึงที่น้ำตกได้ เพราะต้องไต่ไปตามศิลาในลำธารระกุระกะมาก ถึงโดยไปได้ถึงที่แล้วก็ยังไม่ใคร่จะเห็นทางน้ำตก เพราะทางน้ำนั้นเอียงไปอยู่ข้างขวามือลับน่าผาอยู่หน่อยหนึ่ง ถ้าไม่มีตพานมีแคร่อย่างเช่นเขาทำไว้รับนี้แล้วก็เข้าไปยากเต็มที ต่อซนๆ มากๆ จึงจะไปถึงได้ เราปฤกษากับท่านกรมท่า จะคิดทำพระเจดีย์ไว้บนไหล่เขาที่ตรงเรานั่ง คิดจะทำด้วยศิลาแลงทั้งองค์จะไม่ถือปูน เพราะที่นี้มีแลงมาก อนึ่งพระยาจันทบุรีเขาเคยทำการศิลา เปนคนมีฝีมือมามาก ได้ทำศิลาพระพุทธรัตนสถานจนมีความชอบ ได้เปนพระศิลาการวิจารณ์แต่แผ่นดินทูลกระหม่อม จะให้เขาเปนผู้ทำ แต่เราวิตกอยู่อย่างหนึ่งแต่ต้นไม้จะงอกขึ้นได้ จะต้องคิดแก้ไขให้ดีทีเดียว ขนาดพระเจดีย์ที่ทำนั้นจะเอาฐาน ๖ ศอก ไขส่วนตามทรงพระเจดีย์ลอมฟาง แล้วจะมีกำแพงแก้วรอบทักษิณพระเจดีย์ ให้มีบันไดขึ้นไปได้ด้วย ถ้าขึ้นไปบนทักษิณพระเจดีย์แล้วจะเห็นน้ำพุตรงถนัดทีเดียวเห็นจะงามมาก ต่อลงมานั้นจะทำตพานข้ามลำธารสำหรับให้คนโปนมัสการได้สดวกด้วย พระเจดีย์นี้เราจะให้ใช้เงินอัฐทองแดง ซึ่งเราสั่งให้เขาไปเอาที่กรุงเทพฯมานั้น แลบรรดาคนที่ได้มากับเราทั้งข้างน่าข้างใน ครั้งนี้นั้นจะเรี่ยรายกันทำพระเจดีย์องค์นี้คนละเล็กคนละน้อย แล้วจะทำศิลาเปนที่จาฤก ๓ ด้าน ๆ หนึ่งเปนที่จาฤกของเรา ด้านหนึ่งเจ้านาย ข้าราชการฝ่ายน่า ด้านหนึ่งเจ้านาย ข้าราชการฝ่ายใน จะได้เปนที่รฦกไปนานๆ เราให้ท่านกรมท่าเอากระตานมาให้เจ้าต๋งเขียนให้เปนที่หมายไว้ จะได้เปนที่สร้างพระเจดีย์ ว่า :-

“ที่นี้จะทรงสถาปนาพระสถูปไว้เปนที่นมัสการของผู้ซึ่งได้มาถึงในที่นี้ เปนที่รฦกถึงเวลาที่ได้เสด็จพระราชดำเนินมาสรงน้ำในลำธาร พระราชทานนามว่า อลังกรณเจดีย์” แล้วให้เอากระดานนี้ไปติดไว้กับต้นไม้บนเขาที่จะสร้างพระเจดีย์นั้น เงินที่จะเรี่ยรายนั้นเราให้กรมนเรศร์เปนผู้รับบาญชีแลรับเงิน แต่เงินนั้นไม่ใคร่จะมีใครมีมาพอกับศรัทธา ต้องผัดไปกรุงเทพฯ เราให้จดบาญชีเรี่ยรายไว้ก่อน รวมระยะทางที่เราไปวันนี้ ตามที่เขาวัดมาให้นั้น ตั้งแต่เรืออรรคราชถึงพลับพลาคลองยายดำ ๔๐๘ เส้น ๑๕ วา ทางบกตั้งแต่พลับพลาคลองยายดำถึงพลับพลาเชิงเขาบ้านซากชอม ๑๖๘ เส้น ตั้งแต่พลับพลาถึงน้ำตก ๓๘ เส้น รวมทางบก ๒๐๖ เส้น รวมทั้งทางบกทางน้ำ ๖๑๔ เส้น ๑๕ วา เวลาเที่ยงแล้ว ๔๐ มินิตเราออกจากที่น้ำตกมาตามทาง พบพระยาจันทบุรี พูดกันด้วยเรื่องเจดีย์ที่จะทำ เขารับแขงแรง ท่านกรมท่าบอกเราว่ามีทางขึ้นไปถึงยอดเขาที่น้ำตก เราชอบใจนักอยากไปดู เพราะโจทย์กันมาหลายวันแล้ว ว่าที่ข้างบนของน้ำตกนั้น จะเปนอย่างไร บางคนก็ว่าจะเปนบ่อไหลมาเปนชั้นๆแต่ยอดเขา น้ำขังอยู่มากเพราะเขาสูงจึงไหลได้ตลอดปี บางคนก็ว่าเขาสูงฝนตกเสมอทุกวัน บางคนว่าน้ำมาแต่เถื่อน พูดต่างๆกันอยู่ดังนี้ เราจึงให้ยกรบัตรนำขึ้นไป ทางนั้นเปนศิลาชันขึ้นไป ทาง ๗ เส้น ถึงยอดเขาเดินเลียบลงไปดูที่น้ำตก ที่ตรงน้ำจะไหลมานั้น เปนศิลาก้อนโตๆซ้อนๆกันเปนหลายชั้น น้ำไหลออกมาตามซอกศิลานั้นแรงทีเดียว ข้างบนนั้นเปนพื้นทรายบ้าง ศิลาก้อนใหญ่บ้าง มีต้นไม้ขึ้นโตๆ ไม่แลเห็นเลยว่าเปนทางน้ำลำห้วยอะไร แต่ที่พื้นได้ศิลานั้นเสียงดังคึกๆ แล้วก็มาออกที่ตรงน้ำตกทีเดียว ดูเหมือนกับท่อน้ำที่เราฝังไปทำน้ำพุเหมือนกัน ซึ่งสงไสยว่าจะเปนด้วยมีบ่อมีเหวบนยอดเขานั้นเห็นจะไม่ถูก จะเปนที่น้ำพุมาจากแผ่นดินแห่งใดแห่งหนึ่งในเขานั้นเองฤๅที่อื่น เห็นจะไม่เปนด้วยฝนตก เราไปนั่งดูสักครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงชนีร้องเสมอ แล้วก็กลับลงมา เมื่อเดินมาตามทางนั้น พิเรนทรเขาว่าที่เมืองเชียงใหม่ เขาแห่งหนึ่งห่างเมืองประมาณ ๑๐๐ เส้น เรียกว่าดอยสุเทพ ที่นั้นเขาก็ไม่สู้ใหญ่นัก เปนแต่เขาเล็กมีน้ำตก ลำธารก็ใหญ่งามกว่านี้มาก ศิลาที่ถูกน้ำนั้นขาวงามนัก ถ้าถึงปีใหม่เจ้านายแลราษฎรทั้งผู้ชายผู้หญิงพากันไปสระผมที่นั่นทั้งสิ้น น้ำที่กินแลใช้ในเมืองเชียงใหม่ ก็อาไศรยน้ำลำธารดอยสุเทพฝังท่อมากินมาใช้ทั้งเมือง เราลงมาถึงทางแล้วเดินเลียบไปตามลำธาร ในลำธารนั้นเปนศิลาก้อนโตๆ วางชับซ้อนกันไป บางแห่งเปนศิลาใหญ่บังทางน้ำอยู่ตรงกลาง น้ำไหลลงสองข้าง บางแห่งก็เปนศิลาหลายๆก้อนบังอยู่ น้ำก็ไหลเปนหลายทางไป สุดแต่ศิลาบังอยู่อย่างไรน้ำก็ไหลหลีกศิลามาตามที่มีช่อง บางแห่งก็สูงเปนน้ำตกกระท้อนลงมาอีกเปนชั้นๆไป ถ้าจะเดินดูไปตลอดลำธาร ก็จะเห็นที่น้ำตกเปนอย่างต่างๆกันทุกแห่ง แต่มีต้นไม้ล้มลงทับอยู่ในลำธารนั้นหลายแห่ง เรามาขึ้นม้าที่เปนที่กว้างสำหรับพักเกวียนที่เราว่ามาข้างต้นแล้วนั้นกลับไปพลับพลา เมื่อเราไปถึงพลับพลา พบคุณพลอยกับลูกสใภ้ท่านกรมท่ามาคอยรับเสด็จยายอยู่ที่นั่น เรากินเข้าแล้ว บ่าย ๓ โมงออกจากพลับพลา มาถึงพลับพลาคลองยายดำเวลา ๓ โมง ๕๔ มินิต คนยังไม่มาพร้อม เราเดินไปที่วัดท่าเรือ ที่โบสถ์นั้นทำฝาจากเครื่องผูก กรมนเรศร์ตีราคาว่าชั่งหนึ่ง ใบเสมาเปนไม้ เราไปที่กุฏิเปนฝากระดาน ๓ หลังดูหมดจดดี เราพบกับคนที่นั้นคนหนึ่ง เจ้านายพากันถาม เขาบอกว่าท่านปฏิบัติดีนัก ไม่เปนธรรมยุดก็เหมือนธรรมยุติ ไม่ให้น้ำมนต์เลขยันต์กับใคร เรียนแต่พระกรรมฐาน เราให้เรียกพระมา มีพระอยู่ ๓ รูป เราถามว่าเปนวัดใครสร้าง เธอบอกว่าประสกเหลียงสร้างได้แปดปีแล้ว เราเดินกลับมาที่พลับพลา คอยกระลาสีอยู่หน่อยหนึ่งพอมาพร้อมก็ลงเรือ กลับมาถึงเรืออรรคราชเวลาย่ำค่ำ.

อนึ่งเราหาผ้าพื้นไว้ หมายจะให้รางวัลทหารของเราที่ได้เหนื่อยมากในการที่ไปไล่เนื้อเกาะกระดาษ แต่ยังไม่ครบ เมื่อวานนี้เราซื้อผ้าได้ที่บางกะจะ พอครบกันแล้ว แต่เรือทหารลอยน้ำไปเกือบถึงทเลด้วยน้ำเชี่ยวนัก พระยาภาษไปตามแล้ว เราสั่งนายเหมาให้เอาเรือโบดไปตามตัวมาได้ทั้งหมด เราได้แจกผ้าให้กาพย์เปนผู้คิดไล่เปนผู้บังคับการ ผ้าตาสมุกไหมผืนหนึ่ง หลวงศัลยุทธเปนผู้บังคับด้วย กับจมื่นสราภัยนั้นก็ได้เหนื่อยมาเหมือนกัน อาลบาสเตอร์นั้นเขาก็ได้ทำการเท่ากับทหาร กับนายดั่นที่เราได้ขี่ลงเรืออีกคน ๑ สี่คนนี้เราให้ผ้าตาสมุกด้ายแกมไหมคนละผืน ทหารนอกนั้นเราได้ให้ผ้าพื้นคนละผืนทั่วกัน ทอมอเมตเตอร์วันนี้ ๗๖ ดิครี อนึ่งบาญชีเงินเรี่ยรายนั้น กรมนเรศร์ยื่นบาญชีให้เรา ๆ ลงไว้ตามบาญชีนั้นต่อไปนี้.

  1. ๘๙. พระยาอภัยรณฤทธิ์ (เวก)

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ