หนังสือพระยาเอกราช

หนังสือ ข้าพเจ้าพระยาเอกราชพรม ขอบอกมายังท่านพระยาณรงควิไชย พระอัคเนศร พระนรินทรโยธา พระยาสังขโลกกด ขอได้ทราบ ด้วยข้อราชการเมืองพนมเปญเมื่อครั้งปีมะเสง สมเด็จพระบิดายังมีพระชนม์อยู่ เจ้าเวียดนามใช้ขุนนางผู้ใหญ่สองคนชื่อทำตานคน ๑ ชื่อตนภูคน ๑ กับขุนนางญวนรองเป็นอันมากให้อยู่รักษาเมืองเขมร มันคิดตั้งเขมรให้ทำเป็นจันเกอ ภอเกอโดยกายทั่วทุกหัวเมือง มันเป็นเกอเป็นกายเสร็จแล้ว ให้ทำค่ายใหญ่ข้างใต้วัดบันโลมค่าย ๑ ตั้งค่ายอยู่วัดโพประบาดค่าย ๑ ตั้งอยู่วัดละว้าเอม ๒ ค่าย ตั้งอยู่เมืองตะบงคะมุมค่าย ๑ ตั้งอยู่เมืองสมบุกค่าย ๑ สมบูรณ์ค่าย ๑ แขวงเมืองกะพงสวาย ตั้งค่ายอยู่กะพงธมค่าย ๑ สะโทงค่าย ๑ ตั้งค่ายอยู่เมืองโพธิสัตว์ทั้ง ๔ ค่าย เมืองบริบูรณ์ค่าย ๑ ตั้งอยู่บ้านกะพงชนังค่าย ๑ เป็นแขวงลาดปะเอีย ตั้งอยู่เมืองกะพงโสมค่าย ๑ เมืองกำปอดค่าย ๑ เมืองเปรียม ๒ ค่าย ค่ายเก่าแต่เดิมค่าย ๑ เมืองมัจรูกค่าย ๑ เมืองบาศักค่าย ๑ เข้ากันเป็นค่าย ๒๑ ค่าย และมีขุนนางญวน ขุนนางเขมร มันตั้งเป็นจันเกอเป็นภอเกอ เอาไพร่เกอกับปืนเครื่องสาตราอาวุธอยู่รักษาทุกค่าย ครั้นอยู่ณวันปีมะเมีย สมเด็จพระบิดาสิ้นพระชนม์ไป ยังแต่สมเด็จพระราชบุตรกระสัตรีทั้ง ๔ องค์นั้นมีหนังสือเจ้าเวียดนามมาพระราชทานสมเด็จพระราชบุตรี พระนามชื่อองมีให้เสวยราชสมบัติ สมเด็จพระราชบุตรีพระเรียมผู้เป็นพระพี่ ให้พระนามชื่อว่าบาหงอกเปียน สมเด็จพระน้องกลางให้พระนามเป็นบาหงอกจู พระน้องสุดท้องให้พระนามเป็นบาหงอกวาน และองทำตานเลื่อนที่เป็นองเตียนกุน ศักดินาหมื่นหนึ่ง เป็นใหญ่สิทธิขาดราชการ องตนภูเลื่อนที่เป็นองทำตาน ศักดินาสองพัน ให้ขุนนางทหารมาครั้งหลังอีกชื่อองเดดก ศักดินาสองพัน มาครั้งหลังอีกชื่อองเหียบตาน ศักดินาสองพัน เมื่อครั้งสนองอีพระยาไชย พระยาจูคิดลุกขึ้น มีหนังสือเจ้าเวียดนามมาให้จับองทำตานทำโทษจำพาไปเมืองเว้ ตั้งองทำตานมาใหม่ขึ้นมาอยู่รักษาเมืองเขมร ตั้งแต่ปีมะเสงต่อมาจนถึงปีจอ บรรดาขุนนางญวนซึ่งอยู่รักษาเมืองเขมรทำนุบำรุงเจ้าเขมร บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยและรายฎรในพระนครให้เป็นสุข ใช้ราชการตามสมควร ครั้นอยู่ณปีกุญเห็นขุนนางญวนซึ่งอยู่รักษาเมืองเขมร คิดราชการผันแปรถอดเอาที่ล่อเตียนออกเสียทุกหัวเมือง ครั้งหลังอีกเก็บเอาในพระราชทรัพย์กับในบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยกับหัวเมืองทั้งปวง และราษฎรในแขวงเมืองเขมรทั้งสิ้น ครั้งหลังอีกใช้ฟ้าทะละหะหลง สมเด็จเจ้าพระยาหุกลาโหมดึงลงมาเมืองเว้หายไป หาเห็นกลับคืนมาไม่ ครั้นถึงปีชวดมันคิดตั้งญวนให้ทำเป็นที่ตรีเวียนทุกหัวเมือง และเจ้าเมืองเขมรทุกเขตต์ให้ฟังยังคับบัญชาตรีเวียนใช้สอย แต่นั้นไปขุนนางญวนบังคับบรรดาขุนนางเขมรผู้ใหญ่ผู้น้อยให้หางาช้างส่ง จะทำเป็นตราญวนใช้ ให้เอาตราเดิมเขมรออกเสีย ข้าพเจ้ากับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยกับขุนนางหัวเมืองวิตกกลัวขุนนางญวนนัก พร้อมกันหางาช้างส่งให้ทำเป็นตราญวน มันให้ตราขุนนางผู้ใหญ่ก่อน แล้วให้ขุนนางเอาตราเขมรออกเสีย และในตรานั้นมีอักษรใส่ชื่อของตัว จะได้เป็นตราศักดินานั้นหามิได้ ขุนนางผู้ใดทำตราญวนยังไม่แล้วตราเดิมก็ยังคงอยู่ ภายหลังมั่นตั้งญวนเป็นเจ้าเมืองทุกหัวเมืองที่เป็นตรีภู และเจ้าเมืองเขมรให้เป็นที่ภูอุยเพียนออย ให้ฟังบังคับบัญชาตรีภูตามเมืองใหญ่เมืองน้อย แล้วตั้งสนองกลาภาษเป็นกายตงภอตงกันตรี แล้วแจกเมืองและราษฎรในกายตงหนึ่ง ภอตงหนึ่ง คนสามร้อยคน ตั้งกำนันบ้านเป็นที่ทะนุเตรือง มีส่วนบังคับบัญชากายตงภอตงแล้วมีหนังสือตรีภูบอกเจ้าเมืองทุกหัวเมือง ถ้ามิราชการประการใดให้เจ้าเมืองตีตราบอกไปถึงตรีภูตรีเวียนถึงขุนนางญวนผู้ใหญ่ที่เตรือง และบรรดาขุนนางเขมรข้างไหน ไม่ให้เจ้าเมืองทุกหัวเมืองมีหนังสือบอกข้อราชการสิ่งหนึ่งสิ่งใดมา ไม่ให้รู้เลยตั้งนิ่งอยู่ และกำนนบ้านให้ห้ามปรามบรรดาลูกบ้านของตัว ผู้ใดมีญาติพี่น้องอยู่ในเมืองใดตำบลไดมิให้ไปมาหากันได้เลยนั้น ข้าพเจ้ากับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็มีความวิตกนัก จะนอนก็มีทุกข์จะนั่งก็มีทุกข์ ครั้นณวันเดือน ๙ เพลาเช้าเห็นทงโงนชื่อเงย เป็นคนใช้เตียนกุน องทำตาน องดีดก องเหียบตาน มาบอกบรรดาขุนนางเขมรกับจันเกอภอเกอ ว่าให้เข้าไปเฝ้าในค่ายแต่เช้า ข้าพเจ้ากับบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย จันเกอภอเกอได้ไปตามบังคับให้พบกับขุนนางญวน มีชื่ออยู่เรือนเตียนกุนนั้น เตียนกุนเล่าบอกว่า ในวันนี้ข้างเพลาเย็นมีคนใช้มาแต่เจ้าเวียดนาม ใช้ขุนนาง ๒ คนชื่อเทืองเบินโบ ๑ บอทำตรี ๑ เรือแงโอ ๕ ลำ เรือกาวแล ๒ ลำ ไพร่ ๓๐๐ คน ขึ้นมาเพิ่มอีกช่วยคิดราชการในเมืองเขมร แล้วบอกว่าตัวเตียนกุน เหียบตานก็จัดแจงไปรับ แต่บรรดาขุนนางเขมรลาออกมาบ้านทุกคน จัดเรือคอยจะไปตามองญวนทั้ง ๒ ในวันนั้นข้างเพลาเย็นนั้น เรือองผู้มีชื่อทั้งสองแควออกมาแต่ค่ายข้างตะวันตก ข้าพเจ้ากับบรรดาขุนนางออกเรือตามไปรับขุนนางญวน พบอยู่ชะเลตมตรงหน้าบ้านจัดวังแรกลับแห่ขึ้นมาเพลาพลบถึงท่าค่าย ครั้นรุ่งขึ้นอยู่ณวันแรมค่ำ ๑ จัดแห่หนังสือเจ้าเวียดนามกับขุนนางญวนทั้งสองเข้าในค่าย มันตั้งหนังสือในตำหนักไว้บารมีเจ้าเวียดนาม กราบถวายบังคมหนังสือแล้ว ออกมาประชุมกันกินเข้ากินเหล้าอยู่เรือนองเตียนกุน ครั้นตะวันเที่ยง ขุนนางญวนทั้ง ๒ แห่หนังสือออกจากค่าย มาอยู่เรือนรับแขกเมืองข้างนอกตะวันออกค่าย บรรดาขุนนางเขมรออกมาเรือนองเตียนกุน ครั้นณวันเดือน ๙ แรม ๕ ค่ำ ข้าพเจ้ากับบรรดาขุนนางเข้าเฝ้า ได้ยินองเตียนกุนบังคับลันบินให้จัดเรือแงโอ ๓๐ ลำใส่หูแจวให้พร้อม จอดอยู่ท่า แล้วองเตียนกุนบอกบรรดาขุนนางเขมรว่า จัดเรือนี้จะพาองมาใหม่ทั้งสองไปยิงสัตว์เล่นที่มุกกำปูน และขุนนางเขมรกับจันเกอภอเกอก็จัดเรือจะไปด้วย ญวนว่าแต่จะไปยิงสัตวถึง ๔ วันหาได้ไปไม่ ครั้นอยู่ณวันเดือน ๙ แรม ๑๐ ค่ำ มีทงโงนชื่อแตง เป็นคนใช้เตียนกุน ให้บอกบรรดาขุนนางเขมรกับจันเกอภอเกอ และบรรดาลูกขุนนาง ให้ไปดูงิ้วในค่ายให้สะบาย ขุนนางก็ไปพร้อมมูลกับขุนนางญวนทั้ง ๖ คน และบรรดาองรอง ๆ ลงมาเป็นอันมากอยู่ที่เรือนองเตียนกุน แล้วองเตียนกุนบอกกับขุนนางเขมรว่า ณวันแรม ๙ ค่ำเพลาบ่าย ได้ใช้คนไปบอกพระวังตุ้มให้เชิญเจ้าทั้ง ๔ พระองค์มาดูงิ้วเล่นให้สะบาย แล้วว่าด้วยองค์ทั้ง ๒ ขึ้นมาใหม่ ถือรับสั่งมายศศักดิ์เป็นใหญ่ว่าไม่ควรที่จะไปหา ให้เชิญเจ้ามาองทั้ง ๒ จะได้รู้จัก บอกดังนั้นแล้วก็เล่นงิ้วเลี้ยงเข้าเลี้ยงเหล้าให้บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเขมรญวนกิน พูดจาหัวเราะกันเล่นเป็นที่สะบาย และแต่ก่อนต่อ ๆ มา ก็ทำอย่างนี้ ครั้นกินเข้ากินเหล้ายังไม่ทันแล้ว เห็นพระยาวังตุ้มแห่เสด็จเสวยราชย์ผู้เป็นเจ้าเข้าไปในค่าย องเตียนกุนเรียกพระยาวังมาถามว่าบาหงอกเปียน บาหงอกจู บาหงอกวาน อย่างไรจึงหายไปไม่เห็นมาพร้อมกัน พระยาวังบอกว่าบาทั้ง ๓ ไม่สะบาย เตียนกุนบอกพระยาวังว่าเมื่อแต่ก่อนมา ถ้ามีการเป็นที่สะบายให้เชิญเจ้ากับบรรดาขุนนางมาเลี้ยงเข้าปลาให้กินทำไมจึงมาได้ เดี๋ยวนี้มีองญวนทั้ง ๒ มาใหม่ องญวนอยากจะรู้จัก เจ้าทั้ง ๓ จะไม่มาหานั้นหาควรไม่เลย แล้วญวนใช้พระยาวัง พระยาธรมาเสงให้ไปเชิญเจ้าทั้ง ๓ พระองค์อีก ครั้นเพลาน้องเพนเห็นขุนนางทั้ง ๒ กับมหาดเล็ก แห่เจ้าทั้ง ๓ พระองค์เข้ามาในค่าย เจ้านั่งบนแคร่กับเมียองเตียนกุน แล้วญวนจัดของให้เจ้าเสวย ข้าพเจ้าเห็นบรรดารี้พลญวนในค่ายจัดเป็นทัพถือเครื่องสาตราวุธทุกคน ปิดประตูค่ายเข้าออกไม่ได้ และบรรดารี้พลมันขึ้นมาบนค่ายล้อมรอบเป็นอันมาก แล้วองเตียนกุนเรียกบรรดาขุนนางเขมร จันเกอภอเกอกับทนายไปยืนชิดแล้ว องเตียนกุนบังคับพระยาธรมาเสงให้ออกมาแต่ในค่าย เอาเรือจัดลาดตระเวนทั้งบกทั้งน้ำทะเลทั้ง ๔ ด้าน ให้กักเรือราษฎรมิให้เข้าออก องเตียนกุนบอกเจ้าทั้ง ๔ พระองค์กับบรรดาขุนนางว่า บาหงอกเปียนนี้มีลุงบังเกิดแม่บังเกิดอยู่พึ่งบุญไทยทั้งสิ้น ยังอยู่แต่ตัวคนเดียวพึ่งคุณบุญเจ้าเวียดนามตามบิดา ไม่มีวิมุติสงสัยเลย เจ้าเวียดนามก็ทำนุบำรุงรักเหมือนหนึ่งลูก บัดนี้บาหงอกเปียนคิดขบถ ทำหนังสือให้ชื่อเม้าเป็นน้าบังเกิดบอกไปให้พระองค์มา ให้คิดอ่านเอาไปอยู่ตามไทย บัดนี้จับชื่อเม้าได้ ถามชื่อเม้าให้การว่าเป็นหนังสือบาหงอกเปียนใช้ จึงองเตียนกุนว่าจะเอาตัวบาหงอกเปียนไว้ให้อยู่ในค่ายด้วยตามกฎหมายคอยปรึกษาก่อน แต่บาหงอกภู บาหงอกจู บาหงอกวาน จะให้ขุนนางญวน ๒ คน ชื่อลันบิน ชื่อบิ้นเค้า ให้จัดรี้พลเครื่องสาตราวุธ เรือแงโอ ๑๕ ลำ ให้ส่งไปเมืองไซ่ง่อน เจ้าเสวยราชจึงลาองเตียนกุนกลับไปตำหนักก่อน จะได้จัดแจงเอามารดากับผู้คนและทรัพย์สิ่งของให้ได้ไปพร้อมกับตัวบ้าง องเตียนกุนไม่ยอมให้ไปแล้วองเรียนกุนบังคับพระยาวังให้ออกจากค่ายไปเอาทรัพย์สิ่งของ และให้นักมารดาทั้ง ๓ คนจัดแจงตัวให้เร็ว ลงไปให้ทันพร้อมกับเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ในวันเพลาพลบ ครั้นเพลาพลบข้าพเจ้าเห็นญวนจัดเป็นทัพรี้พลเป็นอันมาก พาเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ออกจากค่ายตามประตูข้างใต้ไปลงเรือที่ตีนท่าข้างตะวันออกค่ายองลันบินกับองบิ้นเค้าจัดเรือแจวโยงออกไป และมารดาข้าพเจ้าติดไปด้วยกับคนสำหรับที่หามเปลทั้งชายหญิง ๓๗ คน ครั้นถึงเพลายามหนึ่งจึงเปิดประตูค่ายบังคับบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย จันเกอภอเกอให้ออกไปบ้านทุกคน ในวันนั้นนักยศเป็นมารดาถัดลงมาจัดแจงไปทันเจ้า ครั้นถึงณวันเดือน ๙ แรม ๑๑ ค่ำ พระยาวัง พระยาธรมาเสง จัดแจงขนพระราชทรัพย์เจ้าเสวยราชกับของเจ้าน้องใส่เรือแล้ว องเทียนกุนใช้พระแก้วเขมรแขกเรือแงโอ ๒ ลำ จันลีสงนักกระจับกับนักแป้นมารดาข้าพเจ้า กับไพร่ลงเรือตามไป ครั้นถึงณวันเดือน ๙ แรม ๑๒ ค่ำ พระยาวงศาระเพชเสา พระยาราชวิศรเมา พระยาราชมนตรีรศ พระยาท่ากองดงลงไปตาม และในวันแรม ๑๒ ค่ำ มีคนใช้พระยาวังให้บอกบรรดาขุนนางเขมรให้ไปพร้อมในพระราชวังให้พบกับขุนนางญวนชื่อเลืองดีภูอยู่เมืองพนมเปญ จักทรัพย์สิ่งของเจ้าองค์แป้นสมเด็จพระเรียม แล้วญวนจับพระยาราชาเสน่หาออผู้น้องกับนายแป้นบุตรสมเด็จเจ้าพระยาไว้ในค่าย ครั้นณวันแรม ๑๓ ค่ำ องเตียนกุนใช้ขุนนางญวนชื่อจูเซอให้ไปจับนักปอดภรรยาสมเด็จเจ้าพระยา ริบเอาทรัพย์สิ่งของทั้งสิ้น แล้วจับพระยามนตรีเสน่หาเตงกับนางอ่ำเป็นเมีย แล้วจับทั้งนายเวรแป้นเอาไปในค่าย ครั้นณวันเดือน ๑๐ ขึ้น ๗ ค่ำ มีหนังสือตรีเวียนสำโรงทองบอกเข้าไปถึงองเตียนกุน ว่าพระยาอุไทยธิราชหิงพาลูกเมียหนี แต่ณวันขึ้น ๘ ค่ำใช้พระยาธรมาเสงขึ้นทางบกไปเกลี้ยกล่อมบรรดาราษฎร ใช้จันลีขึ้นทางกะพงหลวง ณวันขึ้น ๙ ค่ำใช้จันเตียบมาตั้งอยู่กะพงหลวง พระอินทวิไชยหมกขึ้นทางบกตามพระยาธรมาเสงไปอีก ครั้นถึงณวันเดือน ๑๐ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เพลาเช้า มีทงโงน ๒ คน ชื่อทุกคน ๑ ชื่อเชินคน ๑ หนีมาถึงค่าย บอกองเตียนกุนว่า ราชการแขวงเมืองกะพงเสียม ขี่ช้าง ๕ ช้าง ลุกขึ้นทำเป็นทัพยกไล่องภูแขวงเมืองกะพงเสียมหนีรอดไปแขวงเมืองศรีสุนทร องเตียนกุนจัดชายขุนนางญวน ๒ คน ภอลันบิน ๑ กะเตา ๑ และเขมรชื่ออันโตด ๑ จันเกษ ๑ ยกไปเรือแงโอ ๗ ลำ ไพร่ ๓๐๐ คน ในวันนั้น และพระยาวิมุติวงษาเม้าเป็นแขก ใช้ไปเกลี้ยกล่อมราษฎรมิให้สะดุ้งสะเทือน ครั้นถึงเพลาบ่ายมีหนังสือองภูเมืองบาทีบอกมาถึงองเตียนกุน ว่าพระยาวงษานุชิตมีกลาภาษโสมพาลูกเมียหนีไป องเตียนกุนทำหนังสือฉะบับ ๑ ใช้ข้าพเจ้าออกมาเมืองบาที ให้เกลี้ยกล่อมบรรดาราษฎรอย่าให้สะดุ้งสะเทือน หนังสือฉะบับ ๑ ใช้พระยาวงษาธิราชจาบเป็นลูกฟ้าทะละหะหลงให้ไปตามเอาเจ้ากลาภาษโสม ครั้นณวันเดือน ๑๐ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ข้าพเจ้าไปถึงภูมอรลงระเมียดแขวงเมืองบาที ข้าพเจ้ามิได้กลับไปรับอาสาขุนนางญวนคนร้ายเลย ข้าพเจ้าคิดเข้ากับพระยาวงษานุชิต พระยาเสน่หาสงครามอ้อย ได้เกณฑ์ทัพยกไปรบกับองภูค่ายเปรียมแพรกโดด ได้ฆ่าไพร่ญวนตายเป็นอันมาก หนีรอดไปพร้อมกับองภูบ้าง และค่ายซึ่งองภูอยู่นั้นได้เผาเสียสิ้นแล้วและบรรดาราษฎรจีนเขมรซึ่งอยู่ริมทะเลได้กวาดต้อนขึ้นมาอยู่ข้างบนหมดแล้ว และญวนในแขวงนั้นก็ได้ฆ่าฟันหมดหามีไม่ แขวงเมืองกะพงโสม เมืองกำปอด เมืองเปรียม เมืองพุทไธมาศ เมืองกรัง เมืองไพรกะบาดนั้น ได้ทำหนังสือใช้คนนำกองทัพไปบอกให้เจ้าเมืองกับราษฎรทุกหัวเมืองทั้งห้าเมืองได้พร้อมลุกขึ้นทั้งสิ้น ฆ่าฟันอ้ายญวนคนร้ายตายบ้างหนีไปได้บ้าง เมืองไหนมีค่ายอ้ายญวนหนีอยู่ในค่ายได้ตั้งเป็นทัพล้อมอยู่ทุกวัน และพระยาราชเดชน้องนั้น เมื่ออยู่ณวันเดือน ๑๐ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ได้ถอนตัวหนีรอดออกไปเมืองบาพนม พบกับพระยาธรมาเดโชเมียดคิดกับเจ้าเมืองทุกหัวเมืองข้างตะวันออกทั้งสิ้นก็ยอมพร้อมกันตั้งเป็นกองฆ่าฟันอ้ายญวนคนร้ายในบ้านในเมืองให้หมดสิ้น เมืองไหนมีค่ายอ้ายญวนยังอยู่ ข้าพเจ้ากับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย พระยาพระหลวงและราษฎรพร้อมลุกทำราชการทัพฆ่าฟันอ้ายญวนคนร้ายทั้งนี้ มิได้คิดกลัวเกรงรำพึงแต่คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัยทั้ง ๓ คุณพระอินทร เทพบุตรเทพยดา กับบุญคุณพระบารมีสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว สำหรับพระบารมีสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ขออายุให้ยืนให้คงเป็นข้ายืดยาวไป เมื่อสมเด็จพระบิดาผู้เป็นเจ้ายังมีพระชนมายุพึ่งบุญเจ้าเวียดนาม ครั้นสิ้นพระชนม์ไปแล้ว อยู่แต่สมเด็จพระราชบุตรีทั้ง ๔ พระองค์นั้น ข้าพเจ้ากับขุนนางและราษฎรก็พร้อมตามกัน ถึงจะมีทุกข์โศกประการใดก็อุส่าห์ทนทาน หาได้คิดเอาใจออกหากไม่ ด้วยมีสมเด็จพระราชบุตรีทั้ง ๔ พระองค์อยู่เป็นเจ้า บัดนี้ขุนนางญวนมันทำใจมิจฉาทิฏฐิร้ายกาจ คิดล่อลวงขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยโฉดเขลาหารู้เท่าความคิดมันไม่ จึงได้พลัดพรากกับเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ไปสิ้น ขุนนางและราษฎรกำพร้าหามีที่จะพึ่งไม่ แต่บุราณมามีเจ้านครเขมรแต่ปู่ย่าตายายพ่อแม่ ต่อมา บัดนี้ยังมีเจ้าองค์ ๑ รู้บุญคุณสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว เคยอดโทษโปรดชีวิตทำนุบำรุงบ้านเมือง ขุนนางและราษฎรได้รุ่งเรืองอยู่เย็นเป็นสุขอยู่บ้านเมือง และเมืองตึกเขมา กระมวนสอ บาศัก พระตะพัง ได้ทำหนังสือไปให้ลุกพร้อมกัน ก็หายไปหาได้ข่าวกลับมาเป็นประการใดไม่ และเขตต์แขวงเมืองนั้นคับแคบนัก ด้วยใกล้กับอ้ายญวนข้าศึก อยู่ป่าจะซ่อนตัวครอบครัวก็หามีไม่ ข้าพเจ้ากับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยและราษฎรทุกเขตต์คิดฆ่าฟันอ้ายญวนประจามิตรคนร้าย ทั้งนี้ หมายจะเอาเมืองเขมรกราบบังคมถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวตามเดิม ถ้าพระยาสุริโยไทยใช้ พระยาวงษาสัตรีโสม พระราชานุชิตพรม มาถึงขอให้ท่านนายทัพนายกองซึ่งตั้งอยู่ณบ้านสอประหาร ได้นำเนื้อความข้อราชการเรื่องนี้กราบเรียนพณหัวเจ้าท่านสมุหนายก เจ้าคุณแม่ทัพใหญ่ผู้สำเร็จราชการให้ทราบ ปรนนิบัติมาณวันเดือน ๑๒ แรม ๓ ค่ำปีชวดโทศก ศักราช ๑๒๐๒

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ