ภายหลังรับประทานอาหารกลางวัน และได้พักผ่อนครู่ใหญ่ ๆ แล้ว เราได้พากันออกเดินต่อไปตามทางใหญ่ที่ทอดไปตามไหล่เขาตัดสูงขึ้นไปเป็นลำดับ ไม่มีบ้านช่องอยู่ริมทาง. ไกลออกไปข้างหน้าเราบนยอดเนินสูง มีกระต๊อบปลูกอยู่ ๔-๕ หลัง แสดงว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่. เขาทำไร่เลี้ยงชีวิตอยู่กันที่นั่น และเขตแดนน้อย ๆ บนยอดเนินนั้นเป็นโลกของเขา. ตลอดทางที่เราเดินมา เราไม่พบนักท่องเที่ยวคนใดเลย จนกระทั่งบรรลุถึงปลายทางซึ่งนำเรามาอยู่บนยอดเนินสูงแห่งหนึ่ง. เราได้นั่งลงพักผ่อนภายใต้ร่มไม้ซีดาร์ ซึ่งแผ่กิ่งก้านแลสล้าง.

ข้าพเจ้าจะไม่บรรยายโดยละเอียดว่า เราได้ใช้เวลาของเราอย่างไรบ้างที่นั่น. ข้าพเจ้าจะบรรยายถึงการสนทนาตอนหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยชีวิตความเป็นอยู่ทั้งมวลของหม่อมราชวงศ์กีรติให้เป็นที่แจ่มกระจ่างอย่างสิ้นเชิง. ข้าพเจ้าได้รื้อฟื้นปัญหาที่เราได้สนทนากันที่สวน ณ โฮเต็ลไกฮินมากล่าวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง.

“ผมอยากทราบถึงเหตุผลที่คุณหญิงได้ใช้ประกอบการตัดสินใจในการแต่งงานกับท่านเจ้าคุณ”

“ดูเธอสนใจในปัญหาเรื่องการแต่งงานมาก. เธอกำลังตระเตรียมตัวเพื่อการนั้นหรือ?”

“หามิได้” ข้าพเจ้ารีบตอบโดยเร็ว “ผมมิได้คิดที่จะตระเตรียมอะไรเพื่อการแต่งงานของผมเองเลย. ทั้งผมก็มิได้สนใจในปัญหาเรื่องการแต่งงานโดยทั่วไป ผมสนใจแต่เฉพาะในเรื่องราวของคุณหญิงเท่านั้น.”

“ทำไมเธอจะต้องมาสนใจกับเรื่องราวส่วนตัวที่เป็นความในใจของฉันด้วยเล่า?”

“คุณหญิงไม่เคยพูดดอกหรือว่าคุณหญิงนับผมเป็นเพื่อนตายของคุณหญิงคนหนึ่ง ในจำนวนทั้งหมดซึ่งดูเหมือนจะมีคนเดียว.”

“แต่เธอจะรู้ไปทำไม” เธอพูดอย่างอ่อนใจ “ชีวิตของฉันเป็นชีวิตของคนที่อาภัพ เหตุผลในการแต่งงานของฉัน เป็นเหตุผลของสตรีที่อาภัพที่สุดในเรื่องความรัก. ไม่มีแบบอย่างดีพอที่เธอสมควรจะฟัง และมันอาจจะทำให้เธอเศร้า เสียดายหรือสมน้ำหน้าในความอาภัพของฉัน. ไม่มีเรื่องราวอะไรที่น่าสนุกเลย. เธอได้รู้จักฉันในชีวิตที่ฉันเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เป็นการดีแล้ว และควรจะเพียงพอแล้ว เธอไม่ควรจะรู้จักชีวิตข้างหลังของฉันมากเกินไป เธออาจจะคลายความสุขเพราะเหตุนั้น.”

“ผมไม่ใช่คนขี้ขลาด อ่อนแอ. ยิ่งรู้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความอาภัพของคุณหญิง ก็ยิ่งรู้สึกว่าจำเป็นจะต้องได้ฟัง.”

“นพพร, เธอออกจะพูดอะไรจริงจังเสมอในตอนหลัง ๆ นี้” เธอยิ้มอย่างมีความเอ็นดู “ฉันมักจะขัดขืนเธอไม่สำเร็จเลย.”

“เขาแต่งงานไปก่อนฉันตั้ง ๗-๘ ปี เดี๋ยวนี้เขาอยู่กับสามีของเขา และมิใช่สามีแก่ - ด้วยความสุข และมิใช่ด้วยความสุขอย่างเดียว เขาอยู่กับสามีของเขาด้วยความสุขและด้วยความรัก.”

“น้องสาวของคุณหญิงสองคนก็ได้แต่งงานไปแล้วมิใช่หรือ?” ข้าพเจ้าลงมือดำเนินเรื่อง.

“เป็นที่น่าเสียใจมาก.”

“ที่น้องสาวของฉันมีความสุขและความรักกับสามีของเขา?”

“มิได้เลย, ผมยินดีด้วยมาก. ผมเสียใจในกรณีของคุณหญิง.”

“นี่เธอต้องการจะเป็นผู้ออกความเห็นให้ฉันฟัง หรือว่าต้องการจะฟังเรื่องราวจากปากคำของฉัน”

“ผมเตรียมตัวคอยฟังอยู่แล้ว.”

“เธอได้ทราบแล้วว่า ฉันแต่งงานกับท่านเจ้าคุณโดยปราศจากความรัก” หม่อมราชวงศ์กีรติเริ่มเรื่อง “สิ่งที่เธอปรารถนาจะทราบจากฉันเวลานี้ก็คือ ทำไมฉันจึงแต่งงานกับท่านทั้งที่ฉันไม่มีความรัก เพื่อที่เธอจะเข้าใจปัญหาข้อนี้อย่างแจ่มแจ้ง ฉันจำเป็นจะต้องให้ความสว่างแก่เธอในปัญหาที่สำคัญอีกข้อหนึ่งเสียก่อน คือปัญหาที่ว่า ทำไมฉันจึงแต่งงานต่อเมื่ออายุได้ล่วงเข้ามาถึง ๓๕ ปี เป็นวัยแก่เกินควรสำหรับผู้หญิงที่เข้าสู่พิธีวิวาห์เป็นครั้งแรก. เธอย่อมทราบแล้วว่า โดยทั่วไปผู้หญิงแต่งงานในระหว่างอายุ ๒๐ ถึง ๒๕ ปี. หรืออย่างล่าที่สุด หรืออย่างเลวที่สุดก็ตามทีก็มักจะไม่เกินหรือไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเกินกว่า ๓๐ ปี. แต่เหตุใดฉันจึงมาแต่งงานเมื่ออายุเหยียบ ๓๕ ปี เป็นวัยที่แก่เกินการ. เธอต้องไม่พยายามที่จะเข้าข้างฉัน โดยอ้างว่าฉันยังแลดูเป็นสาวพริ้งอยู่. เธอต้องยอมรับว่าเป็นวัยที่แก่เกินการจริง ๆ. จะด้วยเหตุใดก็ตาม เธอไม่เคยยกปัญหาข้อนี้ขึ้นถามฉันเลย เธออาจจะมองข้ามไปเสีย โดยเห็นว่าไม่เป็นปัญหาที่สลักสำคัญก็ได้ แต่ฉันเองรู้ดีว่ามันสำคัญ และสำคัญพอที่จะนับได้ว่าเป็นบ่อเกิดแห่งปัญหาต่อมา คือว่าเหตุใดฉันจึงแต่งงานโดยปราศจากความรัก. ฉันจะให้คำตอบแก่เธอทั้งสองปัญหา เพื่อว่าเธอจะได้เข้าใจเรื่องราวของฉันอย่างแจ่มกระจ่าง ประดุจเธอได้แลดูท้องฟ้าในยามที่ไร้เมฆหมอก. ฉันต้องการจะดับความกระหายของเธอให้สิ้นสุดลงเสียที ฉันจะได้พ้นจากความรบกวนเร้าถามอีกต่อไป.”

หม่อมราชวงศ์กีรติหยุดมองจ้องตาข้าพเจ้า ซึ่งในขณะนั้นกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่แทบปลายเท้าของเธอ สดับตรับฟังคำพูดของเธอด้วยความสนใจ. เรานั่งอยู่บนผ้าดอกสี่เหลี่ยมผืนใหญ่ ซึ่งเราอาจจะทอดกายลงนอนเล่นก็ได้ แต่ว่าเรามิได้กระทำ. หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งอิงหมอนพิงต้นซีดาร์.

“ผมอยากทราบจริง ๆ ว่าทำไมคุณหญิงจึงรั้งรอการแต่งงานมาจนถึงป่านนี้ ผมเขลาไปที่ไม่เคยถามปัญหาข้อนี้.”

“เธอเขลา เพราะว่าเธอมัวแต่มาคอยเยินยอว่าฉันยังสาวด้วยประการทั้งปวง” เธอพูดด้วยเสียงแกมเล่นแกมจริง “ฉันเพิ่งแต่งงาน แต่ก็มิใช่ว่าฉันรั้งรอการแต่งงาน. พูดเช่นนี้เธออาจจะนึกเดาเอาว่าในชีวิตสาว ๆ ของฉัน คงจะมีนิยายที่แปลกประหลาดเร้าใจ มีการผจญรักผจญโศก เจือปนอยู่มิใช่น้อย. ฉะนั้น เพื่อมิให้เธอเสียเวลาเดาวุ่นวายเกินไป ซึ่งเธอก็คงจะเดาผิดทั้งหมด ฉันขอบอกเธอล่วงหน้าไว้ว่า ชีวิตของฉันไม่มีการผจญรัก ผจญโศก ไม่มีการฟูมฟายน้ำตาหรือได้ขึ้นสวรรค์แล้วก็ได้ลงนรก หรือมีเรื่องน่าตื่นเต้นเร้าใจอะไรในทำนองนั้นเลย. ชีวิตของฉันอยู่ห่างไกลกับสิ่งเหล่านี้ ในชีวิตของฉันมีแต่เหตุการณ์ที่เป็นธรรมดาสามัญ และมันอาจจะเป็นธรรมดาสามัญเสียจนเกินไป จนทำให้เกิดความผิดหวัง จนทำให้ฉันกลายเป็นสตรีที่อาภัพที่สุดคนหนึ่งไปได้”

“ผมไม่อยากจะขัด แต่ผมก็ยากที่จะเชื่อว่า ในชีวิตที่ประกอบไปด้วยปัญหาข้อสำคัญ ๆ เช่นชีวิตของคุณหญิงนี้ จะไม่มีเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดพิสดารแฝงอยู่สักอันหนึ่ง” ข้าพเจ้าอดกลั้นความสงสัยไว้ไม่ได้

“คนดีของฉัน เธอควรจะเลิกเรียนหนังสือ แล้วมีอาชีพทางหมอดู เพราะว่าเธอมักจะรู้เรื่องราวในชีวิตของฉันดีกว่าตัวของฉันเองเสมอ.”

หม่อมราชวงศ์กีรติดำเนินเรื่องต่อไป.

“วงชีวิตในวัยสาวของฉัน เป็นวงชีวิตที่แคบมาก ฉันไม่มีโอกาสที่จะร่าเริงบันเทิงใจในวัยรุ่นสาวของฉัน ดุจเดียวกับสตรีสาวที่เป็นคนธรรมดาสามัญทั่วไป. ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแยกตัวฉันออกจากท่านสุภาพสตรีเหล่านั้นดอก แต่ความจริงฉันได้ถูกแยก. ฉันไม่ได้เป็นเจ้าแต่ฉันก็เป็นลูกเจ้า. ท่านพ่อของฉันท่านเป็นเจ้านายแท้จริง. ในสมัยที่ยังไม่เปลี่ยนการปกครองบ้านเมืองนั้น เธอก็คงจะทราบแล้วว่า เจ้านายท่านเป็นเจ้านายกันจริง ๆ โดยมาก ท่านอยู่ของท่านต่างหากในโลกอีกโลกหนึ่ง. ท่านพ่อของฉันก็พยายามที่จะให้ตัวฉันและลูก ๆ ของท่านเป็นเจ้านายเช่นเดียวกับองค์ท่าน. ฉันได้เรียนหนังสืออย่างเป็นกิจจะลักษณะที่โรงเรียนตามสมควร. พอเข้าขีดจะเป็นสาว ท่านก็เก็บตัวฉันไว้ในโลกของท่าน ท่านป้องกันฉันจากการติดต่อกับโลกภายนอก. ฉันได้เรียนหนังสือต่อมากับแหม่มแก่ ๆ คนหนึ่งที่บ้านของเราหรือวังตามที่เรียกกันในเวลานั้น. ฉันได้เรียนรู้เรื่องราวจากโลกภายนอกบ้าง จากครูแหม่มของฉัน และจากแหม่มแก่นะเธอ.. ระหว่างครูแหม่มแก่ของฉันกับแม่เฒ่าชาวไทยของเรา ก็ดูไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก. การสนทนาพาทีของแกก็มีแต่เรื่องคุณธรรมความดีแม่ศรีเรือนอะไรจำพวกนี้. เป็นบุญอยู่บ้างที่แกชักนำให้ฉันรู้จักว่า ในโลกนี้มีหนังสือจำพวกโว้กและแมคคอลส์ ซึ่งช่วยแนะทางรักษาความงาม ความเปล่งปลั่งของฉันไว้ได้ยั่งยืนนาน ดุจความสดชื่นยืนนานของดอกไฮแดรนเยีย.

“ฉันอยู่บ้านเรียนหนังสือจากครูแหม่มบ้าง บางทีท่านพ่อก็ส่งฉันไปอยู่ในรั้วในวัง รับใช้เจ้านายใหญ่โตองค์หญิงบางองค์ที่เป็นญาติของเรา. ฉันใช้ชีวิตในวัยสาวของฉันในทำนองนี้หลายปี. ฉันต้องอยู่ในโลกของเจ้านายนานพอ จนฉันแทบไม่มีโอกาสจะระลึกว่าความเป็นสาวนั้นมีค่าอย่างที่สุดสำหรับสตรีเพศเพียงใด และฉันควรจะใช้ความเป็นสาวเพื่อประโยชน์แก่ตัวของฉันเองอย่างไรบ้าง. ในเวลานั้น ดูเหมือนฉันไม่เคยตั้งปัญหาถามตัวเองว่า เป็นการถูกต้องหรือที่เราจะปกป้องกำบังความเป็นสาวสดชื่นของเราไว้เสียจากนัยน์ตาของคนภายนอก? ชีวิตได้กำไรที่ตรงไหนเล่าในการกระทำเช่นนั้น? เป็นการฉลาดหรือที่ไม่เปิดเผยวัยงามที่สุดของเรา. ฉันไม่ใคร่จะได้คิดอะไรในเวลานั้น เพราะว่าเราไม่ได้ถูกอบรมให้เป็นคนช่างคิด เรามีทางที่เขากำหนดไว้ให้เดิน เราต้องเดินอยู่ในทางแคบ ๆ ตามจารีตประเพณีขนบธรรมเนียม.”

ถึงตอนนี้หม่อมราชวงศ์กีรติได้หยุดทอดระยะครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าจึงฉวยโอกาสพูดขึ้น.

“แต่คุณหญิงที่ผมรู้จักไม่เป็นอย่างนั้นเลย คุณหญิงเป็นคนช่างคิดช่างตรึกตรอง และเฉลียวฉลาดกว่าคนธรรมดาอย่างผมมาก.”

“ขออย่าพูดว่า ฉันฉลาดกว่าเธอหรือใคร ๆ เพียงแต่ฉันพอจะไปกับคนทั้งหลายได้ก็เป็นบุญของฉันอยู่แล้ว เหตุการณ์ในปีต่อ ๆ มา อนุเคราะห์ให้ฉันเป็นคนช่างคิด นอกจากนั้น ครูแหม่มมักหาหนังสือภาษาอังกฤษดี ๆ มาให้ฉันอ่าน เป็นการช่วยกระตุ้นใจให้ฉันกลายเป็นคนรักหนังสือ แล้วก็รักศิลปะ รักความสวยงามทุกชนิด แล้วก็กลายเป็นคนช่างตรึกตรอง, ฉันคิดว่าฉันมีอุปนิสัยในสิ่งเหล่านั้นอยู่แล้ว. อนึ่งการที่ฉันรักษาบำรุงความงามความเปล่งปลั่งของฉันในเวลานั้น ก็เพียงเพื่อความชื่นใจสำหรับตัวของฉันเท่านั้น. ฉันบอกแล้วว่า ฉันยังไม่มีความคิดว่าจะทำอย่างไรกับความเป็นสาวของฉัน เพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวของฉันเอง.”

“ในฐานะเช่นนั้น ผมเห็นใจคุณหญิงมาก” ข้าพเจ้าสอดขึ้นในระหว่างเรื่อง.

“แต่ว่าศิลปะได้ช่วยฉัน” เธอดำเนินเรื่องต่อไป “ฉันไม่มีเวลาที่จะใช้ไปในความคิดคำนึง และความเปล่าเปลี่ยวมากนัก ฉันมีงานทำเกือบตลอดทั้งวัน ฉันสนใจในการวาดภาพ และใช้เวลาฝึกฝนมากตามที่เธอทราบแล้ว ฉันมีความเพลิดเพลินไปในงานนั้น. นอกจากนั้นฉันมีงานที่ต้องทำประจำวันอีกอย่างหนึ่ง คือการบำรุงรักษาความงามความเปล่งปลั่งของฉัน ให้คงอยู่นานที่สุดที่จะนานได้ ฉันต้องใช้เวลาวันหนึ่ง ๆ หลายชั่วโมงเป็นกิจวัตรประจำวันของฉัน.”

“แทบไม่น่าเชื่อ” ข้าพเจ้าอดสงสัยไม่ได้ “คุณหญิงต้องทำอะไรบ้างวันละหลาย ๆ ชั่วโมง และทุกวัน. ผัดแป้ง แต่งหน้า ทาปาก สัก ๑ ชั่วโมงก็ควรจะพอ.”

เธอยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความเบิกบาน.

“เรื่องจริง ๆ มันมีมากกว่าที่เธอคาดมาก. เธอไม่อาจจะเข้าใจเรื่องของผู้หญิงได้ทั้งหมด. นอกจากนั้น ฉันหวังว่าเธอจะไม่ด่วนลงความเห็นติเตียนว่า ฉันใช้เวลาวันละหลาย ๆ ชั่วโมงในทางที่ไร้ประโยชน์. เธอจงเห็นใจสตรีเพศ เราเกิดมาโดยเขากำหนดให้เป็นเครื่องประดับโลก ประโลมโลก และเพื่อที่จะทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุด เราจำต้องบำรุงรักษารูปโฉมของเราให้ทรงคุณค่าไว้. จริงอยู่ นี่มิใช่หน้าที่อันเดียวหรือทั้งหมดของสตรีเพศ แต่เธอคงไม่ปฏิเสธว่ามันเป็นหน้าที่อันหนึ่งของเรา.”

“ผมไม่มีความเห็นแย้งเลยในข้อนี้ เพราะว่านอกเหนือจากความดี บุรุษแสวงความงามในสตรีเพศ.”

“ยิ่งกว่านั้น บางทีคุณความดีของสตรีก็ถูกมองข้ามเลยไป ถ้ามิได้อาศัยอยู่ในความงาม” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดเน้นคำ “ระหว่างเวลาที่น้องสาวคนเล็กของฉันได้แต่งงานไป แม้ว่าฉันจะคิดคำนึงใฝ่ฝันถึงความรักบ้าง ฉันก็มีชีวิตสดชื่นอยู่ด้วยความหวัง. จนกระทั่งอีก ๒ ปีต่อมา น้องสาวคนรองจากฉันได้แต่งงานไปอีกคนหนึ่งกับชายที่เธอรัก ในวาระนั้นแหละที่ฉันเริ่มรู้สึกว่า ฉันออกจะเป็นคนอาภัพ. ในเวลานั้นฉันมีอายุได้ ๒๙ ปี น้องสาวของฉันมีอายุ ๒๖ ปีเมื่อเธอแต่งงาน. การแต่งงานและความสุขที่น้องสาวของฉันได้รับ เสียดแทงความรู้สึกของฉันไม่น้อย. นพพรต้องเชื่อว่า ฉันมิได้อิจฉาน้อง. ฉันรักน้องสาวของฉันไม่น้อยกว่าตัวฉันเอง แต่ฉันรู้สึกอเนจอนาถในโชคชะตาของฉัน. ถึงตอนนี้ออกจะเป็นการยากลำบากที่ฉันจะกล่าวความรู้สึกอันจริงใจแก่เธอ เพราะดูว่าฉันจะเป็นคนโอ้อวด หรือคิดตะเกียกตะกายไปในทางที่น่าบัดสี เธอเชื่อว่าเธอจะเข้าใจฉันดีพอหรือ?”

“ผมเป็นเพื่อนตายของคุณหญิง ผมเห็นใจและเข้าใจคุณหญิงดีที่สุด.”

“เธอเชื่อมั่นในคุณธรรมของฉันหรือ?”

“ไม่มีที่สงสัยเลย”

“เธอแน่ใจหรือ?”

“แน่นิ่ง ไม่คลอนแคลนเลยแม้แต่นิดเดียว.”

“คำรับรองของเธอมั่นคงดังคำปฏิญาณ ดังนั้น ฉันจะบรรยายความรู้สึกของฉันต่อไปอย่างซื่อสัตย์จริงใจ” เธอทอดสายตาแลข้ามศีรษะข้าพเจ้าไป ดวงตาของเธอยังคงมีประกายก็จริง แต่มีแววเศร้าเข้ามาเจือปน. “เมื่อฉันมีอายุได้ ๒๙ ปี ฉันก็ยังสวยงามและดูเปล่งปลั่งสดชื่นกว่าน้องสาวของฉัน ฉันเป็นคนโชคดีที่เกิดมาสวย แต่ฉันเป็นคนโชคร้ายที่เกิดมาไร้ความรัก. และก็อาจเป็นเพราะความสวยนั่นเองที่ฉันได้ถูกปกป้อง กีดกัน จากการติดต่อกับโลกภายนอกยิ่งกว่าน้อง ๆ ฉันจะไม่รู้สึกตัวว่าฉันเป็นคนอาภัพอับโชคเลยถ้าฉันเกิดมาเป็นหญิงขี้เหร่ แต่พระผู้เป็นเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ก็ตาม เมื่อได้ประทานความสวยงามให้แก่ฉันแล้ว เหตุใดไม่เปิดทางให้แก่ฉัน เหตุใดไม่ประทานความรักให้แก่ฉัน เหตุใดมาทอดทิ้งความสวยงามของฉันไว้ในความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ความสวยงามซึ่งฉันสู้ทะนุถนอมบำรุงรักษาอย่างที่สตรีเป็นอันมากก็มิอาจระวังระไวเท่าฉัน.”

ถึงตอนนี้แววเศร้าปรากฏชัดขึ้นในดวงตาของเธอ.

“เมื่อน้องสาวสองคนมีเหย้ามีเรือนไปหมด ฉันก็รู้สึกความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวทวีขึ้น. แต่ว่าเมื่อได้พินิจพิจารณาดูความงาม ความสดชื่นของตัวเองในเวลานั้น ในวัย ๒๙ ปีนั้นแล้ว ฉันก็ยังมีความหวังอยู่ว่า ฉันจะได้พบความรักและได้แต่งงานกับชายที่ฉันรัก. นพพร, เธอต้องไม่คิดเห็นการแถลงความรู้สึกอย่างซื่อสัตย์ของฉันไปในทางน่าบัดสี. ความรักเป็นพรอันประเสริฐ เป็นยอดปรารถนาของชีวิต. ฉันก็เหมือนกับคนทั้งหลาย ย่อมปรารถนาใฝ่ฝันถึงความรักและการแต่งงาน. ฉันปรารถนาที่จะพูดถึงและรู้สึกด้วยตนเองในเรื่องราวของชีวิตในโลกใหม่ ดังที่น้องสาวสองคนได้มีโอกาสเช่นนั้น. ฉันปรารถนาที่จะมีบ้านของฉันเอง ที่จะติดต่อสมาคมกับโลกภายนอก ปรารถนาที่จะมีบุตรน้อย ๆ เพื่อที่ฉันจะได้หลั่งความเมตตาปรานีจากดวงใจของฉันให้แก่เขา. ฉันปรารถนาที่จะให้ตัก ให้แขนของฉันเป็นประโยชน์แก่คนอื่น. ยังมีความปรารถนาที่งดงามอีกหลายอย่างที่ฉันย่อมจะบรรลุได้ ถ้าเพียงแต่ฉันได้พบความรัก.

“การที่เกิดมาไร้ความรัก จนกระทั่งอายุลุถึง ๒๙ ปีนั้น ก็เป็นการเคราะห์ร้ายพออยู่แล้ว แต่ฉันเป็นคนเคราะห์ร้ายจนถึงที่สุดในเรื่องนี้. ความใฝ่ฝันของฉันไม่ได้เป็นของจริงขึ้นเลย ปีแล้วก็ปีเล่า ความหวังก็จืดจางโรยราไปเป็นลำดับ จนกระทั่งอายุล่วงไปถึง ๓๔ ปี เจ้าคุณอธิการบดีก็ผ่านเข้ามาในการพิจารณาของฉัน.

“เจ้าคุณกับท่านพ่อชอบพอคุ้นเคยกันมาก. ท่านพ่อเมื่อแก่ตัวลงท่านก็ไม่สู้มีความคิดความเห็นเคร่งเครียดอะไรนัก ฉะนั้น เมื่อเจ้าคุณแสดงความประสงค์จะขอแต่งงานกับลูกสาวคนโตของท่าน ซึ่งได้ตกค้างอยู่ในบ้านมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ท่านก็ยินดีที่จะอนุมัติให้เป็นไปตามประสงค์. ท่านเห็นด้วยความสุจริตใจของท่านว่า คำขอของเจ้าคุณเป็นโอกาสอันเดียวที่เปิดไว้ให้ฉันเดินเข้าสู่โลกแห่งการวิวาห์. ท่านหวาดเกรงว่า ถ้าฉันปฏิเสธก็จะเท่ากับว่าฉันปฏิเสธการแต่งงานตลอดชั่วชีวิต และถ้าความจริงจะเป็นไปเช่นนั้นแล้ว ท่านก็จะสลดใจในโชคชะตาของฉันมาก. ฉันรู้ดีว่าท่านพ่อรักใคร่และเห็นใจในความอาภัพของฉันยิ่งกว่าลูกทุก ๆ คน. ท่านปรารถนาที่จะได้เห็นฉันแต่งงาน เพื่อว่าฉันจะได้มีความสุขตามส่วน ท่านเชื่อว่าการที่ผู้หญิงซึ่งสะสวยอย่างฉัน จะดำรงชีวิตอยู่ตลอดไปโดยไร้คู่ครองนั้นเป็นการทรมานหัวใจเกินกว่าที่ท่านจะทนดูได้. อย่างไรก็ตาม ท่านเพียงแต่แนะนำวิงวอนให้ฉันรับคำขอของท่านเจ้าคุณ ส่วนการวินิจฉัยขั้นสุดท้ายนั้นก็สุดแต่ตัวฉัน.”

เธอทอดสายตามาสบตาข้าพเจ้า ยิ้มอย่างเศร้า ๆ และเปิดเผย. ใจคอของข้าพเจ้าก็อ่อนไหวไปตามความเศร้า ในยิ้ม และในดวงตางามคู่นั้น.

“เมื่อฉันได้รับทราบความประสงค์ของเจ้าคุณ ใจฉันหายวาบ และเมื่อฉันได้สดับคำแนะนำวิงวอนของท่านพ่อ ที่ทรงขอให้ฉันรับรองการแต่งงานกับเจ้าคุณ ฉันก็ถึงแก่น้ำตาตก. ฉันร้องไห้ด้วยความตกใจ และด้วยความรู้สึกอย่างอื่นอีกหลายอย่าง. ท่านพ่อเข้าพระทัยฉันดี ทรงปลอบฉันว่า ‘ลูกหญิง พ่อไม่ได้ดูหมิ่นเธอ พ่อเห็นใจเธออย่างยิ่ง เธอเป็นลูกที่ดีที่สุดและสวยที่สุดในบรรดาลูกรักของพ่อ. พ่อภูมิใจด้วยลูกคนนี้เหลือที่จะพรรณนาได้. พ่อทราบดีว่าลูกไม่คู่ควรกับบุรุษผู้สูงอายุเช่นเจ้าคุณอธิการ พ่อปรารถนาที่จะให้ลูกได้แต่งงานกับชายที่เธอรัก ซึ่งมีตระกูลและวัยสมควรกับตัวเธอ. แต่โชคชะตาไม่ให้ความยุติธรรมแก่เธอ พ่อเสียดายความดีความงามของเธอมาก แต่บัดนี้ลูกก็มีอายุจะย่างเข้า ๓๕ ปีแล้ว จงแต่งงานเถิดลูกรัก กับบุรุษที่พ่อแนะนำ แม้ว่าจะแก่แต่ก็เป็นคนดี.’

“ฉันพูดกับท่านพ่อน้อยที่สุด ฉันจำได้แต่ว่าฉันก่นแต่ร้องไห้. ท่านพ่อแนะนำปลอบโยนฉันแล้วก็เข้ามาจูบฉันที่หน้าผากด้วยความสงสาร แล้วก็ปล่อยฉันไว้แต่ลำพัง. ในค่ำวันนั้น ฉันแต่งตัวหมดจดงดงาม และอยู่ที่หน้ากระจกเงาภายในห้องนอนของฉันเป็นเวลานาน. ฉันเฝ้าพินิจพิศดูรูปโฉมของฉันทุกส่วนสัดของร่างกาย. ร่างนั้นยังแลดูสาวและไม่ขาดตกบกพร่องในความงาม. ฉันรำพึงว่า ร่างที่ยังสดชื่นด้วยความสวยงามนี้หรือจะต้องวิวาห์กับวัยชรา ๕๐ ปี. เป็นความจริงหรือ ที่ร่างงามนี้อุบัติมาไร้ความรักและสิ้นหวังในความรักแล้ว. ฉันไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้เลย แต่ครั้นฉันระลึกได้ว่า ฉันมีอายุได้เท่าไรแล้ว ฉันก็ใจหายอีกครั้งหนึ่ง. หยาดน้ำตาไหลระริน เมื่อฉันรู้สึกด้วยความแน่ใจว่า คำขอของท่านเจ้าคุณเป็นสัญญาณบอกความพินาศแห่งความหวังของฉัน เป็นสัญญาณว่าโอกาสที่ฉันจะได้พบความรักและได้แต่งงานกับชายที่ฉันรักได้สิ้นสุดลงแล้ว เวลาของฉันหมดแล้ว.

“ในระหว่าง ๒-๓ วันหลังแต่นั้น ท่านพ่อไม่ได้รบกวนเร้าถามฉันถึงเรื่องนั้นเลย ท่านคอยคำตอบของฉันอย่างสงบเงียบ. ฉันได้เลือกเวลาหนึ่ง ซึ่งฉันคิดว่าเป็นเวลาที่ปลอดโปร่งใจที่สุดเท่าที่ฉันจะหาได้ในยามนั้น คิดค้นคำตอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง ในที่สุด ฉันก็ตัดสินตกลงใจรับคำขอของเจ้าคุณ.”

“ทำไมคุณหญิงไม่ปฏิเสธ คุณหญิงยังสาวและสวยเหลือเกิน แม้กระทั่งเวลานี้” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงจัง “คุณหญิงจะได้พบความรักอย่างแน่นอน ถ้าได้รอต่อไปอีกหน่อย คุณหญิงควรปฏิเสธทีเดียว”

“นพพรพูดราวกับว่าเรื่องยังไม่ได้เกิดขึ้น” เธอยิ้มน้อย ๆ.

“โลกเหี้ยมโหดเหลือเกิน” ข้าพเจ้าครวญคราง.

“มนุษย์อาจจะเหี้ยมโหด แต่โลกน่ารักมิใช่หรือ ถ้าเธอแลไปให้ทั่วเดี๋ยวนี้” เธอหยุดจ้องมองหน้าข้าพเจ้าครู่หนึ่ง “ฉันกำลังจะบอกเธอถึงเหตุผลในการตัดสินตกลงใจของฉัน.”

“ผมมองไม่เห็นเหตุผลเลย ผมไม่คิดว่าจะเป็นเหตุผลที่ดีพอ.”

“คนดีของฉัน, โปรดอย่าหัวเสีย. โปรดอย่าลืมว่าเรากำลังสนทนากันถึงเหตุการณ์ที่ได้ล่วงมาแล้ว ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว. ไม่มีอะไรที่เราจะต้องมาทุ่มเถียงกัน.”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ