๔
ระหว่างทางที่กลับ เป็นยามเย็นที่ไร้แสงแดด เด็กเล็กออกวิ่งเล่นกันตามบริเวณบ้าน เราผ่านบ้านที่ภูมิฐานงดงามหลังหนึ่ง สตรีรุ่นกำดัดหน้าตาหมดจดงดงามสองคนจูงเด็กน้อยเดินบ้างวิ่งบ้างด้วยความร่าเริงออกมาจากบ้าน ตามทางเล็ก ๆ ซึ่งนำมาสู่ถนนใหญ่ที่เรากำลังเดินอยู่ สตรีรุ่นสาวสองคนนั้นมาถึงชายถนนขณะที่เรากำลังจะผ่านไป.
พอคล้อยหลัง หม่อมราชวงศ์กีรติได้พูดขึ้นว่า “หน้าตาอิ่มเอิบและสวยสดทั้งสองคน. นพพร, เธอเห็นผู้หญิงญี่ปุ่นอย่างไร”
“ผมต้องสารภาพว่า ผมติดใจจริตกิริยาผู้หญิงญี่ปุ่นเป็นอย่างยิ่ง.”
“ยิ่งไปกว่าผู้หญิงไทยของเราเจียวหรือ?”
“ผมเชื่อว่า โดยทั่วไปผมมีความเห็นเช่นนั้น”
“เธอไม่คิดว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นมีกิริยานุ่มนวลเกินกว่าความประสงค์ของผู้ชายไปหรือ?”
“ผมไม่คิดเช่นนั้น”
“ถ้าเช่นนั้นเธอเป็นผู้ชายน้อยไปกระมัง ฉันเข้าใจว่าผู้ชายโดยมากชอบผู้หญิงที่โลดโผน หรืออย่างน้อยให้มีความโลดโผนเจือปนอยู่บ้าง ต้องการให้มีความปราดเปรียวหรืออะไรเด่น ๆ อยู่ในจริตกิริยาของผู้หญิง เป็นเครื่องปรุงให้ชีวิตไม่จืดจาง.”
“ความเข้าใจของคุณหญิงอาจจะถูก แต่ผมเห็นว่าเครื่องปรุงชีวิตนั้นมีหลายอย่างต่างกัน ผมอาจเป็นฝ่ายข้างน้อย ที่แลเห็นความนุ่มนวลในผู้หญิงเป็นความเบิกบานในชีวิตอย่างหนึ่ง.”
“เธอห่างเหินจากผู้หญิงไทยมานาน อิทธิพลของผู้หญิงญี่ปุ่นดลใจเธอมาก” หม่อมราชวงศ์กีรติหัวเราะ “พูดอย่างจริงจัง ฉันเห็นว่าเธอคิดถูก และเป็นความคิดที่ฉันขอสรรเสริญ ทั้งที่ฉันเองไม่มีความชำนาญแม้แต่น้อยในการวินิจฉัยปัญหาเหล่านี้.”
ข้าพเจ้ากล่าวขอบใจ เมื่อเธอจบประโยคท้าย.
“ฉันอดนึกถึงดวงหน้าอิ่มเอิบของแม่สาวสองคนเมื่อกี้ไม่ได้” เธอพูดต่อเป็นเชิงรำพึง “เหมือนต้นไม้ที่ได้ปุ๋ยดี ออกดอกตูม กำลังเต่งด้วยชีวิต และความสดชื่นแห่งวัยรุ่นกำดัด. ความเปล่งปลั่งเช่นนั้น เตือนให้หวนนึกถึงตัวเองแล้วก็ใจหายนิดหน่อย.”
“ผมไม่เข้าใจ.” ข้าพเจ้ากล่าวด้วยความฉงนสนเท่ห์แท้จริง “ว่าเหตุใดคุณหญิงจะต้องใจหาย เมื่อแลเห็นความสดชื่นของแม่สาวสองคนนั่น. คุณหญิงเองก็มีสิ่งนี้อยู่แล้วอย่างสมบูรณ์. บางทีความเปล่งปลั่งที่มีอยู่ในตัวคุณหญิงจะมีค่าเสียยิ่งกว่าในผู้หญิงสาวสองคนนั่นอีก.”
“ใครสอนเธอให้มาพูดกับฉันเช่นนี้.”
“ความรู้สึกดลใจสอนผม.” ข้าพเจ้าตอบออกไปทันที “และผมเชื่อว่ามิใช่แต่ผมเท่านั้นที่เห็นแน่นอนดังนั้น.”
“แต่เธอยังไม่ทราบจุดแห่งความกังวลของฉัน. ความสดชื่นของฉัน-ถ้าเธอเห็นว่ามี-จะนำไปเปรียบเทียบกับความสดชื่นของแม่สาวสองคนนั่นไม่ได้. ความสดชื่นของหล่อนนั้น ฉันบอกแล้วว่าเช่นดอกไม้ตูมที่กำลังจะแย้มบาน เป็นความสดชื่นแรกรุ่งอรุณ. ส่วนความสดชื่นของฉันนั้น ถ้าหากว่ายังคงมีอยู่ในเวลานี้ ก็นับว่าเป็นความสดชื่นในยามย่ำยอแสงแล้ว จะจางหายไปในมิช้า. บัดนี้เธอคงจะเห็นว่า ฉันมีเหตุผลพอทีเดียวที่จะพูดว่าใจหาย.”
“ผมยังมองไม่เห็น” ข้าพเจ้าสนองถ้อยคำของเธอด้วยความสนใจ “แม้ว่าจะถือหลักในการเปรียบเทียบเช่นที่คุณหญิงกล่าว ผมก็ยังไม่เห็นพ้องด้วยในข้อที่คุณหญิงกล่าวว่า ความสดชื่นของคุณหญิงนั้น เปรียบเหมือนความสดชื่นของยามตะวันกำลังจะตกดิน. ในสายตาของผม ความสดชื่นของคุณหญิงยังอยู่ในยามเช้า แม้จะไม่ยอมเรียกว่าเป็นยามรุ่งอรุณ. ยังมีเวลาอีกนานที่จะดำรงความเปล่งปลั่งไว้ได้.”
“อา, เธอเป็นผู้เลื่อมใสในตัวฉันเสียจริง ๆ.” แม้ว่าหม่อมราชวงศ์กีรติจะไม่ยอมรับรองถ้อยคำที่ข้าพเจ้ากล่าว แต่ในน้ำเสียงนั้นก็แสดงว่า เธอมีความเบิกบานใจมากที่ได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ “และด้วยเหตุนั้น เธอไม่รู้ดอกว่าสายตาของเธอพร่าพราวไปเสียแล้ว. เธอรู้หรือไม่ว่าฉันมีอายุมากเกินกว่าจะเรียกตัวเองว่าเป็นสาวได้.”
“ผมไม่คิดว่าจะมีใครสักคนหนึ่งถือว่าผู้หญิงที่มีอายุยังไม่ถึง ๓๐ ปีจะไม่ใช่คนสาวเสียแล้ว และเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคุณหญิง.”
เธอมองดูข้าพเจ้าด้วยสายตาที่แสดงว่ามีชัย.
“เธอคงไม่ทราบว่าฉันมีอายุถึง ๓๕ ปีแล้ว.”
ด้วยคำพูดประโยคนี้ ข้าพเจ้าตะลึง และมองจ้องเธออย่างไม่สุภาพ แต่ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็หัวเราะ.
“คุณหญิงปดผม. ผมรู้ว่าคุณหญิงพูดล้อผม.”
“อะไรกัน? นี่เธอคิดว่าฉันมีอายุเท่าไหร่กันเล่า บอกฉันเร็วเทียวว่า เธอเดาฉันไว้อย่างไร?”
“ผมคิดว่าอย่างไรเสียอายุของคุณหญิงไม่สูงกว่า ๒๘ ปีเป็นแน่. ความจริงคุณหญิงคงจะมีอายุ ๒๖-๒๗ ปีเท่านั้น.”
“๒๖ ปี!” เธอร้อง ในดวงตาของเธอมีประกายแห่งความปีติฉายอยู่ “เธอทำให้ฉันหวนระลึกถึงความรู้สึกของฉันเมื่อ ๙ ปีล่วงมาแล้ว ฉันจดจำความรู้สึกของฉันได้แม่นยำว่า ในเวลานั้นชีวิตของฉันยังเต็มไปด้วยความหวัง ฉันไม่เคยสังหรณ์หรือหวาดสะดุ้งไปแม้แต่ขณะหนึ่งว่า ฉันจะต้องเข้าสู่พิธีวิวาห์กับท่านสุภาพบุรุษซึ่งมีอายุเข้าเขตชราภาพแล้ว. มันเป็นธรรมชาติของฉันที่ไม่ชอบความทรุดโทรมเหี่ยวแห้ง อับเฉา ในบางคราวฉันอาจกล่าวได้ว่าฉันกลัว แต่ว่านั่นมันเป็นเวลาตั้ง ๙ ปีมาแล้ว.”
“ก็เดี๋ยวนี้มีอะไรเกิดขึ้นแก่คุณหญิงเล่าครับ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความฉงนสนเท่ห์ยิ่งขึ้น.
“มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?” เธอทวนคำถามข้าพเจ้าช้า ๆ ทอดสายตาเหม่อมองไปข้างหน้า “ความสาวและความฝันอันสวยงามก็เข้ามาอำลาฉัน. ฉันควรจะอนุญาตหรือไม่ มันมิใช่ปัญหา. ฉันจำต้องอนุญาตอยู่เอง. นอกจากนั้นเธอก็เห็นแล้วว่า ฉันได้แต่งงานกับท่านเจ้าคุณ.”
ข้าพเจ้าเกือบจะถามออกไปแล้วว่า เธอหมายความว่าเธอไม่พอใจในการแต่งงานนี้หรือ แต่สติสัมปชัญญะยังคงมีอำนาจสูงกว่าความอยากรู้ ข้าพเจ้าสำนึกได้ว่าออกจะเป็นการไม่สุภาพ และอาจจะเป็นการละลาบละล้วงเกินไป ที่จะตั้งคำถามเอาแก่เธออย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้น.
“แม้ว่าฉันจะไม่ชอบความเหี่ยวแห้งทรุดโทรมเพียงใด และแม้ว่าฉันจะรักความสวยสดงดงามเพียงใด แต่เวลา ๙ ปีมันก็ผ่านฉันไปเสียแล้ว” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดต่อไป “ฉันอยากจะเป็นอย่างที่เธอเดาว่าฉันคงจะเป็น แต่คนเราจะฝืนความจริงไปไม่ได้ทั้งหมด.”
“แล้วความจริงเป็นอย่างไรเล่าครับ ?”
“ความจริงฉันก็ไม่เป็นหญิงสาวอายุ ๒๖-๒๗ ปีอย่างที่เธอเข้าใจน่ะซี” เธอยิ้มน้อย ๆ ด้วยอารมณ์เย็น “ฉันไม่ได้ปดหรือคิดจะล้อเธอเลย เมื่อฉันพูดว่าฉันมีอายุถึง ๓๕ ปีแล้ว. เธอจะเห็นว่าฉันได้ผ่านวัยที่เขาเรียกว่าครึ่งคนค่อนคนเข้ามาแล้ว ดังนั้นฉันรู้สึกว่าฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นหญิงสาวได้เลย.”
“แต่ผมไม่ควรจะเชื่อนัยน์ตาของผมยิ่งกว่าคำบอกเล่าของคุณหญิงดอกหรือ ?” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงใจ.
“วันนี้นพพรดื้อจริง ๆ.” เธอชายตามายิ้มอย่างน่ารัก.
“โปรดอภัยให้แก่ความดื้อที่สุจริตของผม. ร้อยทั้งร้อยเขาจะปฏิเสธไม่ยอมเชื่อ ถ้าคุณหญิงบอกเขาว่าคุณหญิงมีอายุ ๓๕ ปี. ความเป็นสาวและความเปล่งปลั่งในตัวคุณหญิงนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้แจ้งชัด แม้ว่าจะปิดตาเสียข้างหนึ่ง.”
“และเว้นเสียแต่ว่า อีกข้างหนึ่งที่เหลืออยู่จะมิใช่ดวงตาที่บอด.” เธอพูดอย่างสนุก.
“ผมพูดด้วยความสัตย์จริง.”
“ดีแล้ว. นพพร เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เธอเที่ยวไปเดาอายุของใคร ๆ ผิดไป ฉันจะบอกความจริงแก่เธอข้อหนึ่งว่า ผู้หญิงที่รู้จักรักษาตัวบำรุงตัวอยู่เป็นเนืองนิตย์นั้น อาจที่จะลดอายุลงมาได้ราว ๆ ๕ ปีจากของจริงเสมอ.”
“แต่คุณหญิงคงจะได้ประทานพรจากพระอินทร์หรือมิฉะนั้นก็คงจะได้อาบไฟศักดิ์สิทธิ์เช่นพระนางอัชฌา จึงสามารถดำรงความงามความสดชื่นไว้ได้อย่างประหลาด. ผมไม่เคยพบสตรีคนใดที่จะได้ทำให้ผมเข้าใจผิด อย่างที่ผมกำลังเข้าใจผิดในตัวคุณหญิง. บอกผมหน่อยซิว่า คุณหญิงมีวิธีการเป็นพิเศษลี้ลับอย่างไรบ้าง.”
“พอ พอที.” เธอโบกมือให้ข้าพเจ้าสงบปากคำ “ฉันจะไม่พูดกับเธอต่อไปแล้วในเรื่องนี้. รู้ไหม นพพร เธอตั้งใจจะเยินยอฉันตลอดเวลา และการที่ประพฤติเช่นนั้นจะทำให้เธอเสียเด็ก.”
เธอวางหน้าอย่างเคร่งขรึม และเดินต่อไปโดยไม่พูดอะไรอีก. ถ้าในวันแรก ๆ ที่ได้พบกัน และหม่อมราชวงศ์กีรติได้พูดกับข้าพเจ้าด้วยสีหน้าท่าทางเช่นนี้ ข้าพเจ้าคงจะตกใจมาก แต่เมื่อเรามีความสนิทสนมกันพอที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้ว่า เธอหมายความอย่างไรในการที่พูดเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็ได้แต่อมยิ้ม.
เรากลับถึงบ้านเป็นเวลาโพล้เพล้ ท่านเจ้าคุณยังไม่กลับ. ข้าพเจ้าก็อยู่เป็นเพื่อนหม่อมราชวงศ์กีรติต่อไป. เมื่อเธอผลัดเครื่องแต่งตัวอาบน้ำเสร็จแล้ว เธอได้ขอให้ข้าพเจ้าไปอาบน้ำเสีย ก่อนที่จะถึงเวลารับประทานอาหาร เธอไม่ยอมที่จะเห็นข้าพเจ้ามีหน้าตาขะมุกขะมอม ไม่สะอาดหมดจด ดังนั้น คำปฏิเสธของข้าพเจ้าจึงไม่เป็นผล และด้วยเหตุอะไรที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกชื่นอกชื่นใจอย่างผิดปรกติเนื่องในคำแนะนำขอร้องของเธอเพื่อประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจะตอบปัญหาข้อนี้ได้
ความรู้และความเพลิดเพลินที่ได้รับจากการสนทนากับหม่อมราชวงศ์กีรติในเย็นวันนั้น ได้ติดตามมาในความคิดคำนึงของข้าพเจ้าตลอดเวลาที่เดินทางกลับบ้าน. เรื่องอายุอานามของหม่อมราชวงศ์กีรติ เป็นความรู้ใหม่ที่ข้าพเจ้าได้รับโดยมิได้คาดคิดมาแต่ก่อน เป็นสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าพิศวงงงงวยอย่างที่สุด แม้ข้าพเจ้าจะเชื่อแล้วว่าคำบอกเล่าของเธอเป็นความจริง. ถ้าข้าพเจ้าได้ทราบเสียแต่แรกเริ่มว่าเธอมีอายุตั้ง ๓๕ ปี ซึ่งแปลว่าเธอแก่กว่าข้าพเจ้าถึง ๑๓ ปีแล้ว ข้าพเจ้าก็คงจะรู้สึกว่าเธอเป็นผู้ใหญ่เสียเหลือเกิน และข้าพเจ้าคงจะไม่อาจประพฤติตนสนิทสนมกับเธอในทำนองที่เป็นอยู่ได้. แต่ว่าเมื่อในที่สุดเราได้มีความสนิทสนมต่อกันฐานเพื่อนเสียแล้ว เรื่องอายุของเธอก็เป็นแต่เงาของความจริงเท่านั้น. ข้าพเจ้าจึงคงรู้สึกว่าหม่อมราชวงศ์กีรติเป็นเพื่อนที่มีอายุแก่กว่าข้าพเจ้าเพียง ๓-๔ ปี คำบอกเล่าในเรื่องอายุอันแท้จริงของเธอ มิได้กีดกันข้าพเจ้าให้ห่างไกลออกมาจากความสัมพันธ์อันสนิทสนมในทางใจที่ข้าพเจ้าได้มีต่อเธอแม้แต่นิดเดียว.
อย่างไรก็ตาม คำชี้แจงของเธอในบางตอนซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจจะเข้าใจความหมายได้ เฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนที่กล่าวถึงการที่เธอได้มาแต่งงานกับท่านเจ้าคุณ ได้ก่อให้เกิดความซึ่งแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก ตามที่เธอพูดทิ้งไว้สั้น ๆ นั้นถ้าข้าพเจ้าจะตีความเอาเอง ข้าพเจ้าก็จะต้องตีความไปในทางที่ว่าเธอหาได้มีความสมัครใจในการแต่งงานไม่ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่า การตีความเช่นนี้จะเป็นการถูกต้องกับความเป็นจริง ยิ่งครุ่นคิดไป ข้าพเจ้าก็กลับเห็นไปว่า ปัญหาในเรื่องการแต่งงานของหม่อมราชวงศ์กีรติยิ่งจะกลายเป็นความลี้ลับหนักขึ้นกว่าเดิมอีก.
ในที่สุด เมื่อกลับมาถึงบ้านและล้มตัวลงนอน ข้าพเจ้าได้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า ด้วยเหตุอันใดข้าพเจ้าจึงเก็บเอาเรื่องราวส่วนตัวของหม่อมราชวงศ์กีรติมาครุ่นคิด ข้าพเจ้ามีหน้าที่หรือความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปขบปัญหาเหล่านั้น ในเวลานั้นข้าพเจ้าอาจที่จะนับตัวเองว่าเป็นเพื่อนที่สนิทคนหนึ่งของเธอก็จริง แต่ก็มีเหตุผลอะไรที่ข้าพเจ้าจะต้องครุ่นคิดถึงเรื่องราวส่วนตัวของเธอ โดยทั้งที่เธอเองไม่แสดงว่าได้มีความเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย หรือจะว่าได้ออกปากขอร้องให้ข้าพเจ้าขบปัญหาเกี่ยวแก่ตัวเธอในข้อหนึ่งข้อใดก็เปล่าทั้งสิ้น เมื่อได้ตั้งปัญหาขึ้นถามตัวเองดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถตอบได้ ดังนั้น จึงพยายามกำจัดปัดเป่าความครุ่นคิดอันไม่มีเหตุผลนี้ให้พ้นไป ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกว่าเป็นการซึ่งต้องใช้ความพยายามไม่น้อย.