๕
การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับท่านเจ้าคุณและหม่อมราชวงศ์กีรติคงดำเนินไปเป็นปรกติ ในราตรีวันหนึ่ง ต่อจากนั้นมาอีก ๓-๔ วัน ท่านเจ้าคุณได้รับเชิญไปในงานรื่นเริงรายหนึ่ง หม่อมราชวงศ์กีรติบอกว่าไม่ใคร่สบาย และดังนั้นไม่นึกสนุกที่จะไปร่วมในชุมนุมบุคคลมากหน้าหลายตา จึงขอตัวพักผ่อนอยู่กับบ้าน ท่านเจ้าคุณจึงขอให้ข้าพเจ้าอยู่เป็นเพื่อนภรรยาของท่าน.
ราตรีนั้นเดือนหงาย เมื่อรับประทานอาหารค่ำแล้ว เราทั้งสองต่างมีความเห็นตรงกันว่า ในยามเช่นนั้น ถ้าจะไม่ออกมารับประโยชน์จากแสงจันทร์บ้างก็จะเป็นการเขลาอย่างที่สุด. ข้าพเจ้าได้แนะขึ้นว่า เราควรจะไปกรรเชียงเรือเล่นในสวนสาธารณะ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของเราไปเพียงกินเวลาเดินราว ๑๐ นาที หม่อมราชวงศ์กีรติก็เห็นชอบด้วย.
เมื่อเราไปถึง ยังเป็นเวลาหัวค่ำ มีชาวบ้านแถวนั้นมาเดินเล่นในสวนไปมาไม่ขาด บ้างก็นั่งเล่นบนม้าบนสนาม ดูคนอื่น ๆ กรรเชียงเรือในสระใหญ่. เราเดินเล่นรอบ ๆ สวนสองสามรอบ จนรู้สึกเมื่อยจึงได้ชวนกันลงเรือ ขณะนั้นมีคนกรรเชียงเรือเล่นอยู่ก่อนแล้ว ๔-๕ ราย นับว่าเป็นจำนวนพอสมควร ไม่ทำให้ภายในสระนั้นเอะอะเกรียวกราวจนเป็นที่น่ารำคาญ. ข้าพเจ้ารับหน้าที่กรรเชียงเรือ หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งไปตามสบาย. เมื่อเราจับบทสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน ข้าพเจ้าก็มักจะปล่อยให้เรือลอยอยู่โดยลำพัง.
จันทร์ส่องแสงกระจ่างฟ้า จะแลดูบนพื้นน้ำหรือทอดสายตาไปรอบ ๆ บนพรรณพฤกษานานาชนิดในบริเวณสวน ก็เป็นที่เจริญตาเจริญใจไปทั้งนั้น หม่อมราชวงศ์กีรติก็เพลินชม และพรรณนาถึงความสวยงามของธรรมชาติในยามเช่นนี้ให้ข้าพเจ้าฟังมิได้ขาด. ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับคำพรรณนาของเธอทุกประการ แต่ข้าพเจ้ามิได้เพลิดเพลินไปในทางนั้น. ในชีวิตของข้าพเจ้าได้ผ่านความงามของคืนเดือนหงายมานับตั้งร้อย ๆ ครั้งแล้ว แต่สายตาของข้าพเจ้าไม่เคยพานพบสิ่งที่มีชีวิตใด ๆ ในท่ามกลางแสงเดือนอันสว่างจ้า ที่จะงามเหมือนภาพของสตรีผู้หนึ่งที่อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า ณ บัดนี้.
เพื่อที่จะหาทางเพิ่มความสนุกเล็กน้อยในการออกมาเที่ยวเล่นในสวนคืนวันนั้น หม่อมราชวงศ์กีรติสวมกิโมโนแพรสีขาว มีลวดลายสีแดงเด่นบนพื้นแพรขาวนั้น ดูงามดั่งดอกคริสแซนติมัมช่อใหญ่ ที่ข้าพเจ้าได้ชม ณ สวนตาการะซูกะเมื่อฤดูออทัมน์ปีที่แล้ว จันทร์แหวกเมฆออกมาเต็มดวง แสงส่องต้องดอกคริสแซนติมัมที่มีชีวิตวิญญาณ ทั่วสรรพางค์กาย เมื่อหม่อมราชวงศ์กีรติเงยพักตร์ขึ้นรับแสงจันทร์นั้น มีลมโชยพัดมา เส้นเกศาของเธอเต้นอยู่กลางแสงจันทร์ น้ำที่หล่ออยู่ในดวงเนตรของเธอเป็นประกาย เรียกร้องความสนใจทั้งหมดของข้าพเจ้าให้มารวมอยู่ ณ ที่นั้น.
เธอนั่งเหยียดเท้าตรงมาทางข้าพเจ้า เท้าของเธอขาวผ่อง เรียวและอวบ นั่งทอดกายไปข้างหลังเล็กน้อย ปล่อยอารมณ์ชมความงามของธรรมชาติอย่างเพลิดเพลิน
“นพพร. เธอรู้สึกสบายใจมากไหมในคืนที่งดงามเช่นนี้” เธอถามด้วยเสียงเบา ทอดตาอันมีประกายตรงมาทางข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าแทบสะดุ้ง ด้วยกำลังเพลินพิศวงพักตร์อันงามของเธออยู่.
“ผมสบายใจอย่างพรรณนาไม่ถูก เกินอำนาจของถ้อยคำและวิธีพรรณนาของผม.” ข้าพเจ้าตอบด้วยความตื่นเต้น.
“และมันทำให้เธอคิดถึงบ้านบ้างไหม ?”
“ผมจากบ้านมาอยู่ที่นี่ตั้ง ๓ ปีกว่า เคยคิดถึงบ้านบ้างในบางคราว แต่เมื่อนานเข้าความคิดถึงนั้นก็ชาไป.”
“และเธอก็ไม่คิดถึงบ้านเลย.”
“ครับ, อย่างน้อยที่สุดก็ในชั่วขณะนี้.”
“เธอผิดกับฉันตรงกันข้าม ในเวลาสงบและในเวลาที่จิตใจหมกอยู่ในความงามของธรรมชาติเช่นเวลานี้ ฉันอดคิดสิ่งที่ฉันรักที่สุดไม่ได้. ฉันคิดถึงท่านพ่อท่านแม่และน้อง ๆ ของฉัน ภายในบ้านอันเต็มไปด้วยความสงบสุข คิดถึงชีวิตเมื่อ ๑๐ ปีล่วงแล้วมา เมื่อเราอยู่กันพร้อมหน้าที่บ้านของเรา และคิดถึงชีวิตของฉันเองในเวลานั้น ชีวิตที่สมบูรณ์ไปด้วยความสุข และเต็มไปด้วยความหวัง. เธอใจแข็งมากนะนพพร ที่ไม่คิดถึงบ้านเลยในเวลาเช่นนี้.”
ข้าพเจ้าอยากจะตอบและเกือบจะได้ตอบออกไปว่าในเวลาที่อยู่ต่อหน้าเธอ ต่อหน้าเสน่ห์และความงามอันรัดรึงตรึงใจของเธอ ข้าพเจ้าไม่เคยคิดถึงสิ่งอื่นเลย และข้าพเจ้ายากที่จะคิดถึงสิ่งอื่นได้. ข้าพเจ้าไม่กล้าพูดออกไปตรง ๆ เช่นนี้ เพราะว่าข้าพเจ้าเองก็ยังไม่แจ้งชัดว่าเหตุใดจึงได้มีความคิดเห็นไปเช่นนั้น.
“ผมไม่ใช่คนใจแข็งเลย. แต่ว่าผมจำเป็นต้องสนใจในการเล่าเรียนมาก. นอกจากนั้นผมขอบอกตามตรงว่า ในเวลานี้ผมเพลิดเพลินไปในการรับใช้สอยทำประโยชน์ให้แก่คุณหญิง.” อะไรไม่ทราบมาดลใจให้ข้าพเจ้าต้องระบายความจริงใจออกไปบ้าง.
“เธอนี่หัดพูดไพเราะใหญ่เสียแล้ว.”
ข้าพเจ้ามองไปทางอื่น และเธอพูดต่อไป “เธอจะต้องอยู่เล่าเรียนต่อไปอีกกี่ปี ?”
“ประมาณ ๕ ปี เพราะว่าเมื่อเสร็จจากการเล่าเรียนแล้ว ผมตั้งใจจะหางานทำที่นี่สักชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อความชำนิชำนาญ.”
“นานมาก และในที่สุดเธออาจจะกลายเป็นญี่ปุ่นไปเลย เธออาจจะแต่งงานกับสตรีญี่ปุ่นซึ่งเธอเลื่อมใสมาก และตั้งรกรากอยู่ที่นี่.”
“โอ, เป็นไปไม่ได้” ข้าพเจ้ารีบค้านทันที “ผมเลื่อมใสความเจริญก้าวหน้าของญี่ปุ่น และเลื่อมใสสตรีญี่ปุ่นก็จริง แต่เหตุนั้นไม่ทำให้ผมกลายเป็นคนญี่ปุ่นไปได้. ผมไม่ลืมแม้สักขณะหนึ่งว่า ผมเป็นคนไทย เป็นหน่วยหนึ่งของชาติไทยที่ยังอยู่ล้าหลังชาติอื่นเขามาก การที่ออกมาเรียนก็เพื่อแสวงหาความเจริญก้าวหน้าให้แก่เมืองไทย จุดหมายปลายทางของผมจึงอยู่ที่เมืองไทย รวมทั้งการแต่งงานด้วย.”
การที่ข้าพเจ้าพูดถึงเรื่องการแต่งงานด้วย ก็เพราะว่าคำปรารภของหม่อมราชวงศ์กีรติทำให้ข้าพเจ้าหวนระลึกนึกไปถึงสตรีคนหนึ่งซึ่งเป็นคู่หมั้นของข้าพเจ้า. ถูกแล้ว หล่อนเป็นแต่เพียงคู่หมั้น ซึ่งท่านบิดาได้เลือกเฟ้นให้เพื่อเป็นประกันว่าข้าพเจ้าจะกลับไปแต่งงานกับสุภาพสตรีผู้นั้น หรืออย่างน้อยก็เพื่อจะให้เป็นเครื่องเตือนใจว่า ข้าพเจ้าจะไม่มาวุ่นวายกับสตรีชาติอื่นที่นี่. เพราะว่าหล่อนเป็นแต่เพียงคู่หมั้น มิใช่เป็นคู่รักคู่อาลัยของข้าพเจ้า ฉะนั้นการระลึกนึกถึงหล่อนจึงมิได้หมายความว่า ข้าพเจ้านึกถึงตัวหล่อน แต่หากหมายความว่าข้าพเจ้านึกถึงชีวิตแต่งงานของข้าพเจ้าในภายภาคหน้า.
“เธอมีจิตใจใฝ่สูงอย่างน่าสรรเสริญ” เธอชมข้าพเจ้าอย่างจริงจัง “มีสิ่งสำคัญสองสิ่งที่คอยความวินิจฉัยของเธอในเมืองไทย คือการอาชีพและการแต่งงาน เธอได้กะการไว้อย่างไรบ้างเล่า ?”
“ผมตั้งใจจะศึกษาพิเศษในทางธนาคาร เพราะเท่าที่ผมจะทราบได้ วิชาการธนาคารในเมืองไทยเรายังมีผู้สนใจน้อยมาก. งานอาชีพของผมก็คงจะเป็นไปในทางนั้น. ส่วนเรื่องการแต่งงานนั้น ผมยังไม่มีความคิดที่จะกะการอย่างไรเลย ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตเกินกว่าที่ผมจะนำตัวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในเวลานี้.”
ข้าพเจ้าไม่สบายใจนิดหน่อย ที่ไม่ได้ตอบหม่อมราชวงศ์กีรติออกไปให้เป็นที่แจ่มแจ้งชัดเจนว่า การที่ข้าพเจ้าไม่ได้คิดกะการอะไรในเรื่องนี้ ก็เพราะเหตุว่าการนั้นได้ถูกกะไว้แล้ว. ถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัยอะไรเกิดขึ้น ข้าพเจ้าก็จะต้องแต่งงานกับสตรีคู่หมั้นของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าเพียงแต่รู้จักว่าหล่อนเป็นใครเท่านั้น ยังมิเคยมีความรักหรือความเข้าใจในตัวหล่อนเลย. ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงไม่เล่าความเรื่องนี้สู่หม่อมราชวงศ์กีรติ ข้าพเจ้าตั้งใจจะอำพรางเธอหรือ ? ข้าพเจ้าไม่สู้จะแน่ใจนัก. อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเห็นว่าข้าพเจ้ามิได้ปดเธอ มิได้กล่าวเท็จแก่เธอในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าอาจไม่ได้ตั้งใจอำพรางเธอเลยก็ได้ เพราะว่าข้าพเจ้ายังมิเคยถูกถามว่าข้าพเจ้ามีคู่หมั้นคอยอยู่ที่เมืองไทยหรือไม่ แต่ถ้าเธอถามขึ้นเล่า ? ข้าพเจ้าจะตอบอย่างไร หัวใจของข้าพเจ้าเต้นแรงผิดปรกติ.
“เธอยังหนุ่ม แต่เธอคิดอย่างผู้ใหญ่” หม่อมราชวงศ์กีรติกล่าวเมื่อข้าพเจ้าพูดจบแล้วสักครู่
เวลานั้นเรือบดของเรากำลังลอยลำสงบนิ่งอยู่กลางสระน้ำ ข้าพเจ้าจับกรรเชียงพุ้ยน้ำให้เรือแล่นต่อไป. ข้าพเจ้ายังตกใจอยู่ และต้องการให้มีความเคลื่อนไหวเพื่อว่าการสนทนาของเราอาจจะได้เปลี่ยนเรื่องใหม่. เรือของเรากำลังแล่นไล่หลังเรือลำหนึ่งซึ่งมีสตรีสาวสองคนนั่งอยู่ในเรือ หล่อนร้องเพลงคลอเสียงกันไปเบา ๆ กรรเชียงเรือไปช้า ๆ และแหงนหน้าขึ้นชมจันทร์ด้วยความสำราญเริงรมย์.
“หล่อนร้องไพเราะน่าฟัง” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดขึ้นเบา ๆ “ท่าทางของหล่อนดูเคลิบเคลิ้มไปตามบทเพลงนั้น คงจะเป็นบทเพลงที่จับใจมาก. เธอจะแปลเนื้อความในเพลงนั้นให้ฉันฟังได้ไหม ?”
“หล่อนร้องเพลงปลอบใจ ไม่ใช่เพลงพิศวาส เป็นเพลงปลอบใจ ให้พอใจในฐานะของตน” ข้าพเจ้าบรรยายให้เธอฟัง เมื่อสองสาวร้องเพลงจบลง “เนื้อเพลงนั้นมีความว่า แม้นเรามิได้เกิดเป็นดอกซากูระ ก็อย่ารังเกียจที่เกิดเป็นบุปผาพรรณอื่นเลย ขอแต่ให้เป็นดอกที่งามที่สุดในพรรณของเรา. ภูเขาฟูจีมีอยู่ลูกเดียว แต่ภูเขาทั้งหลายก็หาไร้ค่าไม่. แม้นมิได้เป็นซามูไร ก็จะเป็นลูกสมุนของซามูไรเถิด. เราจะเป็นกัปตันกันหมดทุกคนไม่ได้ ด้วยว่าถ้าปราศจากลูกเรือแล้ว เราจะไปกันได้อย่างไร. แม้นเรามิอาจเป็นถนน ขอจงเป็นบาทวิถี. ในโลกนี้มีตำแหน่งและงานสำหรับเราทุกคน. งานใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่เราย่อมจะมีตำแหน่งและงานทำเป็นแน่ละ. แม้นเป็นดวงอาทิตย์ไม่ได้ จงเป็นดวงดาวเถิด. แม้นมิได้เกิดมาเป็นชาย ก็อย่าน้อยใจที่เกิดมาเป็นหญิง จะเป็นอะไรก็ตาม จงเป็นเสียอย่างหนึ่ง จะเป็นอะไรมิใช่ปัญหา สำคัญอยู่ที่ว่าจะเป็นอย่างดีที่สุด ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรก็ตาม.”
“เป็นเพลงปลอบใจที่มีค่ายิ่ง.” หม่อมราชวงศ์กีรติรำพึงเมื่อข้าพเจ้าบรรยายจบลง “และเธอก็แปลได้ไพเราะมาก ฉันอยากได้ฟังอีกสักครั้งหนึ่ง ดูหล่อนทั้งสองบันเทิงใจไม่น้อยเมื่อร้องเพลงบทนั้น.”
“ผมสังเกตว่าคุณหญิงมีความพอใจแทบทุกสิ่งทุกอย่างในโตเกียวนี้.” ข้าพเจ้าดำเนินเรื่องต่อไป ภายหลังที่เราผ่านเรือลำนั้นมาแล้ว “คุณหญิงจะตอบผมได้ไหมว่า คุณหญิงพอใจอะไรมากที่สุด.”
“อะไรที่เป็นความสวยงามแล้วฉันพอใจทั้งนั้น. แต่ก็นั่นแหละ ฉันมักจะมองเห็นความสวยงาม น่าพินิจน่าชมในแทบทุกสิ่งทุกอย่าง สมมุติเช่น พื้นน้ำที่มีริ้วระลอกน้อย ๆ รอบสระนี้ ก็เป็นที่น่าสนใจสำหรับฉัน ฉันรักความสวยงาม เพราะว่ามันก่อให้เกิดความรู้สึกที่สวยงาม สดชื่น ปราศจากมลทินนิรโทษ และความเหี่ยวแห้ง.”
“ถ้าเช่นนั้นคุณหญิงคงจะเป็นสุขมาก ถ้าได้ไปพักอยู่ตามตำบลที่มีภูมิประเทศสวยงามตามธรรมชาติ เช่นที่นิกโกเป็นต้น.”
“ถูกแล้ว ฉันคงจะเป็นสุขมาก. ฉันอยากไปนิกโก ไปชมน้ำตก ไปชมแสงเดือนส่องต้องทะเลสาบบนยอดเขา. ฉันอยากไปเที่ยวตามตำบลชายทะเลอีกด้วย ไปดูหนุ่มสาวเขาอาบน้ำทะเล และเดินเล่นระริกซิกซี้กันตามชายหาด. ฉันได้ยินเจ้าคุณปรารภว่าจะพาฉันไปเที่ยวตามสถานที่เหล่านี้ในไม่ช้า. ฉันคงเป็นสุขมากไม่ต้องสงสัย” เธอเอามือประสานกัน และวางคางไว้บนมือ ดวงตาของเธอเหลือบไปมา และมียิ้มวิ่งตามดวงตาที่เหลือบไปมานั้น.
“ฉันอยากไปยุโรปอีกด้วย” เธอรำพึงอย่างเคลิ้มฝัน “ฉันอยากพบอยากเห็นความสวยงามแปลก ๆ ใหม่ ๆ ออกไปอีก ฉันอยากท่องเที่ยวไปในอังกฤษและฝรั่งเศส ในฤดูหนาวฉันจะข้ามไปสวิตเซอร์แลนด์ แล้วฉันจะไปนอรเว ไปชมพระอาทิตย์เวลาเที่ยงคืน และฉันจะจบการท่องเที่ยวของฉันที่ประเทศอิตาลี ฉันจะใช้เวลานานที่สุดที่โรมและฟลอเรนซ์ เพื่อชมภาพเขียนของราฟาเอล, ลีโอนาโด และไมเคลแอนจิโล ผู้มีฝีมือใหญ่หลวงทั้งสาม.”
“คุณหญิงคงจะเป็นอาร์ติสต์ ?”
“ฉันชอบศิลปะมาก ฉันใช้เวลาฝึกฝนในทางเขียนภาพ.”
“โอ, ผมเพิ่งทราบ” ข้าพเจ้าอุทานด้วยความแปลกใจและยินดีระคนกัน “มิน่าเล่า คุณหญิงจึงเห็นอะไรสวยงามไปหมด และพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่าง. คุณหญิงไม่เคยอวดผมเลย.”
“เพราะฉันหวาดกลัวตามเยินยอของเธอ นอกจากนั้นฝีมือของฉันยังไม่ดีพอที่จะอวด.”
“คุณหญิงใช้เวลาฝึกฝนมานานเท่าใด.”
“หลายปีมาแล้ว หรืออย่างน้อยตั้ง ๕-๖ ปีมาแล้ว นับตั้งแต่ฉันเริ่มมีความรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวใจ.”
“ถ้าคุณหญิงได้ออกไปอิตาลี ได้เห็นแบบอย่างที่ดีและได้รับการฝึกฝนอันมีค่า คุณหญิงอาจประสบชื่อเสียงใหญ่ยิ่งดุจท่านทั้งสามนั้น.”
“เธอเริ่มลงมือตามวิธีของเธอแล้วไหมล่ะ เธออย่าพยายามทำให้ฉันเหลิงนักซี นพพร ฉันจะได้คุยกับเธอต่อไปได้” เธอดุข้าพเจ้าด้วยสายตาและคิ้วขมวดของเธอ “ฉันฝึกฝนมาในทางนี้ก็เพราะความรักศิลปะอย่างแท้จริง. นอกจากนั้นฉันมีเหตุผลพิเศษของฉันอีกอย่างหนึ่งว่า การที่ได้มอบความสนใจผูกพันไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันช่วยบำบัดความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวได้มาก. มันช่วยให้หัวคิดของเราสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน. เธอเคยคำนึงบ้างหรือเปล่าว่าความเคลื่อนไหวในทางสมองนั้น ก็เช่นเดียวกับทางร่างกายย่อมเคลื่อนไหวอยู่เสมอ นอกจากในเวลาหลับ. เป็นธรรมชาติของเราที่จะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องคิดอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอ เราไม่หยุดอยู่เฉย ๆ เลย ถ้าเราพยายามหยุดนิ่งอยู่เฉย ๆ เราก็รู้สึกเหมือนได้รับการทรมานอย่างหนัก เธอจะทดลองดูเดี๋ยวนี้ก็ได้ ลองปล่อยมือนิ่ง นั่งนิ่ง อย่าขยับเขยื้อนไหวกาย และอย่าคิดถึงอะไรเลย เธอจะรู้สึกเดือดร้อนมาก. ครั้นเธอเคลื่อนไหว ความเคลื่อนไหวของเธอก็จะเป็นไปในทางที่เกิดประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ หรือเป็นโทษ อย่างใดอย่างหนึ่ง. ในเรื่องความคิดก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่คิดในทางที่เกิดประโยชน์ เราก็คิดในทางที่ไร้ประโยชน์ หรือคิดในทางที่เป็นโทษไปเลย. เมื่อสมองของเราจำต้องเคลื่อนไหวอยู่เสมอดังนี้แล้ว ฉันก็เห็นว่า ถ้าเราหาเครื่องล่อที่เป็นคุณประโยชน์ซึ่งจะคอยดูดดึงความคิดของเราให้จดจ่ออยู่ได้เป็นเนืองนิตย์แล้ว ชีวิตก็จะไม่เป็นสิ่งที่ไร้ค่า และเราเองก็สามารถที่จะบันเทิงชีวิตของเราได้ไม่มากก็น้อยไม่ว่าเราจะมีฐานะอย่างไร. การคิดอะไรฟุ้งซ่านนั้นไม่มีทางดี มันมักจะมาลงเอยด้วยความเบื่อหน่ายในชีวิต. ผู้หญิงฐานะอย่างฉันต้องการเครื่องช่วยในทางนี้มาก ถ้าฉันไม่มีอะไรจะคิดในทางที่เป็นคุณประโยชน์ ฉันก็จะต้องคิดในทางที่ไร้ประโยชน์ หรือเป็นโทษไม่ต้องสงสัย ข้อนี้เป็นหลักธรรมดา. และฉันบอกได้ว่า เมื่อฉันมีความรักในศิลปะแล้ว ศิลปะก็ยอมรับเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันด้วย. ฉันพูดมายืดยาวนัก เธอคงเบื่อละซี.”
“ผมได้รับความเพลิดเพลินอย่างยิ่งตลอดเวลาที่ได้ฟังปาฐกถาเรื่องนี้” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงใจ “ผมอยากจะ-แต่ว่า ทำไมคำเยินยอด้วยความจริงใจของผมจึงกลายเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวสำหรับคุณหญิงไปเล่า? หรือว่าความจริงใจของผมเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวอยู่แล้ว.”
“เธอตอบคำถามของเธอเองเสียหมดแล้วนี่ จะให้ฉันตอบอะไรอีก.”
“คุณหญิงฉลาดพูดเหลือเกิน ฉลาดเสียทุกสิ่งทุกอย่าง จนผมตามไม่ทันแม้สักอย่างเดียว.”
“เปล่า. ฉันคิดว่า เธอมีทางของเธอเองที่จะเดินไปอยู่แล้ว เธอไม่ต้องการที่จะเดินตามใครเลย เธอควรจะภูมิใจ.” เธอหยุดครู่หนึ่ง ดึงแขนเสื้อกิโมโนของเธอให้กระชับกาย แล้วพูดต่อไปว่า “วันนี้ไม่อบอ้าวเลย มีลมพัดตลอดเวลา จนฉันรู้สึกเท้าเย็นนิดหน่อย”
ข้าพเจ้าปลดผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ออกจากคอ แล้วจัดแจงคลุมลงไปบนเท้าขาวผ่องของเธอ.
“อุ๊ยตาย!” เธออุทานและมีเสียงหัวเราะเบา ๆ ตามออกมา “ทำไมเอวผ้าพันคอของเธอมาคลุมเท้าฉันล่ะ ไม่เป็นของคู่ควรกันเลย.”
“คุณหญิงไม่ทราบดอกหรือว่า เท้าของคุณหญิงนั้นงามกว่าลำคอของผมเสียอีก และควรจะได้รับความทะนุถนอมยิ่งกว่า.”
หม่อมราชวงศ์กีรติทำถอนใจใหญ่ เป็นกิริยาที่จะให้ข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่า เธอไม่ประสงค์จะต่อต้านคำเยินยอของข้าพเจ้าต่อไปแล้ว.
ในคืนวันนั้นเราขึ้นจากเรือเป็นคนสุดท้าย. เราทั้งสองประหลาดใจมาก เมื่อมองไปรอบสระใหญ่ไม่พบเรือของผู้ใดเลย นอกจากเรือของเราลำเดียวลอยอยู่ในสระนั้น เราทั้งตกใจและขัน ที่มัวเพลิดเพลินจนไม่ทราบว่า คนอื่น ๆ เขาเลิกกันไปเสียเมื่อใด. เมื่อดูนาฬิกาที่ข้าพเจ้าเอาติดตัวไปด้วย จึงได้ทราบว่าเราได้ใช้เวลาถึง ๒ ชั่วโมงเต็มอยู่ในเรือนั้น.
“เราอยู่ได้อย่างไรกันนี่แน่ะ?” เธอถามอย่างพิศวง.
“ผมเพลินไปกับคุณหญิง.” เป็นคำตอบของข้าพเจ้า.
“ฉันคิดว่าเราได้ใช้เวลาเพียง ๑ ชั่วโมงอย่างมาก.”
“ผมคิดว่าเพียง ๕ นาทีเท่านั้น.”
คืนนั้นท่านเจ้าคุณกลับถึงบ้านไล่หลังเรามาราวครึ่งชั่วโมง. ทั้งหม่อมราชวงศ์กีรติและข้าพเจ้าต่างเห็นพ้องกันว่า ไม่มีความจำเป็นอย่างไรที่จะเสนอรายละเอียดในการที่เราได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านในค่ำวันนั้นแก่ท่านเจ้าคุณ. และการที่มีความเห็นพ้องต้องกันเช่นนั้น เราก็มิได้แสดงเหตุผลแก่กันทั้งสองฝ่าย.
ข้าพเจ้านอนหลับได้ยากเหลือเกินในราตรีนั้น. ข้าพเจ้าก็สงสัยเหมือนกันว่า ข้าพเจ้าจะหลับได้อย่างไรเมื่อในหัวของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยเรื่องราวของหม่อมราชวงศ์กีรติ ปัญหาหลายข้อได้ผุดขึ้นในความคิดคำนึงโดยมิได้ตั้งใจ. ในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเคยพบสตรีคนใดที่ทรงเสน่ห์และความงามยิ่งไปกว่าหม่อมราชวงศ์กีรติหรือไม่? ข้าพเจ้าเคยพบสตรีคนใดที่ทั้งอ่อนหวานและฉลาดหลักแหลมยิ่งไปกว่าหม่อมราชวงศ์กีรติหรือไม่? ข้าพเจ้าเคยพบสตรีคนใดที่ได้แสดงความเอ็นดู ปรานี และให้ความสนิทสนมแก่ข้าพเจ้ายิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้าได้รับจากหม่อมราชวงศ์กีรติหรือไม่? คำตอบปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นไปในทางปฏิเสธ เป็นการปฏิเสธอย่างเด็ดขาดและแน่นอน.
แต่ว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงได้ตั้งปัญหาเหล่านี้ขึ้น ทำไมจะต้องสนใจเปรียบเทียบความงาม ความฉลาด และความดีประการอื่น ๆ ของหม่อมราชวงศ์กีรติกับคนทั้งหลาย – หรือจะให้ถูกต้องยิ่งขึ้น - กับสตรีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยรู้จักพบเห็นมา. เพราะเหตุใดข้าพเจ้าจึงตั้งปัญหาเหล่านี้? ข้าพเจ้าพยายามที่จะค้นหาเหตุ. ในที่สุดข้าพเจ้าได้พบสาเหตุหรือไม่?
การค้นคว้าของข้าพเจ้าเลือนรางไป. แทนที่สาเหตุนั้นจะได้ปรากฏขึ้นอย่างแจ้งชัดในความคิดคำนึง ข้าพเจ้ากลับไประลึกนึกถึงความรู้สึกบางประการ ที่ข้าพเจ้ามีต่อหม่อมราชวงศ์กีรติเมื่อยามจะจากมา. ในเวลาที่จะขึ้นจากเรือ เธอได้ยื่นแขนให้ข้าพเจ้าพยุง. ข้าพเจ้าจับมือของเธอกำไว้ และประคองเธอไว้เบา ๆ มิให้ซวนเซ ระหว่างที่เท้าของเธอผละจากเรือ และเหยียบลงบนบก. ในขณะที่ทำดังนั้น ความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่งแล่นเข้ามาจับหัวใจข้าพเจ้าอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ข้าพเจ้ามิเคยประสบเลยในชีวิต. ความรู้สึกนั้นประดุจเป็นมืออันแข็งแรงจับและสั่นหัวใจของข้าพเจ้า จนข้าพเจ้าแทบจะรู้สึกหวั่นไหวไปทั่วสรรพางค์กาย. ความรู้สึกประหลาดนั้นได้ขับไล่ความรู้สึกปรกติของข้าพเจ้า และได้เข้าครอบครองมีอำนาจเหนือข้าพเจ้าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง.
“ฉันยืนได้เรียบร้อยแล้ว เธอจะปล่อยมือฉันเสียก็ได้.”
เมื่อหม่อมราชวงศ์กีรติพูดขึ้น ข้าพเจ้าจึงระลึกได้ว่าข้าพเจ้าก็ยังคงกุมมือของเธอไว้ ข้าพเจ้าปล่อยมือน้อยอ่อนนุ่มด้วยความตกใจ แต่ความรู้สึกประหลาดยังเต้นระรัวอยู่ในหัวใจข้าพเจ้า. มีอำนาจอะไรสิงอยู่ในแผ่นมือน้อยนั้นหนอ ที่ได้ฉุดลากข้าพเจ้าออกไปไกลจากตัวของข้าพเจ้าเอง อำนาจอะไรในสัมผัสนั้นที่ยังคงรัดรึงใจข้าพเจ้าอยู่ จนแม้ว่าได้จากมาแล้วหลายชั่วโมง.
เมื่อจะลากลับ เธอเดินมาส่งข้าพเจ้าถึงหน้าประตูใหญ่ ในขณะที่ข้าพเจ้ากล่าวคำลา เธอได้เอาผ้าพันคอที่ข้าพเจ้าลืมทิ้งไว้พันให้รอบคอข้าพเจ้า.
“คืนนี้ลมจัด” เธอกล่าว “เธอต้องระวังอย่าเปิดคอให้โล่งไว้ ถ้าเธอต้องป่วยเจ็บเนื่องด้วยมาเป็นเพื่อนที่ดีของฉัน ฉันจะเสียใจมาก.”
“พรุ่งนี้คุณหญิงต้องการตัวผมไหม?”
“ฉันจะลองนึกดูก่อน” เธอตอบอย่างสนุก
“ดีแล้ว พรุ่งนี้ผมจะมาเพื่อที่จะฟังคำตอบ.”
“ดีแล้ว เธอมาฟังคำตอบได้ทุกวัน.” เธอยิ้มด้วยรื่นรมย์ใจ แล้วเธอกล่าวคำลาไปนอน “โอยาซูมินาไซ เด็กดีของฉัน.”
“โอยาซูมินาไซ” ข้าพเจ้าตอบ ใจสั่นระรัวด้วยยิ้มหวาน และเสียงเบามีกังวานไพเราะของเธอ.
ภาพและความรู้สึกเหล่านี้บรรจุอยู่ในความคิดคำนึงของข้าพเจ้า แสงเดือนสาดเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ข้าพเจ้าเปิดแง้มไว้บานหนึ่ง แสงส่องต้องเท้าของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเท้าขาวผ่องเรียวและอวบนั้นอีก---