๘
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ท่านเจ้าคุณได้รับเชิญจากท่านอัครราชทูตให้ไปร่วมในงานพิธีแห่งหนึ่ง. หม่อมราชวงศ์กีรติจึงขออนุญาตท่านไว้แต่ในวันเสาร์ว่า จะไปใช้เวลาเที่ยวเล่นที่มิตาเกะกับข้าพเจ้า. เธอนัดให้ข้าพเจ้ามาถึงบ้านแต่เวลาโมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่ท่านเจ้าคุณยังไม่ตื่นนอน เราช่วยกันจัดหาของรับประทานเล็กน้อยบรรจุใส่หีบ และของใช้อื่น ๆ ที่สมควรจะนำไป เพื่อให้การเที่ยวเล่นพักผ่อนของเราได้รับความพอใจทุกประการ. หม่อมราชวงศ์กีรติดูสนุกร่าเริงในการตระเตรียมมาก เราออกจากบ้านแต่เวลาสองโมงครึ่ง และเฉพาะหม่อมราชวงศ์กีรตินั้น มิได้ออกไปก่อนที่จะเข้าไปบอกลาท่านเจ้าคุณในห้องนอนอีกครั้งหนึ่ง เธอยิ้มร่าเริงออกมา.
“ท่านกำลังตื่นนอนพอดี” เธอพูด “ท่านบอกว่าตั้งใจจะช่วยเราจัดข้าวของ ไม่คิดว่าเราจะหนีท่านไปแต่เช้ามืด. ฉันตอบท่านว่า เช้ามืดที่ไหน ตั้งสองโมงกว่าแล้ว. แต่ว่าเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะลอบหนีไปจากท่านไม่ใช่หรือ, นพพร ?” เธอหัวเราะ.
เมื่อเราเดินทางไปถึงสถานีชินยูกุ ปรากฏว่ามีผู้คนทั้งชายหญิงคับคั่งอยู่ที่สถานี และเกรียวกราวไปด้วยเด็กเล็กซึ่งกำลังรอคอยรถไฟ. หม่อมราชวงศ์กีรติยังไม่เคยเดินทางไกลโดยรถไฟในเช้าวันอาทิตย์ เมื่อเห็นผู้คนคับคั่งราวกับจะเดินทางไปในงานเทศกาลใหญ่เช่นนั้นก็มีความประหลาดใจมาก. ข้าพเจ้าได้ชี้แจงให้เธอทราบว่า ภาวการณ์เช่นนี้ ตามสถานีใหญ่ ๆ ในเช้าวันอาทิตย์ นับว่าเป็นของปรกติธรรมดา ด้วยเหตุว่าชนชาวญี่ปุ่นมีใจรักในการเที่ยวเล่นชมธรรมชาติมาก สถานที่ซึ่งงดงามไปด้วยภูมิภาพธรรมชาติ และได้รับการตกแต่งบำรุงจากทางการของบ้านเมือง ก็มีอยู่มากมายหลายสิบแห่ง ทั้งในระยะใกล้และไกล ซึ่งประชาชนจะเลือกเที่ยวเตร่ได้ตามความพอใจ และสุดแต่ฐานะของตน. เมื่อถึงวันอาทิตย์หรือวันหยุดงาน คู่ผัวเมีย และคนหนุ่มคนสาว ตลอดจนบิดามารดาก็มักจะพาบุตรธิดาเดินทางไกลไปเที่ยวเล่นตามสถานที่ต่าง ๆ.
“ผมเห็นว่าการหาทางให้ประชาชนได้ใช้เวลาว่างของเขาในทางที่ไม่เป็นเครื่องแสลงแก่ชีวิตเช่นนี้ เป็นจุดสำคัญอันหนึ่ง ที่ทำให้ประชาชาติญี่ปุ่นเป็นประชาชาติที่แข็งแรง” ข้าพเจ้ากล่าวความเห็นของข้าพเจ้าเองในที่สุด “ทางการของบ้านเมืองเขาจัดการให้ประชาชนได้ซื้อการพักผ่อนอันมีค่าเช่นนี้ด้วยราคาถูกที่สุด และด้วยความสะดวกทุกประการ คนที่มีรายได้น้อยก็มีโอกาสตามส่วน ที่จะแสวงหาการพักผ่อนหย่อนใจโดยวิธีนี้. เมื่อแรกมาญี่ปุ่น ผมยังไม่มีความคิดความอ่านอะไร ต่อเมื่อได้อยู่มาหลายปี ได้ใช้ความสังเกตใคร่ครวญ ผมก็มองเห็นคุณประโยชน์เป็นอันมาก. คนญี่ปุ่นโดยมากรู้จักบ้านเมืองของเขาดี เป็นคนขยันขันแข็ง เด็ก ๆ ไม่เป็นคนขี้เกียจ ซึมเซา ก็เพราะได้อาศัยการใช้เวลาพักผ่อนในทางที่เป็นคุณประโยชน์อันนี้.”
เมื่อรถไฟมาหยุดที่สถานี ฝูงชนที่รอคอยกันอยู่คับคั่งก็ตรูกันขึ้นรถ และที่นั่งก็เต็มหมดในชั่วอึดใจเดียว. ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะให้หม่อมราชวงศ์กีรติไปแข่งแย่งที่นั่งกับคนเหล่านั้น.
“รอขึ้นขบวนหลังดีกว่า” ข้าพเจ้าบอกเธอ “คงจะไม่ถึงกับเบียดเสียดแย่งกัน”
“เราจะต้องรออีกกี่ชั่วโมง น่าเบื่อ.”
“ที่ญี่ปุ่น เราไม่ต้องรอรถเป็นชั่วโมง อีกราว ๕ นาทีก็จะมีรถมาอีกขบวนหนึ่ง.”
หม่อมราชวงศ์กีรติจัดเครื่องแต่งตัว และแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อย รถอีกขบวนหนึ่งก็มาถึง. คราวนี้เราได้ที่นั่ง แต่ก็มิใช่โดยสะดวกนัก และยังมีคนที่จะต้องรอรถขบวนหลังต่อไปอีก. เรานั่งอยู่เคียงกันบนที่นั่งสำหรับสองคน ชาวญี่ปุ่นบนรถโดยสารคันเดียวกันมองดูเราอย่างทึ่ง เพราะว่าเราเป็นชาวต่างประเทศนั้นอย่างหนึ่ง และคงจะประกอบด้วยความงาม ความแช่มช้อยของหม่อมราชวงศ์กีรติด้วยไม่ต้องสงสัย มีเด็กเล็กหลายคนในรถขบวนนั้นวิ่งเล่นและพูดจ้อกับบิดามารดาของเขา.
“ฉันเหนื่อยแต่สำราญใจ” เธอพูดภายหลังที่รถได้เริ่มแล่นต่อไปครู่หนึ่ง “ฉันนิยมชาวญี่ปุ่นที่เขารู้จักเลือกวิธีพักผ่อนที่ดีตามที่เธอได้ชี้แจง ฉันหวังว่าเมื่อเธอกลับเข้าไปเมืองไทย เธอจะจัดการให้คนไทยได้ใช้เวลาว่างของเขาในทางที่เป็นคุณประโยชน์ และทั้งได้รับความสำราญไปพร้อมกันด้วย. ฉันเชื่อว่าเธอจะจัดการได้สำเร็จ เพราะเธอเป็นนักเรียนนอก คนโดยมากเลื่อมใสความคิดของพวกนักเรียนนอก.”
“ผมก็เคยได้ยินมาเช่นนั้น และทั้งได้เคยรู้สึกเช่นนั้นเมื่อผมยังอยู่ในเมืองไทย. แต่เมื่อผมได้มาเป็นนักเรียนนอกด้วยตนเอง และได้รู้เห็นความเป็นไปของพวกเพื่อนนักเรียนที่นี่ ผมรู้สึกว่าพวกเราได้รับความยกย่องมากเกินไป. เรามีโอกาสดีกว่านักศึกษาในบ้านเมืองของเราหน่อย ก็ในข้อที่ว่าเราได้มาเห็นแบบอย่างความเป็นไปที่เจริญก้าวหน้าบางอย่างที่นี่ ซึ่งในเมืองไทยของเราไม่มี. แต่ว่าถ้าเราไม่แสวงหาประโยชน์จากโอกาสอันดีนี้ เราก็ไม่มีวุฒิพิเศษอะไรที่จะรับสมอ้างเอาว่า เราดีกว่าคนอื่น ๆ เลย. นอกจากนั้นเรามีทางที่จะประพฤติตัวเหลวแหลกได้มากกว่านักศึกษาในเมืองไทย. บ้านเมืองยิ่งเจริญมากเท่าใดก็มีเครื่องสำราญอันจะจูงใจไปสู่ความเสื่อมเสียได้มากเท่านั้น และคุณหญิงเห็นแล้วว่า เราอยู่กันที่นี่ปราศจากการควบคุมปกครอง เราต้องต่อสู้กับความเย้ายวนใจนานาประการด้วยตนเอง คุณหญิงคงจะเห็นว่าเรามีทางที่จะพ่ายแพ้ได้ง่าย. พวกเราไม่ใช่ว่าจะเอาชนะสิ่งนี้ไปได้ทุกคน ที่ชนะก็มี ที่แพ้ก็มาก. และถ้าเราแพ้ เราจะมีวุฒิพิเศษอะไรเล่า. เรามีสิทธิพิเศษอะไรที่จะไปเดินหน้าเชิดเป็นที่ว่าเรามีวุฒิพิเศษกว่าใคร ๆ ในวงสมาคมในเมืองไทย.”
“เธอพูดจริงจังมาก, นพพร. ฉันเองไม่มีความรู้แน่ชัดในเรื่องราวของพวกนักเรียนนอก ฉันพูดตามที่ฉันได้ยินมา. แต่เมื่อฉันได้พบรู้จักเธอ ฉันก็ออกจะเลื่อมใสนักเรียนนอกด้วยน้ำใสใจจริงของฉันเอง. ฉันมองนักเรียนนอกจากตัวเธอ.”
“คุณหญิงยกย่องผมมาก. พูดตามจริง ผมไม่อยากจะให้คนทั้งหลายมาดีกับเรามากเกินไป มาหวังในตัวเรามากเกินไป เพราะว่าถ้าเขาผิดหวังในเรา เขาอาจลงโทษว่าเราหลอกลวงเขา ทั้งที่ตามจริง คุณหญิงก็เห็นแล้วว่าผมไม่ได้คิดจะหลอกลวงคุณหญิงเลย.”
หม่อมราชวงศ์กีรติหัวเราะด้วยความสนุก พอใจ. เราสนทนากันด้วยปัญหาจำพวกนี้ต่อไปอีกพักใหญ่แล้วก็สนทนาพาทีกันด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดบ้าง และชมภูมิประเทศสองข้างทางไปบ้าง. การเดินทางของเรากินเวลาราวชั่วโมงครึ่ง เป็นการเดินทางที่หม่อมราชวงศ์กีรติกล่าวว่า ไม่เป็นที่น่าเบื่อหน่ายเลย.
คนโดยมากในรถขบวนนั้น มากกว่าครึ่งได้ลงที่สถานีมิตาเกะพร้อมกับเราทั้งสอง, ออกจากสถานีมาสู่ถนนใหญ่ เราก็อาจที่จะมองเห็นความงามของธรรมชาติ มีลำธารที่กว้างใหญ่ เนินหิน และสีเขียวของพฤกษชาติ ดารดาษอยู่ในคลองจักษุของเรา. หม่อมราชวงศ์กีรติดูมีความเบิกบานใจมาก.
เราเดินชมภูมิประเทศและร้านรวงแถบนั้นอยู่พักใหญ่ แล้วจึงแวะเข้าไปพัก หาเครื่องดื่มรับประทานในร้าน ๆ หนึ่ง. ข้าพเจ้าได้แจ้งให้หม่อมราชวงศ์กีรติทราบว่า ที่นี่ค่อนข้างเป็นที่ชุมนุมชน ข้าพเจ้ายังจะพาเธอเดินทางโดยรถบัส ซึ่งแล่นขนานไปกับลำธารต่อไปอีก จนกระทั่งบรรลุถึงเนินเขามิตาเกะ. ณ ที่นั้นแล เราจะได้เก็บตัวของเราไว้ในความสงบสงัด ในความห้อมล้อมของธรรมชาติ เป็นที่หมายปลายทางซึ่งเรามุ่งมาเที่ยวเล่นแสวงหาความสำราญใจในวันนั้น.
เมื่อได้พักผ่อนเที่ยวเตร่ตามบริเวณชุมนุมชนพอสมควรแล้ว เราได้เดินทางโดยรถยนต์ต่อไปอีก กินเวลาประมาณ ๔๐ นาที. รถแล่นขนานไปกับลำธารซึ่งมีน้ำใสสะอาดจนสามารถจะแลเห็นก้อนหินตะปุ่มตะป่ำอยู่ภายใต้พื้นน้ำ. อีกด้านหนึ่งของถนนเป็นเนินเขาลำเนาไม้เขียวชอุ่มด้วยพฤกษาใหญ่น้อยหลากพรรณ รถยนต์วิ่งผ่านมวลชนที่สมัครใจจะเดินเล่นกันไปตลอดระยะทาง มีทั้งคนแก่ คนหนุ่มคนสาวและเด็กเล็ก ดูสำราญเริงรมย์ในการเดินทางกันมาก.
เราบรรลุถึงปลายทางเป็นเวลาหลังเที่ยงเล็กน้อย. มีคนน้อยคนที่สมัครมาจนถึงปลายทาง เพราะว่าตามระยะทางที่ผ่านมา ก็มีที่พักผ่อนประกอบด้วยทัศนียภาพอันพึงชมเป็นแห่ง ๆ โดยตลอด ซึ่งผู้ที่ไม่สมัครจะเดินทางไกลมากนัก ก็ได้เลือกแวะเสียตามที่ใดที่หนึ่ง. ฉะนั้นเมื่อเราลงจากรถ และเดินไปตามทางเล็ก ๆ ซึ่งลาดต่ำลงไปเป็นลำดับนั้น จึงมีคนเพียงสองคนเดินตามเรามา เป็นชายกลางคนพาบุตรอายุประมาณ ๑๒ ขวบมาเที่ยวเล่น เขาจะมาเป็นเพื่อนบุตรของเขาหรือถือเอาบุตรเป็นเพื่อนของเขา เราก็ทราบไม่ได้.
ทางที่เราเดินมานั้นได้ลาดต่ำลงมา จนในที่สุดลาดชิดติดไปกับลำธาร. เราได้มาถึงต้นทางน้ำตกซึ่งเป็นบ่อเกิดของลำธารกว้างใหญ่ที่เราได้ผ่านมา กระแสน้ำไหลกระโชกกระชากไปบนก้อนหิน แล้วต่อไปก็ไหลแรงบ้าง ระรินบ้าง ไปตามลำธารที่ค่อยกว้างใหญ่ออกไป. บนทางที่เราเดินอยู่นั้นล้อมรอบด้วยเนินเขาสูง เขียวชอุ่มไปด้วยพรรณพฤกษานานาชนิด. ในบางขณะเราลงไปยืนอยู่บนก้อนหินซึ่งกระแสน้ำแทบจะไหลผ่านรองเท้าของเราไป. ทั้งหม่อมราชวงศ์กีรติกับข้าพเจ้าได้กลายเป็นเด็กคู่หนึ่งซึ่งสนุกสำราญอยู่ด้วยการกระโดดโลดเล่นไปตามก้อนหินเหล่านั้น. เราทั้งสองอาจที่จะเล่นสนุกต่าง ๆ ได้อย่างอิสระเสรีเต็มที่ เพราะว่า ณ ที่นั้นแทบจะกล่าวได้ว่า เราได้ออกมาอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งเพื่อนร่วมโลกของเรา ก็มีแต่สายน้ำ ก้อนหิน และลำเนาไม้เท่านั้น. แสงแดดที่ไม่ร้อนแรงจัดช่วยให้เราอบอุ่น. ชายกลางคนกับบุตรของเขาได้เดินลับตาเราไปสู่ที่อื่น. นาน ๆ มีชายหญิงคู่ผัวเมียผ่านเข้ามาในโลกของเราคู่หนึ่ง แต่ก็ไม่หยุดยั้งอยู่นานนัก. ฉะนั้นเราก็เป็นเหมือนอาดัมกับอีฟในโลกน้อยนั้น. ข้าพเจ้าเก็บดอกไม้ป่าสีม่วง แล้วขออนุญาตเสียบให้ที่เรือนผมของหม่อมราชวงศ์กีรติ และเธอเก็บดอกไม้อีกชนิดหนึ่งสีแดง เสียบให้ที่รังดุมเสื้อข้าพเจ้า. หม่อมราชวงศ์กีรติบอกกับข้าพเจ้าว่า เธอเป็นสุขมากที่ข้าพเจ้าได้นำเธอมาอยู่ในที่ซึ่งหอมหวนยวนใจไปด้วยความสงบสงัดและความงามของธรรมชาติ. ข้าพเจ้าก็บอกกับเธอว่า ข้าพเจ้ามีความสุขมากในการที่ได้มีส่วนนำความสุขมาสู่เธอ หรือนำเธอให้ได้มาพบกับความสุข.
ข้าพเจ้ายังจดจำความรู้สึกในวันนั้นได้แม่นยำดีมาก. ข้าพเจ้าได้รับความสุขและความเบิกบานปานใดนั้น ไม่มีที่สงสัย. แต่แม้เช่นนั้นในบางขณะ ได้มีความรู้สึกบางอย่างมารบกวนความสุขของข้าพเจ้า มันทำให้อกใจของข้าพเจ้าเต้นระทึกด้วยหวาดหวั่นว่า จะมีอะไรอย่างหนึ่งที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า. มันดันขึ้นดันลงอยู่ในหัวอก. ดูเหมือนข้าพเจ้าจะได้พยายามกดดันมันไว้ไม่ให้ปรากฏออกมาภายนอก แต่ก็รู้สึกว่าค่อนข้างเป็นการเหลือวิสัยข้าพเจ้ายากที่จะป้องกันยับยั้งได้ นอกจากจะรอคอยเวลาเท่านั้น. ข้าพเจ้าทั้งเหน็ดเหนื่อยอ่อนใจและเป็นสุข.