๑๒

วันที่เราพากันไปเที่ยวเขามิตาเกะนั้น เป็นวันในต้นสัปดาห์ที่ ๘. ตามกำหนดการเดิม เจ้าคุณกับหม่อมราชวงศ์กีรติจะได้เดินทางออกจากโตเกียว เพื่อกลับคืนประเทศสยามในวันใดวันหนึ่งของสัปดาห์นั้น แต่สองวันต่อมาหลังแต่นั้น ข้าพเจ้าได้ทราบจากหม่อมราชวงศ์กีรติว่า เจ้าคุณยินดีจะยืดเวลาอยู่โตเกียวออกไปอีกสองสัปดาห์. ในระหว่างเวลาที่ได้ยืดออกไปนั้น มีกำหนดการสำคัญอยู่สองอย่าง. อย่างหนึ่งเจ้าคุณกับหม่อมราชวงศ์กีรติจะได้ไปใช้วันที่อาตามิสักสองวัน เพื่ออาบน้ำร้อนและชมภูมิประเทศอันเป็นที่ขึ้นชื่อลือนามแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น. กำหนดการอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในระหว่างทางจากโตเกียวไปโกเบ ท่านทั้งสองจะหยุดยั้งที่เมืองโอซากาสักสองสามวัน เพื่อชมความเจริญของเมืองอุตสาหกรรมชั้นเอกของญี่ปุ่นและชมสำนักละครตาการะซูกะ ซึ่งเป็นสำนักละครสำนักใหญ่ที่สุดในประเทศนั้น.

ในระหว่างวันที่เหลืออยู่นี้ ข้าพเจ้าได้มาเยี่ยมเยียนและมีการติดต่อกับหม่อมราชวงศ์กีรติ และเจ้าคุณอธิการบดีเหมือนเช่นเคย. ข้าพเจ้าจำต้องสารภาพว่า ในการติดต่อกับหม่อมราชวงศ์กีรติในครั้งหลัง ๆ นี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าสามีของเธอ ข้าพเจ้าหามีความปลอดโปร่งโล่งใจดังแต่ก่อนไม่ ข้าพเจ้าต้องใช้ความพยายามบังคับกิริยาของตนเองอยู่เสมอ เพื่อที่จะมิให้เป็นการผิดปรกติไป. ความหวาดหวั่นปั่นป่วนใจของข้าพเจ้าในเวลานั้น คงจะไม่ผิดแผกแตกต่างไปจากความรู้สึกของคนร้าย ที่ได้ลอบประกอบอาชญากรรมอันร้ายแรงและได้นำตนเข้ามาปะปนสมาคมอยู่ในหมู่ชนผู้บริสุทธิ์.

เป็นการประหลาดมากที่ข้าพเจ้าได้พบว่า หม่อมราชวงศ์กีรติมิได้มีกิริยาการเปลี่ยนแปลงผิดปรกติไปแม้แต่น้อยหนึ่ง. เธอคงประพฤติตนสนิทสนมกับข้าพเจ้าเหมือนเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นในเวลาลับหลังหรืออยู่ต่อหน้าเจ้าคุณสามี. เฉพาะความสนิทสนมที่เธอได้แสดงต่อข้าพเจ้าในเวลาที่อยู่ต่อหน้าท่านเจ้าคุณนั้น ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกใจหายบ่อย ๆ อย่างไรก็ตาม การที่เธอได้แสดงกิริยาเป็นปรกติกับข้าพเจ้าตลอดมานั้น ก็เป็นเครื่องอุ่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า เธอยังคงเป็นหม่อมราชวงศ์กีรติคนเก่าของข้าพเจ้า เธอมิได้มีความชิงชังข้าพเจ้า ภายหลังที่ข้าพเจ้าได้สร้างเหตุการณ์อันกระเทือนใจที่สุดขึ้น ณ ที่เขามิตาเกะนั้นแล้ว.

เมื่อมีโอกาสครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง ข้าพเจ้าได้เพียรจะรื้อฟื้นเรื่องเดิมอีก แต่ก็ได้ถูกเธอตอบตัดบทเสีย. เย็นวันหนึ่งที่อาตามิ หม่อมราชวงศ์กีรติได้ชวนข้าพเจ้าออกไปเดินเล่นแต่ลำพัง.

“ยังเหลืออีก ๖ วันเท่านั้น” เรากำลังพูดถึงเรื่องที่จะต้องจากกัน.

“เธอคอยนับวันอยู่เสมอเทียวหรือ, นพพร?”

“ผมนับทุกชั่วโมง ทุกนาที หรือแทบจะว่าทุกลมหายใจเข้าออกก็ได้.”

“เธอจริงจังกับการจากของเรามากเกินไป. คนดี. ฉันขอเตือนเธอ เธออาจจะไม่สบาย เธอต้องพยายามข่มใจ” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความปรานี น้ำเสียงเช่นนี้เป็นที่เสียดแทงใจข้าพเจ้ายิ่งขึ้น.

“ผมไม่อยากจะทำเช่นนั้น ผมมองไม่เห็นเหตุผลว่า ทำไมผมจะต้องข่มขู่ความรักที่เกิดเอง เป็นเองด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความรักที่ไร้ความผิดที่น่าสงสาร น่าสมเพชเวทนา ผมทำดังนั้นแก่ความรักไม่ได้.”

หม่อมราชวงศ์กีรติถอนหายใจ.

“เราหลีกเลี่ยงความจริงไม่ได้, นพพร.”

“ความจริงอะไร?”

“ความจริงที่เราจะต้องจากกันใน ๖ วันต่อจากนี้ไป.”

“เป็นความจริงที่ร้ายกาจมาก!” ข้าพเจ้าพูดอย่างแค้น.

“เพราะเหตุนั้นน่ะสิ ฉันจึงขอให้เธอพยายามข่มใจ. โปรดเชื่อฉัน, คนดี.”

“ผมจะพยายาม แต่ผมคิดว่าไร้ประโยชน์.”

“เราไม่ควรจะได้มาพบกันเลย” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดเป็นเชิงรำพึงแก่ตนเองมากกว่าที่จะพูดกับข้าพเจ้า “การตั้งต้นของเราดีเหลือเกิน แต่การตั้งต้นเช่นนั้นกลับเป็นเครื่องทรมาทรกรรมเราในตอนท้าย.”

“มันทรมานคุณหญิงด้วยหรือ ?”

“ฉันปวดร้าวใจด้วยความสงสารเธอ สงสารเพราะว่าเธอมาจริงจังกับฉันเกินไป.”

“ผมคิดว่า ความจริงจังเป็นลักษณะสำคัญของความรักแท้” ข้าพเจ้าพูดด้วยเสียงกระด้างนิดหน่อย.

หม่อมราชวงศ์กีรติพูดต่อไป ด้วยการสำรวมกิริยาเป็นปรกติ.

“ถ้าฉันทำอย่างไรให้เธอไม่พอใจฉันเสียได้แต่ในชั้นต้น การณ์ก็จะไม่เป็นเช่นนี้.”

“แต่ผมก็พอใจในฐานะของผมในเวลานี้อย่างที่สุดแล้ว. แม้ว่าความรักจะทรมานผมเพียงใด แต่ความรักก็เป็นพรอันประเสริฐสำหรับชีวิต ตามคำของคุณหญิงเอง. ผมไม่เข้าใจผิดไปมิใช่หรือ ว่าคุณหญิงก็รักผมด้วยลักษณะของความรัก เช่นเดียวกันที่ผมได้รักคุณหญิง รักด้วยชีวิตจิตใจ รักอย่างจริงจัง.”

“โปรดเชื่อฉัน, นพพร. เธอต้องพยายามข่มใจ.”

ในที่สุดข้าพเจ้าก็ไม่ได้รับคำตอบอันแจ้งชัดจากปากคำของเธอ ในการที่ได้ไปใช้วันคืนร่วมกันที่อาตามินั้น.

□ □ □

เราพักที่โอซากาโฮเต็ลสองวัน หม่อมราชวงศ์กีรติกับข้าพเจ้าแทบจะไม่มีโอกาสได้สนทนาล่ำลาไว้อาลัยกันแต่ลำพังเลย. เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันที่เราจะออกเดินทางไปโกเบ หม่อมราชวงศ์กีรติมาเคาะประตูห้องพักของข้าพเจ้า. เมื่อข้าพเจ้าถอดกลอนเปิดประตูออก และเธอเห็นข้าพเจ้าอยู่ในเครื่องสักหลาดชุดสีน้ำเงิน สวมกั๊กและผูกเน็กไทเรียบร้อย แทนที่จะอยู่ในเครื่องนอน เธอก็แสดงความประหลาดใจ.

“ฉันคิดว่าเธอยังไม่ตื่นนอน เพราะว่าเมื่อคืนนี้เราก็เข้านอนดึก. และนี่เธอจะแต่งตัวไปไหน ? เราจะไม่ออกเดินทางก่อน ๓ โมงเช้า”

“ผมทราบแล้ว แต่ว่าผมนอนไม่หลับ ก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าแต่งตัว และคิดว่าประเดี๋ยวจะลงไปเดินเล่นข้างล่าง เพราะรู้สึกอึดอัดใจมาก.”

“วันนี้อากาศหนาวเย็นกว่าเคย และภายนอกมีหมอกลงจัด ฉันหวังว่าเธอจะยังไม่ออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้.”

“เปล่า, ผมจะยังไม่ออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้.”

ข้าพเจ้าปิดประตูแล้ว ก็เดินตามหม่อมราชวงศ์กีรติมานั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เตียงนอน ส่วนหม่อมราชวงศ์กีรตินั่งลงที่ขอบเตียง ข้าพเจ้าดีใจเหลือประมาณที่ได้พบหน้าเธอแต่เช้าในวันนั้น แม้ว่าข้าพเจ้าจะมีความประหลาดใจนิดหน่อย ว่าเธอมีกิจธุระสำคัญอะไรหนอที่ต้องการจะพบข้าพเจ้าแต่เช้าตรู่.

อยู่ต่อหน้าหม่อมราชวงศ์กีรติในเช้าวันนั้น เช้าวันสุดท้ายที่เราจะจากกัน หัวใจของข้าพเจ้าเต้นแรง. ข้าพเจ้านั่งสำรวมกิริยาด้วยความสร้อยเศร้า และหม่อมราชวงศ์กีรติก็ไม่เอ่ยออกวาจาว่ากระไร เราปล่อยให้เวลาผ่านไปในความเงียบกว่า ๓๐ วินาที

ในที่สุด เธอได้พูดขึ้นอย่างแช่มช้าว่า

“เราจะออกจากโอซาการะหว่าง ๓ โมงครึ่งถึง ๔ โมง จะไปรับประทานอาหารกลางวันที่โกเบ โดยคำเชิญของสหายคนไทยที่นั่น กำหนดเรือออกจากท่าบ่าย ๒ โมง.”

ข้าพเจ้าใจหายวาบ เมื่อได้ฟังประโยคท้าย.

“เมื่อไปถึงโกเบ เราคงจะอยู่ในระเบียบการรับรองตลอดเวลา” เธอกล่าวต่อไปอย่างแช่มช้าเช่นเดียวกับในตอนต้น “เราคงไม่มีเวลาที่จะอยู่ด้วยกันแต่ลำพังอีกเลย.”

เธอหยุดครู่หนึ่ง ข้าพเจ้ากลืนน้ำลาย หลบนัยน์ตาเธอ และนัยน์ตาข้าพเจ้ากะพริบหลายครั้งในเวลานั้น.

“ฉันคิดว่าเธอคงต้องการเวลาอย่างน้อยก็สัก ๑๐ นาที เพื่อที่เราจะได้กล่าวคำอำลากันเป็นการพิเศษเฉพาะตัว ฉันจึงเข้ามาหาเธอแต่เช้าในวันนี้ ”

น้ำเสียงของเธอเยือกเย็น ทำให้ข้าพเจ้าตื้นตันใจเป็นแสนสุด.

“ผมกระหายที่จะได้เวลาอย่างที่ว่าเหลือเกิน ผมขอบใจคุณหญิงอย่างที่สุดที่ให้โอกาสแก่ผม” ข้าพเจ้าพูดได้เท่านั้นก็นิ่งไป.

“เธอจงตั้งหน้าศึกษาเล่าเรียนให้สำเร็จสมความปรารถนา อยู่ทางเมืองไทย ฉันจะภาวนาเอาใจช่วยเธอ.”

“ขอให้คิดถึงผมตลอดเวลาด้วย ขอจงเห็นใจในความรักภักดีของผม.”

“ฉันขอรับรองว่าจะปฏิบัติตาม. แล้วมีอะไรอีก, นพพร ?”

“ผมมีคำพูดอีกตั้งล้านคำที่จะพูด แต่เวลามีไม่พอ ผมอยากจะเลือกสรรคำพูดเพียงร้อยคำ เพื่อที่จะให้คุณหญิงเข้าใจความทั้งล้านคำนั้น แต่ผมยังนึกหาคำไม่ออก.”

“เธอจงพูดเท่าที่จะพูดได้ ส่วนที่เหลืออยู่นั้นฉันจะอ่านจากดวงตาของเธอ.”

ข้าพเจ้าแลสบตาเธอ ด้วยความรู้สึกละห้อยสร้อยเศร้าทวีขึ้น.

“จงอ่านดูเถิด ผมยังไม่รู้ที่จะพูดว่ากระไร.”

เราถ้อยทีถ้อยแลสบตากันอยู่เป็นครู่ ในที่สุดหม่อมราชวงศ์กีรติลุกขึ้น และมายืนอยู่เคียงข้างข้าพเจ้า เอามือยึดไหล่ข้าพเจ้าไว้พลางพูดว่า

“คนดีของฉัน. ขอได้โปรดรับคำแนะนำของฉันเป็นครั้งสุดท้าย. เธอจากบ้านเกิดเมืองนอนมาญี่ปุ่นเพื่อการศึกษาเล่าเรียน มิใช่เพื่อจะมารักฉัน. จงจำจุดหมายปลายทางของเธอไว้ให้แม่น จงยึดไว้ให้มั่น. ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉันในชั่วเวลา ๒ เดือนเศษนี้ เธอจงลืมเสีย จงนึกเสียว่ามันเป็นความฝัน”

ข้าพเจ้าเอื้อมมือไปจับมือเธอแล้วลูบคลำเบา ๆ

“นี่เป็นเลือดเนื้อโดยแท้ นี่เป็นคุณหญิงโดยแท้ มิใช่รูปภาพหรือเงาในฝันเลย จะให้ผมนึกไปว่าเป็นความฝันได้กระไร. ผมรักเลือดเนื้อนี้แทบใจจะขาด.”

หม่อมราชวงศ์กีรติค่อยดึงมือออกและเบือนหน้าไปทางอื่น.

“เจ้าคุณอาจจะตื่นในไม่ช้า ประเดี๋ยวฉันจะต้องกลับไปห้อง เวลาของเราเกือบหมดแล้ว, คนดี.”

ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืน.

“คุณหญิงรักผมไหม ?” เสียงที่ถามนั้นเบาจนแทบเป็นกระซิบ.

“ฉันเป็นเพื่อนตายของเธอ” หม่อมราชวงศ์กีรติตอบ พลางดึงผ้าพันคอไหมที่พันอยู่กับคอเธอส่งให้ข้าพเจ้า “โปรดรับสิ่งนี้ไว้เป็นที่ระลึกต่างตัวฉัน.”

เธอยื่นมือมาให้ข้าพเจ้าสัมผัส ข้าพเจ้าสุดที่จะกล้ำกลืนความโศกไว้ได้. ด้วยน้ำตาคลอตา ข้าพเจ้ามองดูมือที่ยื่นมานั้น จับและบีบแน่นด้วยความพิศวาส แล้วข้าพเจ้ายกมือนั้นขึ้นจูบ เธอยินยอมโดยดี.

หม่อมราชวงศ์กีรติยืนก้มหน้าสงบอยู่ครู่หนึ่ง.

“ฉันลาไปห้องก่อน ประเดี๋ยวเราจะได้พบกันอีกที่ห้องรับประทานอาหาร. โปรดบังคับใจให้ดี” จบประโยคท้าย เธอแลสบตาข้าพเจ้า แล้วก็หันหลังเดินตรงไปที่ประตูช้า ๆ.

□ □ □

บ่ายโมงครึ่งเรามาถึงท่าเรือ มีมิตรสหายทั้งชาวไทยและญี่ปุ่นมาส่งท่านเจ้าคุณและคุณหญิง ๑๐ กว่าคน. เรารวมกลุ่มสนทนากันอยู่ในห้องซาลูน ข้าพเจ้าไม่ได้เอาใจใส่กับผู้ใด ได้แต่ลอบชำเลืองดูหม่อมราชวงศ์กีรติ เพื่อที่จะถ่ายภาพดวงหน้านั้นยังลงไว้ในดวงใจของข้าพเจ้า.

เวลาสุดท้ายได้มาถึงแล้ว เรือเปิดหวูด และมีเสียงตีฆ้อง เตือนบรรดาผู้ที่มาส่งให้ละเรือขึ้นบก เจ้าคุณกับคุณหญิงจับมือล่ำลามิตรสหายโดยทั่วหน้าภายในห้องซาลูนนั้น. มาถึงข้าพเจ้า ท่านเจ้าคุณจับมือสั่นอยู่นาน และกล่าวคำขอบคุณข้าพเจ้ายืดยาว.

“ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของเธอ, พ่อหลานชาย เธอทำประโยชน์ให้แก่เรามากมาย” ท่านพูดประโยคสุดท้าย. ข้าพเจ้าทั้งตื้นตันใจและเสียวใจจนไม่รู้ที่จะตอบไปว่ากระไร. ข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้ายที่หม่อมราชวงศ์กีรติเข้ามาอำลา เธอยื่นมือมาให้ข้าพเจ้าสัมผัส

“ลาก่อน, คนดีของฉัน” เธอพูดเบามาก แม้กระนั้นเสียงของเธอยังสั่น แล้วก็หยุดนิ่งไป เธอเม้มริมฝีปากแน่น.

“โปรดคิดถึงผมเสมอ.”

“ฉันจะคิดถึงเธอเสมอ. ลาก่อน.”

“ลาก่อน” ข้าพเจ้ากัดกรามแน่น ข้าพเจ้าต้องพยายามที่จะไม่ให้น้ำตาหยดลงต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเกียรติยศของสตรีที่ข้าพเจ้ารักเป็นที่สุด.

“ลาก่อน.”

เราเดินตามคนอื่น ๆ ออกมาจากห้องซาลูน. ตอนจะผละจากเรือเจ้าคุณต้องรับการล่ำลาอย่างชุลมุนอีกครั้งหนึ่ง. ในระหว่างความชุลมุนนั้น ข้าพเจ้ามีเวลาชั่ว ๑ นาทีที่อยู่ใกล้ชิดหม่อมราชวงศ์กีรติ และห่างจากคนอื่น ๆ.

เธอยื่นมือให้ข้าพเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย.

“คุณหญิงรักผมไหม ?” ข้าพเจ้ากระซิบถามเป็นครั้งสุดท้ายเช่นเดียวกัน.

“รีบลงไปเสียเถิด, นพพร” พูดแล้วเธอยกมือขึ้นปิดหน้าชั่วขณะหนึ่ง “รีบไปเสีย ฉันแทบใจจะขาด.”

เธอกัดริมฝีปากล่าง ข้าพเจ้าทำเช่นเดียวกัน เรามีน้ำตาคลอตาด้วยกันทั้งสองคน แต่ยังไม่หยาดหยดออกมา ด้วยความพยายามกล้ำกลืนฝืนไว้อย่างสุดกำลัง.

“ลาก่อน” ข้าพเจ้ากระซิบคำสุดท้าย.

เมื่อปล่อยมือเธอ ข้าพเจ้ารู้สึกประหนึ่งว่าดวงใจของข้าพเจ้าได้ติดไปกับอุ้งมืองามนั้น.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ