๑๘

หลังจากวันนั้นแล้ว ข้าพเจ้ามิได้ไปเยี่ยนเยียนเธออีก เนื่องด้วยมีความหมกมุ่นอยู่ด้วยกิจธุระงานการ จนกระทั่งเวลาได้ล่วงไป ๒ เดือนเศษ และท่านบิดาได้บอกกล่าวให้ข้าพเจ้าทราบว่า ท่านได้กำหนดวันประกอบการพิธีวิวาหมงคลของข้าพเจ้าไว้แล้ว ซึ่งจะตกในเวลา ๓ เดือนข้างหน้า.

เมื่อได้ทราบกำหนดการแต่งงาน ข้าพเจ้าก็เห็นว่าเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะไปรายงานเรื่องราวให้หม่อมราชวงศ์กีรติทราบโดยคารวะ. ในการเยี่ยมครั้งที่สอง หม่อมราชวงศ์กีรติได้รับรองข้าพเจ้าในห้องรับแขก แต่ถึงกระนั้นก็ปราศจากผู้ที่จะมารบกวนขัดขวางการสนทนาของเรา.

จากการสนทนาปราศรัยในตอนแรก ๆ แม้ว่าหม่อมราชวงศ์กีรติจะมิได้ตั้งใจแสดงให้ทราบว่า เธอออกจะผิดหวังไม่น้อย ในการที่ข้าพเจ้าได้ทอดระยะเวลาการเยี่ยมครั้งแรกและครั้งที่สองห่างจากกันถึง ๒ เดือน แต่ข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นได้ว่า เธอรู้สึกผิดหวังจริง ๆ และดูจะมีความเสียใจอยู่ที่ข้าพเจ้าได้วางตนผิดไปจากความคาดหมายของเธอ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเองไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า อะไรเป็นมูลเหตุก่อให้เธอเกิดความรู้สึกเช่นนั้น จะเป็นเพราะเธอมีความปรารถนาดีต่อข้าพเจ้า เกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะคาดหมายได้ หรือเพราะเหตุอันใดก็เหลือที่ข้าพเจ้าจะทราบได้.

แต่แม้จะได้สังเกตเห็นในน้ำใจของหม่อมราชวงศ์กีรติดังนั้น ข้าพเจ้าก็มิได้กล่าวความสังเกตออกมาให้เป็นที่แจ้งประจักษ์ เพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีประสงค์จะแก้ว่า ต้องติดโน่นติดนี่ จึงมาเยี่ยมเธอไม่ได้บ่อย ๆ ด้วยถ้าจะแก้ดังนั้นแล้วก็อาจจะกลับเพิ่มความขมขื่นใจของเธอทับทวีขึ้น ข้าพเจ้าจึงเป็นแต่รับทราบความผิดหวังของเธอไว้เงียบ ๆ

ภายหลังที่ได้สนทนาด้วยเรื่องต่าง ๆ พอสมควรแล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มเรื่องที่ได้ตั้งใจจะมาบอกเล่าให้เธอทราบ

“ผมมีข่าวใหม่จะมาบอกคุณหญิง.”

“ฉันหวังว่าเป็นข่าวดีมากแก่ตัวเธอ และคงจะเป็นข่าวเกี่ยวกับความก้าวหน้าในทางงานการของเธอเป็นแน่” เธอคอยฟังคำตอบจากข้าพเจ้าด้วยความสนใจ.

“หามิได้ เป็นข่าวดีจริง แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานการ คุณหญิงคงจะดีใจมากถ้าผมจะแต่งงานในไม่ช้านี้.”

ข้าพเจ้าสังเกตว่าคุณหญิงมีอาการสะดุ้งนิดหน่อย อาจเป็นด้วยข่าวใหม่นี้ไม่อยู่ในความคาดหมายของเธอ.

“นพพรจะแต่งงาน?” เธอทวนคำอย่างไม่แน่ใจ “เธอจะแต่งกับสุภาพสตรีที่ไปรับเธอในวันแรกที่ถึงกรุงเทพฯ ใช่ไหม?”

“คุณหญิงรู้เรื่องของเราตลอดแล้วหรือครับ?”

“เปล่า ฉันไม่รู้เลย ฉันเป็นแต่คาดคะเนเอา เธอมีการติดต่อกันมานานแล้วหรือ?”

“เธอเป็นคู่หมั้นของผม.”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” สีหน้าของหม่อมราชวงศ์กีรติแทนที่จะเปล่งปลั่งด้วยความยินดี กลับแสดงว่าเต็มไปด้วยความพิศวงสงสัย.

“ตั้ง ๗-๘ ปีมาแล้วครับ ก่อนหน้าผมออกไปญี่ปุ่นนิดหน่อย.”

“แต่ตลอดเวลาที่ฉันพบเธอในโตเกียว เธอไม่ได้บอกเรื่องคู่หมั้นของเธอให้ฉันทราบเลย” เสียงของเธอแสดงว่ามีความพิศวงสงสัยยิ่งขึ้น.

“อาจเป็นด้วยผมเองไม่ได้สนใจในเรื่องการหมั้นนั้นเลย.”

“และเดี๋ยวนี้เธอได้ตกลงปลงใจจะแต่งงานกับสตรีที่เธอไม่เคยสนใจมาก่อน.”

“เป็นความประสงค์ของคุณพ่อท่าน และผมก็ไม่มีข้อขัดข้องอะไร อันที่จริงเธอก็เป็นสตรีที่ได้รับการศึกษา และมีฐานะดีพอ. การแต่งงานคงจะช่วยให้ชีวิตของผมเป็นหลักฐานดีขึ้นกว่าเดี๋ยวนี้.”

หม่อมราชวงศ์กีรติจ้องมองข้าพเจ้าด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจในความหมายได้เป็นครู่หนึ่ง เธอจึงพูดขึ้นว่า “เธอยังไม่ได้บอกนามสตรีคู่หมั้นของเธอแก่ฉัน.”

“ชื่อปรีดิ์ครับ ปรีดิ์ บูรณวาท.”

“รูปงาม นามเพราะ” เธอยิ้มอย่างเลื่อนลอย อย่างไม่มีความแน่นอนใจ “ฉันขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งต่อเธอ.”

แล้วเธอยื่นมือมาให้ข้าพเจ้าสัมผัส ระหว่างนั้นข้าพเจ้าได้บอกกับเธอว่า “คุณหญิงเป็นคนแรกที่ได้แสดงความยินดีต่อผม”

“นับเป็นเกียรติยศอย่างสูงที่ฉันได้รับ” เธอตอบโดยกิริยาเสงี่ยม.

เรานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ระหว่างที่ข้าพเจ้ายังนึกไม่ออกว่า จะสนทนากับเธอด้วยเรื่องอะไรต่อไป หม่อมราชวงศ์กีรติได้พูดขึ้นก่อน.

“นพพร, เธอมีอุดมคติอย่างไรในการแต่งงาน?”

“ผมแทบจะจำนนคำตอบ ผมไม่ถนัดในการตอบปัญหาเช่นนี้.”

“เธอเคยถามปัญหาจุกจิกกับฉันมาก และฉันไม่เคยหลีกเลี่ยงเลย เมื่อถึงคราวฉันถามเธอบ้าง เธอก็จะหลีกเลี่ยงไม่ได้.”

“ผมไม่ตั้งใจจะหลีกเลี่ยง แต่ผมเกรงว่าผมไม่มีอุดมคติอะไรในการแต่งงานที่จะชี้แจง.”

“ประหลาดที่เธอบอกว่า เธอไม่มีอุดมคติในการแต่งงาน” พูดแล้วหม่อมราชวงศ์กีรติก็ถอนใจ

“ผู้ชายทุกคนเป็นอย่างเธอหรือ, นพพร?”

“ทุกคนคงจะไม่เหมือนกัน แต่ส่วนมากอาจเป็นเช่นผมก็เป็นได้” ข้าพเจ้าตอบไปตามความรู้สึก“ผู้ชายคงจะมีอุดมคติในเรื่องการงาน ยิ่งกว่าจะมีในเรื่องอื่นเช่นผมเป็นต้น.”

“นี่เธอรักคู่หมั้นของเธอหรือเปล่า?”

“เรามีเวลาพบปะกันน้อย เราต่างก็มีความพอใจในกันตามสมควร และผมหวังว่าเราจะรักกันได้เมื่อได้แต่งงานกันแล้ว.”

“สำหรับหนุ่มสาว ความรักไม่สู้จำเป็นนักดอกหรือ ก่อนที่จะได้ตกลงปลงใจแต่งงานกัน?” เป็นคำถามที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ฉันเคยได้ยินแต่ว่า รักกันไว้เถิดแต่อย่าแต่งงานกัน แต่นี่นพพรจะแต่งงาน และจะไปรักกันต่อภายหลัง.”

“ถ้ามีความรักต่อกันก่อนแต่งงานก็คงจะเป็นการดียิ่งขึ้น. อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่าความรักเป็นเรื่องยุ่งยากเหลือทน และเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน.”

“อะไรทำให้เธอมองเห็นความรักไปในแง่นั้น?”

“เพราะว่าครั้งหนึ่งผมเคยรัก.”

“โปรดเล่าเรื่องของเธอไปให้ตลอด” ความแจ่มใสปรากฏขึ้นในแววตาของหม่อมราชวงศ์กีรติ.

“คุณหญิงทราบเรื่องนั้นละเอียดลออดีอยู่แล้ว เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อคุณหญิงไปญี่ปุ่นและกระทั่งได้จากผมมา. ความรักให้ความชุ่มชื้นในเบื้องต้น แต่ได้จบลงด้วยทุกข์ทรมานอย่างแสนร้ายกาจ ผมได้คิดในตอนหลังว่า ผมได้ปล่อยตัวให้เตลิดเพริดไปอย่างไม่สมควรยิ่ง ผมควรจะรักและนับถือคุณหญิงดุจพี่สาวของผม ผมรู้ตัวว่าผมได้ทำผิดไปมากในระหว่างนั้น. ตั้งแต่นั้นมา ผมได้พยายามลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างเด็ดขาด และก็ในครั้งนั้นเหมือนกันที่ผมได้เรียนรู้ด้วยตัวของผมเองว่า ความรักที่ร้อนเป็นไฟเช่นนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทรมานเพียงไร ผมเชื่อว่าผมจะไม่มีความรักเช่นนั้นอีกแล้ว.”

หม่อมราชวงศ์กีรติมองอย่างเหม่อ ๆ ไปข้างหน้า ไม่ได้ตอบว่ากระไร.

“ผมไม่คิดจะพูดเรื่องนี้กับคุณหญิงอีกเลย” ข้าพเจ้ากล่าวต่อไป “มันทำให้ผมละอายและชังตัวเอง.”

“คนเรามีความคิดเห็นในเรื่องความรักแตกต่างกัน และฉันเห็นด้วยกับเธอ ในข้อที่ว่าความรักบีบคั้นทรมานใจเรามาก และในบางคราวก็เหลือที่จะทนทาน เธอทำถูกต้องอย่างคนทั้งหลายทั่วไปแล้ว ที่ปลีกตนออกมาพ้นจากความทรมานนั้นได้ และลืมความหลังเสียได้ แต่คนโง่ ๆ บางคนอาจปฏิบัติไม่ได้เช่นเธอ. ฉันขอแสดงความยินดีต่อเธออีกครั้งหนึ่ง” เธอหยุดนิ่งไปเป็นครู นัยน์ตาไม่ได้แลจับนัยน์ตาข้าพเจ้า และเมื่อเบือนหน้ากลับมาเผชิญหน้ากัน เธอถามว่า “นี่เธอกำหนดจะแต่งงานเมื่อไหร่?”

“คุณพ่อบอกกับผมว่าอีกประมาณ ๓ เดือน.”

“ฉันขออวยพรล่วงหน้าไว้ก่อน ฉันเป็นผู้ที่มีความเชื่อถือในความรัก ฉะนั้นฉันขออวยพรให้เธอทั้งสองได้รักกัน จะก่อนหรือหลังแต่งงานก็ตาม แต่ขอให้รักกันอย่างดีที่สุดและโดยเร็วที่สุด” เธอหยิบถ้วยน้ำชาซึ่งวางอยู่ตรงหน้าและชูขึ้นด้วยกิริยาการที่ค่อนข้างกระปรี้กระเปร่า ยิ้มอย่างเปล่งปลั่งให้ข้าพเจ้าก่อนที่จะได้พูดต่อไป “ฉันขอดื่มให้เธอ มิตรที่รักของฉัน สำหรับความสุขและความรักของเธอทั้งสอง” จิบน้ำชาแล้วเธอวางถ้วยลงและพูดต่อไปว่า “ฉันเป็นคนแรกที่จะรับช่วยทุกสิ่งทุกอย่างในการแต่งงานของเธอ.”

เมื่อได้อยู่สนทนาต่อไปอีกครู่ใหญ่ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าเธอมีอาการไม่ใคร่สบาย แต่ดูเหมือนเธอพยายามจะซ่อนเร้นมิให้ปรากฏ เพื่อที่จะได้แสดงความชื่นชมยินดีต่อข้าพเจ้าได้เต็มที่ ข้าพเจ้าไม่ได้แสดงความสังเกตให้เธอทราบ เป็นแต่ได้รีบลาเธอกลับโดยอ้างว่ามีกิจที่จะต้องกระทำ ถึงกระนั้นก็ตาม ข้าพเจ้าก็ได้อยู่สนทนากับเธอเกือบสิ้นเวลาสองชั่วโมง ข้าพเจ้าเสียดายที่มาบอกข่าวสำคัญ ประจวบกับเวลาที่เธอไม่ใคร่สบาย ถ้าเป็นในเวลาปรกติแล้ว หม่อมราชวงศ์กีรติคงจะแสดงความตื่นเต้นยินดียิ่งกว่านั้นหลายเท่า และจะไม่ยอมให้ข้าพเจ้าลาจากมาโดยไวเป็นแน่. นี่เป็นความคิดเห็นของข้าพเจ้าในเวลานั้น.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ