๑๙

ข้าพเจ้าไม่ได้คิดฝันไปเลยแม้แต่น้อยว่า การไปเยี่ยมหม่อมราชวงศ์กีรติในครั้งนั้น จะเป็นการเปิดฉากแห่งกาลอวสานของเธอ และร้ายกาจอะไรเช่นนั้นเล่าที่ฉากใหม่ได้ปิดลงในเวลาอันรวดเร็วนัก!

การแต่งงานระหว่างข้าพเจ้ากับปรีดิ์คู่หมั้น ได้กระทำลงตามวันเวลาที่ได้กำหนดไว้ ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวถึงว่าการแต่งงานของเราได้เป็นไปอย่างเอิกเกริกมโหฬาร เป็นที่ปลาบปลื้มยินดีแก่ตัวข้าพเจ้าและภรรยาของข้าพเจ้าเพียงใด. ข้อที่ข้าพเจ้านึกเสียดายอยู่ไม่วายก็คือ หม่อมราชวงศ์กีรติมิได้มาในวันแต่งงานของเรา เธอให้คนถือหนังสือมาให้ข้าพเจ้าในตอนบ่าย บอกว่าเธอป่วยไม่สามารถจะมาได้ และได้ประสาทพรมาในจดหมาย และได้บอกไว้ด้วยว่าจะมาเยี่ยมข้าพเจ้าเมื่อคลายป่วยแล้ว.

ข้าพเจ้าได้กะการไว้แล้วว่า จะพาภรรยาไปพักผ่อนที่หัวหินสักสองสัปดาห์. ก่อนจะลงไปหัวหิน ข้าพเจ้าได้พาภรรยาไปเยี่ยมหม่อมราชวงศ์กีรติที่บ้าน ซึ่งเป็นเวลาหลังจากแต่งงานแล้ว ๓ วัน. เธอบอกกับเราว่าค่อยคลายจากความป่วยไข้แล้ว และตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนเราในเร็ววัน. ข้าพเจ้าสังเกตเห็นได้ถนัดชัดเจนว่าเธอซูบเซียวลงไปกว่าปรกติ. เมื่อได้รับคำซักถามถึงอาการเจ็บป่วย เธอบอกว่ารู้สึกอ่อนเพลียและในวันแต่งงานของเรานั้นมีอาการเป็นไข้ด้วย. ในวันนั้นหม่อมราชวงศ์กีรติดเชื่อมซึมไป พูดน้อย. เธอขอให้เราเล่าถึงความเป็นไปในวันแต่งงาน แล้วเธอก็นิ่งฟัง และซักบ้างเป็นครั้งคราว และถามถึงความรู้สึกของปรีดิ์ในวันแต่งงาน. ข้าพเจ้าใช้เวลาเยี่ยมเธอในวันนั้นประมาณ ๑ ชั่วโมงก็ลากลับ ด้วยเกรงว่าเธอจะไม่มีความผาสุกเนื่องด้วยยังไม่สบายเป็นปรกติ.

ออกมาข้างนอก ปรีดิ์ออกความเห็นว่า “อ่อนหวานและยังสวย แต่ว่าดูเป็นคนลึกลับอยู่สักหน่อย.”

□ □ □

๒ เดือนผ่านไป. เหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความอกสั่นขวัญหาย และเปิดเผยความลับทั้งมวลได้อุบัติขึ้นในเย็นวันหนึ่งของเดือนธันวาคม!

ในเย็นวันนั้น เมื่อข้าพเจ้ากลับจากที่ทำการมาถึงบ้าน และยังไม่ทันผลัดเครื่องแต่งกาย เด็กเข้ามาบอกว่ามีสุภาพสตรีผู้หนึ่งมาหา ต้องการพบข้าพเจ้าเป็นการด่วน ข้าพเจ้าจึงรีบไปพบในห้องรับแขก. สุภาพสตรีผู้นั้นคือน้าของหม่อมราชวงศ์กีรติ ซึ่งนั่งคอยข้าพเจ้าอยู่ด้วยสีหน้าท่าทีที่เต็มไปด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย.

“คุณหญิงต้องการพบผมเป็นการด่วนหรือครับ?” ข้าพเจ้าเริ่มคำปราศรัย

“คุณหญิงกำลังป่วยหนัก” หล่อนพูด.

“เมื่อผมไปพบครั้งหลังนั้น ก็กำลังสบายดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือครับ?” ข้าพเจ้าตั้งคำถามด้วยความตกใจและประหลาดใจระคนกัน “นี่ป่วยเป็นอะไรไปอีก.”

หล่อนเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า หม่อมราชวงศ์กีรติได้ป่วยเป็นวัณโรคอ่อน ๆ มาประมาณสองปี เดิมทีก็เป็นที่เข้าใจกันว่า ถ้าได้รับการรักษาพยาบาลเป็นอย่างดีแล้ว อาการของโรคก็จะไม่กำเริบรุนแรงจนถึงจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตโดยรวดเร็ว และมีหวังว่าจะหายได้ แต่ต่อมาเมื่อ ๒ เดือนล่วงแล้ว อาการของโรคได้ผันแปรไปในทางรุนแรงขึ้น และในระยะ ๒-๓ วันมานี้มีอาการหนักขึ้นอย่างเป็นที่น่าวิตกมาก มีไข้อย่างแรง มีอาการเพ้อเป็นครั้งคราว และในเวลาที่เพ้อนั้นมักจะพรรณนาถึงเมื่อครั้งไปเที่ยวญี่ปุ่นกับเจ้าคุณสามี และออกชื่อข้าพเจ้าเนือง ๆ.

“เวลามีคนไปเยี่ยม และยังไม่ทันจะออกนาม เธอมักจะถามทุกครั้งว่า ‘นพพรมาเยี่ยมฉันหรือ?’ เธอถามในเวลาที่มีสติ.” หล่อนเล่าให้ข้าพเจ้าฟังต่อไป “เมื่อตอบว่าไม่ใช่ เธอก็ถอนใจใหญ่และไม่พูดอะไร ครั้นดิฉันถามว่าต้องการพบคุณนพพรหรือ เธอก็ส่ายหน้าและซ้ำกำชับแข็งแรงว่า ‘อย่าไปตามนพพร อย่าไปรบกวนความสุขของเขาเป็นอันขาด’ แต่เมื่อมีคนมาเยี่ยมอีก เธอก็ถามถึงคุณอีก ดิฉันเชื่อแน่ว่าเธอต้องการพบคุณอย่างที่สุด แต่ดิฉันก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเธอจึงไม่ให้มาตาม. ดิฉันสงสารเธอเหลือเกิน และทนดูต่อไปไม่ได้ จึงได้ปลีกเวลามาพบคุณ. แต่ดิฉันไม่ได้บอกให้เธอทราบ ดิฉันหลอกเธอว่าหมอให้มาซื้อยา และหมอทราบความจริงดีว่าดิฉันจะไปไหน.”

ข้าพเจ้าแทบไม่เชื่อว่าการณ์จะเป็นไปจริงตามนั้น. เหตุใดหม่อมราชวงศ์กีรติจึงล้มเจ็บลงอย่างหนักโดยเร็วพลันนัก และเหตุใดเธอจึงเพ้อพูดออกนามข้าพเจ้ามิหยุดหย่อน แต่การณ์ก็เป็นไปจริงตามที่คุณน้าของเธอได้เล่าให้ฟังทุกประการ. ข้าพเจ้าไม่ได้ซักถามอะไรอีกเมื่อผู้เล่าได้เล่าจบลง. ข้าพเจ้าตกใจและเป็นห่วงชีวิตของเธออย่างยิ่ง. เรารีบตรงไปบ้านหม่อมราชวงศ์กีรติทันที. ใกล้จะถึงบ้านข้าพเจ้าได้รับกำชับว่าอย่าได้แพร่งพรายให้เธอทราบเป็นอันขาดว่า ได้มีผู้มาตามข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้ารับคำอย่างมั่นคง.

คุณนายผู้นั้นนำข้าพเจ้าไปพักในห้องรับแขก สักครู่หนึ่งนายแพทย์ผู้ทำการรักษาพยาบาลหม่อมราชวงศ์กีรติ ได้เข้ามาสนทนากับข้าพเจ้า. ท่านนายแพทย์ได้บอกให้ข้าพเจ้าทราบว่า อาการของคนไข้อยู่ในที่หมดหวัง จะเร็วหรือช้าเท่านั้น. ข้าพเจ้าได้ทราบจากท่านนายแพทย์ด้วยว่า พวกญาติของหม่อมราชวงศ์กีรติทุกคนลงความเห็นว่า เราทั้งสองคงจะต้องมีความสัมพันธ์ต่อกันเป็นพิเศษ และโดยเหตุฉะนั้น หม่อมราชวงศ์กีรติก็ควรจะได้พบข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งก่อนจะตาย. ข้าพเจ้านั่งฟังอยู่โดยอาการสงบสำรวม ในใจเต็มตื้นไปด้วยความกำสรดโศกสุดที่จะพรรณนา.

ข้าพเจ้ารอคอยอยู่ประมาณ ๑๐ นาที คุณนายผู้นั้นจึงได้ออกมาพบและรายงานให้ทราบว่า ข้าพเจ้ามาเหมาะกับเวลา เพราะว่าหม่อมราชวงศ์กีรติกำลังมีสติค่อนข้างเป็นปรกติ.

“คุณหญิงพร้อมที่จะให้ผมเข้าไปพบหรือยัง?” ข้าพเจ้าถาม.

“โปรดค่อยอีกสักครู่เถิดค่ะ เธอกำลังแต่งตัว.”

“เอ๊ะ! ทำไมต้องแต่งตัว?” ข้าพเจ้าอุทานด้วยความแปลกใจ “ก็คุณนายบอกผมว่าคุณหญิงเจ็บหนักไม่ใช่หรือครับ? ทั้งนายแพทย์ก็ยืนยันเช่นนั้น.”

คุณนายนั่งลงแล้วเล่าเรื่องให้เราฟัง.

“คุณหญิงกำลังเจ็บหนักถูกแล้วค่ะ และดิฉันก็ไม่ทราบว่าเหตุใดเธอจึงจะต้องแต่งตัว. ดิฉันได้ท้วงว่าคุณนพพรมิตรสนิทของเธอมาเยี่ยม ไม่จำเป็นจะต้องเอาใจใส่ในการแต่งตัวอะไร. เธอยิ้มตอบ. เป็นครั้งแรกที่ดิฉันเห็นเธอยิ้มอย่างมีชีวิตจิตใจ นับแต่เธอล้มเจ็บหนักเป็นต้นมา. เธอตอบคำท้วงของดิฉันว่า ‘เป็นการจำเป็นมากที่ฉันจะต้องแต่งตัวอย่างสะสวยเพื่อรับรองมิตรที่รักของฉัน. สุธารจงช่วยแต่งตัวให้พี่’ เธอหันไปพูดกับน้องสาวของเธอ ‘แต่งอย่างดีที่สุดตามที่เธอทราบแล้วว่าพี่พอใจอย่างไร. แต่งผมให้พี่ใหม่ และทาริมฝีปากตามแบบของพี่ แล้วไปขนเสื้องาม ๆ ในตู้มาให้พี่เลือกดู. สุธาร จงช่วยชุบพี่ให้งามอีกสักครั้งหนึ่งก่อนที่พี่จะตาย’ เธอยิ้มอย่างอ่อนแรง แต่ว่าดิฉันกับสุธารหน้าเศร้าและแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ด้วยความสงสารอย่างจับใจ. ในที่สุดเราก็จำต้องยอมผ่อนตามความประสงค์ของเธอ นี่สุธารกำลังแต่งตัวให้เธออยู่ค่ะ.”

ขณะที่เล่านั้น มีน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของผู้เล่า และเห็นได้ว่า ได้พยายามกล้ำกลืนอาการสะอื้นไว้อย่างเต็มที่. ท่านนายแพทย์ก้มหน้าฟังด้วยกิริยาสงบ.

“เธอถามดิฉันว่า ‘ได้บอกหรือเปล่าว่าฉันเจ็บหนักใกล้จะตาย’” คุณนายเล่าต่อไป “ดิฉันจำต้องพูดเท็จเพื่อเอาใจเธอ เพราะรู้ดีว่าเธอไม่ประสงค์ให้คุณทราบว่าเธอเจ็บหนัก. แล้วเธอพูดด้วยความพอใจว่า ‘ดีมาก คุณน้า, ขอให้บอกนพพรเพียงว่า ฉันไม่ใคร่สบาย อย่าให้เขาตกอกตกใจ.’”

เมื่อคุณนายหยุดเล่า เราทั้งสามคนก็พากันนิ่งเงียบกริบ. ไออากาศในห้องรับแขกเต็มไปด้วยความโศกและวิเวกวังเวง. สักครู่คุณนายก็ลุกไป เพื่อไปดูว่าหม่อมราชวงศ์กีรติแต่งตัวพร้อมแล้วหรือยัง. ประมาณ ๑๐ นาทีต่อมา หล่อนมาบอกข้าพเจ้าว่าพร้อมแล้ว และนำข้าพเจ้าไปยังห้องคนเจ็บ. ระหว่างที่เดินไปนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าเหงาใจประหนึ่งว่ากำลังเดินไปเยี่ยมศพของคนที่รักที่สุดคนหนึ่ง มากกว่าจะไปเยี่ยมบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่.

หม่อมราชวงศ์กีรตินอนเจ็บอยู่ในห้องนอน. เมื่อข้าพเจ้าย่างเท้าก้าวล่วงธรณีประตูห้องเข้าไปนั้น ข้าพเจ้างงไปชั่วขณะหนึ่ง. ข้าพเจ้ามุ่งคิดไปแต่ว่า จะต้องเผชิญกับภาพของคนเจ็บที่ใกล้จะตาย นอนอยู่ในห้องที่ออกจะขมุกขมัวด้วยอับอากาศ เกลื่อนไปด้วยขวดยา และมีคนสองสามคนนั่งดูอาการอยู่ ฟูมฟายไปด้วยน้ำตา.

แต่มโนภาพของข้าพเจ้าคลาดจากความจริงไปหมด ภายในห้องนั้นเปล่งปลั่งไปด้วยแสงสว่างของยามเย็นเวลาประมาณ ๕ โมง ซึ่งสาดเข้ามาทางหน้าต่างทุกบานซึ่งเปิดอ้าออกเต็มที่. หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งอยู่บนที่นอน หลังพิงหมอนด้านหัวเตียง เหยียดเท้าไปตามส่วนยาวของเตียง. มีผ้าขาวลวดลายศิลปะแบบจีนสีเขียวคลุมกายท่อนล่าง สวมเสื้อสีเดียวกับลวดลายของผ้าคลุมนั้น และยังมีเสื้อคลุมกำมะหยี่สีดำสวมอยู่อีกชั้นหนึ่ง เป็นการปกป้องกำบังมิให้ข้าพเจ้าได้แลเห็นส่วนต่าง ๆ แห่งร่างกาย ซึ่งจะชวนให้ลงความเห็นได้ว่า ร่างนั้นกำลังเคลื่อนเข้ามาอยู่ใกล้แดนมรณะเต็มทีแล้ว. ทรงผมและดวงหน้าได้รับการตบแต่งอย่างประณีตบรรจง สามารถพรางความเหี่ยวแห้งทรุดโทรมอันแทบจะถึงซึ่งภินทนาการไว้ได้ในชั่วขณะที่ได้เหลือบดูไปแต่ผาด ๆ. รูปสามเหลี่ยมสีแดงสามรูปบนริมฝีปากงามคู่นั้น แทบจะทำให้ข้าพเจ้าหลงไปว่า หม่อมราชวงศ์กีรติมิได้ประสบความป่วยเจ็บแต่อย่างใดเลย.

บนโต๊ะเล็ก ๆ ข้างเตียงตั้งแจกันแก้วเจียระไน บรรจุช่อคริสต์มาสสีแดงสดชื่นระรื่นตา. ที่ริมหน้าตาข้างเตียงนอนมีกรงนกคีรีบูนแขวนอยู่สองกรง เจ้านกน้อยกำลังโลดเต้นและส่งเสียงร้องอยู่อย่างผาสุก. ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องได้รับการตบแต่งจัดไว้อย่างสวยงาม ไม่มีร่องรอยว่าจะเป็นห้องของบุคคลที่กำลังเจ็บหนักใกล้ถึงกาลอวสานเลย. ข้าพเจ้าแทบจะสงสัยไปว่า นี่ถูกหลอกหรืออย่างไร.

เมื่อเหลือบเห็นข้าพเจ้าเข้ามายืนอยู่ในห้อง หม่อมราชวงศ์กีรติได้วางหนังสือที่ถืออยู่ในมือไว้ข้างกาย เพื่อจะแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่าหล่อนกำลังอ่านหนังสืออยู่ ก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะเข้าไป.

“นพพร, เชิญนั่งที่นี่” เธอชี้เก้าอี้ที่ตั้งไว้ริมเตียง “ฉันไม่สบายไปนิดหน่อย จึงต้อนรับเธอบนที่นอน.”

ได้สดับเสียงเธอ ข้าพเจ้าใจหายวาบ เพราะว่าเสียงนั้นแหบแห้งและแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินถนัด. ข้าพเจ้าเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยกิริยาสงบ.

“ผมมาเยี่ยมคุณหญิงด้วยความคิดถึง.”

“ขอบใจมาก. ฉันรู้ว่าเธอยังไม่ลืมฉันเสียทีเดียว.” เธอยิ้มอย่างชื่นใจ พลางเลี้ยวศีรษะไปทางสุภาพสตรีสาวผู้หนึ่ง ซึ่งยืนคอยระแวดระวังเธออยู่ทางด้านหัวเตียง “นี่สุธารน้องสาวของฉัน เป็นผู้ซึ่งประสบความรักและความสุขในการแต่งงานตามที่ฉันเคยพูดถึง.”

ข้าพเจ้าก้มศีรษะให้สุธาร.

“ทุกคนจะออกไปพักข้างนอกก่อนก็ได้ และรวมทั้งสุธารด้วย” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดต่อไป “ปล่อยฉันไว้กับนพพรแต่ลำพัง.”

คนเหล่านั้นมองดูตากัน ส่วนข้าพเจ้าสงบนิ่ง.

“ขออย่าเป็นห่วง เพราะว่าฉันไม่ได้ป่วยเจ็บนักหนาอะไร.”

สุธารเดินมาปรึกษากับคุณน้า สักครู่หนึ่งท่านนายแพทย์เข้ามากระซิบบอกข้าพเจ้าว่า อย่าอยู่สนทนากับเธอนานนัก จะทำให้เธออ่อนเพลียมากเกินไป.

เมื่อทุกคนออกไปนอกห้องแล้ว หม่อมราชวงศ์กีรติทอดสายตามองมาทางข้าพเจ้าด้วยแววตาที่แสดงว่ามีความผาสุก ข้าพเจ้าลากเก้าอี้เข้าไปจนชิดเตียง.

“ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้พบเธอในวันนี้ ฉันไม่คิดว่าจะได้พบเธออีกเลย แม้จะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของฉัน” นัยน์ตาเธอจ้องมองข้าพเจ้าอยู่ไม่วาง.

“เดี๋ยวนี้ผมก็ได้มาอยู่ต่อหน้าคุณหญิงแล้ว และผมจะอยู่ตลอดไป ตราบเท่าที่คุณหญิงต้องการ” ข้าพเจ้าตอบด้วยเสียงหนักแน่น.

“เป็นไปไม่ได้ดอกนพพร เพราะว่าเธอไม่ใช่ของฉัน.”

“ผมไม่เข้าใจว่า คุณหญิงหมายความว่ากระไร.”

“ถูกแล้วเธอไม่ควรจะเข้าใจ เพราะว่าเธอไม่เคยเข้าใจฉันเลย นับแต่วันแรกที่เราได้รู้จักกัน” ดูเหมือนความรู้สึกเย้ยหยันจะได้ปรากฏขึ้นในแววตาของเธอ.

“โปรดบอกผม ว่ามีอะไรอีกบ้างที่ผมยังไม่เข้าใจ.”

“เธอไม่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง เธอไม่เข้าใจทั้งหมด. ไม่เข้าใจแม้แต่ตัวของเธอเอง.”

ข้าพเจ้าแปลความหมายของเธอไม่ออก ข้าพเจ้ามองดูเธอด้วยความฉงนสนเท่ห์ใจ.

ขณะนั้นเธอสอดมือลงไปใต้หมอนอีกใบหนึ่ง และล้วงเอากระดาษภาพแผ่นหนึ่งมาถือไว้ในมือ.

“นี่เป็นภาพที่ฉันได้วาดขึ้นด้วยฝีมือของฉันเอง ภายหลังที่ฉันกลับจากญี่ปุ่น. ฉันขอมอบภาพนี้ให้เป็นของขวัญในการแต่งงานของเธอ.”

ข้าพเจ้ารับมาพินิจดูด้วยความสนใจ ภาพนั้นวาดด้วยสีน้ำ แสดงถึงภาพลำธารที่ไหลผ่านเชิงเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาทึบตามลาดเขา อีกด้านหนึ่งของลำธารเป็นทางเดินเล็ก ๆ ผ่านไปบนชะง่อนหิน บางตอนก็สูงบางตอนก็ต่ำ ตะปุ่มตะป่ำไปด้วยก้อนหินใหญ่น้อย มีพรรณไม้เลื้อยและดอกไม้ป่าสีต่าง ๆ บนต้นเล็ก ๆ ขึ้นเรียงรายอยู่ตามหินผานั้น ไกลออกไปบนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง อยู่ต่ำลงไปจนเกือบติดลำธาร แสดงภาพของคนสองคนนั่งอยู่ ภาพนั้นเป็นภาพที่วาดให้เห็นในระยะไกล ตอนล่างของมุมหนึ่งเขียนไว้ด้วยตัวหนังสือเล็ก ๆ ว่า “มิตาเกะ”.

ข้าพเจ้าพยายามจะค้นคว้าความหมายของหม่อมราชวงศ์กีรติ ในการที่ให้ของเล็กน้อยสิ่งนั้นแก่ข้าพเจ้า.

“ฝีมือไม่ดีดอกนพพร แต่ว่ามีชีวิตและดวงใจอยู่ในภาพนั้น มันจึงสมที่จะเป็นของขวัญในวันแต่งงานของเธอ” เมื่อข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นสบตาเธอ เธอถามว่า “จำได้ไหม นพพร ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่นั่น.”

ข้าพเจ้าระลึกเห็นเหตุการณ์ที่เขามิตาเกะได้อย่างแจ่มกระจ่าง และข้าพเจ้ากำลังจะเข้าใจในความหมายของหม่อมราชวงศ์กีรติได้ราง ๆ.

“ความรักของผมเกิดที่นั่น” ข้าพเจ้าตอบ

“ความรักของเรา, นพพร” พูดแล้วเธอหลับตา และพูดต่อไปอย่างแผ่วเบาเหลือเกิน “ความรักของเธอเกิดที่นั่น และก็ตายที่นั่น แต่ของอีกคนหนึ่งยังรุ่งโรจน์อยู่ในร่างที่กำลังจะแตกดับ.”

น้ำตาไหลซึมออกมาจากเปลือกตาที่ยังปิดอยู่. หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งนิ่งสงบไปด้วยหมดแรง.

ข้าพเจ้าพินิจดูร่างนั้นด้วยความรักความอาลัยแทบใจจะขาด.

□ □ □

อีก ๗ วันต่อมา หม่อมราชวงศ์กีรติก็ถึงแก่กรรม. ข้าพเจ้าอยู่ต่อหน้าเธอ พร้อมด้วยบรรดาญาติของเธอในระหว่างชั่วโมงอันมืดครึ้มนั้น ก่อนหน้าจะสิ้นใจ เธอขอดินสอกับกระดาษ เธอต้องการจะพูด ประโยคสุดท้ายกับข้าพเจ้า แต่หมดเสียง หมดเรี่ยวแรง เธอจึงเขียนลงบนกระดาษว่า :

ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน.

แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ